ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตประจำวัน
ช่วงเช้าวันนี้ศุภลักษณารู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ เพราะได้ลงอุทยาน
อุทยานที่วิ่งเล่นมาตั้งแต่จำความได้ จนบัดนี้โตเป็นสาวแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างได้ แม้กระทั่งธรรมชาติ
ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ดอกไม้ที่ผลิดอก  สัตว์น้อยใหญ่ที่เจริญเติบโตขึ้น
และในทางกลับกันต้นไม้บางต้นก็แก่ตายไป ดอกไม้บางต้นก็ถูกตัดไป  สัตว์บางตัวก็ตายไปตามอายุขัย
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ  รวมทั้งมนุษย์อย่างเธอด้วย
              .....มีเกิด  ก็ต้องมีตาย ........   
แต่....ชีวิตของเธอต่างจากคนอื่นตรงที่  “ไร้อิสรภาพ ”
อิสรภาพที่ว่านี้ไม่ใช่การกักขังหน่วยเหนี่ยว  แต่เป็นการขาดอิสรภาพทางความคิด
คิดอยากจะทำ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ  แต่ทำไม่ได้  ด้วยข้อจำกัดบางประการ  มันอัดอั้นอย่างมาก
จะว่าไปสิ่งที่สาวน้อยคนนี้อยากทำมันเป็นสิ่งพื้นฐานที่ปุถุชนสามารถทำตามที่คิด ได้โดยง่าย
โดยไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย
แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เกิดมาเป็น “ เจ้าหญิง”  อย่าง ศุภลักษณา
ความทุกข์ ความอัดอั้นที่เกิดขึ้นในใจของสาวแรกรุ่นที่งามละไมนี้สามารถระบายได้เมื่อลงอุทยาน
เช้านี้ดูเหมือนต้นไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้ผลิบานเป็นพิเศษ  หยดน้ำค้างที่เกาะอยู่ทำให้ดอกไม้
เหมือนแก้วคริสตัลหลากสี  เหมือนริ้วขบวนที่ต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อย และเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปหาด้วยท่วงท่าสุภาพ
ลมพัดโชยเป็นฉากให้ผีเสื้อหลากลายบินถลาเกาะดอกไม้ดอกโน้นทีดอกนี้ที 
เหมือนดนตรีที่กำลังบรรเลงให้เหล่าผีเสื้อฟ้อนรำ
“ คงใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้วซินะ พวกเจ้าถึงได้ร่าเริงกันขนาดนี้ ” 
เธอคิดในใจ  ดวงตากลมโตสดใสจ้องมองดอกไม้สีชมพูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา
แล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ  ดื่มดำกับความรู้สึกเป็นสุขที่พวกเขามอบให้อย่างเต็มอิ่ม 
เงี่ยหูฟังเสียงลมรู้สึกว่ามันเพราะเหลือเกินกลิ่นดินหลังฝนตกช่างหอมหวนมากกว่าอาหารรสเลิศ
“ มันดีอย่างนี้นี่เอง ดีตรงที่ไม่ต้องมีใครมาสร้างกฎระเบียบบังคับ ไม่ต้องมีใครพูดให้รำคาญใจ 
ไม่ต้องมีใครมาแสร้งทำให้เราพึงพอใจ  ไม่ต้องมีใครไม่เข้าใจใคร  ไม่ต้องวุ่นวาย  ” 
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กางแขนรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า
ความลงตัว ความสมดุลที่เกิดขึ้นเอง เป็นความสงบสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้ นอกจากธรรมชาติ
แต่เธอก็มีความสุขไม่ได้นาน  ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกดังมาจากข้างหลัง
“ องค์หญิงเพคะ  เสด็จไปสรงน้ำเถอะเพคะ ใกล้เวลาที่พระอาจารย์จะมาสอนแล้ว”
เจ้าหญิงองค์น้อยหันตามเสียงเรียกแล้วยิ้มให้  หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับท่านแม่ยิ้มตอบ
“ค่ะ คุณนม หญิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะคะ ”
เธอรับคำแล้วเดินตามหลังคุณนมไป  จากสีหน้าจากเปี่ยมสุขกลับเข้าสู่สภาพเดิม
...................
