ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ครั้งแรก....กับการตัดสินใจ
เรื่องที่รับรู้ทำให้ศุภลักษณาไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้  เอาแต่ครุ่นคิดว่า
“ ทำยังงัยถึงจะช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ”
หญิงสาวผมหยักศกในชุดนอนสีฟ้าอ่อน ระบายขอบลูกไม้สีขาวลุกจากเตียงไปนั่งที่หน้ากระจก
ทำน่าตาทะเล้นมองหน้าตัวเองในกระจก  ก่อนถอนหายใจเบาๆ
“ น้ำหน้าอย่างฉันเนี่ยนะ จะยุติศึกคราวนี้ได้  ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง ”
แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรถึงอะไรบางอย่าง  ดวงตากลมโตใสเป็นประกายขึ้น รับกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
“ ผู้หญิง........ผู้หญิงเหรอ  ทำไมเราไม่ใช้ความเป็นผู้หญิงให้เป็นประโยชน์ล่ะ  ผู้ชายทุกคนก็ต้องชอบมองของสวยงามเป็นธรรมดา 
ยิ่งถ้าเอาผู้หญิงที่ใครๆก็หมายปอง แล้วเป็นถึงพระราชธิดา มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันไปให้ถึงที่แล้วล่ะก็ มีเหรอว่าจะปฏิเสธ ”
หญิงสาวฉีกยิ้มให้กับตัวเอง  แว้บแรกเกิดความรู้สึกดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก
แต่เมื่อหันไปมองกระจก  ความรู้สึกหนึ่งก็ขัดขึ้นมาว่า
“ แต่หน้าตาฉันก็ได้แค่เนี้ย  ไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย  ไม่ได้งามหยดย้อยขนาดที่ว่า
ใครเห็นต้องตกหลุมรัก  แล้วเราจะเอายังงัยดีน้า........เออ....”
ความคิดของศุภลักษณาในขณะนั้น ช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง แม้นางจะไม่ใช่ผู้หญิงที่งาม
หยดย้อย ราวกับนางอัปสรสวรรค์  แต่ดวงตากลมโตสุกสว่าง ลับกับริมฝีปากเรียวงาม ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม
และผิวขาวผ่องผุดพรรณทำให้ใบหน้าของนางราวกับตุ๊กตานั้น ชวนให้ใครต่อใครต้องหยุดสายตามอง
ยิ่งถ้าใครได้รู้จักนิสัยของนางแล้วล่ะก็  คงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า นางเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และน่ารักมากคนหนึ่ง
ต่างจากหญิงงามทั่วไปตรงที่อยู่ด้วยนานเท่าไหร่ก็ไม่รำคาญ  มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มขมวดคิ้วเข้าหากัน ชั่วครู่ก่อน ค่อยๆคลายออก
“ เราก็ยังไม่ต้องให้พระองค์เห็นหน้ายังงัยล่ะ”
แวบแรกอีกแล้วเธอรู้สึกดีใจที่คิดได้  แต่ความดีใจนั้นก็เหมือนสายลมที่โชยมาแล้วก็โชยไปอย่างไม่มีวันกลับ  เกิดความเศร้าใจ
ขึ้นแทนที่และคงอยู่อย่างมิอาจจะลืมเลือนได้
“ นั่นก็ย่อมหมายความว่า  ฉันต้องยอมเป็นชายาของใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์ว่า เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด และ กระหายสงคราม  ”
“ ชีวิตการแต่งงานที่ถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง  ที่ฉันเคยคาดหวังเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆว่าจะต้องสวยหรู ได้คนที่เรารัก และรักเราเป็นคู่ชีวิต นั้น  บัดนี้คงไม่มีอีกแล้ว  ”
“ แต่เพื่อบ้านเมือง และราษฎร เพื่อที่นครโกศลของเราจะคงอยู่ โดยสงบสุขร่มเย็นดังเดิม
เพื่อเลือดเนื้อที่ต้องสูญเสีย ถ้าสงครามเกิดจริง จะต้องมีผู้หญิงซักกี่คนถูกย่ำยี  มีเด็กซักกี่คนที่กำพร้าพ่อ 
มีคนเฒ่าคนแก่กี่คนที่ถูกทอดทิ้ง  ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก  นั้นเป็นทุกข์ที่สุดในโลก
ซึ่งฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นกับราษฎรของฉัน  มีวิธีนี้เพียงวิธีเท่านั้นที่สามารถช่วยได้  ”
คืนนี้ศุภลักษณาใช้ความคิดมากมายอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน ความอ่อนเพลียและความเศร้าใจถ่าโถมเข้ามา
ในหัวใจดวงน้อยๆของเธอ  เธอจึงผล็อยหลับโดยไม่รู้สึกตัว หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้นเอง
..........................
