ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การตัดสินใจครั้งสำคัญของ \"ศุภลักษณา\"

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องจริงที่ไม่อยากรู้

    • อัปเดตล่าสุด 30 ต.ค. 48




    “ องค์หญิง....ตื่นบรรทมได้แล้วเพคะ ”



    ศุภลักษณาตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงีย บิดขี้เกียจให้คลายจากอาการปวดเมื่อย

    ขยี้ตา มือเสยผมสีน้ำตาลเข้ม ที่หยักศกเหมือนตุ๊กตาให้เข้าที่

    ใครจะรู้บ้างว่าในยามตื่นนอนเธอจะยังคงความน่ารักได้ขนาดนี้ ยิ่งถ้าใครได้มาเห็นอาการขี้เซา

    ที่เธอเป็นอยู่ละก็ คงปฏิเสธไม่ได้เลยล่ะว่าเธอน่ารักน่าเอ็นดูเอาการ  เหมือนเทพธิดาน้อยๆที่เพิ่งตื่นนอนไม่มีผิด



    “ มีอะไรคะคุณนม… เมื่อคืนกว่างานจะเลิกก็ดึกมาก หญิงขอนอนต่อหน่อยนะค่ะ ”

    ว่าพลางเอ็นกายลงนอนดังเดิม



    “ ไม่ได้เพคะ เสด็จพ่อให้หาเดี๋ยวนี้เลยเพคะ ”



    หญิงสาวแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินดึงผ้าห่มมาคลุมโปงกะว่าจะหลับต่ออีกนิด



    “องค์หญิงเพคะ”

    คราวนี้น้ำเสียงคุณนมเริ่มแข็งขึ้น  แต่เธอก็ยังนิ่งไม่ขยับตัว



    “ ถ้าเห็นว่าการนอนสำคัญกว่าเสด็จพ่อก็ตามพระทัยนะเพคะ ”

    คุณนมพูดกระแทกเสียง เสียงฝีท้าวเดินออกห่างจากองค์หญิงขี้เซา

    เธอรีบเด้งตัวขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ววิ่งปาดหน้าคุณนม



    “คุณนมคะ ….หญิงขอโทษค่ะ คุณนมอย่าโกรธหญิงเลยนะคะ

    ทำหน้าบึ้งอย่างนี้ เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยน้า.....”



    หญิงสาวทำหน้าทะเล้น ยิ้มยิงฟันครบ 32 ซี่ให้  หน้าคุณนมค่อยๆคลายโมโห แล้วเปลี่ยนเป็นอมยิ้มน้อยๆ



    “องค์หญิงนี่จริงๆ  ...ชอบทำหน้าทะเล้น   กี่ทีๆหม่อมฉันก็โกรธไม่ลง ”ว่าแล้วนางก็เอื้อมมือมาลูบผมสาวน้อยเบาๆ



    “ จะรออะไรอยู่ละเพคะ รีบสรงน้ำซิเพคะ จะได้รีบไปเฝ้าเสด็จพ่อ ”



    “....ค่ะ....”    ฉันรับคำแล้วรีบทำภารกิจส่วนตัวโดยเร็วที่สุด



    ...................



    “ท่านพ่อเรียกหญิงแต่เช้าเลย  หญิงยังง่วงอยู่เลยเพคะ”

    เธอหาวกว้าง เดินเข้ามาอ้อนท่านพ่อแบบทุกทีที่เคยทำ



    พระราชาอธิราช ประทับอยู่ที่พระเก้าอี้ทรงงาน  แม้พระชนมพรรษาจะมากแล้ว

    แต่พระองค์ก็ยังความสง่างามอยู่  คาดเดาได้ไม่ยากว่า เมื่อครั้งทรงพระเยาว์

    จะต้องเป็นเจ้าชายรูปงามมากเลยทีเดียว  เสียงของพระธิดาทำให้พระองค์ละสายตาจากพระราชสารที่อ่าน