วันนี้มีเรียนวิชากฎหมาย ต่อด้วยวิชาปกครอง แล้วก็ต่อด้วยการฝึกมารยาทสังคม
ขณะเรียนศุภลักษณาก็เกิดความคิดว่าจะเรียนไปทำไม? ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เธอไม่เคยได้ใช้มันเลย  ความอัดอั้นในใจช่วยขยับปากเรียวงามของหญิงสาวให้เอ่ยขึ้นว่า
“ ท่านอาจารย์คะ  ทำไมหญิงต้องเรียนวิชาพวกนี้ด้วย  ในเมื่อหญิงไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์เลย ”
ท่านอาจารย์สุมนทา ผู้เชี่ยวชาญการปกครองและเป็นโหรประจำวัง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองลอดแว่น
ปากสีแดงถูกแสยะออกอย่างน่ากลัวก่อนตอบว่า
“  รอเวลาอีกนิดเพคะ ภายภาคหน้าองค์หญิงจะได้ใช้อย่างแน่นอน
และเป็นการใช้เพื่อช่วยบ้านเมืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของนครโกศล ”
คำพูดของนางทำให้ศุภลักษณาขนลุกขึ้นอย่างแปลกปะหลาด
น่าแปลกที่ประโยคเพียงไม่กี่ประโยคทำให้เธอนิ่งและคล้อยตาม อย่างไร้ความค้างคาใจ สงสัย ที่มีอยู่ 
ตั้งแต่วันนั้นศุภลักษณาก็ใส่ใจกับการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกมันบอกว่า
“จงตักตวงวิชาความรู้เหล่านี้ไว้ให้เต็มที่ เพราะเวลาที่เจ้าจะได้เรียนเช่นนี้เหลือน้อยลงทุกที ”
แต่......ความขยันเรียนมันก็ต้องก่อเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่างรวมกันใช่มั้ยล่ะ
ยิ่งคนที่สมาธิสั้นและขี้เบื่ออย่างเธอด้วยละก็ ไม่ต้องพูดถึง ขยันได้อย่างมาก 2 ชั่วโมง
แล้วก็เริ่มเบื่อ เซ็งอีกตามเคย
ที่รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่น่าเบื่อ  เพราะตั้งแต่ท่านพี่รองอายุ 5 ขวบ ก็ถูกตารางเรียนบังคับ
ทั้งวิชากลวิธีการรบ การปกครอง  เวทมนตร์คาถา สารพัดวิชาที่ผู้เป็นกษัตริย์ในอนาคตควรจะเรียน
มากมายซะจนไม่มีเวลาที่จะมาเล่นกับเธอผู้ซึ่งเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนเคย  เธอเองเหงามากไม่รู้จะเล่นกับใคร
ดังนั้นตั้งแต่ศุภลักษณาอายุ 4 ขวบ ก็ขาดเพื่อนอย่างท่านพี่รอง  ช่วงนั้นเจ้าหญิงองค์น้อยมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม
เธอเองก็ไม่รู้จะถามใครได้ เคยลองถามคุณแม่นมทีนึงหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากถามอีก  เพราะเมื่อเธอถามไป
คุณนมก็เอาแต่อมยิ้มแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันน่าขำอะไรนักหนา  ก็แค่ถามว่า
“ คุณนมคะ ทีท่านพ่อนอนกับคุณแม่แล้วมีเกล้าได้  หยั่งนี้ถ้าเกล้านอนกับคุณนมเกล้าจะมีน้องได้มั้ยค่ะ ”
แค่นั้นเอง
เมื่อเห็นว่าไม่มีเพื่อนเล่นจริงๆแล้ว  เธอจึงตัดสินใจเล่นคนเดียวมันซะเลย ขลุกอยู่ในอุทยาน
มีคำถามก็ถามต้นไม้บ้าง ดอกไม้บ้าง  กระรอกบ้าง ผีเสื้อบ้าง ถามเองตอบเอง ก็ดีเหมือนกัน
จนทำให้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตในนั้นเปรียบเสมือน  “ เพื่อน”    กลุ่มใหญ่
แต่คนเราบางครั้งก็ต้องการคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
อยู่ด้วยกันได้ ปรึกษากันได้  ศุภลักษณาก็เช่นกัน
จากวันนั้นถึงวันนี้
“ เธอไม่เคยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย แม้แต่คนเดียว ”
