คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
[ บทที่ 2 ]
“อา......” ผมสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่
- อากาศสดชื่นติดกลิ่นเย็นๆของลอนดอน -
ด้วยความสามารถของพ่อทำให้ผมได้ขึ้นเที่ยวบินในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกระโตกกระตากจะเป็นจะตายหลังมื้อเช้า (อย่างกับพ่อจะรีบเขี่ยผมให้ไปพ้นๆหน้าเลยแฮะ) และตอนนี้
ลมเย็นๆข้าง แม่น้ำเทมส์ พัดมาปะทะหน้าให้ผมยิ้มออกอีกครั้ง
เวลาเย็นย่ำค่ำคืนของส่วนนี้ดูเงียบสงบ แม่น้ำไหลเอื่อย เสาไฟส่องแสงอ่อนๆเป็นระยะ ไฟจากเรือในแม่น้ำก็ยังให้ความรู้สึกเรียบเรื่อย
ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ? ลองย้อนกลับไปอีกสักหน่อยก็ได้
....อีกสักหน่อย...หน่อยเดียวจริงๆนะ....
-------------------------------------------
"ทอม กลับบ้านทั้งที มัวขลุกอะไรอยู่ในห้อง" เสียงพ่อลอยผ่านประตูไม้ที่ปิดสนิทเข้ามาพร้อมกับเสียงเคาะประตู ผมงัวเงียโงหัวขึ้นจากหมอนแล้วตอบออกไป
"รู้แล้วล่ะน่า...."
"รีบลงมากินข้าวได้แล้ว" พ่อทิ้งท้ายไว้ก่อนจะมีเสียงลงบันไดตึงตัง
ผมยันตัวลุกนั่งพลางหาวหวอด หันตาปรือไปทางแสงที่สาดจ้าเข้ามาในห้อง ...นานๆทีจะได้นอนที่บ้าน ปล่อยให้นอนนานๆหน่อยก็ไม่ได้...
บิดขี้เกียจซะจนแทบหงายหลังหัวฟาดพื้นห้องน้ำ วันที่ไม่ต้องรีบตื่นรีบทำงานแบบนี้มันสบายจริงๆ ผมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ไม่ใช่ของใครที่ไหนแต่เป็นเพลงของพวกผมเอง
งงล่ะสิครับ? ก็ผมกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง
เมื่อเกือบๆสองปีก่อน หลังจากจอร์ชจบไฮสคูล เขาก็กลับมาหาผมอีกครั้งพร้อมกับข่าวเรื่องการทำวงดนตรีมาเสนอ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับพวกผม และผมก็รีบกระโจนรับตำแหน่งมือกีต้าร์ของวงไปโดยไม่คิดอะไรอีก ถึงความทรงจำตอนเด็กๆจะไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่ตอนที่พ่อสอนดีดกีต้าร์เท่านั้นที่รู้สึกสนุกที่สุด (ส่วนเรื่องแม่ผมลืมไปนานแล้ว)
มันไปได้สวยกว่าที่คิด วงเราเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา หลังผมจบไฮสคูลตามจอร์ชอีกปีให้หลัง เราก็ทุ่มเทให้กับวงได้เต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเล็กๆของกุสตัฟจะเค้นเสียงกลองหนักหน่วงออกมาได้ และก็ไม่น่าเชื่อด้วยว่าเสียงของผมมันจะเป็นที่ยอมรับของคนอื่นจนเริ่มมีแฟนคลับตามติด เพราะผมควบตำแหน่งกีต้าร์-ร้องนำแบบไม่กลัวพลังชีวิตหมดกันเลยทีเดียวล่ะ
ส่วนนาย..อะไรนะ? นาย บ. เหรอ?
ผมใช้เวลาไม่นานนักหรอกในการทำใจ ก็แบบว่ามีผู้หญิงอีกมากมายที่ไม่ต้องแค่ลูบๆคลำๆให้เลือก ระหว่างที่เจ้านั่นหายไปจากชีวิต
สองปี....สองปีเชียวนะ ถึงจะลืมหน้าไม่ได้เพราะส่องกระจกทีไรก็นึกออก
แต่ผมก็ลืมเรื่องของ นาย บ. ไปได้....
...อยู่แล้วล่ะน่า....
"มีโปสการ์ดส่งมาที่บ้านแน่ะ ไม่ได้ให้ที่อยู่ที่นี่กับแฟนๆไม่ใช่เหรอ?" พ่อพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ผมเหลือกตา มันก็จริงที่ว่ามันเป็นแค่เรื่องที่บังเอิญนึกได้ขึ้นมาเท่านั้น
แต่พ่อ...!!
"อยู่ไหน!?" ผมรีบยื่นหน้าเข้าไปหาพ่อที่นั่งอีกฟากโต๊ะ กลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งป้อนเข้าปากแบบไม่เสียเวลาเคี้ยว จะติดคอตายก็ช่างแต่ขอให้ได้ถามก่อน
หรือว่า ... นาย บ. ...??
"ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนแล้วนะ โอเค?" พ่อยกกาแฟขึ้นจิบแบบไม่รู้ร้อน
"ที่พูดเนี่ย หมายความว่าไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหนแล้วใช่ไหม?" ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างเอาเรื่อง
".............." พ่อเหล่ตามองผม ก่อนจะหัวเราะเบาๆ "แค่ล้อเล่นน่า... พ่อไม่นึกว่าโปสการ์ดจากแฟนๆแผ่นเดียวก็สำคัญขนาดนี้?"