แม้จะง่วงนอนและรู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนหลับผิดท่าผิดทางเมื่อคืน แต่เมื่อนึกว่ามีเรื่องที่สำคัญมากรออยู่ตรงหน้าแล้ว
ศุภลักษณาก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปหาผู้ซึ่งเป็นพี่รองที่ตำหนัก  เพื่อแจ้งเรื่องที่เธอตัดสินใจ
“ มีอะไรถึงมาหาพี่แต่เช้าล่ะ ”  เจ้าชายจุลจักรตรัสกับน้องสาวตัวดี ด้วยเสียงอู้อี้ เดินหาวว้อดๆมาจากห้องบรรทม
“ เช้าอะไรกันนี่สายแล้วนะ  ปกติพี่ตื่นเช้าหนิ ทำไมวันนี้ตื่นสายล่ะ ”
“ เมื่อวานพี่เข้าประชุมหารือกันเรื่องวางแผนการรบ  เราต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อรักษากำลังพลของเรา
และให้ได้ชัยชนะเร็วที่สุด ก็เลยดึกไปหน่อย  ”
จากสีหน้าแจ่มใสเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าทันที  เจ้าชายจุลจักรสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้องสาวเพียงคนเดียว
จึงเดินเข้ามาหาเธอ  มือข้างขวาโอบไหล่หญิงสาวเบาๆ พยักหน้ารับเหมือนรับรู้สิ่งที่เธอตัดสินใจ
แล้วสองพี่น้องก็พากันไปที่ห้องทรงงาน
ชายหนุ่มขยับเก้าอี้ให้น้องสาวนั่ง แล้วย่อองค์ที่สูงใหญ่นั่งลงข้างๆน้องสาว
เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงาม น่ารักของหญิงสาวที่เขารักที่สุดในชีวิตได้ถนัดตา
ศุภลักษณาก้มหน้านิ่ง  มือประสานกันไว้ที่ตัก บีบมือของตัวเองแรงขึ้นทุกที  ลำคอตีบตัน เหมือนขาดน้ำมาหลายวัน
รู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะพูดสิ่งที่ตัดสินใจนั้นออกมา ดวงตากลมโตชายขึ้นมองหน้าพี่ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิตเช่นกัน
“  พี่ไม่ต้องเตรียมแผนการรบแล้วล่ะ .........นาตัดสินใจแล้ว .........นาจะเป็นคนยุติศึกครั้งนี้เองด้วยตัวเอง  ”
“ นาจะสร้างสัมพันธไมตรีกับราชาทีฆชนก  โดยยอมไปเป็นชายาของพระองค์
เพื่อแลกกับความสงบสุขของนครโกศล เพื่อแลกกับเลือดเนื้อของทหารและประชาชน ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ ลูบผมหยักศกเป็นลอนของน้องสาวด้วยความรัก และห่วงใยเป็นที่สุด
บรรยากาศในห้องเงียบลงชั่วขณะ  สองคนพี่น้องต่างได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย
ความเป็นคนที่ร่าเริง อารมณ์ดี และขี้เล่น บัดนี้ได้หายไปจากเจ้าชายจุลจักร พระพักตร์สลดลงกล่าวโทษตัวเองว่า
“ พี่ไม่น่าบอกเจ้าเลย  ศุภลักษณา ”
เป็นครั้งแรกที่ที่เขาเรียกชื่อน้องสาวเต็มๆ  ความสงสารและความเป็นห่วงมากมายสุดหัวใจที่ผู้ชายคนหนึ่ง
จะมีให้น้องสาวได้นั้นสั่งการให้ มือทั้งสองข้างของเขาทุบลงบนพื้นอย่างแรง ติดกันถี่ๆ ดวงตากลมโตเหมือนกับ
น้องสาวไม่มีผิดเพี้ยนมีน้ำตาซึมออกมา
และเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็น
                \"น้ำตาลูกผู้ชายของพี่ชายตัวเอง\" 
ผู้เป็นน้องรีบจับแขนพี่ชายคนรองสุดแรง เพื่อให้ยุติการกระทำที่ทำอยู่ แต่ทว่าไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้แม้แต่น้อย
น้ำใสๆไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตา หยดลงที่ข้อมือของชายหนุ่มจึงทำให้เขายุติลงได้
เขาโผตัวเข้ากอดน้องสาวแน่น  พูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวว่า
“  พี่คิดแล้วว่าเจ้าต้องคิดที่จะทำแบบนี้  พี่ไม่น่าบอกเจ้าเลย  พี่ขอโทษ ...พี่ขอโทษ...พี่...ข...อ..โ..ท..ษ... ”
“ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องขอโทษ พี่ไม่ได้ทำผิดซักหน่อย ขอโทษทำไมกัน ”
ศุภลักษณากล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ดวงหน้างามละไมยังแนบอยู่กับอกของพี่ชาย
ผู้เป็นพี่ผละจาการกอด มือสองข้างยังคงจับที่หัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามเบาๆ  มองตาน้องสาวอย่างรู้ดีว่า
เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้เด็ดขาด จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“  นา....ตัดสินใจดีแล้วหรือ ”
ผู้เป็นน้องพยักหน้ารับเบา มือปาดน้ำตาทิ้ง
“ นาคิดว่าไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปมากกว่าวิธีนี้แล้ว  ”
ศุภลักษณานิ่งเงียบชั่วครู่คล้ายกำลังกลืนก้อนน้ำตาให้ลงไปในคอ
“  ถ้าจะพูดให้ถูกนาไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปมากกว่านี้  พี่เป็นชายสามารถช่วยเหลือ
บ้านเมืองในการรบ การปกครอง ดูแลราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขได้  เป็นกษัตริย์ที่ดีในอนาคตที่ประชาชนต้องการ
ผิดกับนาที่เป็นหญิง ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย  ถ้านาไม่อยู่ซักคนก็คนทุกคนก็ยังอยู่ได้    คิดซะว่ายังงัย
นาก็คงต้องออกเรือนไปอยู่ดี การที่เลือกที่จะไปตอนนี้  เป็นเรื่องดีที่นาจะได้ทำคุณครั้งสำคัญ 
เป็นการไปเพื่อปกป้องบ้านเมือง เป็นครั้งแรก.......
และอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต    ”
แต่ทว่าการพยายามกลืนก้อนน้ำตานั้นไม่ได้ผล  น้ำตาของหญิงสาวพรั่งพรูเป็นสายเลือด  โผเข้ากอดพี่ชายแน่น 
ร้องไห้มากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
พี่ชายกอดน้องสาวแน่นอีกครั้ง  พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า
\"พี่จะไม่ยอมให้น้องสาวที่พี่รักที่สุดไปอยู่กับคนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจ กระหายเลือดแบบนั้น  \"
ศุภลักษณาเงยหน้ามองพี่ชายด้วยความซาบซึ้งใจ  บอกกับท่านด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“ นาตัดสินใจแล้ว  และจะไม่เปลี่ยนใจ  พี่อย่าเอาองค์เข้ามาเสี่ยงอันตราย.......
สิ่งเดียวที่นาจะขอ....คือ ......ขอให้รักษาชีวิตของพี่เอาไว้ 
เพื่อน้องสาวคนนี้ และบ้านเมืองของเรานะ  ”
พี่ชายพยักหน้ารับเบาๆ  น้ำตาคลอเบ้า  รวบตัวน้องสาวเข้าไปกอดอีกครั้ง 
  “ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าชายแห่งนครโกศลจะร้องไห้นะ ” ฉันพูดเสียงอู้อี้
สองพี่น้องพากันยิ้มและหัวเราะทั้งๆที่ยังมีน้ำตา  สัญญาต่อกันว่าการร้องไห้ครั้งนี้จะเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้าย
.................................
ช่วงบ่าย  เจ้าชายจุลจักรตัดสินใจพาศุภลักษณาเข้าที่ประชุมเหล่าเสนาอำมาตย์ด้วย
ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นครโกศลที่มีผู้หญิงเข้าร่วมประชุม
ชายหนุ่มพาน้องสาวเข้าไปนั่งที่ห้องรับรองที่ไว้พักผ่อนสำหรับพระราชาและ เจ้าชาย เมื่อมีประชุมเป็นระยะเวลานาน
โดยสามารถได้ยินเรื่องราวการประชุมและมองเห็นข้างในห้องประชุมทั้งหมด โดยที่คนข้างในนั้นไม่รู้ตัวเลย
ก่อนเข้าห้องประชุมไปคนเดียว
“ ท่านพ่อ ท่านพี่ หม่อมฉันมีบุคคลหนึ่งจะเข้าเฝ้าพะยะค่ะ เขาบอกว่า สามารถช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นไปโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ”
มีเสียงงึมงำจากทุกคนในที่ประชุมชั่วครู่หนึ่ง  พวกเขาคงคิดสินะว่า
ขนาดระดับมันสมองมารวมกันขนาดนี้ยังไม่สามารถตีโจทย์ข้อนี้แตก แล้วใครอีกในนครโกศลจะสามารถช่วยได้
พระราชาอธิราชพยักหน้า เป็นเชิงให้นำตัวเข้ามาได้  ชายหนุ่มโค้งรับพระบัญชา แล้วเดินตรงมายังห้องที่เธอนั่งอยู่
“ นา....เจ้าพร้อมนะ ”
เธอพนักหน้ารับคำ สายตามุ่งมั่นเดินตามพี่ชายเข้าไปในห้องประชุม
ทันใดที่ย่างเข้าห้องประชุม ทุกสายตาหันมามองฉันเป็นหนึ่งเดียว  เจ้าหญิงองค์น้อยที่บัดนี้ความคิดโตเกินวัยแล้วเดินอย่างระมัดระวัง
ถวายพระพรท่านพ่อ และท่านพี่ก่อนหยุดยืนนิ่ง
“ ....จุลจักร....เจ้าพาน้องเข้ามาทำไม  แล้วไหนคนที่เจ้าบอกว่าจะช่วยเราได้  ” 
ท่านพ่อเปล่งพระสุรเสียงดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ หามิได้พะยะค่ะ...... คนผู้นั้นก็คือน้องหญิง ศุภลักษณา  เอง  ”
ทุกคนในที่ประชุมต่างพากันตกใจ  แต่ที่ดูแล้วตกใจที่สุด คือ  ราชาอธิราช 
แม้มันจะเป็นเรื่องที่กระดากปากอยู่ที่จะพูดว่า จะยอมไปเป็นเมียคนอื่น
แต่ในที่ประชุมนี้มีเพียง  ท่านพ่อ ท่านพี่ และข้าราชการเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ 
ที่เป็นที่ไว้วางพระทัยและเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก  ทุกคนใจดีกับเธอมาก ชอบเอาขนมและสิ่งที่ฉันชอบมาให้อยู่บ่อยๆ
เปรียบเสมือนญาติสนิท  เนื่องด้วยเธอเป็นเจ้าหญิงองค์เดียวแห่งนครโกศล  หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า
“ หม่อมฉันยินดีที่จะช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นโดยไม่เสียเลือดเนื้อเพคะ  สิ่งเดียวที่หม่อมฉันทำได้ คือ
