เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ
เจ้าเห็นเขางาม
เจ้าก็ตามเขาไป
เขาทำเจ้ายับ เจ้ากลับมาไย
เขาสิ้นอาลัย เจ้าแล้วหรือเอย
เจ้าของเสียงเอื้อนยาวในลำคอ
ปล่อยให้กระแสเสียงกังวานลอยหายไปตามลม หากแต่ใจก็หวังให้ไปถึงเรือนเล็กที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
มืออวบใหญ่กร้านแกร่งข้างหนึ่งไกวเปลไม้หวาย ภายในเปลเป็นร่างเล็กจ้อยของเด็กหญิงวัยไม่ถึงขวบประแป้งขาวลายพร้อยไปทั้งตัวกำลังนอนหลับปุ๋ย
ส่วนอีกมือที่เหลือก็โบกพัดใบลานกระพือไล่ลมร้อนให้กับเด็กชายวัยหกขวบที่นอนหนุนตัก
ซึ่งบัดนี้ผงกศีรษะขึ้นมามองตาแป๋ว
“ป้าเนียมร้องเพลงอะไร ทำไมถึงไม่ร้องแม่กาเหว่า
กับเจ้าขุนทองล่ะ?”
หญิงวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า
‘ป้าเนียม’ หัวเราะท่าทีของเด็กชายอย่างเอ็นดู
“เพลงนี้ไม่เพราะหรือค้า?”
“เมื่อก่อนป้าเนียมไม่เห็นเคยร้องเพลงนี้เลยนี่นา
แบบนี้ก็ร้องตามไม่ได้สิคับ เจ้าช่อมะกอกอะไรก็ไม่รู้” เด็กชายดาวิชญ์ขมวดคิ้วพึมพำ
“ก็เมื่อก่อนป้ายังไม่เห็นเจ้าช่อมะกอก
เจ้าดอกมะไฟนี่คะ”
“แล้วป้าไปเห็นที่ไหนหรือคับ?”
“แถวนี้แหละค่า”
ป้าเนียมทำหน้าตามีลับลมคมใน
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กชายฉายแววสนเท่ห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามวัย
“แถวนี้น่ะแถวไหนล่ะคับ?”
หญิงร่างอวบชี้ไปทางทิศหลังบ้าน
“เรือนโน้นสิคะ”
“เรือนโน้นก็มีมะกอกกับมะไฟด้วยหรือคับ
ปลูกไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเต้ไม่เคยเห็น?”
ป้าเนียมแค่นหัวเราะอย่างขุ่น
ๆ ก่อนจะชำเลืองหางตาไปยังทิศทางของ ‘เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ’
ตามนัยของท่วงทำนองเพลง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันอยู่ในที
“ไม่ได้ปลูกไว้หรอกค่ะ เขามาของเขาเอง”
จะไม่ให้หล่อนขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน
เคืองทั้งตัวคนหอบผ้าหอบผ่อนมาขออาศัย และก็นึกหมั่นไส้นายหญิงของบ้านที่อ้าแขนรับอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง
แม้ว่าจะอยู่บ้านหลังนี้มานานเท่าอายุตัวเอง แต่ฐานะก็เป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่ง จะออกปากขับไล่คนที่เป็นญาติของเจ้าของบ้านคงเป็นไปไม่ได้
ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟที่เรือนเล็กจะสำนึกในบุญคุณของผู้เป็นน้องสาวและน้องเขยบ้าง
*****
เสียงเพลงกล่อมเด็กที่แว่วมาตามลม
พัดลอยมาถึงเรือนไม้ริมรั้วตามความประสงค์ของเจ้าของเสียง ยังผลให้มือขาวเรียวที่กำลังพับผ้าอ้อมถึงกับสั่นระริก
พร้อมใช้หลังมือปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว
เจ้าช่อมะกอก เจ้าดอกมะไฟ เจ้าเห็นเขางาม เจ้าก็ตามเขาไป
เขาทำเจ้ายับ เจ้ากลับมาไย เขาสิ้นอาลัย เจ้าแล้วหรือเอย
เป็นดังที่บทกลอนนั้นว่าไว้ไม่ผิดทีเดียว เพราะความไม่รู้เดียงสาของหล่อน ทำให้หลงลมปากหนุ่มนักดนตรี
หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามไปในคืนก่อนวันวิวาห์ โดยทิ้งปัญหาให้คนที่อยู่ข้างหลังแก้ไขไปตามมีตามเกิด
คุณป้าผู้อุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะถึงกับตัดญาติขาดมิตร ออกปากไม่ยอมให้ไปเผาผีกันเลย
หล่อนหลงระเริงดื่มด่ำกับความรักด้วยสายตาที่มืดบอด
ไม่รู้เลยว่าน้องสาวของตนถูกบังคับให้เข้าพิธีวิวาห์แทน จวบจนความหวานชื่นจางหายจึงได้ทราบว่าชีวิตไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
*****
“แหมมมมม นังหวัน
งานเต็มไม้เต็มมือก็ไม่คิดจะออกมาช่วยกันบ้างเล๊ย ไม่รู้หรือไงว่าวันนี้เขาวุ่นวายกันขนาดไหน
มาอาศัยเขากินเขาอยู่ยังทำตัวไร้ประโยชน์ ได้แต่ลอยหน้าลอยตา
เอาหน้าเป็นคนโปรดไปวัน ๆ”
เสียงที่แว่วจากเรือนครัวทำให้คนที่นั่งอ่านหนังสืออย่างคร่ำเคร่งต้องเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดความเจ็บที่อยู่ในใจ
ด้วยรู้ดีว่าประโยคดังกล่าวไม่ใช่การต่อว่าสาวใช้หรือคนงานคนใดคนหนึ่ง
แต่มันส่งสารมาถึงเขาโดยเฉพาะ รออีกแค่ปีเดียวถ้าเขาสำเร็จการศึกษา
เขาจะออกไปจากบ้านนี้ทันที
อันที่จริงความคิดนี้มีตั้งแต่เมื่อมารดาของเขายังไม่เสียชีวิตด้วยซ้ำ
เขาทนเห็นผู้เป็นแม่ถูกค่อนแคะจากบรรดาคนในบ้านตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อนายหญิงเจ้าของบ้านซึ่งเป็นน้องสาวของมารดาเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ทุกคนในบ้านต่างก็จับตามองว่าท่านเจ้าของบ้านจะยกพี่ภรรยาซึ่งเคยเป็นคู่หมายกันมาก่อนขึ้นเป็นเมียคนใหม่หรือไม่
ตอนนั้นแม้เขาจะยังเป็นเด็กก็พอจะรู้ดีว่าเจ้าของบ้านนั้นยังมีใจให้กับมารดาของตน
เพราะมาดูแลทุกข์สุขที่เรือนหลังน้อยอยู่เป็นประจำ ความเอาใจใส่นั้นก็ยังเผื่อแผ่มาถึงเขา
เอ็นดูส่งเสียให้ร่ำเรียนในโรงเรียนประจำชั้นดีระดับเดียวกับบุตรสาวของเจ้าของบ้านที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
แต่ก็เหมือนว่าความปรานีที่ได้รับกลับถูกผู้อื่นมองว่ามีเงื่อนงำ
ตอนที่มารดาเขายังมีชีวิตอยู่ก็เสียงกระแนะกระแหนถึงเรื่องชู้สาวระหว่างเจ้าของบ้านกับพี่ภรรยา
ตอนนั้นแม้เขาจะยังเป็นเด็กใช้ชีวิตสนุกสนานตามประสาในโรงเรียนประจำชั้นดีที่ต่างจังหวัด