ต้องอยู่คนเดียว แล้วก็เล่นคนเดียวมาโดยตลอดนี่ยังต้องมาเรียนคนเดียวอีก
บางครั้งก็เธอก็รู้สึกภูมิใจนิดๆ ที่อยู่มาจนอายุ 18 ได้โดยไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยซักคน
แต่มันก็เป็นความภูมิใจเพียง 0.001 % ที่เหลือเป็นความรันทดใจ
บางครั้งก็เธอก็อยากจะถอนหายใจวันละพันครั้ง  ซึ่งเธอได้ลองแล้ว
แต่ก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันกว่าจะเรียนจบทุกวิชาก็เย็น  ขณะที่ศุภลักษณากำลังจะล้มตัวลงนอน
“ องค์หญิงเพคะ ”
“ ค่า.......คุณนม ”
เธอขานรับแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกทำเป็นไม่สนใจ
“อะไรกันอีกล่ะนี่ ”  เธอคิด
คุณนมเดินนำหน้าเหล่านางกำนัลที่หอบชุดพะรุงพะรัง พร้อมเครื่องประดับมากมาย
คุณนมถลาเข้ามาหานั่งข้างๆเตียง
“ ยังบรรทมไม่ได้เพคะองค์หญิง  ค่ำนี้เสด็จแม่ ให้องค์หญิงลงไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเพคะ ”
“ งานเลี้ยงส่งใครไปไหนอีกล่ะคะคุณนม ”  เธอหลับตาถาม
“ งานเลี้ยงต้อนรับพระโอรสของเสด็จอาเพคะที่เพิ่งกลับมาจากเมืองฝรั่งเพคะ”
“ หญิงเหนื่อยมาก  แล้วก็ง่วงมากด้วยค่ะคุณนม  บอกท่านแม่ให้หน่อยนะคะว่าหญิงไม่สบาย ”
เจ้าหญิงองค์น้อยที่บัดนี้โตเป็นสาวสะคราญพูดน้ำเสียงออดอ้อนคุณนมเต็มที่อย่างเคย แต่ทว่าไม่ได้ผล
“ ไม่ได้เพคะ ”      คุณนมพูดเสียงแข็ง
“หม่อมฉันตามใจพระองค์จนเคย  ถ้าวันนี้ไม่ลงไปอีกละก้อ มีหวังเสด็จแม่กริ้วแน่ๆเลยเพคะ”
ว่าแล้วก็ชุดกระชากลากถูเธอให้ไปอาบน้ำแต่งตัว
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็แต่งตัวเสร็จ
ศุภลักษณานั่งมองตัวเองในกระจก  ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกประดับประดาเสื้อผ้าอาภรณ์
และเครื่องประดับที่สวยงาม  ดูสง่างาม จนใครๆก็ต้องให้ความเคารพยำเกรง
แต่ไม่ว่าภาพที่เห็นจะเป็นอย่างไรก็ตาม  ในความรู้สึกแล้ว เธอเองก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
“ องค์หญิงเสด็จได้แล้วเพคะ ”  คุณนมเดินมาเรียกฉัน
“ ค่ะ ”    เธอพยักหน้ารับเบาๆ  มองไปที่กระจกอีกครั้ง ยิ้มให้ตัวเองเศร้าๆ ก่อนออกเดินตามคุณนมไป
เธอพูดกับตัวเองให้มีกำลังใจต่อไปว่า
        แม้จะเหนื่อยเพียงใด....จงจำไว้นะศุภลักษณาว่า
                            .........มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..........
                      .........หน้าที่ของเจ้าหญิงแห่งนครโกศล ..
                          ..หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ           
                                 
                                                  .........จนกว่าชีวิตจะหาไม่
............................................................
ฝากไว้ด้วยนะคะ เชิญติชมได้ตามสบายเลย -ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เราเชื่อว่านิยายแบบไทยๆก็ยังอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนใช่ไหมล่ะ
ตอนแรกอาจไม่มีอะไรมากมาย แต่รับรองว่าต่อไปมีแน่ๆค่ะ
จะพยายามให้ดีที่สุด  แม้คำราชาศัพท์จะไม่ค่อยสันทัดก็ตาม
นิยายไทยมีเสน่ห์ไม่แพ้นิยายชาติอื่นเลยจริงมั้ยล่ะ ?