การสร้างสัมพันธไมตรีทางเครือญาติ  โดยการไปเป็นชายาของราชาทีฆชนกเพคะ  ”
“ องค์หญิง ”      เหล่าเสนาอำมาตย์อุทานขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
พระราชาและ เจ้าชายจักรพงษ์นิ่งอึ้ง  เธอจึงพูดต่อว่า
“ เมื่อราชาทีฆชนกเสด็จมาถึง ท่านพ่อ ท่านพี่ โปรดออกไปเจรจาหย่าศึกและกราบทูลเรื่องนี้
ต่อพระองค์ด้วยพระองค์เองนะเพคะ  เพื่อการเจรจาจะได้สะดวก รวดเร็ว  หม่อมฉันจะเตรียมตัวให้พร้อมและจะเดินทาง
ไปยังทัพของราชาทีฆชนกในอีกสองวันถัดไป.... ”
เสียงผู้เป็นพ่อขัดขึ้นว่า
“ เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือลูก ”
เจ้าหญิงตอบชัดถ้อยชัดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว อย่างที่ไม่มีใครจะกล้าถามคำถามนี้ขึ้นซ้ำสอง
“ หม่อมฉันแน่ใจแล้วเพคะ  เมื่อตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด ”
เธอนิ่งชั่วขณะ เสียวที่หัวใจ  พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่จะเอ่อล้นออกมา อย่างสุดความสามารถหันหน้าไปยังเหล่าเสนาอำมาตย์
ฝืนใจพูดต่อว่า
“ สิ่งที่เราอยากขอร้องให้ท่านทุกคนช่วยคือ เราอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้ให้มากที่สุด 
ยิ่งข้อมูลส่วนตัวมากเท่าไหร่ยิ่งดี ขอให้เร็วที่สุดนะคะ  และขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ  ”
“ พะยะค่ะ ”  เหล่าเสนาอำมาตย์รับคำ มององค์หญิงของพวกเขาด้วยแววตาชื่นชม
“ ขอบคุณมากค่ะ  งั้นหม่อมฉันทูลลานะเพคะท่านพ่อ ท่านพี่ ”
“ ขอบใจเจ้ามากนะ .ศุภลักษณา ”   
พระราชาเอื้อมมือแตะบ่าลูกสาวเพียงคนเดียวเบาๆ พระพักตร์โศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา  สายตาที่มองมายังศุภลักษณานั้นต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้
มีแววชื่นชมกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวที่ประพฤติตัวสมกับความเป็นเจ้าหญิงอย่างที่เคนตั้งพระทัยไว้
“ แล้วพ่อจะไปหานะลูก ” 
สายตาทอดความห่วงใยมายังหญิงสาว  ไม่ว่าชายมีอายุที่นั่งอยู่ตรงหน้าศุภลักษณาจะมียศศักดิ์สูงเพียงใด
แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีไม่ต่างจากคนอื่น คือความเป็นพ่อที่รักลูก
“  เพคะ ... ถนอมพระวรกายด้วยนะเพคะ”
หญิงสาวร่างระหงรับคำแล้วเดินออกจากห้องประชุมด้วยความหวั่นใจว่า จะไม่ได้กลับมา ณ ที่นี้อีก
“ ทำยังงัยถึงจะช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ”
หญิงสาวผมหยักศกในชุดนอนสีฟ้าอ่อน ระบายขอบลูกไม้สีขาวลุกจากเตียงไปนั่งที่หน้ากระจก
ทำน่าตาทะเล้นมองหน้าตัวเองในกระจก  ก่อนถอนหายใจเบาๆ
“ น้ำหน้าอย่างฉันเนี่ยนะ จะยุติศึกคราวนี้ได้  ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง ”
แต่แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรถึงอะไรบางอย่าง  ดวงตากลมโตใสเป็นประกายขึ้น รับกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
“ ผู้หญิง........ผู้หญิงเหรอ  ทำไมเราไม่ใช้ความเป็นผู้หญิงให้เป็นประโยชน์ล่ะ  ผู้ชายทุกคนก็ต้องชอบมองของสวยงามเป็นธรรมดา 
ยิ่งถ้าเอาผู้หญิงที่ใครๆก็หมายปอง แล้วเป็นถึงพระราชธิดา มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันไปให้ถึงที่แล้วล่ะก็ มีเหรอว่าจะปฏิเสธ ”
หญิงสาวฉีกยิ้มให้กับตัวเอง  แว้บแรกเกิดความรู้สึกดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก
แต่เมื่อหันไปมองกระจก  ความรู้สึกหนึ่งก็ขัดขึ้นมาว่า
“ แต่หน้าตาฉันก็ได้แค่เนี้ย  ไม่ได้สวยงามอะไรมากมาย  ไม่ได้งามหยดย้อยขนาดที่ว่า
ใครเห็นต้องตกหลุมรัก  แล้วเราจะเอายังงัยดีน้า........เออ....”