แต่เมื่อกลับมาที่บ้านช่วงปิดเทอมก็รู้ถึงความขมขื่นที่มารดาได้รับ
“แม่ ทำไมพวกเราไม่ออกไปอยู่ข้างนอก
ทนให้คนพวกนั้นด่าอยู่อย่างนี้เพื่ออะไรครับ”
“เพื่ออนาคตของลูก
ถ้าพวกเราอยู่ที่นี่ ตี๋จะได้เรียนโรงเรียนดี ๆ อยู่ในสังคมที่ดี”
“ตี๋ยอมไปเรียนโรงเรียนวัดก็ได้
ยอมอยู่ที่ไหนก็ได้ แค่ให้แม่สบายใจ”
“แม่อยู่อย่างนี้ก็สบายใจดีแล้ว”
มารดาของเขาพูดทั้งที่สีหน้าอิดโรย แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าผู้เป็นแม่มีปัญหาสุขภาพซึ่งเริ่มแสดงออกให้เห็นชัดมากขึ้นทุกครั้งที่เขาพบหน้า
ได้แต่คิดว่าใบหน้าหม่นหมองนั้นสืบเนื่องมาจากการถูกกดขี่จากคนในบ้าน
จนมารู้อีกครั้งเมื่อมารดามีอาการทรุดหนักจากโรคร้าย และมันก็ได้คร่าชีวิตคนสำคัญที่สุดในชีวิตเขาไป ตอนนั้นเขาเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยเป็นปีแรกจึงคิดจะออกไปจากบ้านนี้
เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะหางานพิเศษทำเพื่อส่งเสียตนเองได้
แต่ท่านเจ้าของบ้านซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าเขยกลับทัดทานไว้
“จะออกไปอยู่ข้างนอกทำไม
ออกไปแล้วจะกินอยู่ยังไง?”
“ผมคิดว่าจะไปแชร์ค่าห้องพักกับเพื่อนแล้วหางานทำพิเศษนอกเวลาเรียนครับ”
“แล้วจะไปทำให้ตัวเองลำบากทำไมกัน”
แม้อยากจะบอกว่าอยู่ข้างนอกถึงจะลำบากกายแต่ก็ไม่เท่าลำบากใจเมื่ออยู่ในบ้านนี้
“แม่ผมก็เสียไปแล้ว
ผมไม่อยากรบกวนคุณน้า”
“ยิ่งเราไม่มีแม่
ฉันก็ต้องดูแลแทนเขา แล้วอีกอย่างฉันเองก็หวังพึ่งพาเราด้วยเหมือนกัน
งานที่บริษัทก็วุ่นวาย ที่บ้านก็มีแต่ผู้หญิง มีเราคอยเป็นหูเป็นตา
ฉันก็จะได้หายห่วง
นี่ก็รอนายเต้ให้กลับมาก็ยังไม่เห็นบอกสักทีว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่อยากจะอยู่บ้านหลังนี้
แม้น้าเขยของเขาจะยินดีให้เขาอาศัยอยู่แต่ทุกคนในบ้านดูเหมือนกลัวว่าเขาจะมาแทนที่บุตรชายเจ้าของบ้านที่ไปเรียนต่างประเทศและไม่ยอมกลับมาหลังจากงานพิธีศพของผู้เป็นแม่
เขายังจำสีหน้ากราดเกรี้ยวอาละวาดพวกเขาสองคนแม่ลูกในวันนั้นได้ดี
แม่ของเขาตื่นแต่เช้าเพื่อทำขนมของโปรดของหลานชายสุดที่รักหลังจากไม่ได้พบกันนับตั้งแต่อีกฝ่ายไปศึกษาต่อที่ต่างแดน
แต่เมื่อแม่ของเขาเดินประคองถาดขนมที่ตั้งใจทำเองกับมือไปให้กลับโดนปัดทิ้งและตวาดซ้ำ
แถมไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ตอนนั้นเขาได้แต่ร้องไห้อยู่ข้างหลังผู้เป็นแม่ที่ฟุบนั่งตัวสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น
“คุณไม่ต้องกลัวเรื่องนั้น
ป้าไม่เคยคิดอะไรกับพ่อของคุณเลย ให้สาบานก็ได้
พวกเราแค่มาพึ่งใบบุญท่านเท่านั้นเอง”
จนถึงตอนนี้เมื่อให้คิดถึงคนคนนั้น
เขากลับมีแต่ความทรงจำอันเลวร้าย
จนเก็บเอาไปฝันถึงว่าถ้าหากว่าในโลกนี้มียักษ์จริง ยักษ์ตนนั้นก็คือคนผู้นั้นนั่นเอง
ดาวิชญ์ในช่วงวัยรุ่นไม่ได้ยั้งคิดใด
ๆ ทั้งนั้น เขาถูกคนเก่าแก่ในบ้านเป่าหูเรื่องชู้สาวระหว่างบิดาของตนกับพี่ภรรยาจนไร้สติ
และยิ่งบิดาของเขากลับเข้าข้างสองคนแม่ลูก
เขาก็บันดาลโทสะสะบัดหน้าจากไปและไม่กลับมาที่บ้านนี้อีกเลย ธนพลรู้เพียงว่าจากกำหนดเดิมที่บุตรชายเจ้าของบ้านจะกลับมาเมื่อสำเร็จการศึกษา
ก็เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้คงจะถึงเวลาแล้ว
เพราะคนทั้งบ้านที่มีทีท่าตื่นเต้นเตรียมตัวมาตลอดสัปดาห์
พอถึงวันนี้ก็ยิ่งทวีความวุ่นวายมากขึ้นเป็นเท่าตัว ธนพลมองเวลาบนนาฬิกาเรือนเก่าที่ประดับอยู่บนผนังบ้าน
เห็นว่าได้เวลาที่จะต้องไปพบกับเจ้าของบ้าน
จึงปิดหนังสือแล้วเดินออกจากเรือนเล็กซึ่งเป็นที่อยู่ของเขานับตั้งแต่ย้ายเข้ามาที่นี่ไปยังเรือนครัวที่อยู่ปีกซ้ายของบ้าน
เห็นป้าเนียมนั่งสั่งการเด็กรับใช้และคนงานไม่หยุดปาก ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหน้าเขา
แล้วหันไปตะโกนใส่เด็กสาวที่กำลังยกถาดขนมจากหน้าเตาไปวางบนโต๊ะ
“แหม...แม่คุณ
กว่าจะมาได้ นี่เป็นลูกจ้างเขานะ ไม่ใช่เจ้าของบ้าน วัน ๆ ก็ดีแต่เสนอหน้า
ระวังตัวให้ดีเถอะ ต่อไปจะไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“โห...ป้า
นี่ฉันทำอะไรผิดอีกล่ะเนี่ย อยู่ดี ๆ ก็ด่ากันซะงั้น”
ธนพลระบายลมหายใจอย่างอึดอัด
รู้ดีว่าป้าเนียมกำลังด่ากระทบเขาอยู่ ชายหนุ่มเห็นความวุ่นวายตรงหน้าจึงเปลี่ยนใจ
แทนที่จะเดินทะลุจากเรือนครัวไปยังตัวบ้านเหมือนทุกวันก็เปลี่ยนทิศทางเป็นเดินเข้าทางหน้าประตูบ้าน
ซึ่งเขาพบภายหลังว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะทันทีที่มือขาวแตะประตูกระจกเลื่อนบานใหญ่
ก็ได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอด หันไปดูก็พบว่าเป็นรถยนต์ของดาวิกาจึงรั้งรอที่จะทักทายตามมารยาท
หากแต่คนที่ก้าวลงมาจากรถกลับไม่ใช่หญิงสาวเจ้าของรถเพียงคนเดียว
เพราะประตูรถด้านคนนั่งถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงที่ก้าวลงจากรถด้วยสีหน้ารื่นรมย์
“ขับเร็วเสียจนพี่นึกว่าเหาะมา”
“ก็อยากให้ถึงบ้านเร็ว
ๆ มีหลายคนรอเจอหน้าพี่เต้อยู่” หญิงสาวใบหน้าสะสวยยิ้มให้พี่ชายจนตาหยี
ก่อนจะพบว่าที่หน้าประตูมีคนผู้หนึ่งยืนเก้ ๆ กัง ๆ
สีหน้าของหญิงสาวจึงเปลี่ยนเป็นนิ่งขึงในทันที
ดาวิชญ์เห็นปฏิกิริยาที่แปรเปลี่ยนไปทันควันจึงหันไปมองตามสายตา
พร้อมกับเอ่ยปากถามน้องสาว “นั่นใคร?”
