ตอนที่ 12 : บทที่ 14
หวางเอี๋ยนซูโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แม้จะรู้ดีว่าซูยีโป้ปดแต่ก็พิสูจน์ไม่ได้ ทั้งที่ชั่วชีวิตของเขาไม่เคยที่จะพบเจอความรู้สึกเยี่ยงนี้มาก่อน ความสุขสมสุดยอดที่ถูกกระชากหายในชั่วพริบตา จักรพรรดิ์หนุ่มกระชากเรือนผมยาวของซูยีอย่างแรง “ที่แท้เป็นอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าไม่คุ้นเคยแต่พอเนิ่นนานไปเจ้าคงชำนาญ แต่ตอนนี้ข้าจะให้บทเรียนใหม่แก่เจ้า” กล่าวจบก็ใช้มือหนึ่งบีบขากรรไกรของอีกฝ่ายแล้วยัดเยียดท่อนเนื้อของตนเข้าสู่ช่องปากของซูยีอย่างรุนแรง
ซูยีไม่ทันได้เตรียมตัวรับมือมาก่อน พยายามหาโอกาสที่จะขบกัดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หวางเอี๋ยนซูไม่ยอมเปิดโอกาสโดยง่าย มือหนี่งกดบีบขากรรไกร ส่วนอีกมือก็เคล้นคลึงแผ่นอกเรียบบางอย่างรุนแรงจนยอดอกสองข้างแดงช้ำ แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่สาสมกับโทสะที่ถูกจุดของหวางเอี๋ยนซู บาดแผลบนร่างกายของซูยีปรากฎโลหิตไหลซึมเพราะการดิ้นรนขัดขืน หยาดเลือดหยดบนพื้นขอบสระ ซูยีพยายามขัดขืนสุดกำลังโดยไม่แยแสกับอาการบาดเจ็บของตน
โชคชะตาช่างเล่นตลก ใครจะคาดเดาได้ว่าบุคคลทั้งสองต่างก็ต้องต่อสู้กันทั้งในสนามรบจนถึงบนเตียงนอน และผลที่เกิดกลับเป็นเฉกเช่นเดียวกัน ซูยีที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวกลับต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้ทั้งสองแบบ อารมณ์ใคร่ของหวางเอี๋ยนซูทวีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงที่สุด ซูยีรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนในโพรงปาก หวางเอี๋ยนซูเลื่อนมือขึ้นบีบลำคอของซูยี บังคับให้กลืนกินหยาดน้ำแห่งความปรารถนาที่ปลดปล่อยมาจนหมดสิ้น
ซูยีทรุดตัวลงเกาะขอบสระแล้วก้มหน้าอาเจียนสิ่งที่ถูกบังคับให้กลืนออกมาจนหมดท้อง หวางเอี๋ยนซูมองร่างของซูยีอย่างเย็นชา เรือนร่างผอมบางที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั่วตัวนั้นสั่นเทา มือใหญ่รั้งเอวบางขึ้น “เจ้าคิดว่ามันสกปรกอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นควรต้องอาบน้ำอีกรอบ” พูดจบก็ดึงซูยีโดยแรงแล้วร่างของคนทั้งคู่ก็ตกลงไปในสระน้ำ
ร่างกายของซูยีอ่อนเพลียจากการโดนทัณฑ์ทรมาณเป็นเวลาหลายวัน และยังต้องมาปะทะเรี่ยวแรงกับหวางเอี๋ยนซูที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อตกลงไปในสระน้ำเขาก็สลบไปในทันที หวางเอี๋ยนซูดึงร่างของซูยีมาถึงขอบสระแล้วใช้น้ำอุ่นในสระชำระล้างบาดแผลให้อีกฝ่าย แต่ไม่ลืมที่จะฉวยโอกาสลวนลามเรือนร่างในอ้อมแขนในทุกที่ที่ปรารถนา หลังจากเล่นสนุกกับร่างที่ไม่ได้สติของซูยีเกือบชั่วยาม จักรพรรดิ์หนุ่มจึงเริ่มผ่อนคลายและสำราญใจ อุ้มซูยีขึ้นจากสระน้ำแล้วเช็ดตัวให้แห้ง ก่อนจะอุ้มพาเดินไปที่เรือนที่ประทับนอน
****
สาวใช้คนสนิททั้งสาม ซือน่ง ซือหลิว และซือหนานกำลังจัดเตรียมเครื่องนอนในห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิ์ นัยน์ตาของดรุณีทั้งสามแทบถลนออกมานอกเบ้าเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ซือน่งลอบกลืนน้ำลายเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนจะเอ่ยปากถาม “ฝ่าบาท แม่ทัพซูยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
