ตอนที่ 9 : ปอบปรสิต (๑)
“เจ้าอย่ามาหลอกให้ข้าดีใจน่า แม้แต่ชื่อโรคเจ้ายังไม่รู้จักเจ้าจะรู้จักวิธีรักษาได้ยังไง”
“ใช่ท่านลุง ข้าไม่รู้จักโรคปานพิษดำจริงๆ เพียงแต่ว่าข้าอาจรู้จักมันในชื่ออื่น” สิงยิ้ม เขาถูไม้ถูมือเบาๆ ขณะมองไปยังเด็กน้อย “นางชื่ออะไร”
“นางชื่อกลิ่นหอม”
“อืม ข้าขอคุยกับนางหน่อยได้หรือไม่ขอรับ” สิงถาม ดวงตาของเขามั่นคงและมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก ชายชราไม่รอช้ารีบเรียกกลิ่นหอมเข้ามาหาทันที เด็กน้อยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เดินเข้ามามองทั้งสองอย่างแปลกใจ
“เด็กน้อย ข้าขอดูปานดำของเจ้าหน่อย” ถึงแม้จะกล่าวกับเด็กสาวแต่ดวงตาของเขากลับจ้องยังพื้นที่ว่างเปล่าที่หลังเปลวไฟ ร่างของผู้หญิงสีดำสนิทกำลังจ้องมองสิงด้วยความวิตกกังวล ยิ่งเมื่อเธอมั่นใจแล้วว่าสิงสามารถมองเห็นเธอได้ ดวงตาของมันกลับขาวโพลน ใบหน้าจากไม่อาจมองเห็นชัดกลับปรากฏชัดตาขึ้น ใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความขาวซีดไร้ซึ่งเลือด กลับรอยปูดสีดำดูสยดสยอง แต่สำหรับสิงนั้น เขาเพียงยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น
“นี่เจ้าค่ะ” เด็กน้อยเปิดปานดำบริเวณท้องขึ้นมาพร้อมทั้งกล่าวเรียกเขาถึงได้หันมาสนใจ รอยปานดำขยายออกมากว้างเท่าฝ่ามือแล้ว
“ช่วงนี้เจ้าหิวจนผิดปรกติใช่ไหม” สิงถาม เด็กน้อยพยักหน้ารับ “ต่อให้เจ้ากินไปมากเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกอิ่ม?” สิงถามต่อ เด็กสาวก็ขานรับ
“ตอนนอนเคยตกใจตื่นตอนกลางคืนแต่ไม่อาจขยับตัวได้ด้วยใช่ไหม”
“ท่านรู้ได้ยังไงกัน” เด็กน้อยแปลกใจ ตั้งแต่ปานดำนี้เกิดขึ้นมาเด็กสาวสะดุ้งตื่นตอนกลางคืนบ่อยๆ แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับได้จนเธอคิดว่าตัวเองฝันอยู่จึงได้หลับไป