“คนนั้นไงคะ”
อันที่จริงดาวิชญ์ก็พอจะเดาออกไม่ยาก
เพราะรูปพรรณนั้นประพิมประพายกับผู้เป็นมารดาอยู่ไม่น้อย
และที่น่าเจ็บใจก็คือแม้จะเป็นผู้ชายแต่ใบหน้ากลับเป็นส่วนผสมที่ดึงเอาส่วนที่ดีของแม่และป้าของเขามาจนหมด
มิน่าเล่าถึงได้มีข่าวเรื่องบัดสีนั้นให้ได้ยินตั้งแต่เขายังไม่เหยียบเท้าเข้าสู่ตัวบ้าน
ธนพลยกมือไหว้ตามมารยาท
แต่ที่ได้รับคือแววตาที่แสดงอารมณ์เกลียดชังชัดเจนพร้อมคำพูดทักทายประโยคแรก
“ยังอยู่อีกหรือ?”
เหมือนกลับสู่ฝันร้ายที่เขาพยายามลืมมาตลอด
ยักษ์ในความฝันกลับมาอีกแล้ว คราวนี้มันไม่ได้ทำเสียงดังโวยวายเอ็ดตะโรเหมือนตอนนั้น
แต่ท่าทีที่แสดงออกตอนนี้กลับน่ากลัวกว่าเดิมอีก
เขาได้แต่ก้มหน้าแล้วเลื่อนประตูเปิดเข้าไปในบ้าน แต่พอดีกับใครบางคนที่ก้าวเดินออกมา
ซึ่งเมื่อเห็นเขาก็ยิ้มให้ด้วยความปรานี
“อ้าว ตี๋
มาพอดีเลย น้าว่าจะชวนกันไปรับพี่เต้...”
“โอ๊ย...คุณพ่อ
พี่เขามาถึงบ้านแล้วค่ะ” เสียงหวาน ๆ ของดาวิกาดังขึ้นพร้อมกับร่างบาง ๆ
ก็เดินเข้าไปกระแทกร่างสูงโปร่งที่ยืนเคียงข้างผู้เป็นบิดาให้ถอยออกแล้วเบียดแทรกกลางระหว่างคนทั้งคู่
“หนูไปรับมาเอง”
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเบิกบานแจ่มใสขึ้นมาทันทีเมื่อได้เห็นหน้าบุตรชาย
“ไหนบอกว่าจะกลับมาถึงตอนบ่าย”
“อยากกลับมาให้เร็วขึ้นน่ะครับ”
“แล้วทำไมไม่คิดแบบนี้ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วล่ะ”
คุณเดชาอดที่จะตัดพ้อไม่ได้ “พ่ออุตส่าห์รอแกอยู่ จะได้มาช่วยกันทำงาน”
“แต่ผมก็ได้ข่าวว่าคุณพ่อมีผู้ช่วยที่ดีอยู่แล้วนี่ครับ”
แม้ปากจะตอบผู้เป็นบิดา แต่สายตากลับจ้องจับอยู่ที่ใครบางคนไม่วางตา
ข่าวที่ว่าทำให้เขารู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นคนทั้งคู่อยู่ด้วยกัน
ธนพลเม้มริมฝีปากเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าคนพูดคิดเช่นไร
ทำไมเขาถึงจะไม่เคยได้ยินข่าวลือที่ว่านั้น ทั้งที่สิ่งที่เขาปฏิบัติต่อเจ้าบ้านเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ
หากแต่คนรอบข้างกลับไม่คิดเช่นนั้น
ความเอ็นดูและเอื้ออาทรถูกแปลความไปในนัยยะที่น่าบัดสี
เขาเห็นสายตาที่แสดงความสมเพชที่มองมายังเขาและผู้มีพระคุณ
ข่าวเรื่องนักธุรกิจหนุ่มใหญ่เลี้ยงเด็กหนุ่มไว้ในบ้านเพื่อปรนเปรอสวาทกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนนำมาเป็นประเด็นพูดคุยอย่างออกรส
ยิ่งเมื่อเขาต้องเข้าไปเรียนรู้งานในบริษัทเพื่อแบ่งเบาภาระจากผู้เป็นน้า
การออกงานสังคมร่วมกันในสายตาของคนที่พบเห็นกลับกลายเป็นการเปิดตัวคู่ขาวัยกระเตาะของตาแก่หัวงู
แม้เขาจะทนเรื่องนี้ได้แต่ก็ไม่ต้องการให้แปดเปื้อนถึงชื่อเสียงของผู้มีพระคุณ
“ใกล้จะเที่ยงแล้ว
เดี๋ยวตี๋อยู่กินข้าวด้วยกันเลยนะ”
“ผมนึกว่าจะได้กินข้าวเฉพาะคนในครอบครัว”
คุณเดชามองหน้าบุตรชายเป็นเชิงตำหนิ
“ตี๋เขาก็เป็นคนในครอบครัวของเรา เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องเรานะ”
“อ้อ...ฐานะลูกพี่ลูกน้อง
นึกว่าอย่างอื่น”
มือขาว ๆ
กำแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อ ก่อนจะพยายามฉีกยิ้มให้กับผู้เป็นน้าเขย
“พอดีวันนี้ผมมีธุระกับเพื่อนครับคุณน้า ที่ผมมาก็แค่จะมาจัดยาให้เท่านั้น
ถ้าเสร็จแล้วก็จะออกไปข้างนอกครับ”
“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ขัดล่ะ”
ชายสูงวัยยิ้มอย่างปรานี ก่อนจะหันไปทางบุตรชาย “พ่อโชคดีนะที่มีตี๋คอยเตือน
ไม่งั้นลืมกินยาก่อนอาหารทุกที”
“คอยดูแลดีอย่างนี้นี่เอง มิน่า...”