อุทยานที่วิ่งเล่นมาตั้งแต่จำความได้ จนบัดนี้โตเป็นสาวแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างได้ แม้กระทั่งธรรมชาติ
ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ดอกไม้ที่ผลิดอก  สัตว์น้อยใหญ่ที่เจริญเติบโตขึ้น
และในทางกลับกันต้นไม้บางต้นก็แก่ตายไป ดอกไม้บางต้นก็ถูกตัดไป  สัตว์บางตัวก็ตายไปตามอายุขัย
ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ  รวมทั้งมนุษย์อย่างเธอด้วย
              .....มีเกิด  ก็ต้องมีตาย ........   
แต่....ชีวิตของเธอต่างจากคนอื่นตรงที่  “ไร้อิสรภาพ ”
อิสรภาพที่ว่านี้ไม่ใช่การกักขังหน่วยเหนี่ยว  แต่เป็นการขาดอิสรภาพทางความคิด
คิดอยากจะทำ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ  แต่ทำไม่ได้  ด้วยข้อจำกัดบางประการ  มันอัดอั้นอย่างมาก
จะว่าไปสิ่งที่สาวน้อยคนนี้อยากทำมันเป็นสิ่งพื้นฐานที่ปุถุชนสามารถทำตามที่คิด ได้โดยง่าย
โดยไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย
แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เกิดมาเป็น “ เจ้าหญิง”  อย่าง ศุภลักษณา
ความทุกข์ ความอัดอั้นที่เกิดขึ้นในใจของสาวแรกรุ่นที่งามละไมนี้สามารถระบายได้เมื่อลงอุทยาน
เช้านี้ดูเหมือนต้นไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้ผลิบานเป็นพิเศษ  หยดน้ำค้างที่เกาะอยู่ทำให้ดอกไม้
เหมือนแก้วคริสตัลหลากสี  เหมือนริ้วขบวนที่ต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อย และเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปหาด้วยท่วงท่าสุภาพ
ลมพัดโชยเป็นฉากให้ผีเสื้อหลากลายบินถลาเกาะดอกไม้ดอกโน้นทีดอกนี้ที 
เหมือนดนตรีที่กำลังบรรเลงให้เหล่าผีเสื้อฟ้อนรำ
“ คงใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้วซินะ พวกเจ้าถึงได้ร่าเริงกันขนาดนี้ ” 
เธอคิดในใจ  ดวงตากลมโตสดใสจ้องมองดอกไม้สีชมพูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา
แล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ  ดื่มดำกับความรู้สึกเป็นสุขที่พวกเขามอบให้อย่างเต็มอิ่ม 
เงี่ยหูฟังเสียงลมรู้สึกว่ามันเพราะเหลือเกินกลิ่นดินหลังฝนตกช่างหอมหวนมากกว่าอาหารรสเลิศ
“ มันดีอย่างนี้นี่เอง ดีตรงที่ไม่ต้องมีใครมาสร้างกฎระเบียบบังคับ ไม่ต้องมีใครพูดให้รำคาญใจ 
ไม่ต้องมีใครมาแสร้งทำให้เราพึงพอใจ  ไม่ต้องมีใครไม่เข้าใจใคร  ไม่ต้องวุ่นวาย  ” 
เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กางแขนรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า
ความลงตัว ความสมดุลที่เกิดขึ้นเอง เป็นความสงบสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้ นอกจากธรรมชาติ
แต่เธอก็มีความสุขไม่ได้นาน  ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกดังมาจากข้างหลัง
“ องค์หญิงเพคะ  เสด็จไปสรงน้ำเถอะเพคะ ใกล้เวลาที่พระอาจารย์จะมาสอนแล้ว”
เจ้าหญิงองค์น้อยหันตามเสียงเรียกแล้วยิ้มให้  หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับท่านแม่ยิ้มตอบ
“ค่ะ คุณนม หญิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะคะ ”
เธอรับคำแล้วเดินตามหลังคุณนมไป  จากสีหน้าจากเปี่ยมสุขกลับเข้าสู่สภาพเดิม
...................