ความคิดของศุภลักษณาในขณะนั้น ช่างตรงข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง แม้นางจะไม่ใช่ผู้หญิงที่งาม
หยดย้อย ราวกับนางอัปสรสวรรค์  แต่ดวงตากลมโตสุกสว่าง ลับกับริมฝีปากเรียวงาม ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้ม
และผิวขาวผ่องผุดพรรณทำให้ใบหน้าของนางราวกับตุ๊กตานั้น ชวนให้ใครต่อใครต้องหยุดสายตามอง
ยิ่งถ้าใครได้รู้จักนิสัยของนางแล้วล่ะก็  คงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า นางเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และน่ารักมากคนหนึ่ง
ต่างจากหญิงงามทั่วไปตรงที่อยู่ด้วยนานเท่าไหร่ก็ไม่รำคาญ  มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ
หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มขมวดคิ้วเข้าหากัน ชั่วครู่ก่อน ค่อยๆคลายออก
“ เราก็ยังไม่ต้องให้พระองค์เห็นหน้ายังงัยล่ะ”
แวบแรกอีกแล้วเธอรู้สึกดีใจที่คิดได้  แต่ความดีใจนั้นก็เหมือนสายลมที่โชยมาแล้วก็โชยไปอย่างไม่มีวันกลับ  เกิดความเศร้าใจ
ขึ้นแทนที่และคงอยู่อย่างมิอาจจะลืมเลือนได้
“ นั่นก็ย่อมหมายความว่า  ฉันต้องยอมเป็นชายาของใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า เพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์ว่า เป็นกษัตริย์ที่เหี้ยมโหด และ กระหายสงคราม  ”
“ ชีวิตการแต่งงานที่ถือว่า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง  ที่ฉันเคยคาดหวังเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆว่าจะต้องสวยหรู ได้คนที่เรารัก และรักเราเป็นคู่ชีวิต นั้น  บัดนี้คงไม่มีอีกแล้ว  ”
“ แต่เพื่อบ้านเมือง และราษฎร เพื่อที่นครโกศลของเราจะคงอยู่ โดยสงบสุขร่มเย็นดังเดิม
เพื่อเลือดเนื้อที่ต้องสูญเสีย ถ้าสงครามเกิดจริง จะต้องมีผู้หญิงซักกี่คนถูกย่ำยี  มีเด็กซักกี่คนที่กำพร้าพ่อ 
มีคนเฒ่าคนแก่กี่คนที่ถูกทอดทิ้ง  ทุกข์ที่เกิดจากการพลัดพราก  นั้นเป็นทุกข์ที่สุดในโลก
ซึ่งฉันไม่อยากให้เกิดขึ้นกับราษฎรของฉัน  มีวิธีนี้เพียงวิธีเท่านั้นที่สามารถช่วยได้  ”
คืนนี้ศุภลักษณาใช้ความคิดมากมายอย่างที่ไม่เคยใช้มาก่อน ความอ่อนเพลียและความเศร้าใจถ่าโถมเข้ามา
ในหัวใจดวงน้อยๆของเธอ  เธอจึงผล็อยหลับโดยไม่รู้สึกตัว หน้าโต๊ะเครื่องแป้งนั้นเอง
..........................