    ทอดพระเนตรตรงมาที่หญิงสาวที่เข้ามาใหม่  พระพักตร์เคร่งขรึม ส่ายพระพักตร์เบาๆก่อนตรัสด้วยสุรเสียงดุๆว่า



    “ เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้  ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต”



    “วันนี้ทำไมท่านพ่อดุจังนะ”   ศุภลักษณาคิดในใจ



    พระราชาอธิราช   ตรัสด้วยสุรเสียงจริงจังต่ออีกว่า

    “ เจ้าคือ “เจ้าหญิงศุภลักษณา” แห่งนครโกศล เจ้าควรประพฤติตัวให้เหมาะสม และเป็นผู้ใหญ่ซักที

    ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กงอแงอยู่เช่นนี้  เจ้าทำให้พ่อเป็นห่วงเจ้ามากนะ  ”

    แม้น้ำเสียงจะดุ แต่สายพระเนตรที่มองมายังเจ้าหญิงที่ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตแสดงความห่วงใยยิ่งนัก



    ศุภลักษณารู้สึกได้ถึงความกังวลใจของพระบิดา กิริยาขี้อ้อนที่แสดงเมื่อก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นเรียบร้อย

    และเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทันตา  เธอเดินเข้ามาข้างๆพระบิดาแล้วเอ่ยด้วยน้ำสียงจริงจังว่า



    “ มีอะไรหรือเพคะ ท่านพ่อ ”  



    พระราชาอธิราช ทรงไม่ตอบเสด็จจากพระเก้าอี้ เดินตรงไปที่พระแกลหลังโต๊ะทรงงาน  ทอดพระเนตรยาวออกไป



    ศุภลักษณารู้สึกไม่ดีเลย ท่านพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  ปกติพระองค์เป็นคนพระทัยดีและขี้เล่น

    แต่ทำไมวันนี้ถึงได้เครียด และเคร่งขรึมจนเธอกลัว พระพักตร์หมองคล้ำเฉียดเปาบุ้นจิ้นเข้าไปทุกที

    หญิงสาวยืนรอฟังคำตอบอยู่นาน  แต่พระองค์ไม่ตรัสอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว  

    ได้แต่ประทับนิ่ง สายพระเนตรเหม่อมองออกไปข้างนอก  ท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่หนักหนาสาหัสเอาการ



    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมท่านพ่อจึงเป็นเช่นนี้ ”  เป็นคำถามที่เธอจะต้องหาคำตอบให้ได้





    ศุภลักษณาตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่พระตำหนักของท่านพี่องค์โต  เจ้าชายจักรพงษ์



    เจ้าชายจักรพงษ์อายุห่างจากเธอและท่านพี่รองมาก   เธอจึงให้ความเกรงใจพระองค์เป็นพิเศษ

    พระองค์อภิเษกสมรสแล้วกับพระพี่นางสิริกัญญา พระธิดาของท้าวสามนต์ กษัตริย์เมืองประเทศราช  

    มีพระโอรสด้วยกันพระองค์ หนึ่งชื่อว่า “จักรวรรดิ”



    ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าตาคมสัน ฉลองพระองค์สีเหลืองส้มขับกับสีผิว บุคลิกเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ

    ท่าทางทรงอำนาจ เดินเข้ามาหาศุภลักษณา เอ่ยถามด้วยสุรเสียงอ่อนโยนว่า

    “มีอะไรหรือน้องหญิง  ถึงได้มาหาพี่ถึงที่นี่ ”  



    ศุภลักษณาละมือจากการเล่นกับหลานยิ้มให้พี่นางสิริกัญญา

    ก่อนหันกลับมาถวายบังคมชายผู้นั้น



    “ ถวายบังคมเพคะ ท่านพี่  คือหม่อมฉันมีเรื่องขอทูลปรึกษาหน่อยเพคะ ”



    ท่านพี่พยักหน้าตอบรับ แล้วเดินด้วยทีท่าสง่างามนำ หญิงสาวรูปร่างสมเข้าไปที่ห้องทรงงาน

    .....................



