ตอนที่ 31 : บทที่ 33
สือเจิงหัวมองหน้าซูยีแล้วกล่าว “ผู้ปกครองที่ไร้ความสามารถนำมาซึ่งความล่มสลายของประเทศ คำพูดนี้เป็นความจริงแท้แน่นอน ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันที่สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน แต่ที่น่าประหลาดใจสำหรับข้าก็คือ หลังจากที่ประเทศของเราตกอยู่ในมือของจินเหลียว ประชาชนกลับมีความสุขมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน แม้แต่ข้าราชการที่เคยรับใช้แผ่นดินฉีอย่างข้า ก็ได้รับการปล่อยตัวโดยผู้ปกครองคนใหม่หวางเอี๋ยนซู”
ซูยีหัวเราะขื่น ๆ ก่อนจะกล่าว “เจิงหัว ที่เจ้าพูดมาเช่นนี้ หมายความว่าเจ้าไม่คิดที่จะฟื้นฟูต้าฉีอย่างนั้นหรือ”
สือเจิงหัวพูดเสียงกังวานแจ่มชัด “วันที่ข้าได้รับการปล่อยตัว ข้าคิดเพียงว่าประเทศของเราล่มสลายหัวใจของข้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ในฐานะบัณฑิต ข้าคิดว่าหน้าที่ของเราก็คือฟื้นฟูต้าฉี แต่หลังจากที่หวางเอี๋ยนซูเข้าครองแผ่นดินต้าฉี เขาลดภาษี และนำข้าวไปแจกจ่ายให้กับคนที่ประสบภัยพิบัติ สำหรับพวกเราที่เคยได้รับความทุกข์ยากมาก่อน ตอนนี้กลับไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องความเป็นอยู่ ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเดินทางไปที่ต่าง ๆ ช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ข้าพบว่าพวกข้าราชการไม่มีใครรักชาติรักแผ่นดินอย่างแท้จริงสักคน พวกนั้นส่วนใหญ่มักจะฉ้อฉลเบียดบังและโกงกิน” พูดถึงตอนนี้ เขาก็หัวเราะอย่างขื่นขม “ในสถานการณ์เช่นนี้ บัณฑิตอย่างข้ากลับไร้ประโยชน์ พอรวมตัวกันก็ได้แต่วางแผน แต่ไม่มีใครสามารถนำแผนการไปปฏิบัติได้ นอกจากนี้จินเหลียวมีกองทัพที่เข้มแข็ง ผู้บังคับบัญชาก็เก่งกาจ คนที่จะต่อสู้กับพวกนี้ได้ต้องเป็นคนเช่นท่าน แต่จะหาคนอย่างท่านได้สักกี่คน”
เมื่อซูยีมองสือเจิงหัวก็รู้สึกถึงความทุกข์ทรมานในใจ แม้ว่าสือเจิงหัวจะบอกว่าต้องการคนมีความสามารถอย่างซูยีถึงจะมีโอกาสฟื้นฟูชาติได้สำเร็จ แต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้นั้นน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก ที่ทำได้ก็เพียงจับมือกันไว้ แล้วมองตากันด้วยความเข้าใจในความทุกข์ประสบอยู่ร่วมกัน
ซือน่งที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากเห็นคนทั้งคู่นั่งนิ่งเงียบ จึงพูดขึ้นว่า “คุณชายสือ ท่านเป็นถึงบัณฑิต ทำไมถึงไม่รู้ว่าคุณสมบัติของบัณฑิตประการหนึ่งที่สำคัญคือมีความมีเหตุผล ท่านลองมองย้อนกลับไปถึงวันคืนเก่าก่อนที่ชาวบ้านแร้นแค้นทุกข์ยากจนต้องขายบุตรธิดาเพื่อหาเงินมายังชีพ แต่พวกท่านเหล่าบัณฑิตต่อต้านจินเหลียวเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่อย่างนั้นหรือ ในสายตาของข้านั้นแบบนี้ไม่นับเป็นความจงรักภักดีที่ถูกต้อง แต่เป็นจงรักภักดีอย่างหน้ามืดตามัว แม้แต่คนรับใช้ต้อยต่ำอย่างผู้น้อยยังรู้เลยว่า ประชาชนสำคัญเป็นอันดับแรก ชาติเป็นที่สอง จักรพรรดิ์สำคัญน้อยที่สุด ท่านไม่รู้หลักการนี้หรืออย่างไร นอกจากนี้จักรพรรดิ์ของผู้น้อยไม่เคยบีบบังคับชาวฉีเพื่อให้รับวัฒนธรรมของจินเหลียว แถมยังห้ามไม่ให้พวกจินเหลียวรังแกชาวฉีอีกด้วย เมื่อแม่ทัพซูกลายเป็นจักรพรรดินีของจินเหลียว ก็เหมือนการรวมชาติด้วยการแต่งงาน จินเหลียวกับต้าฉีนับเป็นครอบครัวเดียวกัน ความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองแผ่นดินก็จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ”
