ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    การตัดสินใจครั้งสำคัญของ \"ศุภลักษณา\"

    ลำดับตอนที่ #1 : ชีวิตประจำวัน

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 48


    ช่วงเช้าวันนี้ศุภลักษณารู้สึกสดชื่นมากเป็นพิเศษ เพราะได้ลงอุทยาน

    อุทยานที่วิ่งเล่นมาตั้งแต่จำความได้ จนบัดนี้โตเป็นสาวแล้ว

    ไม่น่าเชื่อว่ากาลเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างได้ แม้กระทั่งธรรมชาติ

    ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเพิ่มขึ้น ดอกไม้ที่ผลิดอก  สัตว์น้อยใหญ่ที่เจริญเติบโตขึ้น

    และในทางกลับกันต้นไม้บางต้นก็แก่ตายไป ดอกไม้บางต้นก็ถูกตัดไป  สัตว์บางตัวก็ตายไปตามอายุขัย



    ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกฎของธรรมชาติ  รวมทั้งมนุษย์อย่างเธอด้วย



                   .....มีเกิด  ก็ต้องมีตาย ........    



    แต่....ชีวิตของเธอต่างจากคนอื่นตรงที่  “ไร้อิสรภาพ ”

    อิสรภาพที่ว่านี้ไม่ใช่การกักขังหน่วยเหนี่ยว  แต่เป็นการขาดอิสรภาพทางความคิด

    คิดอยากจะทำ ไม่ใช่ไม่ได้ทำ  แต่ทำไม่ได้  ด้วยข้อจำกัดบางประการ  มันอัดอั้นอย่างมาก



    จะว่าไปสิ่งที่สาวน้อยคนนี้อยากทำมันเป็นสิ่งพื้นฐานที่ปุถุชนสามารถทำตามที่คิด ได้โดยง่าย

    โดยไม่ผิดศีลธรรมและกฎหมาย



    แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เกิดมาเป็น “ เจ้าหญิง”  อย่าง ศุภลักษณา



    ความทุกข์ ความอัดอั้นที่เกิดขึ้นในใจของสาวแรกรุ่นที่งามละไมนี้สามารถระบายได้เมื่อลงอุทยาน

    เช้านี้ดูเหมือนต้นไม้เขียวชอุ่ม ดอกไม้ผลิบานเป็นพิเศษ  หยดน้ำค้างที่เกาะอยู่ทำให้ดอกไม้

    เหมือนแก้วคริสตัลหลากสี  เหมือนริ้วขบวนที่ต้อนรับเจ้าหญิงองค์น้อย และเชื้อเชิญให้เธอเข้าไปหาด้วยท่วงท่าสุภาพ

    ลมพัดโชยเป็นฉากให้ผีเสื้อหลากลายบินถลาเกาะดอกไม้ดอกโน้นทีดอกนี้ที  

    เหมือนดนตรีที่กำลังบรรเลงให้เหล่าผีเสื้อฟ้อนรำ



    “ คงใกล้ฤดูใบไม้ผลิแล้วซินะ พวกเจ้าถึงได้ร่าเริงกันขนาดนี้ ”  

    เธอคิดในใจ   ดวงตากลมโตสดใสจ้องมองดอกไม้สีชมพูที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา

    แล้วสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ   ดื่มดำกับความรู้สึกเป็นสุขที่พวกเขามอบให้อย่างเต็มอิ่ม  

    เงี่ยหูฟังเสียงลมรู้สึกว่ามันเพราะเหลือเกินกลิ่นดินหลังฝนตกช่างหอมหวนมากกว่าอาหารรสเลิศ



    “ มันดีอย่างนี้นี่เอง ดีตรงที่ไม่ต้องมีใครมาสร้างกฎระเบียบบังคับ ไม่ต้องมีใครพูดให้รำคาญใจ  

    ไม่ต้องมีใครมาแสร้งทำให้เราพึงพอใจ  ไม่ต้องมีใครไม่เข้าใจใคร  ไม่ต้องวุ่นวาย  ”  

    เธอสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กางแขนรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า



    ความลงตัว ความสมดุลที่เกิดขึ้นเอง เป็นความสงบสุขที่หาจากที่ไหนไม่ได้ นอกจากธรรมชาติ



    แต่เธอก็มีความสุขไม่ได้นาน  ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเรียกดังมาจากข้างหลัง



    “ องค์หญิงเพคะ  เสด็จไปสรงน้ำเถอะเพคะ ใกล้เวลาที่พระอาจารย์จะมาสอนแล้ว”



    เจ้าหญิงองค์น้อยหันตามเสียงเรียกแล้วยิ้มให้  หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับท่านแม่ยิ้มตอบ



    “ค่ะ คุณนม หญิงจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะคะ ”



    เธอรับคำแล้วเดินตามหลังคุณนมไป  จากสีหน้าจากเปี่ยมสุขกลับเข้าสู่สภาพเดิม

    ...................