แม้จะง่วงนอนและรู้สึกปวดเมื่อยจากการนอนหลับผิดท่าผิดทางเมื่อคืน แต่เมื่อนึกว่ามีเรื่องที่สำคัญมากรออยู่ตรงหน้าแล้ว
ศุภลักษณาก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปหาผู้ซึ่งเป็นพี่รองที่ตำหนัก  เพื่อแจ้งเรื่องที่เธอตัดสินใจ
“ มีอะไรถึงมาหาพี่แต่เช้าล่ะ ”  เจ้าชายจุลจักรตรัสกับน้องสาวตัวดี ด้วยเสียงอู้อี้ เดินหาวว้อดๆมาจากห้องบรรทม
“ เช้าอะไรกันนี่สายแล้วนะ  ปกติพี่ตื่นเช้าหนิ ทำไมวันนี้ตื่นสายล่ะ ”
“ เมื่อวานพี่เข้าประชุมหารือกันเรื่องวางแผนการรบ  เราต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อรักษากำลังพลของเรา
และให้ได้ชัยชนะเร็วที่สุด ก็เลยดึกไปหน่อย  ”
จากสีหน้าแจ่มใสเปลี่ยนเป็นหมองเศร้าทันที  เจ้าชายจุลจักรสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของน้องสาวเพียงคนเดียว
จึงเดินเข้ามาหาเธอ  มือข้างขวาโอบไหล่หญิงสาวเบาๆ พยักหน้ารับเหมือนรับรู้สิ่งที่เธอตัดสินใจ
แล้วสองพี่น้องก็พากันไปที่ห้องทรงงาน
ชายหนุ่มขยับเก้าอี้ให้น้องสาวนั่ง แล้วย่อองค์ที่สูงใหญ่นั่งลงข้างๆน้องสาว
เพื่อจะได้เห็นใบหน้างดงาม น่ารักของหญิงสาวที่เขารักที่สุดในชีวิตได้ถนัดตา
ศุภลักษณาก้มหน้านิ่ง  มือประสานกันไว้ที่ตัก บีบมือของตัวเองแรงขึ้นทุกที  ลำคอตีบตัน เหมือนขาดน้ำมาหลายวัน
รู้สึกว่ามันยากเหลือเกินที่จะพูดสิ่งที่ตัดสินใจนั้นออกมา ดวงตากลมโตชายขึ้นมองหน้าพี่ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิตเช่นกัน
“  พี่ไม่ต้องเตรียมแผนการรบแล้วล่ะ .........นาตัดสินใจแล้ว .........นาจะเป็นคนยุติศึกครั้งนี้เองด้วยตัวเอง  ”
“ นาจะสร้างสัมพันธไมตรีกับราชาทีฆชนก  โดยยอมไปเป็นชายาของพระองค์
เพื่อแลกกับความสงบสุขของนครโกศล เพื่อแลกกับเลือดเนื้อของทหารและประชาชน ”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ ลูบผมหยักศกเป็นลอนของน้องสาวด้วยความรัก และห่วงใยเป็นที่สุด
บรรยากาศในห้องเงียบลงชั่วขณะ  สองคนพี่น้องต่างได้ยินเสียงหายใจของอีกฝ่าย
ความเป็นคนที่ร่าเริง อารมณ์ดี และขี้เล่น บัดนี้ได้หายไปจากเจ้าชายจุลจักร พระพักตร์สลดลงกล่าวโทษตัวเองว่า
“ พี่ไม่น่าบอกเจ้าเลย  ศุภลักษณา ”
เป็นครั้งแรกที่ที่เขาเรียกชื่อน้องสาวเต็มๆ  ความสงสารและความเป็นห่วงมากมายสุดหัวใจที่ผู้ชายคนหนึ่ง
จะมีให้น้องสาวได้นั้นสั่งการให้ มือทั้งสองข้างของเขาทุบลงบนพื้นอย่างแรง ติดกันถี่ๆ ดวงตากลมโตเหมือนกับ
น้องสาวไม่มีผิดเพี้ยนมีน้ำตาซึมออกมา
และเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็น
                \"น้ำตาลูกผู้ชายของพี่ชายตัวเอง\" 
ผู้เป็นน้องรีบจับแขนพี่ชายคนรองสุดแรง เพื่อให้ยุติการกระทำที่ทำอยู่ แต่ทว่าไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้แม้แต่น้อย
น้ำใสๆไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตา หยดลงที่ข้อมือของชายหนุ่มจึงทำให้เขายุติลงได้
เขาโผตัวเข้ากอดน้องสาวแน่น  พูดด้วยน้ำเสียงสั่นระรัวว่า
“  พี่คิดแล้วว่าเจ้าต้องคิดที่จะทำแบบนี้  พี่ไม่น่าบอกเจ้าเลย  พี่ขอโทษ ...พี่ขอโทษ...พี่...ข...อ..โ..ท..ษ... ”
“ ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องขอโทษ พี่ไม่ได้ทำผิดซักหน่อย ขอโทษทำไมกัน ”
ศุภลักษณากล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ดวงหน้างามละไมยังแนบอยู่กับอกของพี่ชาย
ผู้เป็นพี่ผละจาการกอด มือสองข้างยังคงจับที่หัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามเบาๆ  มองตาน้องสาวอย่างรู้ดีว่า
เมื่อเธอตัดสินใจแล้ว จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนใจเธอได้เด็ดขาด จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“  นา....ตัดสินใจดีแล้วหรือ ”
ผู้เป็นน้องพยักหน้ารับเบา มือปาดน้ำตาทิ้ง
“ นาคิดว่าไม่มีวิธีไหนที่จะดีไปมากกว่าวิธีนี้แล้ว  ”
ศุภลักษณานิ่งเงียบชั่วครู่คล้ายกำลังกลืนก้อนน้ำตาให้ลงไปในคอ
“  ถ้าจะพูดให้ถูกนาไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปมากกว่านี้  พี่เป็นชายสามารถช่วยเหลือ
บ้านเมืองในการรบ การปกครอง ดูแลราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขได้  เป็นกษัตริย์ที่ดีในอนาคตที่ประชาชนต้องการ
ผิดกับนาที่เป็นหญิง ไม่ได้มีบทบาทอะไรมากมาย  ถ้านาไม่อยู่ซักคนก็คนทุกคนก็ยังอยู่ได้    คิดซะว่ายังงัย
นาก็คงต้องออกเรือนไปอยู่ดี การที่เลือกที่จะไปตอนนี้  เป็นเรื่องดีที่นาจะได้ทำคุณครั้งสำคัญ 
เป็นการไปเพื่อปกป้องบ้านเมือง เป็นครั้งแรก.......
และอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต    ”
แต่ทว่าการพยายามกลืนก้อนน้ำตานั้นไม่ได้ผล  น้ำตาของหญิงสาวพรั่งพรูเป็นสายเลือด  โผเข้ากอดพี่ชายแน่น 
ร้องไห้มากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
พี่ชายกอดน้องสาวแน่นอีกครั้ง  พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า
\"พี่จะไม่ยอมให้น้องสาวที่พี่รักที่สุดไปอยู่กับคนที่โหดเหี้ยมร้ายกาจ กระหายเลือดแบบนั้น  \"
ศุภลักษณาเงยหน้ามองพี่ชายด้วยความซาบซึ้งใจ  บอกกับท่านด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวว่า
“ นาตัดสินใจแล้ว  และจะไม่เปลี่ยนใจ  พี่อย่าเอาองค์เข้ามาเสี่ยงอันตราย.......
สิ่งเดียวที่นาจะขอ....คือ ......ขอให้รักษาชีวิตของพี่เอาไว้ 
เพื่อน้องสาวคนนี้ และบ้านเมืองของเรานะ  ”
พี่ชายพยักหน้ารับเบาๆ  น้ำตาคลอเบ้า  รวบตัวน้องสาวเข้าไปกอดอีกครั้ง 
  “ เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้าชายแห่งนครโกศลจะร้องไห้นะ ” ฉันพูดเสียงอู้อี้
สองพี่น้องพากันยิ้มและหัวเราะทั้งๆที่ยังมีน้ำตา  สัญญาต่อกันว่าการร้องไห้ครั้งนี้จะเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้าย
.................................
ช่วงบ่าย  เจ้าชายจุลจักรตัดสินใจพาศุภลักษณาเข้าที่ประชุมเหล่าเสนาอำมาตย์ด้วย
ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นครโกศลที่มีผู้หญิงเข้าร่วมประชุม
ชายหนุ่มพาน้องสาวเข้าไปนั่งที่ห้องรับรองที่ไว้พักผ่อนสำหรับพระราชาและ เจ้าชาย เมื่อมีประชุมเป็นระยะเวลานาน
โดยสามารถได้ยินเรื่องราวการประชุมและมองเห็นข้างในห้องประชุมทั้งหมด โดยที่คนข้างในนั้นไม่รู้ตัวเลย
ก่อนเข้าห้องประชุมไปคนเดียว
“ ท่านพ่อ ท่านพี่ หม่อมฉันมีบุคคลหนึ่งจะเข้าเฝ้าพะยะค่ะ เขาบอกว่า สามารถช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นไปโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ”
มีเสียงงึมงำจากทุกคนในที่ประชุมชั่วครู่หนึ่ง  พวกเขาคงคิดสินะว่า
ขนาดระดับมันสมองมารวมกันขนาดนี้ยังไม่สามารถตีโจทย์ข้อนี้แตก แล้วใครอีกในนครโกศลจะสามารถช่วยได้
พระราชาอธิราชพยักหน้า เป็นเชิงให้นำตัวเข้ามาได้  ชายหนุ่มโค้งรับพระบัญชา แล้วเดินตรงมายังห้องที่เธอนั่งอยู่
“ นา....เจ้าพร้อมนะ ”
เธอพนักหน้ารับคำ สายตามุ่งมั่นเดินตามพี่ชายเข้าไปในห้องประชุม
ทันใดที่ย่างเข้าห้องประชุม ทุกสายตาหันมามองฉันเป็นหนึ่งเดียว  เจ้าหญิงองค์น้อยที่บัดนี้ความคิดโตเกินวัยแล้วเดินอย่างระมัดระวัง
ถวายพระพรท่านพ่อ และท่านพี่ก่อนหยุดยืนนิ่ง
“ ....จุลจักร....เจ้าพาน้องเข้ามาทำไม  แล้วไหนคนที่เจ้าบอกว่าจะช่วยเราได้  ” 
ท่านพ่อเปล่งพระสุรเสียงดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
“ หามิได้พะยะค่ะ...... คนผู้นั้นก็คือน้องหญิง ศุภลักษณา  เอง  ”
ทุกคนในที่ประชุมต่างพากันตกใจ  แต่ที่ดูแล้วตกใจที่สุด คือ  ราชาอธิราช 
แม้มันจะเป็นเรื่องที่กระดากปากอยู่ที่จะพูดว่า จะยอมไปเป็นเมียคนอื่น