เจ้าตัวไม่ยอมต่อให้จบประโยค แต่เดินลอยชายเข้าไปในตัวบ้านโดยไม่สนใจสายตาที่ฉายแววผิดหวังของผู้เป็นบิดา
ดาวิกาเห็นดังนั้นก็หมุนตัวเดินตามพี่ชายไปตามประสาน้องสาวที่ติดพี่
“ไม่เป็นไรนะ
สักวันเขาต้องเห็นความดีของตี๋” คุณเดชาตบไหล่ปลอบใจผู้เป็นหลาน “เขาเพิ่งกลับมายังไม่รู้อะไรดีนัก
เออ...พรุ่งนี้น้าว่าจะพาเขาไปดูงานที่สำนักงานใหญ่ แล้วจะให้ตี๋พาพี่เขาไปดูแผนกใหม่ที่เพิ่งเปิดให้เขา
ติดขัดอะไรไหม?”
“พรุ่งนี้เช้าผมมีสอบ
แต่ตอนบ่ายก็ว่างแล้วครับ”
“งั้นก็พอดีกันเลย น้าจะพาเขาไปแนะนำตัวกับพวกผู้บริหารตอนเช้า
งั้นตอนบ่ายตี๋ก็ค่อยพาพี่เขาไปที่แผนก”
ธนพลพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน
แล้วตรงไปที่ห้องทำงานของเจ้าของบ้านเพื่อจัดยารักษาโรคประจำตัวให้กับน้าเขยเหมือนเช่นทุกคราว
แต่ครั้งนี้พอย่างเท้าก้าวเข้าไปในห้องก็พบว่ามีคนนั่งอยู่ในห้องแล้ว
“เข้านอกออกในแบบนี้เป็นปกติเลยรึ?” น้ำเสียงนั้นแม้จะกึ่งพูดคุยแต่ก็แกมเย้ยหยันจนผู้ฟังสังเกตได้
“ผมแค่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเดินไปหยิบถุงยาบนโต๊ะ หากแต่ข้อมือขาวก็ถูกรั้งรวบไว้ด้วยมือใหญ่แข็งแรง
“แน่ใจนะว่าฐานะผู้อาศัย?” นัยน์ตาของคนถามเป็นประกายคล้ายล้อเลียน
“ไม่ใช่ในฐานะอื่น”
ดวงตาคู่สวยจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว “ครับ”
“ควรจะเชื่อไหมนี่?”
“แล้วแต่คุณก็แล้วกัน
ถ้าคุณไม่เชื่อใจผม ก็ควรเชื่อใจพ่อของคุณ”
“กล้าต่อปากต่อคำดีนี่”
“ผมแค่ชี้แจง แต่ถ้าคุณไม่พอใจ ผมก็ขอโทษด้วย”
พูดจบก็พยายามแกะมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ “นี่คุณปล่อยมือผมเสียที”
“ฉันยังคุยไม่จบ”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะคุยแล้ว”
“สงสัยว่าฉันคงจะคุยไม่สนุกเท่าคุณพ่อ
แต่นั่งคุย ยืนคุยก็คงไม่เท่ากับนอนคุย”
เสียงฉาดเมื่อมือบางที่เป็นอิสระอยู่ข้างหนึ่งตวัดใส่ใบหน้าจนทำให้แก้มซีกที่โดนปะทะนั้นเป็นรอยแดง
“นี่มันทุเรศเกินไปแล้ว
เขาเป็นพ่อของคุณ ผมก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณ กรุณาให้เกียรติกันด้วย”
นัยน์ตาของดาวิชญ์วาวโรจน์ “ทำไมฉันต้องให้เกียรติกับคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรอย่างนาย
นายนั่นแหละเป็นคนที่ทำให้พ่อของฉันต้องถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นไอ้เฒ่าหัวงู
ถ้านายบริสุทธิ์ใจจริงก็เฉดหัวออกจากบ้านนี้ไปสิ”
“ผมไปแน่ คุณไม่ต้องมาไล่ ที่ผมอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะสำนึกในบุญคุณของคุณน้า”
“สำนึกบุญคุณ
แต่ทำให้เขาต้องโดนกระแสข่าวลือบ้า ๆ แบบนี้อย่างนั้นหรือ หรือจริง ๆ
แล้วข่าวนี้เป็นนายปล่อยเองเพื่อหวังผล”
ฝ่ามือบางยกขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้กลับโดนรวบไว้ทัน
“ถ้าตบฉันอีกทีเดียว ฉันปล้ำนายแน่ อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อฉันติดใจอะไรนายนักหนา
หรือว่ามีลีลาดี ไหนลองใช้กับฉันหน่อยสิ”
ใบหน้าคมสันยื่นไปจนปลายจมูกแตะกับแก้มขาว
ก่อนที่ริมฝีปากจะกดประทับลงบนกลีบปากสีหวานอย่างจาบจ้วง นัยน์ตาคู่งามเบิกกว้างอย่างตระหนกกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน
“พี่เต้ทำอะไรคะ?”
ดาวิกาเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับสีหน้าตกใจเมื่อเห็นคนทั้งคู่อยู่ด้วยกันในระยะประชิด
“ไม่มีอะไร แค่พูดคุยกันตามประสาคนในครอบครัว”
ดาวิชญ์ปล่อยข้อมือบางพร้อมสายตาคาดโทษ “ใช่ไหม?”