"เอามา" ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบแบมือทวงทันที
...ไม่แน่นะ.....ไม่แน่ ผมลุ้นจนตัวโก่ง เมื่อไหร่พ่อจะบอกสักทีว่าอยู่ไหน
"รอเดี๋ยวซี่~" พ่อพูดกลั้วหัวเราะ ละจากอาหารเช้าพยักพเยิดหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง "อยู่ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือของลูกแน่ะ"
"ขอบคุณฮะ" ผมโดดแผล่วจากโต๊ะอาหาร วิ่งรวดเดียวขึ้นไปบนห้อง
ประตูที่กระชากเปิดออกไหลบรรยากาศคุ้นเคยอันเงียบสงบออกมายั้งผมไว้ หัวใจที่เต้นแรงเมื่อครู่สงบลงได้ด้วยไอแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง
...อาจจะไม่ใช่จากบิลก็ได้....
ผมไม่อยากคาดหวังมากเกินไป....เกินไปกว่านี้
...สองปีที่ผ่านมาก็มากเกินพอ....
อยากจะใช้มือซ้ายตบไปที่มือขวาแรงๆให้หายสั่นขณะเอื้อมเปิดลิ้นชัก
ในนั้นไม่มีของอะไรมาก สมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่จำได้ว่าเคยใช้ขีดๆเขียนๆเล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย ปากกาสองแท่งกลิ้งกลุกๆออกมาติดฝาลิ้นชักตามแรงดึง แผ่นโปสการ์ดที่ว่านอนสงบนิ่งอยู่บนสมุดโน้ตไร้สาระของผม
ท้องฟ้าสีครามสดในโปสการ์ดแต้มริ้วเมฆสีขาว ตึกทรงยุโรปสีไข่เรียงยาวจากฝั่งซ้ายของโปสการ์ดไปจรดฝั่งขวาแน่นขนัดไปตามสายแม่น้ำที่มีตัวหนังสือสีขาวเขียนจารึกไว้บนแผ่นกระดาษอาบมัน
- แม่น้ำเทมส์ ลอนดอน – (Thames River , London)
ผมพลิกด้านหลัง ลายมือหวัดๆไม่คุ้นตา เขียนไว้ว่า
" เดียร์ ทอม
ตอนนี้ฉันอยู่ที่ลอนดอน ข้างหน้ามีแม่น้ำเทมส์ไหลผ่าน แต่ในโปสการ์ดที่ส่งมาก็ไม่ได้ถ่ายติดบ้านของฉันหรอกนะ
- ใบหน้ายามหัวเราะของเจ้านั่น...นึกภาพได้ดีเลย -
ผมอ่านต่อ
นานทีเดียวที่ฉันจะกล้าฟังคำตอบของนาย แล้วก็นานพอกันกว่าที่ฉันจะกล้าบอกคำตอบของฉัน
ด้วยความจริงใจ
บิล"
ผมสอดโปสการ์ดใส่กระเป๋าเสื้อ ขมวดคิ้วกับคำลงท้ายจดหมาย
ด้วยความจริงใจ?
ด้วยความจริงใจเนี่ยนะ!?
ทำไมไม่ใช้ ด้วยรัก เล่า!!
ผมนิ่งคิด...ประมาณ 2 วินาทีก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งโดดลงมาทุบโต๊ะปึง
“พรุ่งนี้ผมจะไปลอนดอนนะ”
พ่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ ขมวดคิ้วใส่ผมอย่างสงสัย (แหงล่ะ!)
“ไหนว่าวันหยุดคราวนี้จะอยู่บ้าน?”
“ขอไปลอนดอนก่อน” ผมตอบและพูดต่อรัวเร็วอย่างกับปืนกล “โทร.จองที่นั่งให้ผมหน่อย ถ้าเป็นไปได้เอาเย็นนี้เลย ไปเก็บของล่ะ”
“รีบขนาดนั้น?” พ่อถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเมื่อผมหายหัวไปจากตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
“รีบ...รีบ” ผมตะโกนตอบขณะที่ขาตัวเองก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายและหายเข้าไปในห้อง เปิดกระเป๋า คว้าเสื้อผ้าตัวไหนได้ก็ยัดลงไปหมด
ผมจะไปลอนดอน~ ผมจะไปลอนดอนนนน!!!
-------------------------------------------
เงยหน้ามองเลขที่บ้านตรงหน้าสลับกับลายมือหวัดที่เขียนไว้บนโปสการ์ด กว่าจะหาเจอไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในหนังรักโรแมนติก โชคดีที่ผมมาถึงลอนดอนก่อนเวลาทำการไปรษณีย์หมดลง แต่ตอนนี้พนักงานคงกลับบ้านนอนแล้วหลายงีบ
- น่าจะใช่ -
ยกมือเตรียมจะเคาะแต่ก็ชะงักไว้
- ถ้าคนที่มาเปิดเป็นหนุ่มลอนดอนรูปงามล่ะ ?-
ภาพในหัวผมดูคล้ายจะเป็นหนุ่มฝรั่งเศสกล้ามโตมากกว่า ตาหวาน คางบุ๋ม ยิ้มยิงฟันมีประกายแสงวิ้งและคาบดอกกุหลาบออกมาเปิดประตูให้พร้อมกับแนะนำตัวว่า
‘ฮ้า นายเป็นครายน่า โผมเป็นแฟนของนาย บ. เองขร้าบบบ’
ผมส่ายหัวไล่ความคิด
...ไม่หรอกน่า ถึงนี่จะเป็นเรื่องกะทันหัน แต่บิลก็น่าจะยังต้อนรับผมได้ หรือถ้าเขามีแขกอยู่แล้ว อย่างน้อยก็คงแนะนำโรงแรมดีๆให้สักที่ หรืออย่างน้อยที่สุด.......