    ที่ห้องทรงงาน



    “ ว่ามาเลยน้องหญิง ”



    “ คือ...วันนี้ท่านพ่อเรียกพบหญิงแต่เช้า พอเข้าไปพระพักตร์ก็เครียดมาก รับสั่งแปลกๆนะเพคะ

    ท่านพี่พอจะทราบหรือไม่ว่า ท่านพ่อมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ”



    เจ้าชายจักรพงษ์พระพักตร์เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่แล้วก็กลบเกลื่อนให้ปกติดังเดิม ก่อนเอ่ยถามน้องสาว

    เพียงคนเดียวเป็นการหยั่งเชิงว่า

    “ พระองค์ตรัสว่าอย่างไรบ้าง  ”



    “  ตรัสว่า ให้หญิงประพฤติตัวให้เหมาะสม และเป็นผู้ใหญ่ซักที

    ไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กงอแงอยู่เช่นนี้  พระองค์เป็นห่วงหญิงมากนะเพคะ”

    น้ำเสียงเจื้อยแจ้วตรัสตามที่พระราชาอธิราปได้รับสั่งมา



    ท่านพี่นิ่งไปชั่วครู่สีหน้าเรียบเฉยตรัสว่า

    “ ไม่มีอะไรหรอก… ท่านพ่อคงเห็นว่าเจ้าโตแล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กอยู่เลยเรียกไปตักเตือน

    อย่าได้คิดมากเลยน้องหญิง พี่มีประชุมตอนช่วงบ่ายกับท่านเสนาบดีกลาโหม พี่ขอตัวก่อนนะ

    ถ้าเจ้ายังไม่อยากกลับตำหนัก ก็อยู่เล่นกับจักรวรรดิได้ตามสบาย ”



    เจ้าชายจักรพงษ์ตรัสจบแล้วก็เสด็จเลี่ยงออกไป  ท่าทางมีพิรุธเหมือนกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง  

    น้องสาวตัวน้อยได้แต่เดินตามพระองค์ออกไป รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้คำตอบจากผู้เป็นพี่องค์โต

    ก่อนแววตาเป็นประกาย เมื่อนึกถึงคนที่เธอสามารถบังคับให้ให้คำตอบนี้ได้อย่างแน่นอน

    คิดแล้ว เธอจึงตรงไปยังจุดมุ่งหมายใหม่ ซึ่งก็คือ

    ...........ตำหนักของเจ้าชายจุลจักร ท่านพี่องค์รอง

    ................

    ที่ตำหนักท่านพี่รอง ท่านพี่จุลจักร



    เจ้าหญิงเดินดุ่มๆเข้าไปถึงห้องทรงงานไม่พบว่ามีใครอยู่ ถามนางกำนัลก็ได้ความว่า พระองค์อยู่ที่ห้องเสวย

    กำลังเสวยพระกระยาหารว่างอยู่ เธอจึงตรงเข้าไปที่ห้องเสวยทันที คิดแผนการที่ทำให้ชายหนุ่มผู้พี่ตกใจเล่น

    เธอมองเห็นด้วนหลังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาสาละวนกับอาหารแล้วจึงค่อยๆย่องเข้าด้าน

    หลังกะระยะให้พอดีแล้วทำเสียงทุ้มตะโกนสุดเสียงว่า



    “ ....องค์หญิงทัศวรรณเสด็จแล้ว ….”