    วันนี้มีเรียนวิชากฎหมาย ต่อด้วยวิชาปกครอง แล้วก็ต่อด้วยการฝึกมารยาทสังคม

    ขณะเรียนศุภลักษณาก็เกิดความคิดว่าจะเรียนไปทำไม? ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

    เธอไม่เคยได้ใช้มันเลย  ความอัดอั้นในใจช่วยขยับปากเรียวงามของหญิงสาวให้เอ่ยขึ้นว่า



    “ ท่านอาจารย์คะ  ทำไมหญิงต้องเรียนวิชาพวกนี้ด้วย  ในเมื่อหญิงไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันให้เกิดประโยชน์เลย ”



    ท่านอาจารย์สุมนทา ผู้เชี่ยวชาญการปกครองและเป็นโหรประจำวัง เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองลอดแว่น

    ปากสีแดงถูกแสยะออกอย่างน่ากลัวก่อนตอบว่า



    “  รอเวลาอีกนิดเพคะ ภายภาคหน้าองค์หญิงจะได้ใช้อย่างแน่นอน

    และเป็นการใช้เพื่อช่วยบ้านเมืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของนครโกศล ”



    คำพูดของนางทำให้ศุภลักษณาขนลุกขึ้นอย่างแปลกปะหลาด

    น่าแปลกที่ประโยคเพียงไม่กี่ประโยคทำให้เธอนิ่งและคล้อยตาม อย่างไร้ความค้างคาใจ สงสัย ที่มีอยู่  



    ตั้งแต่วันนั้นศุภลักษณาก็ใส่ใจกับการเรียนมากขึ้นกว่าเดิม ความรู้สึกมันบอกว่า



    “จงตักตวงวิชาความรู้เหล่านี้ไว้ให้เต็มที่ เพราะเวลาที่เจ้าจะได้เรียนเช่นนี้เหลือน้อยลงทุกที ”



    แต่......ความขยันเรียนมันก็ต้องก่อเกิดจากองค์ประกอบหลายๆอย่างรวมกันใช่มั้ยล่ะ

    ยิ่งคนที่สมาธิสั้นและขี้เบื่ออย่างเธอด้วยละก็ ไม่ต้องพูดถึง ขยันได้อย่างมาก 2 ชั่วโมง

    แล้วก็เริ่มเบื่อ เซ็งอีกตามเคย



    ที่รู้สึกว่าเป็นการเรียนที่น่าเบื่อ  เพราะตั้งแต่ท่านพี่รองอายุ 5 ขวบ ก็ถูกตารางเรียนบังคับ

    ทั้งวิชากลวิธีการรบ การปกครอง  เวทมนตร์คาถา สารพัดวิชาที่ผู้เป็นกษัตริย์ในอนาคตควรจะเรียน

    มากมายซะจนไม่มีเวลาที่จะมาเล่นกับเธอผู้ซึ่งเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวเหมือนเคย  เธอเองเหงามากไม่รู้จะเล่นกับใคร



    ดังนั้นตั้งแต่ศุภลักษณาอายุ 4 ขวบ ก็ขาดเพื่อนอย่างท่านพี่รอง  ช่วงนั้นเจ้าหญิงองค์น้อยมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม

    เธอเองก็ไม่รู้จะถามใครได้ เคยลองถามคุณแม่นมทีนึงหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากถามอีก  เพราะเมื่อเธอถามไป

    คุณนมก็เอาแต่อมยิ้มแล้วก็ขำ ไม่รู้ว่าคำถามนั้นมันน่าขำอะไรนักหนา  ก็แค่ถามว่า



    “ คุณนมคะ ทีท่านพ่อนอนกับคุณแม่แล้วมีเกล้าได้  หยั่งนี้ถ้าเกล้านอนกับคุณนมเกล้าจะมีน้องได้มั้ยค่ะ ”

    แค่นั้นเอง



    เมื่อเห็นว่าไม่มีเพื่อนเล่นจริงๆแล้ว  เธอจึงตัดสินใจเล่นคนเดียวมันซะเลย ขลุกอยู่ในอุทยาน

    มีคำถามก็ถามต้นไม้บ้าง ดอกไม้บ้าง  กระรอกบ้าง ผีเสื้อบ้าง ถามเองตอบเอง ก็ดีเหมือนกัน

    จนทำให้รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตในนั้นเปรียบเสมือน  “ เพื่อน”    กลุ่มใหญ่



    แต่คนเราบางครั้งก็ต้องการคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง

    อยู่ด้วยกันได้ ปรึกษากันได้  ศุภลักษณาก็เช่นกัน



    จากวันนั้นถึงวันนี้



    “ เธอไม่เคยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย แม้แต่คนเดียว ”



