ตอนที่ 1 : บทที่ 1
ผืนทรายทอดยาวจรดขอบฟ้าดวงอาทิตย์แดงฉานราวโลหิต นกอินทรีสองสามตัวบินโฉบบนผืนฟ้า ไม่มีร่องรอยของควันฟืนจากบ้านเรือน ทำให้ยามอาทิตย์อัศดงที่ชายแดนดูจะหงอยเหงาและอ้างว้างไปบ้าง
หากยืนอยู่เหนือเนินทรายและเพ่งมองทิศทางเบื้องหน้าจะพบเห็นหนึ่งร่างบุรุษในอาภรณ์สีขาวราวหิมะ ซูยีนั่งอยู่บนเนินทราย ริมฝีปากกำลังผิวขลุ่ยไม้ไผ่สีดำปล่อยท่วงทำนองเพลงเศร้าสะท้อนไปทั่ว
ทันใดนั้นบังเกิดเสียงควบขี่ม้าดังขึ้น เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จวบจนปรากฏร่างของคนบนหลังม้า ซูยีถอนขลุ่ยห่างจากริมฝีปาก ทอดถอนลมหายใจก่อนจะเอ่ยปาก “มีคนจากเมืองหลวงมาหรือไม่?”
รองแม่ทัพตวัดเท้าลงจากหลังม้าทำความเคารพแล้วกล่าวเสียงเบาแทบเป็นเสียงกระซิบ “เรียนท่านแม่ทัพจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดมา ยามนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้วท่านควรกลับไปพักผ่อนที่ค่ายทหาร”
ซูยียืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่เวิ้งว้างเบื้องหน้าพร้อมพึมพำ “ผ่านไปสองเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดเรื่องนี้จะยุติ” น้ำเสียงนั้นหม่นหมองไร้ชีวิตชีวาช่างตรงข้ามกับรูปลักษณ์ที่งดงามโดดเด่นของผู้พูด
ผู้ใต้บังคับบัญชาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมคายหล่อเหลาของอีกฝ่าย ขบคิดคล้ายลังเลที่จะพูดแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้ “เรียนท่านแม่ทัพซู ผู้น้อยมีบางเรื่องที่ไม่ได้รายงาน เมื่อสิบวันก่อนมีกลุ่มพ่อค้าเดินทางผ่านมา ผู้น้อยได้สอบถามกับคนพวกนั้นได้ความว่าองค์จักรพรรดิ์ได้นำงบเงินเดือนทหารไปใช้สร้างสวนดอกไม้ในวังหลวงแต่ผู้น้อยไม่ต้องการให้ท่านแม่ทัพเกิดความกังวลจึงไม่ได้รายงาน...”
ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค แม่ทัพซูยีชกกำปั้นทุบที่ผนังด้วยความโกรธเคือง “เป็นกษัตริย์แต่กลับทำเรื่องโฉดเขลาถึงเพียงนี้ นำเบี้ยเลี้ยงเพื่อการทหารไปใช้จ่ายเพื่อนปรนเปรอความสุขให้ตนเอง ไม่รู้หรือไรว่าหากสิ้นแผ่นดินก็ย่อมสิ้นชาติ เมื่อใดก็ตามหากถูกพวกนั้นโจมตี แม้จะมีข้า ซูยีและพี่น้องทหารหาญ เราจะมีกำลังปกป้องประเทศชาติได้อย่างไรกัน หากสิ้นชาติแล้ว สวนหลวงที่งดงามก็ย่อมตกอยู่ในมือผู้อื่น เมื่อราชสำนักไม่เข้าใจถึงหลักการนี้ บางทีราชวงศ์ฉีของเราก็คงจะจบสิ้นเป็นแน่แท้” แม่ทัพหนุ่มส่ายศีรษะและขบกรามแน่นอย่างทุกข์ทน
รองแม่ทัพรีบเอ่ยแนะนำ “ท่านแม่ทัพซูไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล บางทีคนพวกนั้นอาจจะกำลังรวบรวมทุนรอนเพื่อนำมาให้พวกเรา บางทีอาจจะกำลังเดินทางมา เราควรเดินทางกลับค่ายทหาร”
ซูยีโบกมือปฏิเสธพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าของเขาเรียบเฉย “ให้เจ้ากลับไปที่ค่ายก่อน ข้าจะขอคิดใคร่ครวญอะไรเงียบ ๆ อยู่ที่นี่สักพัก หวางเอี๋ยนซูเป็นบุคคลที่อยากจะคาดเดาได้ ที่ผ่านมามันได้ส่งสายลับมาสอดส่องหลายครั้ง คาดว่าเร็ว ๆ นี้มันต้องมีการเคลื่อนไหวแน่นอน ข้าจำเป็นต้องคิดวางแผนให้ถี่ถ้วนเพื่อต้อนรับการมาของพวกมัน”
รองแม่ทัพรู้นิสัยของผู้บังคับบัญชาของตนเป็นอย่างดีว่าไม่อาจทัดทานได้ จึงทำได้เพียงขึ้นหลังม้าและควบขี่กลับไปยังทิศทางเดิมที่มา ซูยีทรุดกายนั่งบนเนินทรายเหม่อมองทะเลทรายเบื้องหน้าและจมดิ่งอยู่กับความคิด
เมื่อห้าปีก่อนเขาเป็นเพียงนายทหารระดับสี่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก ในเวลานั้นแคว้นจินเหลียวยกทัพมาประชิดชายแดน ทหารและพลเรือนต่างก็ตื่นตระหนก แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าทำสงครามคล้ายกับจะยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม เขาจึงอาสานำกองทัพไปที่ชายแดนด้วยความแค้นเคือง สงครามในครั้งนั้นเขาได้รับชัยชนะ แต่นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็ไม่เคยกลับไปสู่เมืองหลวง เพราะองค์จักรพรรดิ์เห็นว่าชายแดนเป็นสถานที่สำคัญที่ต้องมีผู้รักษาความปลอดภัย จึงมีคำสั่งแต่งตั้งให้เขาประจำการที่ชายแดนตลอดไป เขาและพวกนายทหารของเขาไม่มีโอกาสเหยียบเมืองหลวงหากไม่ได้รับราชโองการจากองค์จักรพรรดิ์
อันที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ต้องการชีวิตที่มั่งคั่งฟุ้งเฟ้อ ถึงแม้ที่ชายแดนจะมีพายุทะเลทรายที่โหมพัดรุนแรงแต่ในสายตาของเขานั้นมันยังดีกว่าต้องเผชิญกับบรรดาคนที่ใส่หน้ากากเข้าหากัน ที่นี่ยังสุขสงบและสร้างความสบายใจ นับตั้งแต่เขาตั้งค่ายทหารที่ชายแดน แคว้นจินเหลียวก็ไม่ล้มเลิกความคิดที่จะก่อสงคราม มีการศึกน้อยใหญ่อยู่เป็นระยะ แต่พวกนั้นก็พ่ายศึกกลับไปทุกครั้ง จนเมื่อสามปีก่อน แคว้นจินเหลียวได้นำกองกำลังทหารเพื่อโจมตีอีกครั้ง นับเป็นโชคดีของเขาที่ประสบการณ์และความชำนาญในการรบทำให้เขาได้รับชัยชนะ
กษัตริย์ของแคว้นจินเหลียวได้สิ้นพระชนม์ในการศึกครั้งนั้น แม้จะไม่ได้สิ้นพระชนม์ในทันที แต่ก็สิ้นพระชนม์ก่อนกลับถึงเมืองหลวง โอรสองค์โตของกษัตริย์แคว้นจินเหลียว หวางเอี๋ยนซูจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ และดูเหมือนแคว้นจินเหลียวก็กลับแข็งแกร่งขึ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อองค์จักรพรรดิ์แคว้นฉีได้รับข่าวชัยชนะในครั้งนี้ ได้ส่งขันทีมาประกาศเลื่อนขั้นตำแหน่งให้กับซูยี และเชื่อว่าสิ่งที่ให้นั้นเพียงพอสำหรับการแสดงความขอบคุณสำหรับความจงรักภักดีของซูยีแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นมาองค์จักรพรรดิ์แคว้นฉีก็ทรงวางพระหฤหัยเพราะคิดว่าภัยชายแดนคงจะไม่มีมาอีกจึงใช้จ่ายเงินทองมากมายเพื่อแสวงหาความสุขให้กับชีวิต