ธนพลเม้มริมฝีปากสะกดโทสะที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้ว
ลูบข้อมือที่ถูกกุมจนเป็นรอยนิ้วอย่างเจ็บใจ ก่อนจะตอบรับเสียงเบา “ครับ”
*****
ชายหนุ่มยังอยู่ในชุดนักศึกษาขณะพาบุตรชายเจ้าของกิจการไปยังแผนกสำรวจตลาดที่เพิ่งเปิดให้บริการทั้งบริษัทในเครือและบริษัทคู่ค้าต่าง
ๆ ธนพลพยายามเดินให้ห่างจากอีกฝ่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขายังจำเรื่องเมื่อวานได้ดี คน ๆ นี้เป็นอันตรายเกินไป
สำหรับคนอื่นอาจจะทำร้ายเขาด้วยวาจา
แต่สำหรับชายคนนี้สามารถทำร้ายเขาทางกายภาพได้ด้วย ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเขาจึงจำเป็นต้องหลบเลี่ยงให้มากที่สุด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสถานการณ์วันนี้คล้ายจะไม่เป็นใจ เมื่อข้อมูลการสำรวจปึกใหญ่ถูกแจ้งว่ามีข้อผิดพลาด
“น่าจะเป็นเด็กที่จ้างมาคีย์ข้อมูลทำพลาด”
พนักงานในแผนกโบ้ยความผิดไปยังพนักงานรายชั่วโมง
ธนพลได้แต่พยักหน้า “ไม่เป็นไร
เดี๋ยวผมตรวจสอบให้”
“มีอะไร?” ดาวิชญ์ถามอย่างสงสัย
“ข้อมูลที่จะประมวลผลแล้วส่งไปให้ลูกค้า
มีข้อผิดพลาด”
ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าหันไปมองพนักงานที่เดินห่างออกไปแล้วพูดเสียงเบา “ที่จริงคนที่วิเคราะห์ต้องตรวจสอบก่อนประมวลผล
ไม่ใช่ว่ามีข้อผิดพลาดแล้วมาทำย้อนหลัง แล้วยังโยนความผิดไปให้คนอื่น
แต่พี่สุธีเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัท เราคงต้องรักษาน้ำใจไว้ก่อน”
ดาวิชญ์พยักหน้ารับรู้
พร้อมกับนึกชื่นชมความละเอียดในการบริหารคนของคนตรงหน้ามิใช่น้อย
เห็นเจ้าตัววางปึกกระดาษบนโต๊ะทำงานแล้วเริ่มปฏิบัติหน้าที่
เขาก็เลยเสไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามพร้อมกับมองดูเสี้ยวหน้าขาว ๆ
ที่กำลังตั้งใจกับงานตรงหน้า แล้วก็ให้ย้อนแย้งในใจ นี่ไม่ใช่การมาทำงานแบบอภิสิทธิ์ชนอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรก
แต่คน ๆ นี้ทำงานอย่างคร่ำเคร่งเหมือนพนักงานดีเด่นที่เอาใจใส่และจริงจังกับงาน
“ที่จริงนายไม่ต้องทุ่มเทขนาดนี้ก็ได้”
“ผมนึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นคำพูดของเจ้าของบริษัท”
ธนพลพูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้าจากงานตรงหน้า
“ฉันก็แค่คิดแทนว่านายไม่จำเป็นต้องทำนั่งทำงานให้เหนื่อยขนาดนี้
ทั้งที่แค่เหนื่อยบนเตียงก็พอแล้ว”
ใบหน้าขาวที่ก้มหน้าอยู่นิ่งไปสักพักคล้ายกำลังสะกดอารมณ์อยู่
“คุณกำลังดูถูกพ่อของคุณอยู่นะ”
“แล้วมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมล่ะ?”
“ถ้าผมบอกว่าไม่จริง
คุณจะเชื่อหรือเปล่า?”
“ไม่เชื่อ”
ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มอย่างระอา
“งั้นก็แล้วแต่คุณจะคิดก็แล้วกัน”
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ธนพลระบายลมหายใจเพื่อรวบรวมสติก่อนจะเริ่มทำงานต่อ
แต่ไม่นานนักคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็เปิดปากอีกครั้ง
“ทำไมถึงติดใจพ่อฉันนัก
ลีลาดีใช่ไหม?”
คราวนี้ธนพลกระแทกดินสอในมือลง
แล้วช้อนตาขึ้นมองอย่างเอาเรื่อง “ถ้าคุณเบื่อกับการนั่งเฉย ๆ ดูผมทำงาน ก็ปล่อยผมตรวจสอบตามลำพัง
ด้านล่างมีร้านกาแฟให้คุณไปนั่งเล่นฆ่าเวลาที่นั่น หรือจะกลับบ้านไปก่อนก็ได้”
ในเมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาสแล้ว
ชายหนุ่มจึงเดินลงไปข้างล่างนั่งปล่อยเวลาที่ร้านกาแฟตามที่บอก
จนห้าโมงเย็นเขาเดินขึ้นไปอีกครั้งก็พบว่างานยังไม่เสร็จ
“คุณกลับไปก่อนเถอะ
ไว้เดี๋ยวผมกลับบ้านเองได้”
ดาวิชญ์ได้แต่ยักไหล่แล้วขับรถกลับบ้านโดยไม่ตอแยอะไรอีก
*****
ชายหนุ่มเอนตัวพิงขอบประตูที่เปิดไปทางระเบียงหลังห้อง
จากทิศทางนี้เขาสามารถเห็นความเป็นไปของเรือนไม้หลังน้อยได้อย่างชัดเจน เขามองนาฬิกาบนข้อมือก็เห็นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษ
แต่ไฟในบ้านยังไม่เปิดแสดงว่ายังไม่กลับจากที่ทำงาน กำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้อง
หางตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าของเรือนกำลังเดินลากขาอย่างอ่อนแรงไปที่ประตูบ้าน
สงสัยคงจะเพลียจากการตรวจสอบตัวเลขปึกใหญ่ เขาอมยิ้มเมื่อเห็นศีรษะทุยที่ก้มลงควานหากุญแจเปิดบ้าน
ทั้งกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเอกสาร เห็นควักล้วงจนวุ่นวาย
และดูท่าว่าอีกฝ่ายจะลืมกุญแจไว้ที่ใดที่หนึ่ง
เขาหลุดหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายเตะประตูบ้านอย่างมีอารมณ์ ท่าทางจะง่วงแล้วพาล
แต่เหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรขึ้นมาได้
เห็นเอามือควานไปที่กระถางต้นไม้หน้าบ้านจากกระถางที่หนึ่ง ไปกระถางที่สอง
จนกระถางที่สามก็หยิบเอากุญแจขึ้นมา
ท่าทางเจ้าตัวจะไม่เคยจำว่าตนเองเก็บกุญแจสำรองไว้ที่ไหน คงจะเปลี่ยนที่เก็บซ่อนไปเรื่อย
ๆ จนลืมเสียเอง
เขามองดูจนเห็นไฟในบ้านหลังน้อยเปิดสว่างจึงเดินกลับเข้าไปยังห้องนอนของตน
แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาคนเดินออกจากบ้านไปยังเรือนเล็ก
ธนพลเปิดประตูต้อนรับน้าเขยอย่างงุนงง
“ครับ?”