    ต้องอยู่คนเดียว แล้วก็เล่นคนเดียวมาโดยตลอดนี่ยังต้องมาเรียนคนเดียวอีก

    บางครั้งก็เธอก็รู้สึกภูมิใจนิดๆ ที่อยู่มาจนอายุ 18 ได้โดยไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกันเลยซักคน

    แต่มันก็เป็นความภูมิใจเพียง 0.001 % ที่เหลือเป็นความรันทดใจ

    บางครั้งก็เธอก็อยากจะถอนหายใจวันละพันครั้ง  ซึ่งเธอได้ลองแล้ว

    แต่ก็ไม่เห็นได้อะไรขึ้นมา ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย



    วันนี้ก็เหมือนทุกๆวันกว่าจะเรียนจบทุกวิชาก็เย็น   ขณะที่ศุภลักษณากำลังจะล้มตัวลงนอน



    “ องค์หญิงเพคะ ”



    “ ค่า.......คุณนม ”



    เธอขานรับแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีกทำเป็นไม่สนใจ



    “อะไรกันอีกล่ะนี่ ”   เธอคิด



    คุณนมเดินนำหน้าเหล่านางกำนัลที่หอบชุดพะรุงพะรัง พร้อมเครื่องประดับมากมาย

    คุณนมถลาเข้ามาหานั่งข้างๆเตียง



    “ ยังบรรทมไม่ได้เพคะองค์หญิง  ค่ำนี้เสด็จแม่ ให้องค์หญิงลงไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเพคะ ”



    “ งานเลี้ยงส่งใครไปไหนอีกล่ะคะคุณนม ”  เธอหลับตาถาม



    “ งานเลี้ยงต้อนรับพระโอรสของเสด็จอาเพคะที่เพิ่งกลับมาจากเมืองฝรั่งเพคะ”



    “ หญิงเหนื่อยมาก  แล้วก็ง่วงมากด้วยค่ะคุณนม  บอกท่านแม่ให้หน่อยนะคะว่าหญิงไม่สบาย ”

    เจ้าหญิงองค์น้อยที่บัดนี้โตเป็นสาวสะคราญพูดน้ำเสียงออดอ้อนคุณนมเต็มที่อย่างเคย แต่ทว่าไม่ได้ผล



    “ ไม่ได้เพคะ ”       คุณนมพูดเสียงแข็ง



    “หม่อมฉันตามใจพระองค์จนเคย  ถ้าวันนี้ไม่ลงไปอีกละก้อ มีหวังเสด็จแม่กริ้วแน่ๆเลยเพคะ”

    ว่าแล้วก็ชุดกระชากลากถูเธอให้ไปอาบน้ำแต่งตัว



    ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเศษก็แต่งตัวเสร็จ

    ศุภลักษณานั่งมองตัวเองในกระจก  ภาพที่เห็นคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกประดับประดาเสื้อผ้าอาภรณ์

    และเครื่องประดับที่สวยงาม  ดูสง่างาม จนใครๆก็ต้องให้ความเคารพยำเกรง

    แต่ไม่ว่าภาพที่เห็นจะเป็นอย่างไรก็ตาม  ในความรู้สึกแล้ว เธอเองก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง



    “ องค์หญิงเสด็จได้แล้วเพคะ ”  คุณนมเดินมาเรียกฉัน



    “ ค่ะ ”     เธอพยักหน้ารับเบาๆ  มองไปที่กระจกอีกครั้ง ยิ้มให้ตัวเองเศร้าๆ ก่อนออกเดินตามคุณนมไป

    เธอพูดกับตัวเองให้มีกำลังใจต่อไปว่า

            แม้จะเหนื่อยเพียงใด....จงจำไว้นะศุภลักษณาว่า



                                .........มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำ..........

                          .........หน้าที่ของเจ้าหญิงแห่งนครโกศล…..

                              …..หน้าที่ที่เราต้องรับผิดชอบ            

                                      

                                                      .........จนกว่าชีวิตจะหาไม่






    ............................................................

    ฝากไว้ด้วยนะคะ เชิญติชมได้ตามสบายเลย -ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

    เราเชื่อว่านิยายแบบไทยๆก็ยังอยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคนใช่ไหมล่ะ

    ตอนแรกอาจไม่มีอะไรมากมาย แต่รับรองว่าต่อไปมีแน่ๆค่ะ

    จะพยายามให้ดีที่สุด  แม้คำราชาศัพท์จะไม่ค่อยสันทัดก็ตาม

    นิยายไทยมีเสน่ห์ไม่แพ้นิยายชาติอื่นเลยจริงมั้ยล่ะ ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×