แก้ตัวต่างๆนาๆ....แต่มือก็ยังไม่กล้าเคาะประตูอยู่ดี
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ
...มาเพื่อจะรู้คำตอบของบิล ถ้าเขาปฏิเสธ...ก็แค่หอบผ้าผ่อนกลับเยอรมนี....
ก๊อก ก๊อก
ผมพยายามเคาะบานไม้สักที่พาดกั้นตรงหน้าให้เบามือที่สุดแล้วเหมือนกลัวคนที่อยู่ข้างในได้ยิน แต่เสียงมันก็ออกมาดังมากกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว อยากจะซุ่มหลบไปที่อื่นก่อน ประมาณว่าขอรอดูลาดเลา แต่ที่ทางก็ไม่อำนวยให้หลบซ่อนเอาซะเลย
ลอนดอนช่างเป็นเมืองที่สะอาดและมีระเบียบดีจริงๆ
ช่วงเวลาไม่กี่วินาที ตั้งแต่ได้ยินเสียงกุกกักจากด้านในจนถึงเวลาที่ประตูค่อยๆแง้มออก ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนภาพสโลโมชั่นในหนังผี
เป็นเวลาที่ยาวนาน...จนแทบลืมหายใจ
“อ๊ะ....” เสียงของนาย บ.
ผมหมายถึง บิล
ดังเข้าหูได้แค่นั้น ผมเองก็ไม่ทันได้ยินเสียงของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
มือของเขาไล้เบาๆอยู่ที่เอวราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยร้องไห้ อีกมือหนึ่งกระชับแผ่นหลังผมเข้าหา ส่วนมือทั้งสองของผมมันถูกดึงเข้าหาอีกร่างราวกับเจอแม่เหล็กต่างขั้วตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าของบ้านเปิดประตูอ้าออกรับ
“นายมันบ้า” ผมขยับปากพูดได้คำแรก เสียงยังอู้อี้เพราะกดริมฝีปากไว้กับไหล่ของอีกฝ่าย
“นี่มันคำตอบของนายเหรอ? แค่เป็นคำทักทายที่ดียังไม่ได้เลย” บิลเอ่ย เสียงหัวเราะน้อยๆดังอยู่ข้างหู
เขาค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดผมและดึงแขนเข้าไปด้านใน
จากภายนอกที่เป็นตึกแถวสีไข่เรียงรายกันอยู่ นี่เป็นคูหาหนึ่งในนั้น ด้านในไม่กว้างไม่แคบเกินไปสำหรับหนึ่งคน...ไม่สิ....สองคน
ผนังสีครีม ปูพรมสีอมส้ม ไฟสีเหลือง เสียงไม้ลุกไฟดังกร่อบแกร่บออกมาจากเตาผิงยิ่งทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นจนอากาศข้างนอกกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเลย
เขาชี้ให้ผมนั่งที่โซฟาแถวๆนั้นก่อนจะผลุบหายเข้าไปในครัว ผมคิดว่าน่าจะใช่ เพราะเขาออกมาพร้อมแก้วเซรามิกควันกรุ่นในมือทั้งสอง บิลยื่นให้ผมแก้วหนึ่งและนั่งลงข้างๆกัน
“เป็นยังไงบ้าง?” เขาหันมาถาม
...รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาตั้งนานก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย....
“ก็ดี” ผมตอบ ก้มหน้าลงไปจมกับโกโก้ร้อนในมือต่อไป
“....................”
ยิ่งห้องเงียบเท่าไหร่ เสียงหัวใจที่มัวแต่กังวลว่าบิลจะได้ยินก็ดูเหมือนจะยิ่งดังขึ้นเท่านั้น ที่ผ่านมาใช่ว่าผมจะจำบิลได้ในทุกลมหายใจ สองปีก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รักษาพรหมจรรย์ไว้ให้สักหน่อย แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน.
เพิ่งรู้ตัวว่า ผมคิดถึง...คิดถึงคนข้างๆนี่มากๆเลย
“....แต่ฉันคิดถึงนาย” ในที่สุดผมก็พูดแผ่วๆออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในห้องปิดทึบ บิลก็อาจจะไม่ได้ยินเลยก็ได้ เพราะลมคงจะพัดพามันปลิวหายไปหมด ผมพูดต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น..อีกนิด “..เพิ่งจะกลับบ้านแล้วก็ได้รับโปสการ์ดของนายเมื่อ...วาน” ผมโกหก มันจะดูใจง่ายไปหน่อยถ้าจะบอกว่าความจริงแล้วคือ เมื่อเช้า ต่างหาก
“คิดว่าจะมาฟังคำตอบจากนาย” ผมพูดออกไปแบบแทบไม่หายใจ เค้นคอจริงๆเลย ให้ตาย....
“คำตอบ? จากฉัน?” บิลเลิกคิ้ว ผมไม่มอง เอาแต่นั่งดมกลิ่นโกโก้ในแก้วแบบไม่กล้าสบตา ทำได้แค่พยักหน้ารับ
“...ก็บอกไปแล้วนี่” คำตอบของบิลทำเอาผมนิ่งเฉยไม่ไหว ผมหันหน้าขวับไปจ้องอีกฝ่ายอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
จะว่าไปตอนนี้ให้ผมกินบิลเข้าไปทั้งตัวยังได้เลย!