วันนี้มีเรียนวิชากฎหมาย ต่อด้วยวิชาปกครอง แล้วก็ต่อด้วยการฝึกมารยาทสังคม
ขณะเรียนศุภลักษณาก็เกิดความคิดว่าจะเรียนไปทำไม? ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เธอไม่เคยได้ใช้มันเลย  ความอัดอั้นในใจช่วยขยับปากเรียวงามของหญิงสาวให้เอ่ยขึ้นว่า
“ ท่านอาจารย์คะ  ทำไมหญิงต้องเรียนวิชาพวกนี้ด้วย  ในเมื่อหญิงไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์เลย ”
ท่านอาจารย์สุมนทา ผู้เชี่ยวชาญการปกครองและเป็นโหรประจำวัง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองลอดแว่น
ปากสีแดงถูกแสยะออกอย่างน่ากลัวก่อนตอบว่า
“  รอเวลาอีกนิดเพคะ ภายภาคหน้าองค์หญิงจะได้ใช้อย่างแน่นอน
และเป็นการใช้เพื่อช่วยบ้านเมืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของนครโกศล ”
คำพูดของนางทำให้ศุภลักษณาขนลุกขึ้นอย่างแปลกปะหลาด
น่าแปลกที่ประโยคเพียงไม่กี่ประโยคทำให้เธอนิ่งและคล้อยตาม อย่างไร้ความค้างคาใจ สงสัย ที่มีอยู่ 
ตั้งแต่วันนั้นศุภลักษณาก็ใส่ใจกับการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกมันบอกว่า
“จงตักตวงวิชาความรู้เหล่านี้ไว้ให้เต็มที่ เพราะเวลาที่เจ้าจะได้เรียนเช่นนี้เหลือน้อยลงทุกที ”
แต่......ความขยันเรียนมันก็ต้องก่อเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่างรวมกันใช่มั้ยล่ะ
ยิ่งคนที่สมาธิสั้นและขี้เบื่ออย่างเธอด้วยละก็ ไม่ต้องพูดถึง ขยันได้อย่างมาก 2 ชั่วโมง
แล้วก็เริ่มเบื่อ เซ็งอีกตามเคย
ที่รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่น่าเบื่อ  เพราะตั้งแต่ท่านพี่รองอายุ 5 ขวบ ก็ถูกตารางเรียนบังคับ
ทั้งวิชากลวิธีการรบ การปกครอง  เวทมนตร์คาถา สารพัดวิชาที่ผู้เป็นกษัตริย์ในอนาคตควรจะเรียน
มากมายซะจนไม่มีเวลาที่จะมาเล่นกับเธอผู้ซึ่งเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนเคย  เธอเองเหงามากไม่รู้จะเล่นกับใคร
ดังนั้นตั้งแต่ศุภลักษณาอายุ 4 ขวบ ก็ขาดเพื่อนอย่างท่านพี่รอง  ช่วงนั้นเจ้าหญิงองค์น้อยมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม
เธอเองก็ไม่รู้จะถามใครได้ เคยลองถามคุณแม่นมทีนึงหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากถามอีก  เพราะเมื่อเธอถามไป
คุณนมก็เอาแต่อมยิ้มแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันน่าขำอะไรนักหนา  ก็แค่ถามว่า
“ คุณนมคะ ทีท่านพ่อนอนกับคุณแม่แล้วมีเกล้าได้  หยั่งนี้ถ้าเกล้านอนกับคุณนมเกล้าจะมีน้องได้มั้ยค่ะ ”
แค่นั้นเอง
เมื่อเห็นว่าไม่มีเพื่อนเล่นจริงๆแล้ว  เธอจึงตัดสินใจเล่นคนเดียวมันซะเลย ขลุกอยู่ในอุทยาน
มีคำถามก็ถามต้นไม้บ้าง ดอกไม้บ้าง  กระรอกบ้าง ผีเสื้อบ้าง ถามเองตอบเอง ก็ดีเหมือนกัน
จนทำให้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตในนั้นเปรียบเสมือน  “ เพื่อน”    กลุ่มใหญ่
แต่คนเราบางครั้งก็ต้องการคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง
อยู่ด้วยกันได้ ปรึกษากันได้  ศุภลักษณาก็เช่นกัน
จากวันนั้นถึงวันนี้
“ เธอไม่เคยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย แม้แต่คนเดียว ”
ต้องอยู่คนเดียว แล้วก็เล่นคนเดียวมาโดยตลอดนี่ยังต้องมาเรียนคนเดียวอีก