    ชายหมุ่มที่กำลังนั่งหันหลังให้สะดุ้นสุดตัว สำลักน้ำชาไอเป็นการใหญ่  จัดแต่งเครื่องแต่งกายให้เข้าที่แล้วหันหน้ามาทางต้นเสียง

    สายตาก้มต่ำไม่มองสิ่งใดนอกจากพื้น  มือสะเปะสะปะไม่รู้จะวางไว้ที่ไหน ทำเสียงหล่อแล้วตรัสว่า



    “ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่องค์หญิงเสด็จมาถึงตำหนักเรา  ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดให้เราช่วยเหลือ ”



    ฉันทำเสียงอ่อนหวานเลียนเสียงพี่หญิงทัศวรรณ

    “หามิไดเพคะ ที่หม่อมฉันมานี่เพื่อต้องการจะบอกว่ากับพระองค์ว่า

    หม่อมฉันรู้สึกเช่นเดียวกับที่พระองค์รู้สึกเพคะ ”



    เช้าชายจุลจักรดีใจสุดขีด  หน้าแดงเป็นลูกตำลึงเงยหน้าขึ้นมองหวังว่าจะได้เห็นหญิงที่ตนหมายปอง

    ยืนอยู่ตรงหน้า  แต่แล้วจากสีหน้าดีใจค่อยๆเจื่อนลง ตะโกนเรียกฉันเสียงดังแก้เขิน



    “ ยายนา ”  ชายหนุ่มเรียกชื่อที่คุ้นเคยเว้นช่วงหายใจก่อนเอ่ยขึ้นว่า

    “  ....กล้าทำถึงขนาดนี้เลยนะ.....  อย่างนี้ต้องตีก้น ”

    ว่าแล้วเจ้าชายหนุ่มรูปงามก็วิ่งไล่น้องสาวที่เขารักดั่งแก้วตาดวงใจ  วิ่งไล่กันจนไปถึงอุทยาน  เหนื่อยทั้งคู่จึงหยุดได้



    ศุภลักษณานั่งหอบตัวโยนลงกับพื้นสนามหญ้า ตัดพ้อพี่ชายตัวเอง

    “ แหมได้ยินชื่อพี่หญิงทัศวรรณนะดีใจจนออกนอกหน้า ที่น้องสาวตัวเอง ไม่เคยไปหา ไม่เคยคิดจะสนใจ”



    พี่ชายคนรองยิ้มขำ นั่งลงข้างๆน้องสาว ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไรผม เผยให้เห็นใบหน้าต่อที่หล่อเหลาเอาการ

    ดวงตากลมโตสุกใส ผมหยักศก และผิวขาว เหมือนศุภลักษณาไม่มีผิด ต่างกันตรงที่เขาสูงใหญ่กว่า ดูแข็งแรง

    และเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง



    จุลจักรเอนตัวลงนอนกับพื้นสนาม มองน้องสาวที่นั่งอยู่ข้างๆกำลังหยิบดอกหญ้ามาหมุนเล่น และเอ่ยขึ้นว่า

    “  โตป่านนี้จะมางอนอะไรกันอีกแม่คุณ…ณณ  แล้วที่มาวันนี้มีอะไรหรือเปล่าฮะเรา ”



    “  มีซิก็...วันนี้ท่านพ่อเรียกนาไปหาแต่เช้า พอเข้าไปพระพักตร์ก็เครียดมาก รับสั่งแปลกๆว่าให้นาประพฤติตัวให้เหมาะสม และเป็นผู้ใหญ่ซักทีไม่ใช่ทำตัวเป็นเด็กงอแงอยู่เช่นนี้  พระองค์เป็นห่วงนามาก ท่านพี่พอรู้หรือเปล่า ท่านพ่อมีเรื่องทุกข์ใจอะไร ”

    หญิงสาวมักเรียกแทนตัวเองว่า “ นา ” เสมอ เมื่อพูดกับพี่ชายคนรอง

    เธอหันหน้ากลับมาหาพี่ชายที่เธอรักและสนิทที่สุด



    ท่านพี่รองเปลี่ยนสีหน้าทันที  หญิงสาวแน่ใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ มองหน้าท่านพี่แล้วคาดคั้นถามต่อ

    “พี่รู้ใช่มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้น  ”