“ไม่เห็นจะได้บอกอะไรฉันซักอย่าง” ผมเถียงด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม...มาก ความอึดอัดในใจเพิ่งรู้ว่ามันมากมายขนาดนี้ก็ตอนที่ได้พูดออกมา “ไม่ได้บอกให้มาหา ไม่ได้บอกว่า...”
...ว่า....รัก....
ผมสะอึก อึกอัก และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงคำพูดให้เป็นคนละอย่างกับที่อยากจะตัดพ้อ “..อย่างน้อยนายก็ไม่ได้บอกว่าคิดถึงด้วยซ้ำ” ผมก้มหน้าก้มตาลงอีกครั้ง
ก็แค่ ด้วยความจริงใจ!?
“.................” บิลนิ่งไปอึดใจก่อนจะหัวเราะออกมา...อย่างดังด้วย “นี่นาย...ไม่เข้าใจแต่ก็ยังอุตส่าห์มาเหรอ? ฮะๆ บ้าชะมัด” ท่าปาดน้ำตาของเจ้านั่นมันน่าโมโหจริงๆ มีอะไรน่าขำนักรึไง “..ถ้างั้นคำตอบของนายก็ไม่ต้องบอกหรอก ฉันเข้าใจดีพอๆกับที่นายไม่เข้าใจความหมายของฉันเลย” บิลยังขำไม่หาย
“อย่าพูดให้งงไปกว่านี้ได้ไหม?” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ ก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ
มือกระชับแก้วเซรามิกไว้แน่น ตั้งใจว่าจะออกไปข้างนอกพร้อมกับมันนี่แหละ เรื่องจริงจังแท้ๆกลับถูกทำให้กลายเป็นเรื่องตลก...ใครจะไปทนให้นั่งขำอยู่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน...เดินไปเรื่อยๆก็ได้ โลกอันกว้างใหญ่คงจะมีที่ให้ผมพักพิงล่ะน่า!
ถึงจะแอบโล่งใจที่นิ้วชี้ของบิลงอเกี่ยวนิ้วของผมเพื่อรั้งไว้ด้วยแรงน้อยๆก็เถอะ
"เดี๋ยว...." บิลกระตุกนิ้วเบาๆอีกครั้งเมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะนั่งลงอย่างที่สื่อผ่านนิ้วเชิญชวน
"เฮ้อ........." เขาถอนหายใจพลางลุกขึ้นบ้าง ยืนขึ้นแต่ก็ไม่ยอมขยับ ผละจากนิ้วของผมชั่ววินาทีเพื่อที่จะรวบทั้งห้านิ้วเข้ากับมือของตัวเองหลวมๆ บิลเริ่มพูดต่อ
"...มันไม่มีประโยชน์ที่จะส่งโปสการ์ดไปหาคนที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ?"
"................." ผมยังนิ่งเงียบอย่างไม่พยายามทำความเข้าใจใดๆ
ไม่จริง...ไม่จริงหรอก
อย่าไปคิด...ก็แค่คิดมาก....คิดเข้าข้างตัวเอง....คิดไปเอง....คิดอะไรบ้าๆ
คนที่ทิ้งผมไปตั้งสองปีน่ะ....มันทางนั้นต่างหาก!
"....แล้วนาย....คงไม่มาเพื่อจะฟังคำตอบอะไรก็ตามจากคนที่ลืมหน้าไปแล้วหรอกใช่มั้ย?"
"ฉันไม่เคยลืมนาย!" ผมเผลอเสียงดัง....หรือไม่ก็เป็นเพราะห้องนี้มันเงียบเกินไป
ผมหันหลังกลับไปหาอีกร่าง กระชับมือแน่นเข้าอย่างกล้าๆกลัวๆ จ้องตอบสายตาที่คงจะมองอยู่ที่ผมตั้งแต่แรก
"เรารักกันเหรอ?"
บิลส่ายหน้ายิ้มๆ
"ไม่รู้สิ" เขาแยกเขี้ยวมากขึ้นอีก
".....แต่ฉันรักนาย"
ผมไม่รอหาที่วางแก้ว ไม่รออะไรอีกต่อไป ปล่อยมือให้ว่าง ขอบคุณพระเจ้าที่โกโก้ร้อนไม่ลวกนิ้วเท้า บีบมือที่จับกันแน่น อีกมือไล้ผ่านเอวบอบบางยึดเข้าหาตัว เวลาที่เริ่มเดินต่ออย่างกะทันหัน กระชากภาพฝันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเข้าหากันด้วยความรวดเร็ว เหตุการณ์ที่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ริมฝีปากนุ่มและลิ้นอุ่นชื้นที่ผมดูดดุนหนักหน่วง
...เอากำไรจากสองปีที่ผ่านมาที่ไม่เคยมีใครเติมเต็มผมได้เลย
"อืม....."