“เจ้าฝันเห็นอะไรแปลกๆ เอ่อ...อย่างเช่นมีคนมาเรียกเจ้า?” สิงกล่าวยิ้มๆ แต่เด็กน้อยกลับสลายรอยยิ้มไปแล้ว เธอจ้องมองสิงอย่างไม่อยากจะเชื่อพร้อมทั้งพยักหน้าแรงๆ สองสามครั้ง คนที่แปลกใจมากกว่าคือปู่ของเธอ ทุกอย่างที่สิงกล่าวเขาไม่รู้มาก่อน เขารู้เพียงเด็กสาวร่าเริงดีและสุขภาพดี ด้วยความคิดที่ว่ากินอาหารได้เยอะเท่ากับสุขภาพแข็งแรงดี
“ข้าขอแตะเจ้าหน่อยได้หรือไม่” สิงถามเด็กน้อยแต่เด็กน้อยกลับหันไปมองปู่ของเธอ เมื่อเห็นว่าปู่พยักหน้าสิงจึงค่อยๆ แตะลงไป เขาใช้นิ้วโป้งลูบไปยังปานสีดำก่อนที่จะกล่าวเบาๆ “โอ้ โชคยังดีที่ยังทัน”
“เจ้ารักษาได้หรือไม่” ทิตรีบถาม สิงพยักหน้าตอบทันที “ที่นี่อาจเรียกว่าโรคปานพิษแต่ข้ารู้จักมันในชื่อปอบปรสิต”
“ปอบปรสิต”
“ใช่ ปอบประเภทปรสิต มันจะเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวของเหยื่อแล้วกัดกินพลังของผู้ที่มันอาศัยร่างจนเขาคนนั้นตกตายไปแล้วค่อยค้นหาร่างใหม่” สิงกล่าว แต่เมื่อเด็กสาวได้ยินคำว่าตาย เข่าของเธอไม่อาจรักษาการทรงตัวได้อีก เด็กน้อยล้มลงก้นจ้ำเบ้าโดยทันที
“หนูกำลังจะตายงั้นเหรอ” น้ำใสๆ ค่อยๆ ไหลออกจากตา สิงคุกเข่าลงข้างหนึ่งยกมือลูบไปยังศีรษะของเธอพร้อมทั้งกล่าวด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องห่วง พี่มาแล้วหนูไม่ตายหรอก” เมื่อกล่าวจบเขาหันไปมองยังร่างที่อยู่หลังกองไฟอีกครั้ง แต่มันกลับหายไปแล้ว
“ท่านลุง ของๆข้าอยู่ที่ไหน สงสัยข้าต้องรีบรักษาเธอด่วนที่สุด”
“ของ ของอะไร อ่อ อ่อ อยู่ภายในบ้าน” ทิตกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าโรคที่ทำให้ตัวเขาเป็นทุกข์มาตลอดกลับได้พบกับหมอบ้านไร้ชื่อที่สามารถรักษามันได้
“เจ้าลุกไหวไหม ถ้าไม่ไหวข้าจะอุ้มเจ้าเข้าไป”
“ได้เจ้าค่ะ พี่ชาย” เด็กน้อยรีบกล่าว เธอลุกขึ้นอย่างลำบาก ขาของเธอยังสั่นไม่หาย
“เจ้าเข้าไปถึงนั่งขัดสมาธิอยู่เฉยๆ ล่ะ เดี๋ยวข้าเตรียมของเสร็จจะตามเข้าไป” เมื่อสิงพูดจบ เด็กสาวรีบพยักหน้าแล้วเดินเข้าไป เขาหันมามองชายชราอีกครั้ง ทิตเองก็มองสิงอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้า..ไม่ซิ ท่านหมอ ท่านรักษาได้จริงๆ?”