“วันนี้พี่เขาเป็นยังไงบ้าง? เห็นมันกลับมาตั้งแต่เย็น”
ชายหนุ่มแอบยิ้มเมื่อเห็นเจ้าของบริษัทมาดสุขุมแสดงความเป็นห่วงบุตรชาย
เหมือนกับแม่ที่เพิ่งส่งลูกไปเข้าเรียนอนุบาลวันแรก
“คุณน้าไม่ต้องห่วงเขาหรอกครับ
ผมว่าคุณดาวิชญ์น่าจะทำงานได้ดีเลยทีเดียว”
“จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงล่ะ ช่วงนี้น้าก็กระเสาะกระแสะเข้าโรงพยาบาลบ่อย
กลัวว่าจะยังไม่ทันสอนงานเขาให้คล่องจะไปเสียก่อน”
“อย่าพูดเรื่องร้าย ๆ อย่างนี้สิครับ
คุณน้ายังแข็งแรงอยู่มาก”
“ตี๋ อย่าทิ้งพี่เขานะ
น้าฝากให้ช่วยดูเขาด้วย”
ธนพลอยากจะหัวเราะกับคำขอนี้
เพราะดูเหมือนว่าเจ้าตัวคนที่ถูกพูดถึงนี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเขาแม้แต่น้อย
เมื่อวานยังเอ่ยปากไล่เขาออกจากบ้านอยู่เลย
“เขาไม่ได้น่าเป็นห่วงขนาดนั้นหรอกครับ
ผมว่าเขาก็มีดีพอตัวอยู่”
“เรื่องบริหารงานไม่เท่าไร แต่เรื่องบริหารคน
บางทีก็ต้องอาศัยคนอย่างตี๋ช่วยดูด้วย”
“ผมก็จะพยายามช่วยให้เต็มที่เท่าที่จะทำได้ครับ”
ชายหนุ่มพยายามให้ความมั่นใจกับผู้เป็นน้า ทั้งคู่พูดคุยกันอยู่พักใหญ่
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องในบริษัทและการเรียนของเขา
“นี่ก็ดึกแล้ว น้าไม่กวนตี๋แล้ว
เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปบริษัทกับพี่เขาแต่เช้าเลยนะ จะได้ไปพบลูกค้าด้วยกัน”
“ครับ” ธนพลรับคำก่อนจะเดินไปส่งถึงหน้าประตูครัวที่อีกฝ่ายใช้เป็นทางเดินออกมา
“คุณน้าก็พักผ่อนให้มาก ๆ นะครับ”
คุณเดชายิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน “ถ้าตี๋เป็นลูกของน้าก็คงจะดีนะ
น้าจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมาก”
ชายหนุ่มได้แต่ก้มหน้าไม่ตอบคำ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาอิจฉาดาวิชญ์และดาวิกาที่มีบิดาที่ประเสริฐ
หากเขาเป็นลูกของคุณเดชาจริง ก็คงจะมีความสุขมากกว่านี้
จนร่างของชายสูงวัยหายลับเข้าไปในบ้าน
เขาจึงเดินกลับไปที่เรือนไม้หลังเล็กของตนอย่างหงอยเหงา
ก้าวเข้าไปในบ้าน มือขาวยังไม่ทันลงกลอนประตู
ร่างสูงของใครบางคนก็กระแทกประตูจนเปิดอ้าแล้วก้าวเข้ามาในบ้านเสียก่อน
ใบหน้าของผู้มาเยือนนั้นถมึงทึงราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน
แต่ไม่เท่ากับสายตาที่กวาดขึ้นลงคล้ายจะสำรวจความผิดปกติบนเรือนร่างอีกฝ่าย
“นี่คุณเข้ามาทำไม?”
“ทำไมฉันจะมาไม่ได้
หรือที่นี่เปิดต้อนรับเฉพาะพ่อฉันเท่านั้น ปากบอกให้ทุกคนเชื่อใจ
แต่ที่จริงก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริง ๆ”
“พูดบ้าอะไรนี่?”
“ฉันเห็นเต็มสองตา
ไม่ต้องมาทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หลักฐานก็เห็นอยู่กับตา” พูดจบดาวิชญ์ก็รวบต้นแขนบอบบางแล้วกระชากเดินไปยังห้องนอน
ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเตียงนอนเรียบตึงไม่มีร่องรอยการใช้งานอย่างที่เขาคาดไว้
“หลักฐานอะไร?”
ธนพลมองหน้าอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง
ชายหนุ่มยังไม่ยอมแพ้หรือจำนนต่อภาพตรงหน้า
“ที่ไหนที่นายพลอดรักกับพ่อของฉัน บนโซฟาหรือริมหน้าต่าง หรือ...”
คราวนี้มือขาว ๆ
นั้นไวพอที่จะสร้างรอยแดงบนแก้มอีกฝ่าย
“ครั้งที่สองแล้วนะที่นายตบฉัน
จำได้ไหมว่าฉันเคยพูดว่าอะไร”
*****
ธนพลไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายนี้จะต้องเกิดขึ้นกับตน
นับตั้งแต่ถูกผลักลงบนเตียงนอน และโดนโถมทับด้วยร่างสูง เขาพยายามดิ้นรนผลักไสเพื่อเอาตัวรอดด้วยกำลังและเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
ดาวิชญ์หยุดการดิ้นรนของอีกฝ่ายด้วยการจับมือทั้งสองข้างแนบกับฟูกนุ่ม
พร้อมกับทิ้งน้ำหนักตัวเพื่อกดทับไม่ให้ขยับหนี สายตาฉายแววคุกคาม
“ลองสาธิตวิธีทดแทนพระคุณพ่อของฉัน
ให้ดูสักหน่อยสิ”
“คุณเป็นบ้าไปแล้ว
ผมไม่เคย...”
ริมฝีปากร้อนฉกชิมลิ้มรสริมฝีปากบางได้รูปอย่างกระหาย
คำพูดที่ธนพลคิดจะพูดแก้ต่างก็พลันหายลงไปในลำคอได้ยินเพียงเสียงอึกอัก
เรียวลิ้นของผู้รุกรานไล่รุกจนเข้าถึงโพรงปากหวานล้ำอย่างย่ามใจ
จนกระทั่งริมฝีปากได้รูปเผยอขึ้นเล็กน้อย ฟันคมพยายามงับปลายลิ้นคล้ายกับจะดิ้นรนต่อต้านเป็นเฮือกสุดท้าย
แต่ดูเหมือนดาวิชญ์จะรู้ทัน มือหนาบีบขากรรไกรอีกฝ่ายไว้
“ฤทธิ์มากจริงนะ”
ธนพลเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวเมื่อมือแข็งแรงกระชากเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวบางจนเผยเห็นผิวเนื้อขาวผ่อง
พร้อมกับดึงเข็มขัดและรูดซิปกางเกงแล้วรูดมันให้หลุดไปจากปลายเท้า
ชายหนุ่มมองผลงานตรงหน้าอย่างสับสนวุ่นวายใจ เขาไม่เคยคิดว่าร่างกายของผู้ชายจะสร้างความกระสันรัญจวนให้กับเขาได้ถึงขนาดนี้
อีกฝ่ายคล้ายสัตว์เล็กที่ได้รับบาดเจ็บ ร่างบางสั่นระริกพยายามห่อตัวให้เล็กที่สุดเพื่อปกปิดเรือนร่างที่เปลือยเปล่าจากสายตาของผู้ล่า
“มิน่า พ่อของฉันถึงได้ติดใจนายนัก เพราะสวยถึงขนาดนี้เอง”
หากชายหนุ่มมีสติยั้งคิดมากกว่านี้ก็ควรจะสังเกตได้ว่าร่างงามตรงหน้านั้นปราศจากร่อยรอยใด
ๆ ที่แสดงถึงการถูกจับจองมาก่อนหน้านี้ แต่ด้วยโทสะที่ปิดหูปิดตา
ปิดกั้นความคิดอ่านใด ๆ ทำให้เหตุผลต่าง ๆ เป็นอันถูกปัดตกทิ้งไปจนหมดสิ้นเหลือไว้แต่สายตาที่มุ่งหวังจะทำให้คนตรงหน้าเจ็บปวดและเจ็บจำไปจนตาย
ธนพลดิ้นรนทั้งที่โอกาสที่จะรอดจากการถูกขืนใจเป็นศูนย์ เขาเคยฝันถึงยักษ์ชั่วร้ายที่เกรี้ยวกราด