ผมดึงดัน บิลขานรับ
บิลรุกเร้า ผมตอบสนอง
ขาที่แทรกไว้ทำให้สะโพกของเราแนบชิดกันได้มากขึ้น ผมปล่อยให้บิลทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวขณะที่ผมเองก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา รับบิลขึ้นบนตัก แต่ริมฝีปากของเราไม่เคยห่างกันมากพอที่จะทำให้สูดอากาศเข้าไปหายใจได้ทัน มันน่าเสียดายถ้าจะปล่อยไป...เพราะผมอยากจะช่วงชิงลมหายใจของบิลมาครอบครอง...ทั้งหมด
"ทอม...เดี๋ยว"
รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงปนหอบของอีกร่างห้ามปรามเมื่อแขนทั้งสองของผมรั้งบิลกดเข้าหาตัวพร้อมกับปลายจมูกที่ซุกไซ้ไปตามซอกคอระหง กรุ่นกลิ่นอ่อนๆของแชมพูจากไรผมหนานุ่ม ทำเอาผมเมาได้เลยจริงๆ
"ทอม...." เสียงหวานหูนั้นยังทำท่าจะหยุดผมจริงๆพร้อมกับมือทั้งสองที่ดันไหล่ออกอย่างเบามือ ผมเงยหน้าขึ้นไปหาบิลอย่างไม่พร้อมทำความเข้าใจเรื่องยากใดๆทั้งสิ้น เขาคงนึกอยู่แล้วถึงได้หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว "ฟังฉันก่อนได้ไหม?" เขาพูดออกมาในที่สุด
ผมส่ายหน้า
แต่บิลก็ตั้งท่าจะพูดแบบไม่สนใจคำตอบที่ได้จากผมเลยสักนิด
"....ตอนนี้พูดอะไรยาวๆก็คงไม่ฟังสินะ?" เขายิ้มและก้มลงมาหา กดลมหายใจลงกับปลายจมูกผมเบาๆ ยั่วยวนได้อย่างคาดไม่ถึง ผมแทบจะกระโจนทับเจ้าตัวลงกับโซฟายาวไปแล้วถ้าคำพูดที่หักล้างกันอย่างเด็ดขาดกับอารมณ์ที่สร้างไว้ให้ผมจะไม่ออกมาจากริมฝีปากที่เพิ่งทำให้ช้ำไปหมาดๆนั่นซะก่อน
"ห้ามมีเซ็กส์"
ช่างเป็นคำสั้นๆที่หยุดผมได้ชะงักยิ่งกว่าไฟแดงตามสี่แยก ก็เลยพอจะมีประสาทหูไว้ฟังคำพูดอื่นของเจ้าหน้าสวยในอ้อมกอดต่อไปได้บ้าง
"....อย่ายั่วฉันจนกว่านายจะรับได้กับความจริงบางอย่างสัก...2-3ข้อ"
- ใครยั่วใครกันแน่...นายเข้าใจผิดอะไรไปหน่อยรึเปล่า? -
"ความจริงอะไร?" ผมเอียงหน้าถาม ไม่ลืมใช้มือหนึ่งไล้ไรผมไปตามโครงหน้าของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน ส่วนอีกมือกดหนักไม่ยอมให้บิลลุกไปไหนในนาทีนี้
"ไม่ใช่ตอนนี้" เขายิ้มตอบ
- งั้นตอนนี้เล่นบทข่มขืนกระชากเสื้อผ้ากันดีกว่าไหม ห๊ะ? -
ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ที่ทำก็คือยักไหล่ใส่ ไม่ต่อล้อต่อเถียง
"แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้ไอ้ความจริงที่ว่านั่นล่ะ ฉันว่าฉันรับได้?"
กว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองกลายเป็นเกย์ไปซะเฉยๆเพราะบิลได้ ก็หนักพอที่จะทำให้ผมยอมรับความจริงในโลกนี้ได้ทุกอย่าง ผมคิดอย่างนั้น
"มันไม่ใช่ความจริงระดับแค่ว่านายรับที่ตัวเองชอบฉันแล้วหรอกนะ?"
บิลดักอย่างกับอ่านใจผมได้ แต่ถึงยังไงบิลก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากผมมากสักเท่าไหร่หรอก ในเมื่อเขาก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขารักผมเหมือนกัน เอ...ผมว่าเมื่อกี้บิลพูดผิด
"เฮ้ ฉันไม่ได้แค่ยอมรับว่าตัวเองชอบนาย" ผมเริ่มม้วนเกลียวผมอีกฝ่ายเล่นแก้เหงา หรี่ตาเพ่งมองใบหน้าที่ใกล้แทบแลบลิ้นเลียถึงราวกับมันจะทำให้มองทะลุไปรู้สิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยู่ได้ แต่ก็เปล่า ผมทำได้แค่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป
"บิล...ฉันรักนาย"
บิลยิ้มกว้างจนแทบจะกลายเป็นหัวเราะ เขาใช้เขี้ยวงับริมฝีปากผมอย่างพอใจ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบขนาดไหนก็ควบคุมตัวเองไม่ให้จูบบิลในเวลาแบบนี้ไม่ได้หรอก ผมแน่ใจ
- พูดอีกทีซิ...ใครต้องไม่ยั่วใครนะ? -
"เดี๋ยวสิ...." บิลกลั้วหัวเราะพลางปัดป่ายผมออกเมื่อตั้งท่าจะไม่หยุดแค่จูบ
"ทำไมอีก?" ผมยิ้มกลับไปบ้าง...แบบแอบซ่อนเลศนัยไว้หน่อยๆ
"บอกแล้วไงว่า....."
"ก็ไม่ได้จะทำนี่ เซ็กส์น่ะ" ผมส่ายหัว "...ก็แค่...คนสองคนที่รักกัน...จะร่วมรักกัน?"