บางครั้งก็เธอก็รู้สึกภูมิใจนิดๆ ที่อยู่มาจนอายุ 18 ได้โดยไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยซักคน
แต่มันก็เป็นความภูมิใจเพียง 0.001 % ที่เหลือเป็นความรันทดใจ
บางครั้งก็เธอก็อยากจะถอนหายใจวันละพันครั้ง  ซึ่งเธอได้ลองแล้ว
แต่ก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันกว่าจะเรียนจบทุกวิชาก็เย็น  ขณะที่ศุภลักษณากำลังจะล้มตัวลงนอน
“ องค์หญิงเพคะ ”
“ ค่า.......คุณนม ”
เธอขานรับแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกทำเป็นไม่สนใจ
“อะไรกันอีกล่ะนี่ ”  เธอคิด
คุณนมเดินนำหน้าเหล่านางกำนัลที่หอบชุดพะรุงพะรัง พร้อมเครื่องประดับมากมาย
คุณนมถลาเข้ามาหานั่งข้างๆเตียง
“ ยังบรรทมไม่ได้เพคะองค์หญิง  ค่ำนี้เสด็จแม่ ให้องค์หญิงลงไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเพคะ ”
“ งานเลี้ยงส่งใครไปไหนอีกล่ะคะคุณนม ”  เธอหลับตาถาม
“ งานเลี้ยงต้อนรับพระโอรสของเสด็จอาเพคะที่เพิ่งกลับมาจากเมืองฝรั่งเพคะ”
“ หญิงเหนื่อยมาก  แล้วก็ง่วงมากด้วยค่ะคุณนม  บอกท่านแม่ให้หน่อยนะคะว่าหญิงไม่สบาย ”
เจ้าหญิงองค์น้อยที่บัดนี้โตเป็นสาวสะคราญพูดน้ำเสียงออดอ้อนคุณนมเต็มที่อย่างเคย แต่ทว่าไม่ได้ผล
“ ไม่ได้เพคะ ”      คุณนมพูดเสียงแข็ง
“หม่อมฉันตามใจพระองค์จนเคย  ถ้าวันนี้ไม่ลงไปอีกละก้อ มีหวังเสด็จแม่กริ้วแน่ๆเลยเพคะ”
ว่าแล้วก็ชุดกระชากลากถูเธอให้ไปอาบน้ำแต่งตัว
ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็แต่งตัวเสร็จ
ศุภลักษณานั่งมองตัวเองในกระจก  ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกประดับประดาเสื้อผ้าอาภรณ์
และเครื่องประดับที่สวยงาม  ดูสง่างาม จนใครๆก็ต้องให้ความเคารพยำเกรง
แต่ไม่ว่าภาพที่เห็นจะเป็นอย่างไรก็ตาม  ในความรู้สึกแล้ว เธอเองก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
“ องค์หญิงเสด็จได้แล้วเพคะ ”  คุณนมเดินมาเรียกฉัน
“ ค่ะ ”    เธอพยักหน้ารับเบาๆ  มองไปที่กระจกอีกครั้ง ยิ้มให้ตัวเองเศร้าๆ ก่อนออกเดินตามคุณนมไป
เธอพูดกับตัวเองให้มีกำลังใจต่อไปว่า
        แม้จะเหนื่อยเพียงใด....จงจำไว้นะศุภลักษณาว่า
                            .........มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..........
                      .........หน้าที่ของเจ้าหญิงแห่งนครโกศล ..
                          ..หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ           
                                 
                                                  .........จนกว่าชีวิตจะหาไม่
............................................................
ฝากไว้ด้วยนะคะ เชิญติชมได้ตามสบายเลย -ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
เราเชื่อว่านิยายแบบไทยๆก็ยังอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนใช่ไหมล่ะ
ตอนแรกอาจไม่มีอะไรมากมาย แต่รับรองว่าต่อไปมีแน่ๆค่ะ
จะพยายามให้ดีที่สุด  แม้คำราชาศัพท์จะไม่ค่อยสันทัดก็ตาม
นิยายไทยมีเสน่ห์ไม่แพ้นิยายชาติอื่นเลยจริงมั้ยล่ะ ?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น