“ใช่ ข้ารักษาได้แน่นอน เพียงแต่ว่าท่านอาจต้องช่วยข้าเล็กน้อย”
“ได้ ถ้าหากรักษานางได้ จะให้ข้าบุกน้ำลุยไฟยังไงขอเพียงท่านสั่งข้ามาคำเดียว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก ข้าอยากจะถามเพียงว่าที่นี่มีป่าช้าไหมขอรับท่านลุง” สิงจำได้ว่าในยุคนี้แต่ละหมู่บ้านจะมีป่าช้าเป็นของตัวเอง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นสถานที่ของคนสูงศักดิ์ คนธรรมดามักทำการเผาให้จบๆไป เพราะไม่มีความสำคัญอะไร อีกอย่างพวกเขาไม่มีเม็ดเงินในการบำรุงรักษาสุสานอีกด้วย
“มีขอรับท่านหมอ ที่ท้ายหมู่บ้านมีป่าช้าของตระกูลพ่อค้าใหญ่อยู่ขอรับ”
“งั้นก็ดี ข้าจะได้ไม่ลำบากมากเกินไป” สิงถอนหายใจ เขาพึ่งรวบรวมพลังวิญญาณได้เล็กน้อย ก็มีเรื่องให้ใช้งานอีกแล้ว สงสัยคงได้กลับไปกรรมฐานอีกพักใหญ่เลยจริงๆ สิงคิด ก่อนจะกล่าวออกไป “ข้าขอรบกวนท่านลุงไปนำดินของที่นั่นมาให้หน่อยได้ไหมขอรับ ยิ่งเป็นดินที่ฝั่งศพของผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริเวณนี้ยิ่งดี ถ้าท่านไม่ทราบว่าจะตัดสินใจว่าใครดีกว่าหรือไม่ดียังไง นำพวกมันมาจากทุกหลุม หลุมละหนึ่งกำมือก็ได้”
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย” ทิตตกปากรับคำแล้วถือท่อนฟืนที่ยังติดไฟอยู่วิ่งออกไปทันที
สิงเองก็เดินเข้าบ้านไป เมื่อเห็นร่างของเด็กน้อยนั่งอยู่เฉยๆ ตามคำบอกเขาก็แย้มยิ้มออกมา ร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอหันมามองตามเขาทุกการกระทำอย่างระแวดระวัง สิงเองก็เดินผ่านมันไปอย่างไม่ได้สนใจ ปอบประเภทปรสิตนั้นยากแก่การขับไล่ แต่กลับไม่ส่งผลอันตรายใดๆต่อผู้อื่น มันจะส่งผลเฉพาะกับเจ้าของร่างเท่านั้น
เขาเดินค้นหาย่ามของตัวเองจนพบ สิงไม่รอช้านำย่ามกลับไปยังข้างกองไฟทันที เขาหยิบกะลามะพร้าวตักน้ำแล้วตั้งเอาไว้ ก่อนที่จะเปิดย่ามหยิบเทียนออกมาจุดกับไฟแล้วพนมมือบริกรรมคาถา “ข้าขอบูชาต่อเทพอสุราผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีรูปกายงามสง่า ยิ่งใหญ่ประดุจจักรวาล กลืนกินแสงจนเป็นนิจ เพื่อขับไล่ปัดเป่าวิญญาชั้นต่ำให้พ้นไป แลปกปักผู้ศรัทธา ขอองค์อสุราเทพท่านตอบรับแลมอบพลังแก่ผู้ศรัทธา...” สิงยังคงบริกรรมคาถาไปเรื่อยๆ คาถาบูชาเทพเป็นหนึ่งในช่องทางของการหยิบยืมพลังจากเทพมาใช้ ทุกหยดของเทียนคือพลังวิญญาณที่ถูกผสมลงไป ยิ่งเขาท่องคาถามากเท่าไหร่น้ำมนต์ที่ปลุกเสกยิ่งมีผลมากยิ่งขึ้น โชคดีที่กลิ่นหอมเป็นเด็กสาวตัวน้อย หากเปลี่ยนจากเด็กสาวเป็นชายหนุ่มเขาคงลำบากมากกว่านี้
หลังจากเทียนละลายจนถึงครึ่งแท่งแสงไฟก็ดับลง ในเวลานั้นเองที่ทิตวิ่งกลับมาพอดี เสียงหอบหายใจของเขาดังมาแต่ไกล บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าชายชราเร่งรีบมากแค่ไหน เสื้อของเขาถูกถอดออกมาเพื่อใช้หอบเอาดินจำนวนเท่าลูกมะพร้าวมาให้กับสิง สิงเองก็ไม่ทักมากความ เขาหยิบเอาดินป่าช้ามาหนึ่งกำมือปั้นเป็นรูปคน น่าประหลาดตรงที่ดินที่เหมือนจะร่วนซุยกลับเกาะติดกันเหมือนดินเหนียวชุ่มน้ำ
“เอาล่ะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว เราไปทำพิธีกันเถอะ” สิ่งกล่าว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สนุกมากคะรอตอนต่อไป