"..................."
ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ผมก็ทำให้บิลเข้าตัวเลือกโหมดเงียบหลังจากที่ไม่ได้เลือกใช้มานานจนได้ เขาไม่ได้ไม่พอใจหรอก ดูจะอึ้งๆเหมือนนึกไม่ถึงกับมุกนี้ของผมมากกว่า
- หน้าเอ๋อๆนี่ก็น่ารักดีแฮะ -
"เอาเถอะ" ผมถอนหายใจยอมแพ้ "...ถ้านายว่ามันสำคัญที่ต้องรู้อะไรบางอย่างของนายก่อน....ฉันจะรอก็ได้"
บิลยิ้มรับอ่อนโยนจนผมอยากจับกดอีกรอบ ดีที่ยั้งใจ(และมือ)ไว้ได้ก่อนจะต่อรองอย่างไร้ความหวัง
“...อย่านานนักนะ”
“หือ?” ผมหรี่ตาอย่างรำคาญ เมื่อโทรศัพท์ข้างเตียงไม่มีทีท่าจะหยุดดัง ผมทำเฉยกับมันไปแล้วหนหนึ่ง แต่คนที่โทร.มาคงจะอยากคุยจนตัวสั่นถึงได้ลั่นโทรศัพท์มาหาผมอีกรอบ
“เฮ้ นี่มันกี่โมง โทร.มาก็ดูเวลาซะมั่งซี่!”
คงเพราะผ้าม่านหนาหนักสีเข้มที่ปิดหน้าต่างไว้ได้มิด ถึงทำให้ห้องมืดอย่างกับกลางคืน ถ้าไม่มีโคมไฟส่องแสงนวลอ่อนติดอยู่กับผนังข้างเตียงแล้วล่ะก็ ผมว่าที่นี่คงมืดสนิท
“จะ 11 โมงอยู่แล้ว ทอม” เสียงเย็นๆคุ้นหูตอบกลับมา ดูท่าจอร์ชจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ
- ก็แค่โดดงานมาครึ่งเดือนเอง -
“ยังกลับไม่ได้” ผมตอบผ่านสายไปหลังจากที่โดนเสียงบ่นกรอกจนหูเริ่มจะชา “...ไม่รู้สิ แต่ฉันก็ยังไม่อยากออกจากวงหรอกนะ สาบานได้” การคุยกับจอร์ชทำให้ประสาทเขม็งเกลียวจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ถึงจะรู้ตัวว่าผมต่างหากที่แย่ แต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งไปทั้งที่ทุกอย่างมันยังค้างคาอยู่ได้ เพราะคุณจะไม่มีทางทำเพลงและเล่นคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแน่
“แล้วฉันจะรีบ...โอเคนะ?” ผมตัดบทอย่างรวดเร็ว วางสายแบบไม่รอฟังคำทักท้วงอะไรทั้งนั้น
“ป่านนี้แฟนๆร้องไห้คิดถึงนายแย่แล้ว” เสียงจากร่างบางที่ยืนพิงประตูกระเซ้าพลางยิ้มบาง บิลเดินมาหาผมที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียง
“เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร?” ผมยันตัวนั่งและรับบิลเข้ามากอด
แหม...รู้สึกดีจังที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าบิลเป็นคนแรก
“ก็ตั้งแต่นายปล่อยให้โทรศัพท์ดังสนั่น ไม่ยอมรับสายน่ะสิ” ทางนั้นหัวเราะคิกคักขณะที่ยอมหย่อนตัวลงบนตักของผมโดยดี
บิลยกห้องนอนแขกให้ผมครอบครอง ทีแรก ผมก็กะจะดึงดันให้ได้นอนห้องเดียวกันอยู่หรอก แต่ไอ้ใบหน้าสวยที่โผล่ออกมาจากประตูแล้วพูดจริงจังว่า
‘อย่ายั่วฉัน’ น่ะ
ทำเอาผมกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง เลยต้องทำใจ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางทนนอนนิ่งอยู่เฉยๆข้างเจ้านั่นผ่านพ้นค่ำคืนไปได้แน่ มีแต่ต้องยอมแยกห้องกันนอนเท่านั้น
“กลับไปทำงานเถอะ ทอม”
“จะกลับไปทั้งๆแบบนี้ได้ยังไง” ผมตอบตามจริง “ยังไม่ได้เข้าใกล้กันมากกว่าเดิมเลย”
ผ่านมาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว บิลยังไม่มีทีท่าจะบอกอะไรผมสักนิด ผมเองก็คงไม่มีสิทธิ์ทวงถามสิ่งที่เขาบอกให้รอ ได้แต่ทู่ซี้ตัดพ้อไปวันๆ
“ใกล้แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ?” เขายิ้มหวานพลางโอบมือทั้งสองกอดรั้งรอบคออย่างเอาใจ
ผมซุกหน้าลงกับแผ่นอกของบิล ปล่อยให้ห้องเงียบและฟังเสียงหัวใจของเขาพักใหญ่
....กำแพงที่มองไม่เห็น มันกดดันผมจนจุกอกเลยจริงๆ.....
“อยากเข้าไป...ใจจะขาด”
“..............................”