    ชายหมุ่มไม่กล้าสบตาน้องสาวเฉมองไปทางอื่น ทำพูดเสียงดังกลบเกลื่อน

    “ ไม่มีอะไรน่า ..พระองค์คงเครียดเรื่องงานราชการนะ ”



    “ นาไม่เชื่อหรอก  บอกความจริงมาซะดีๆ ”

    “ ก็พี่บอกว่าไม่มีอะไร ก็ไม่มีอะไรไง ” ยังทำปากแข็งอยู่อีก



    “ ถ้ายังไม่บอกอีกละก็  เกล้าจะไปหาพี่หญิงทัศนวรรณบอกว่าพี่ชอบนางนะ  ”



    “ อย่านะ...เกล้า  ”  

    ชายหนุ่มยันตัวขึ้นนั่ง คิดตริตรองว่า สมควรจะบอกน้องสาวดีหรือเปล่า  ไม่ได้กลัวเลยว่านางจะไป

    บอกหญิงสาวที่ตนหมายปอง   หากแต่ไม่อยากให้น้องสาวคนเดียวต้องไม่สบายใจ แต่แล้วก็ต้องตัดสินใจว่าควรจะบอก

    เพื่อความปลอดภัยของนางเอง



    “ อ่ะบอกก็บอก  เจ้าแน่ใจนะว่าอยากจะฟังจริง ๆ”



    หญิงสาวพยักหน้า มองหน้าพี่ชายอย่างพร้อมที่จะฟังเต็มที่

    เจ้าชายจุลจักรตรัสพระสุรเสียงจริงจังว่า



    “ ศึกจะมาประชิดเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า  พระราชาทีฆชนก  แห่งเมืองอโรธนะ  

    ผู้กระหายในสงครามกำลังมุ่งตรงมาที่นี้ เพื่อครอบครองนครโกศลของเรา  ตอนนี้เราจำเป็น

    ต้องเตรียมการศึกเพื่อรับมือกองทัพที่ไม่เคยรู้จักคำว่าแพ้  พี่เชื่อว่าศึกครั้งนี้ต้องเสียเลือดเนื้อมากมาย

    โอกาสที่เราจะแพ้นั้นมีมาก เจ้าเป็นหญิง และเป็นลูกสาวคนเดียวท่านพ่อจึงห่วงเจ้ามากเป็นพิเศษ  

    พี่เองก็ห่วงเจ้าเหลือเกิน ลูกผู้ชายเช่นพี่อย่างมากก็แค่ตาย  แต่ลูกผู้หญิงนั้นพี่ทนไม่ได้ที่ต้องให้ใคร

    มาทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของเจ้า




    ศุภลักษณานิ่งอึ้งตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยิน  น้ำตาคลอมองหน้าพี่ชาย นึกถึงคำพูดของพระอาจารย์เมื่อวานนี้

    ที่นางพูดคงหมายถึงเรื่องนี้สินะ



    “ เหตุใดเรื่องร้ายต้องเกิดขึ้นกับบ้านเมืองของเราด้วย ”    เธอคิดในใจ โผเข้าก่อนท่านพี่ร้องไห้ไม่หยุด



    ท่านพี่ลูบผมศุภลักษณาเบาๆแล้วตรัสว่า

    “ นี่ไม่ใช่เวลาที่เจ้าหญิงแห่งนครโกศลจะร้องไห้  เจ้าต้องเข้มแข็ง และเป็นขวัญกำลังใจให้ทหาร

    ตัวพี่และท่านพ่อ เพื่อให้รบสำเร็จให้จงได้ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น พี่จะปกป้องเจ้าเอง”




    หญิงสาวปาดน้ำตาทิ้ง มองพี่ชายตัวเองด้วยความซาบซึ้งใจ

    ความคิดอะไรบางอย่างวิ่งเข้ามาในสมอง



    “ คงถึงเวลาแล้วที่ฉันจะได้ทำหน้าที่เจ้าหญิงที่สมบูรณ์เพื่อบ้านเมืองของฉันเอง”



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×