มันด่าทอขู่ตะคอกจนเขาร้องไห้ทั้งที่ยังหลับอยู่ แต่ในความเป็นจริงนั้น
ยักษ์ตนนั้นร้ายกาจกว่านั้นมากมายนัก
ไม่ว่าเขาจะกรีดร้องดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากสัมผัสที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายเพียงใด
ก็ไม่มีทางที่จะหยุดการกระทำอันโหดร้ายนี้ไปได้
ฝ่ามือร้อนลูบไล้ทุกส่วนสัดบนร่างเปลือยเท่าที่จะทำได้ ทุกสัมผัสคล้ายมีกระแสไฟฟ้าอ่อน
ๆ จนรู้สึกร้อนรุ่มหวาบหวาม
กระตุ้นสัญชาติญาณดิบให้ประทุขึ้นจนไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มทำตามที่อารมณ์สั่งการให้บดเบียดและสอดแทรก
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากผู้ที่ถูกกระทำพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้าด้วยความเจ็บ
เจ็บทั้งตัวและใจ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ถูกย่ำยีจนไม่เหลืออะไรแล้ว
“นี่
นายยังไม่เคย...” แม้จะไม่ได้พูดออกมาจนจบประโยค
แต่สีหน้าและแววตาก็แสดงความประหลาดใจเมื่อพบความจริงบางอย่าง
“ปล่อย...” กระบอกตาร้อนผ่าวด้วยน้ำตาที่กำลังเอ่อท่วมท้น
ก่อนจะกดมันให้ไหลย้อนกลับไปกลายเป็นก้อนสะอื้นที่จุกจนแทบหายใจไม่ออก “เอาออกไป”
อันที่จริงเขาควรจะหยุดเมื่อรับรู้ความจริงว่าข่าวที่ว่านั้นไม่มีมูลเลยแม้แต่น้อย
คนที่อยู่ใต้ร่างของเขาในตอนนี้ไร้ซึ่งประสบการณ์ทางเพศใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่ทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดที่เขาย้อนกลับไม่ได้แล้ว สัญชาติญาณทางเพศกระตุ้นให้เขายังคงปฏิบัติกิจอย่างต่อเนื่องสอดประสานอย่างแนบแน่นและสัมผัสทุกจุดภายในเรือนร่างงดงาม
เขากลายเป็นคนที่เลวทรามและต่ำช้าลามกที่พยายามดึงเวลาให้ความสุขนั้นยาวนานกว่าจะถึงบทสุดท้าย
โดยไม่ฟังเสียงอ้อนวอนให้หยุดการกระทำที่แสนโหดร้ายนี้ แม้จะไม่คิดยอมรับ
แต่ความสุขสมที่บังเกิดขึ้นทำให้เขาทั้งติดใจและหลงใหลจนแทบไม่อยากห่างจากเรือนกายหอมกรุ่น
ดังนั้นแม้เมื่อพายุแห่งอารมณ์ใคร่พัดผ่านไปแล้ว
แต่เขาก็ยังคงวนเวียนประทับจูบไปทั่วใบหน้างดงามและร่างขาวเนียน
“ขอโทษที่เข้าใจผิด”
ชายหนุ่มพูดอย่างสำนึก “นายไม่เคยมีอะไรกับพ่อของฉัน”
สิ่งที่สูญเสียให้กับคนตรงหน้าแลกกับการแก้ไขความเข้าใจจากผิดเป็นถูก
แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกด้อยค่า เพียงเพราะเขาเป็นเด็กกำพร้า ตัวคนเดียว ไม่มีทางไป
จนต้องโดนรังแกแบบนี้อย่างนั้นหรือ ความเจ็บช้ำที่ถูกกระทำมาจนถึงตอนนี้ไม่สามารถเทียบเท่าความรู้สึกตอนนี้ได้เลย
มันเลวร้ายจนเกินกว่าจะทำใจได้ ดวงตาคู่งามแดงระเรื่อ
น้ำตาที่พยายามกลั้นก็พลันเอ่อล้น เจ้าตัวรีบยกหลังมือขึ้นปาดทิ้งทันทีเพราะไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นความอ่อนแอ
*****
หญิงสูงวัยเขม้นมองร่างสูงที่เดินมาจากทางเรือนเล็กด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเช้าขนาดนี้ไม่สมควรที่ชายหนุ่มจะออกมาจากบ้านหลังนั้น แถมใบหน้ายิ้มกริ่มคล้ายอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“คุณเต้ตื่นแต่เช้าเลยนะคะ”
แม่บ้านวัยดึกเอ่ยทักทาย
“ป้าเนียม ผมวานทำข้าวต้มให้สักถ้วยสิ”
“เตรียมไว้แล้วค่ะ
จะให้ตั้งสำรับเลยไหมคะ”
“ไม่ต้อง ยกมาให้ผมตอนนี้แหละ”
“คุณจะเอาไปไหนหรือคะ
เดี๋ยวให้เด็กยกไปตั้งให้”
“ไม่เป็นไร” บางครั้งดาวิชญ์ก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกันที่บ้านของเขามีสายตาที่คอยจับจ้องมากมายขนาดนี้
เมื่อรับถาดข้าวต้มจากพี่เลี้ยงสูงวัย
เขาก็เดินกลับไปยังเรือนเล็กอีกครั้ง ชายหนุ่มค่อย ๆ วางถาดข้าวต้มบนโต๊ะแล้วพยายามเดินให้เกิดเสียงน้อยที่สุดเข้าไปในห้องนอน
ร่างที่ห่อด้วยผ้าห่มนั้นแทบจะไม่เห็นใบหน้า
“พี่ให้คนทำข้าวต้มมาให้” เขากระซิบผ่านผ้าห่มด้วยสรรพนามที่เปลี่ยนไป
ไม่มีเสียงขานรับใด ๆ
จากบุคคลที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
เขาระบายลมหายใจอย่างหนักอก
ทั้งที่ก่อนหน้าเป็นคนที่ชอบต่อปากต่อคำกับเขา แต่เมื่อผ่านเรื่องเมื่อคืนไปแล้ว
ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้ยินเสียงใด ๆ จากอีกฝ่ายแม้แต่คำเดียว
“ตี๋ครับ พี่ขอโทษ ให้โอกาสแก้ตัวสักครั้งไม่ได้เลยหรือครับ
รับรองว่าต่อจากนี้พี่จะไม่ทำให้เสียใจอีกเลย”
คราวนี้มีเสียงฟึดฟัดผ่านผ้าห่ม
“พูดว่าอะไรนะครับ”
เจ้าตัวยื่นหน้าไปจนชิด แอบสูดกลิ่นหอมที่ติดตามผ้าห่มอย่างอารมณ์ดี
“ไปไกล ๆ เลยไป” เสียงนั้นอู้อี้
แต่ชายหนุ่มกลับดีใจที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละครับ
จะอยู่กับเมียนี่แหละ”
เสียงคำรามในลำคอดังอยู่ใต้ผ้าห่ม
“ไอ้บ้า”
*****
“เดี๋ยวให้ใครไปดูที่เรือนเล็กสักหน่อยนะ
พ่อบอกตี๋เขาแล้วว่าให้ไปที่บริษัทตอนเช้าพร้อมกัน แต่นี่ยังไม่เห็นหน้าเขาเลย
ปกติไม่ใช่คนเหลวไหล” คุณเดชาขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นผู้เป็นหลานชาย
“คุณพ่อครับ
สองสามวันนี้ผมไม่เข้าบริษัทได้ไหมครับ” เขารีบขออนุญาตผู้เป็นบิดา
นึกห่วงคนที่นอนอยู่บนเรือนหลังเล็กจนไม่มีแก่ใจจะทำอะไร ถ้าเจ็บจนลุกไม่ไหวล่ะ นึกถึงตอนนี้ก็ได้แต่โทษตัวเองที่ทำรุนแรงขนาดนั้น
“ไหนบอกว่าวันนี้จะลองไปคุยกับลูกค้า
พ่อนัดให้ตี๋ไปกับเราด้วยนะ”
“เขาอาจจะไม่สบาย...” พูดไม่ทันขาดคำ คนที่ถูกเอ่ยถึงก็เดินมาพอดี
ดาวิชญ์รีบเดินไปประกบด้วยความเป็นห่วง “เป็นยังไงบ้าง?”