ห้องเงียบลงอีกนานตามความคาดหมาย แต่บิลก็ไม่ได้ผละออกไปจากผม จนได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากร่างที่ยืนให้กอดอยู่นานนั่นแหละ คำพูดจากร่างนั้นถึงได้หลุดออกมา
“ทอม...จูบฉันที”
เป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง...แต่ก็ยินดีอยู่แล้ว
ผมเงยหน้าขึ้น ขณะที่บิลโน้มตัวลงมา ริมฝีปากที่สัมผัสกัน รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวจากอีกฝ่าย
...ความกลัว....ที่จะสูญเสีย...
ผมตวัดแขนดึงเอวเขาลงมาให้นั่งลงบนตัก ฝังจุมพิตหนักหน่วงกับเรียวปากนุ่มอย่างตอกย้ำ
....ถ้าสิ่งนั้นคือ ผม ล่ะก็....ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย...เพราะคนที่จากไปไม่ได้คือผมต่างหาก....
ลิ้นอุ่นลุกไล่เข้ามาหา เชิญชวนให้ขบเม้ม เร่าร้อนจนต้องระบายใส่อีกฝ่ายเป็นความรุนแรงที่หอมหวล
“อื้ม…”
เนิ่นนาน...จนอยากจะหยุดหายใจ แล้วหลอมละลายรวมกันไปทั้งอย่างนี้มากกว่าจะต้องมาคอยยอมรับความจริงทุกอย่างที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
บิลหัวเราะเมื่อผมไล้นิ้วไปตามแผ่นหลัง เขากอดผมแน่น ปลายจมูกแหลมปล่อยลมหายใจขาดห้วงรินรดข้างคอ
....อยากจะบดขยี้จนพอใจ แต่อะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลไหลวนอยู่ในอากาศ...หยุดผมไว้แค่นั้น...
ดูเหมือนบิลจะตัวสั่นขึ้นมา ผมนึกว่าเขาร้องไห้ซะอีก แต่ใบหน้าที่เงยขึ้นมาก็ไม่ได้มีวี่แววของเรื่องแบบนั้น เขาลุกผละจากผม ปล่อยมือจากทุกอย่าง....
เขาทำท่าเหมือนว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
- ปล่อยมือจากทุกอย่าง -
....................
...........
....
.
“ทอม...เราเป็นพี่น้องกัน”
คำพูดนั้นไล่เรียงออกมาจากริมฝีปากที่ผมนึกอยากจะฉุดเข้ามาจูบอีกครั้งเพื่อหาคำยืนยันว่า ล้อเล่น จากมัน บิลมองหน้าผมนิ่ง...นิ่งพอๆกับผมที่มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ
“เราเป็นฝาแฝด ...หลักฐานก็อยู่บนหน้าของเราอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสงสัยด้วยซ้ำ”
จะว่าเข้าใจ...กับคำพูดนั่น..ก็เข้าใจนะ จะว่าไม่เคยสงสัยก็ไม่ใช่ แต่คำเดียวที่หลุดออกจากปากผมได้ก็ยังเป็น
“ทำไม...”
...อยู่ดี
“เรื่องนี้...ถ้าถามพ่อนาย...คงจะน่าเชื่อกว่าล่ะมั้ง” เขาแค่นหัวเราะ แต่ใบหน้ากลับเจือไว้แค่ความเจ็บปวด
...จะด้วยเรื่องของพ่อ เรื่องของผม...หรือเรื่องของเรา ก็ไม่รู้เหมือนกัน
“บิล...” ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง อีกแค่ก้าวเดียวก็ถึงตัวเจ้าของชื่อที่อยากโอบกอดให้มั่นใจ แต่เขากลับยกมือห้ามไว้ ราวกับนั่นเป็นโล่ที่ชะงักผมไว้ได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“....เป็นเหตุผลที่ดีพอจะกลับไปเลยใช่ไหม”
...ถ้าอยากจะไล่ผมไป แล้วทำไมต้องใช้สายตาที่ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่ากันนั่นมองมาด้วย!?...
บิลสะบัดหน้าหนีแล้วก้าวเท้ายาวๆออกไปจากห้อง ผมในตอนนี้ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะรั้งใครไว้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ดูเหมือนมันจะหยุดนิ่งจนน่าตกใจมากกว่า
...นิ่งงันซะจนผมนึกไม่ออกว่ายังยืนอยู่บนโลกหรือเปล่า?
บิลกับผมเป็นพี่น้องกัน? พี่น้องกันเนี่ยนะ? มันจะบ้าไปแล้ว! ผมรักเขาก่อนที่จะรู้ซะอีก!
“บ้าเอ๊ย!?” ผมสบถพลางใช้สันมือทุบเข้ากับกำแพง เสียงมันดังกว่าที่ผมคิด...ได้แต่หวังว่าบิลคงจะไม่ได้ยิน
ผมเก็บตัวอยู่ในห้องได้ไม่นานนักก่อนจะลงมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า บิลนั่งอยู่ที่โซฟา เหมือนจะจับสายตาไปที่โทรทัศน์ที่ไม่ได้เปิด หรือเตาผิงที่เลิกเผาไหม้ฟืนไปแล้ว เขารู้สึกตัวเมื่อผมลงบันไดขั้นสุดท้าย หันมามองอย่างไม่แปลกใจ สายตานั้นจับอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของผมแวบหนึ่ง
เขาลุกจากที่นั่น ตั้งใจจะเดินผ่านผมขึ้นบันไดสู่ชั้นบนโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ
....การที่เขาทำเหมือนมั่นใจกับการจากไปของผม สายตาที่บอกว่า 'ก็คิดไว้อยู่แล้ว' ทำเอาผมแทบจะยืนไม่อยู่เลยทีเดียว มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่รู้ความจริงเรื่องนี้...เจ็บปวดที่บิลไม่เชื่อใจผมเลย?