ซูยีทอดถอนหายใจอีกครั้ง เขารู้ดีว่าหวางเอี๋ยนซูนั้นมีความสามารถเหนือกว่าผู้เป็นบิดาที่ล่วงลับ บุคคลผู้นี้แม้จะมีอายุไม่มาก แต่กลับวางแผนได้แยบยลและรอบคอบ อีกฝ่ายได้แต่ส่งคนมาเฝ้ามองดูเขาเป็นเวลาสามปีแต่กลับไม่เคยส่งทหารมาที่ชายแดนแม้แต่คนเดียว ดูไปแล้วคนผู้นี้รับมือยากยิ่ง หากจะเปรียบกับสุนัขป่าทะเลทรายที่มีไหวพริบและความกล้าก็ยังคงไม่อาจเทียบกับกษัตริย์ผู้ครองแคว้นจินเหลียวผู้นี้ได้ แต่องค์จักรพรรดิ์ของเขากลับเป็นตรงข้าม ทั้งโง่เขลาและเกียจคร้าน ไม่ยอมจ่ายเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงให้กับทหาร ซึ่งบั่นทอนกำลังใจของเหล่าทหาร หากมีศึกสงครามเกิดขึ้น แม้เขาจะเชี่ยวชาญในการรบ แต่ก็เกรงว่ายากที่จะกระตุ้นกำลังใจของเหล่าทหารให้ลุกขึ้นมาสู้รบได้
ความสิ้นหวังทำให้สายตาพร่ามัวไม่แจ่มชัดเมื่อมองผ่านเนินทรายที่ฝังโครงกระดูกไร้วิญญาณจากสงคราม หัวใจของเขาโศกเศร้ายิ่งนัก ในฐานะแม่ทัพแล้ว เขาอาจจะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่สามารถปกป้องทหารทุกคนในบังคับบัญชาของตน ดังคำพูดที่ว่า “ชัยชนะของแม่ทัพอยู่บนกองกระดูกนับล้าน” บางทีเขาอาจจะเป็นหนึ่งในกองกระดูกที่ถูกกลบอยู่ใต้ผืนทรายนี้ แต่เขาไม่อาจรู้ได้ว่าภายหลังการตายของเขาแล้ว ผู้คนในแคว้นฉีจะเผชิญเคราะห์กรรมเยี่ยงไร
แม่ทัพซูยีทาบขลุ่ยไม้ไผ่สีดำกับริมฝีปาก ปลดปล่อยอารมณ์ที่มีอยู่ในตอนนี้ไปกับท่วงทำนองเศร้าให้ล่องลอยไปกับสายลม ห่างออกไปไม่ไกลนัก ปรากฏร่างบุรุษหนุ่มบนหลังม้า ทั่วร่างนุ่งห่มด้วยขนสัตว์อย่างดีและประดับกายด้วยเครื่องประดับหยกล้ำค่า ใบหน้าหล่อเหลาคมสันโดดเด่นบุคลิกอันน่าเกรงขามเยี่ยงนี้ทำให้ผู้อื่นไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง หลังจากได้ฟังเพลงที่มีท่วงทำนองเศร้าราวหัวใจสลายที่ล่องลอยมาตามลม ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นประดับด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปาก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ภาษาดีมากค่ะ พ่อหนุ่มปริศนาบนหลังม้านั่นคือหวางเอี๋ยนซูใช่หรือไม่ ซีนปรากฎตัวมีความเป็นพระเอกสูงมาก
ติดตาม เป็นกำลังใจให้คนเเต่งทุกเรื่อง
พึ่งได้เริ่มอ่านเป็นตอนแรก ชอบมาก สำนวนคือดี ปลื้มมม
❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤❤
อ่านยาก ขี้เกียจอ่านเลย