บรรยากาศเริ่มอึดอัดเมื่อซือน่งเปิดประเด็นเรื่องการแต่งตั้งจักรพรรดินี ใบหน้าของซูยีแดงก่ำไปถึงหู รู้สึกอับอายเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิท
สือเจิงหัวมองสหายเก่าชั่วครู่ก่อนจะพูด “โหลวฉี พวกเราเข้ารับราชการพร้อมกัน และเป็นเพื่อนกันมานาน ข้ามีเรื่องอยากจะพูด แต่เกรงว่าเจ้าจะคิดว่าข้าดูแคลนท่าน”
ซูยีฝืนยิ้มให้ “ถ้าท่านมีคำพูดใดก็พูดมาเถิด”
ตอนแรกสือเจิงหัวก็อ้าปากคล้ายจะพูด แต่ก็กลืนคำพูดกลับไป มีสีหน้าลังเลชั่วครู่ก่อนจะตัดใจเอ่ยออกมา “โหลวฉี ถ้าท่านกับหวางเอี๋ยนซูมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ท่านก็ควรเป็นจักรพรรดินีของเขา”
ซูยีไม่คิดว่าสือเจิงหัวจะพูดแบบนี้ ซูยีจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาเป็นประกายขุ่นเคือง สือเจิงหัวรีบพูดต่อ “โหลวฉี ข้าบอกไว้ก่อนแล้วว่าข้าไม่ได้ดูแคลนท่าน เพียงแต่ข้าคิดว่าถ้าท่านเกิดจิตปฏิพัทธ์กับหวางเอี๋ยนซูแม้เพียงน้อยนิดก็ควรจะเป็นจักรพรรดินีของเขา ก็เหมือนกับที่แม่นางน้อยคนนี้พูดไว้ว่าประชาชนนั้นสำคัญที่สุด ตราบใดที่ประชาชนไม่ถูกกดขี่ มีชีวิตสงบสุขก็ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นจักรพรรดิ์หรือจักรพรรดินี ก่อนหน้านี้จักรพรรดิ์ฉีปกครอง ขนาดพื้นที่อุดมสมบูรณ์แต่ชาวนายังคงต้องขายลูก ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่แห้งแล้งหรือประสบภัยธรรมชาติ แต่ตอนนี้ผู้ปกครองคือจักรพรรดิ์จินเหลียวที่บอกว่า รักประชาชนเหมือนลูก ถ้าไม่คิดเรื่องที่พระองค์ทำลายประเทศของเราแล้ว พระองค์ก็เป็นจักรพรรดิ์ที่ดีและน่าชื่นชม โหลวฉี ข้านั้นเข้าใจสถานภาพในตอนนี้ของท่าน อย่าได้ทุกข์ทนทรมานอีกต่อไปเลย ท่านไม่ต้องแบกรับความรู้สึกของต้าฉีอีกต่อไป คนที่ควรจะต้องรับผิดชอบที่แท้จริงก็คือจักรพรรดิ์ฉีที่โฉดเขลาไร้ความสามารถ ไม่ใช่ท่าน”
ก่อนที่ซูยีจะพูด ซือน่งก็ปรบมือด้วยความชื่นชม “คำพูดของคุณชายสือช่างฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ควรแก่การเป็นบัณฑิตโดยแท้ แม้ว่าผู้น้อยจะรู้หลักการแต่ไม่สามารถขยายความเช่นนี้ได้” พูดจบก็หันไปทางซูยี “นายท่าน แม้แต่เพื่อนที่แสนดีของท่านยังมีความคิดเห็นเช่นนี้ ท่านก็ควรผ่อนคลายได้แล้ว ไม่ต้องทรมานตัวเองอย่างทุกวันนี้ ไม่จำเป็นที่คนที่เป็นศัตรูกันแล้วจะต้องเป็นศัตรูกันตลอดไป ท่านกับฝ่าบาทอาจจะเป็นคู่แท้กันก็ได้”
ซูยีนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากพูด “ที่จริงข้าต้องการปฏิเสธเขา แต่เขากลับใช้ชะตากรรมของเหล่าชาวบ้านมาบีบบังคับ” พูดถึงตอนนี้ ซูยีก็เหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง พร้อมพูดเสียงเบาคล้ายกับจะพูดกับตนเอง “ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะจบลง พิธีแต่งตั้งจักรพรรดินี...ก็จะมาถึงในอีกไม่กี่วันแล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชายสือพูดได้ดียิ่ง ซูซูแบกรับความเสียหายของเมืองมามากพอแล้ว เกือบโดนทรมาณจนตายแล้วด้วยเผื่อจะลืม ตัดเรื่องเอี๋ยวซูออกไปก็อยากให้น้องปล่อยวางเรื่องนี้บ้าง