เหมือนไม่สนใจและไม่ได้ยินคำถาม
เจ้าตัวยกมือไหว้ผู้เป็นน้าเขยอย่างนอบน้อม “ขอโทษที่มาสายครับ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าเราซีด ๆ นะ”
“ไม่เป็นอะไรครับ”
ชายหนุ่มปฏิเสธทั้งที่ปวดร้าวไปทั้งร่าง
รถตู้ที่ตกแต่งหรูหราของบริษัทเข้ามาเทียบจอด
ธนพลเม้มริมฝีปากอย่างชั่งใจเมื่อเปิดประตูด้านคนขับ ระยะความสูงทำให้เจ้าตัวแทบจะร้องไห้ยามที่ต้องยกขาสูง
มือใหญ่กระหวัดเอวบางแล้วหันไปบอกบุพการีหน้าตาเฉย
“คุณพ่อไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวตี๋ไปกับผม”
“อ้าว...ทำไมล่ะ?”
“ก็เดี๋ยวผมต้องไปพบลูกค้า
ผมว่าขับรถไปเองดีกว่าครับ”
“งั้นก็ตามใจ ตี๋ช่วยพี่เขาหน่อยนะ”
“ผมไปกับคุณน้า...” ยังพูดไม่ทันจบ
ดาวิชญ์ก็รีบเลื่อนประตูปิดตัดบทสนทนาไปเสียก่อน
“ไปกับพี่นะ” น้ำเสียงนั้นอ่อนโยนก่อนจะดันแผ่นหลังบางให้เดินไปยังลานจอดรถยนต์ของครอบครัวช้า
ๆ “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
ริมฝีปากบางเม้มสนิทไม่โต้ตอบใด ๆ ระหว่างทางแม้คนขับจะพยายามชวนพูดคุย
แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากผู้ฟัง แต่ดูเหมือนเจ้าตัวนั้นไม่ยอมคุยกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพราะยามที่ต้องไปพบกับลูกค้าหรือคนอื่นก็พูดจาเป็นปกติ
หลังจากที่จบการขายจากลูกค้าสำคัญระหว่างมื้ออาหารกลางวัน จนลูกค้าล่ำลากลับไปแล้ว
ทั้งคู่ก็ยังคงนั่งอยู่ในร้านอาหาร
“พรุ่งนี้ผมจะออกไปอยู่ข้างนอก”
ประโยคแรกที่คุยกลับทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้ง
“ว่ายังไงนะ?”
“ผมคุยกับเพื่อนแล้วว่าจะขอไปอยู่หอด้วย”
“ไม่อนุญาต”
“ผมไม่ได้ขออนุญาตคุณ
แต่บอกให้รับรู้ไว้เท่านั้น”
“ทำไมต้องทำแบบนี้”
“คุณไม่อยากให้ผมอยู่ที่บ้านนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“นั่นมันก่อนที่พี่จะรู้ว่านายไม่ได้มีอะไรกับพ่อ”
“แต่ผมมาคิดดูแล้วว่า ที่คุณพูดก็จริง
ถ้าผมยังอยู่ใกล้ชิดกับคุณน้า ข่าวบ้า ๆ นั่นก็ไม่มีวันหมดไป”
“พี่ไม่ให้นายไปอยู่ไหนทั้งนั้น
ต้องอยู่กับพี่เท่านั้น” น้ำเสียงคล้ายกับเด็กที่เอาแต่ใจ ทำให้ธนพลต้องขมวดคิ้ว
“เป็นบ้าอะไรห๊ะ”
ดาวิชญ์รู้สึกอยากกอดร่างบาง ๆ
ตรงหน้าแทบใจจะขาด ร่างกายของเขาก็ทำตามที่คิดทันควัน วงแขนแข็งแรงกระชับร่างที่นั่งข้างเขามาอยู่ในอ้อมกอด
ใบหน้าคร้ามก้มลงฝังใบหน้าลงที่แก้มเนียนสูดดมกลิ่นกายหอมหวาน
ชายหนุ่มที่ถูกกอดรีบดันร่างอีกฝ่ายออกห่าง
“อยากเป็นข่าวมากหรือไง?”
ธนพลตวาดใส่ชายหนุ่มอย่างฉุนเฉียว พร้อมเหลือบตามองไปรอบ ๆ
ร้านอาหารชื่อดังแบบนี้อาจจะมีพวกฆ้องปากแตกมาเห็นพวกเขาก็เป็นได้
“ใช่...เป็นข่าวได้ก็ดี จะได้กลบข่าวเรื่องพ่อกับนาย
พี่ทนไม่ได้หรอกที่คนเขาลือว่าเมียตัวเองมีอะไรกับคนอื่น”
ใบหน้าขาวขึ้นสีเรื่อด้วยความโกรธและอายเมื่อได้ยินสถานะใหม่ของตนกับอีกฝ่าย
“ใครเป็น....อะไรกับคุณ”
“ก็นายไงเป็น...” ยังพูดไม่จบ
มือบางก็รีบยกขึ้นปิดปากไว้ก่อน
“ห้ามพูด”
ริมฝีปากที่ถูกปิดอยู่ใต้ฝ่ามือบางแอบเหยียดยิ้มอย่างเอ็นดู
“เถอะน่า...ให้เขาป่าวประกาศข่าวลือกันใหม่ดีกว่า”
อ่านมะไฟแล้วพึ่งมาได้อ่านมะกอก กระแทกกระทั้นหัวใจมาก ชอบฟิคตี๋อยู่แล้ว แล้วยิ่งน้องถูกกระทำให้น่าสงสารเยอะๆแล้วมันอินอะ สงสารนะแต่ชอบอะ เแง ราโรคจิตไหม 😂
ไม่นะ จะจบแค่นี้จริงๆเหรอ กำลังสนุกเลยอ่ะ กลับมาได้ไหม กลับมาต่อเถอะนะไรท์ Please..