“เดี๋ยว..” กวาดมือไปรั้งเอวเขาไว้ได้ทันท่วงทีในช่วงก่อนที่ทั้งตัวของเขาจะเลยผ่านผมไป รู้สึกได้เลยว่าบิลหยุดหายใจไปชั่วครู่ ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันมองผม
จะว่าปกติก็ไม่ใช่หรอก....เพราะนี่มันเย็นชาสุดๆเลยต่างหากล่ะ
“................” หน้าของเขาก็ถามชัดอยู่แล้วว่า อะไรอีก?
ผมกระชับมือเข้ากับเอวบางเล็กน้อยก่อนจะถาม
“ฉันยังกอดนายได้รึเปล่า?”
เท่านั้นแหละ ที่ดูเหมือนว่าสิ่งที่อดทนเอาไว้ทั้งหมดของบิลจะพังลง เขาย่นคิ้ว ดวงตาระยับสะท้อนแสงกับไฟ
“นั่นมันก็แล้วแต่นาย!”
“เปล่า” ผมปฏิเสธ “ฉันเป็นคนร้องขอ นายต่างหากเป็นคนตัดสินใจ”
“ยังอยากจะกอดฉันอยู่เหรอ? ยังอยากจะแตะต้องคนอย่างฉันอยู่อีกรึไง!?”
ผมเริ่มไม่เข้าใจกับคำพูดของเขา
- ทำไมถึงต้องพูดขนาดนั้น -
ปลายประโยคนั้นจบลงด้วยน้ำตาเม็ดโตจากตาคู่สวย ก่อนที่บิลจะเบนเข็มสายตาลงมองที่พื้นห้อง แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เขาร้องไห้นานนัก เลยถือวิสาสะใช้อีกมือที่เหลือช้อนใบหน้านั้นขึ้นมาสบตา และถามไปอย่างที่ตัวเองกังวล
“นายยังรักฉันอยู่ไหม?”
บิลจะกลัวอย่างที่ผมกลัว? เขาจะเข้าใจผิดไหม? (แน่นอน ข้อนี้ผมรู้ เขาเข้าใจผิดอย่างจังเลย) ที่ผมอยากพูดก็คือ ผมไม่ได้ลังเลเรื่องที่เราเป็นพี่น้องกัน แต่ยอมรับว่าตกใจมาก
ก็เป็นธรรมดาไม่ใช่รึไง?
แต่ไม่ว่ายังไง...ผมรักบิล...มันก็เป็นไปแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายๆด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก บิลยอมให้ผมใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกโดยดี เขาตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“นั่นมัน...ฉันต่างหากที่ต้องถาม” บิลเอ่ยแผ่วเบาพลางหลบสายตามองลงพื้นอีกครั้ง คำพูดของเขาทำให้หลายๆอย่างที่ผมไม่เข้าใจเมื่อครู่ลงล็อกกันเป๊ะเหมือนตัวจิ๊กซอว์ที่ต่อกันติด
“อะ....” ผมอุทานอย่างนึกได้ อยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆสักที ทำไมถึงไม่ทันคิดนะ ว่าบิลไม่ได้รู้สึกเหมือนผม แต่เขาต้องแบกรับอะไรที่หนักกว่า เพราะว่า......
“ฉันรักนาย...ทั้งๆที่รู้ว่าเรา.....ท”
อย่าว่าแต่ผมจะรอให้เขาพูดจนจบประโยค แค่ชื่อผมก็ยังไม่ยอมให้เรียกเลย ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่สำคัญอีกแล้วนอกจากการที่ผมจะต้องทำให้บิลมั่นใจมากกว่านี้
ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าถ้ากลัวจะสูญเสีย – ผม - ล่ะก็ ให้เลิกกลัวซะ!
ผมกอดรับเอาบิลเข้ามาไว้เต็มอ้อมแขน กดหน้าเขาลงเล็กน้อยให้รับการรุกรานจากผมได้สะดวกขึ้น แค่ชั่วโมง..หรือสองชั่วโมงที่ตัวไม่ได้ห่างไกลแต่เป็นหัวใจที่ห่างกัน กลับทำให้ผมทรมานได้มากกว่าสองปีที่เราไม่ได้เห็นหน้า แต่ไม่เคยลืมกันเลยเสียอีก
“ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับพ่อ” ผมบอกเหตุผลที่หอบผ้าหอบผ่อนลงมาด้วย “แล้วจะรีบกลับ ตกลงไหม?” จ้องมองดวงตาอีกคู่หวานเชื่อมพร้อมกับให้คำสัญญาที่ไม่จำเป็นกับคนที่ไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ใดๆด้วยอีกต่อไป
แง่ม มาลงตอนที่ 2
ต่อจากบทนำที่ันับเป็นตอนแรก
.
.
.
แม้จะไม่มีใครอ่านก็ตาม โฮกกกก *ร้องไห้*
แป่ว!
เอ่อ ใครหลงเข้ามาอ่านก็ต้องขอบคุณมากๆอยู่ดีนะคับ ^^
ถ้าอ่านแล้วอยากจะเข้ามาอีกล่ะก็ จะดีใจมาก! 55+
ขอบคุณคับผม~
22:27 คืนที่ัพัดลมเสีย(อีกแล้ว)
FUJOIN K. Rack
ความคิดเห็น