ยังไม่ทันที่ซือนงจะพูดจบ ซือหลิวรีบขัดขึ้นมาก่อน “ฝ่าบาท อย่าได้ถือโทษกับนาง ที่ซือน่งถามพระองค์เช่นนั้น เพียงแต่ต้องการทราบว่าพระองค์จะให้พวกเราไปตามทหารรักษาการณ์มานำตัวแม่ทัพซูกลับไปยังคุกนักโทษประหารหรือไม่ เขตพระราชฐานมีระเบียบข้อห้ามมากมาย แม่ทัพซูไม่เพียงเป็นคนต่างเมืองแต่ยังเป็นนักโทษสงคราม ไม่เหมาะสมถ้าจะให้เขาอยู่ที่นี่...” ซือหลิวพูดยังไม่ทันจบ หวางเอี๋ยนซูก็ถลึงตาใส่พวกนาง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เรื่องของข้าไม่ให้พวกเจ้ามายุ่ง คืนนี้เขาจะนอนกับข้าที่นี่ พวกเจ้าไปนำเครื่องนอนที่หนา ๆ มาเพิ่มอีก และคืนนี้ข้าจะไม่ไปร่วมโต๊ะเสวยกับพวกนางสนม ให้จัดเตรียมสำรับอาหารมาไว้ที่นี่ อาหารต้องเป็นพวกบำรุงสุขภาพ ข้าไม่ยอมให้มันตายเพราะร่างกายทรุดโทรมหรอก”
แม้คำพูดขององค์จักรพรรดิ์จะฟังดูเกรี้ยวกราด แต่ซือหลิวผู้ปราดเปรื่องก็สัมผัสถึงความห่วงใยในคำพูดพวกนั้น ยิ่งเมื่อมองสายตาของผู้เป็นนายขณะจ้องมองร่างที่หลับไหลไม่ได้สติของซูยีบนเตียง สายตานั้นอ่อนโยนราวกับมองดูหน่อหญ้าเขียวสดที่แทงยอดอ่อนขึ้นมาท่ามกลางหิมะหนาวเย็น ซือหลิวได้แต่คิดในใจ ‘หากฝ่าบาทรู้สึกดีต่อแม่ทัพซูจริง ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคหรือเคราะห์’
ซือน่งแย้มยิ้มแล้วเดินออกไปปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนาย หวางเอี๋ยนซูเรียกซือหลิวไว้เพื่อให้ดูบาดแผลของซูยี แม้จะลังเลแต่หญิงสาวก็รวบรวมความกล้าเอ่ยปากถาม “ฝ่าบาท แม่ทัพซูจะโดนทรมานเพื่อให้สวามิภักดิ์อีกหรือไม่?”
หวางเอี๋ยนซูหัวเราะในลำคอ “การทรมานไม่ก่อผลต่อมัน ข้าพบวิธีที่ดีกว่าการทรมานแล้ว ต่อจากนี้ไม่ต้องพามันไปที่คุมขังนักโทษประหารแล้ว”
ซือหนานเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท เมื่อครู่สนมหยินเดินร้องไห้มาที่วังหลวง ดูเหมือนองค์รัชทายาทก่อเรื่องอีกแล้ว นางบอกว่าไม่สามารถดูแลองค์รัชทายาทได้อีกต่อไปแล้ว ขอให้ฝ่าบาทเลือกพระสนมคนใหม่ดูแลองค์รัชทายาทแทนนาง”
หวางเอี๋ยนซูพยักหน้า “ข้าเข้าใจดี องค์รัชทายาทเสียแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ตัวข้าเองก็มีภารกิจมากมายไม่มีเวลาดูแลสั่งสอนโจวเอ๋อร์จนทำให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าว เด็กผู้นี้ทั้งฉลาดและซุกซน สนมหยินคงจะกำราบไม่ได้ เช่นนั้นคืนนี้ให้เขามาร่วมโต๊ะเสวยกับข้า”
ซือหนานไม่กล้าจะบอกว่าที่องค์รัชทายาทหวางเอี๋ยนโจวทรงก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนทุกวันนี้เพราะต้องการอยู่ใกล้ชิดกับพระบิดา เพราะในยามที่องค์รัชทายาทอยู่กับพระบิดา วังหลวงกลับสงบสุขยิ่ง หลังจากซือหนานเดินออกไปปฏิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดิ์ผู้เป็นนายหวางเอี๋ยนซูจึงเอ่ยถามซือหลิว “มีข่าวจากหยูคังหรือไม่ จักรพรรดิ์แคว้นฉีอ่อนแอบัดซบ ไม่มีเสนาบดีคนใดมีทักษะทางการทหาร มีแค่แม่น้ำแยงซีเกียงเป็นอุปสรรคเดียวที่จะตีแคว้นฉี หยูคังน่าจะเข้าตีได้โดยง่าย”
ซือหลิวมีสีหน้ายินดี “ที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยนั้นล้วนถูกต้อง ก่อนหน้านี้แม่ทัพหยูคังส่งข่าวมาว่าพวกมันเดินทัพไปถึงจิงหนานแล้ว คาดว่าตอนนี้น่าจะเมืองหลวง ที่ฝ่าบาทเคยตรัสว่าต้องการจะพิชิตจงหยวนในยุคสมัยของพระองค์ ผู้น้อยคิดว่าเวลานั้นได้มาถึงแล้ว” น้ำเสียงของหญิงสาวแผ่วลงเมื่อได้ยินเสียงเสียงอุทานจากร่างที่นอนสงบนิ่ง เขาตื่นแล้วโดยไม่ทันมีใครสังเกต ซูยีดันตัวเองขึ้นแล้วหันหน้าไปทางข้างเตียงพร้อมกับอาเจียนโลหิตออกมากองใหญ่
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อะไรก็ได้แต่รักษาน้องก่อน อีผีเอ๊ยยย ใจชั้นน
กาวใจคือองรัชทายาทใช่ไหมเนี่ย