แต่ในที่ประชุมนี้มีเพียง  ท่านพ่อ ท่านพี่ และข้าราชการเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ 
ที่เป็นที่ไว้วางพระทัยและเห็นเธอมาตั้งแต่เด็ก  ทุกคนใจดีกับเธอมาก ชอบเอาขนมและสิ่งที่ฉันชอบมาให้อยู่บ่อยๆ
เปรียบเสมือนญาติสนิท  เนื่องด้วยเธอเป็นเจ้าหญิงองค์เดียวแห่งนครโกศล  หญิงสาวตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า
“ หม่อมฉันยินดีที่จะช่วยให้ศึกครั้งนี้ผ่านพ้นโดยไม่เสียเลือดเนื้อเพคะ  สิ่งเดียวที่หม่อมฉันทำได้ คือ
การสร้างสัมพันธไมตรีทางเครือญาติ  โดยการไปเป็นชายาของราชาทีฆชนกเพคะ  ”
“ องค์หญิง ”      เหล่าเสนาอำมาตย์อุทานขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน
พระราชาและ เจ้าชายจักรพงษ์นิ่งอึ้ง  เธอจึงพูดต่อว่า
“ เมื่อราชาทีฆชนกเสด็จมาถึง ท่านพ่อ ท่านพี่ โปรดออกไปเจรจาหย่าศึกและกราบทูลเรื่องนี้
ต่อพระองค์ด้วยพระองค์เองนะเพคะ  เพื่อการเจรจาจะได้สะดวก รวดเร็ว  หม่อมฉันจะเตรียมตัวให้พร้อมและจะเดินทาง
ไปยังทัพของราชาทีฆชนกในอีกสองวันถัดไป.... ”
เสียงผู้เป็นพ่อขัดขึ้นว่า
“ เจ้าตัดสินใจดีแล้วหรือลูก ”
เจ้าหญิงตอบชัดถ้อยชัดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว อย่างที่ไม่มีใครจะกล้าถามคำถามนี้ขึ้นซ้ำสอง
“ หม่อมฉันแน่ใจแล้วเพคะ  เมื่อตัดสินใจแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด ”
เธอนิ่งชั่วขณะ เสียวที่หัวใจ  พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่จะเอ่อล้นออกมา อย่างสุดความสามารถหันหน้าไปยังเหล่าเสนาอำมาตย์
ฝืนใจพูดต่อว่า
“ สิ่งที่เราอยากขอร้องให้ท่านทุกคนช่วยคือ เราอยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับกษัตริย์องค์นี้ให้มากที่สุด 
ยิ่งข้อมูลส่วนตัวมากเท่าไหร่ยิ่งดี ขอให้เร็วที่สุดนะคะ  และขอให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ  ”
“ พะยะค่ะ ”  เหล่าเสนาอำมาตย์รับคำ มององค์หญิงของพวกเขาด้วยแววตาชื่นชม
“ ขอบคุณมากค่ะ  งั้นหม่อมฉันทูลลานะเพคะท่านพ่อ ท่านพี่ ”
“ ขอบใจเจ้ามากนะ .ศุภลักษณา ”   
พระราชาเอื้อมมือแตะบ่าลูกสาวเพียงคนเดียวเบาๆ พระพักตร์โศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
พยายามกลั้นน้ำตาที่ทำท่าว่าจะไหลออกมา  สายตาที่มองมายังศุภลักษณานั้นต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้
มีแววชื่นชมกับการเปลี่ยนแปลงของลูกสาวที่ประพฤติตัวสมกับความเป็นเจ้าหญิงอย่างที่เคนตั้งพระทัยไว้
“ แล้วพ่อจะไปหานะลูก ” 
สายตาทอดความห่วงใยมายังหญิงสาว  ไม่ว่าชายมีอายุที่นั่งอยู่ตรงหน้าศุภลักษณาจะมียศศักดิ์สูงเพียงใด
แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีไม่ต่างจากคนอื่น คือความเป็นพ่อที่รักลูก
“  เพคะ ... ถนอมพระวรกายด้วยนะเพคะ”
หญิงสาวร่างระหงรับคำแล้วเดินออกจากห้องประชุมด้วยความหวั่นใจว่า จะไม่ได้กลับมา ณ ที่นี้อีก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น