ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    An deiner Seite

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 27 เม.ย. 51



    [ บทที่ 2 ]

     

    อา...... ผมสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่

    - อากาศสดชื่นติดกลิ่นเย็นๆของลอนดอน -

    ด้วยความสามารถของพ่อทำให้ผมได้ขึ้นเที่ยวบินในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกระโตกกระตากจะเป็นจะตายหลังมื้อเช้า (อย่างกับพ่อจะรีบเขี่ยผมให้ไปพ้นๆหน้าเลยแฮะ) และตอนนี้

                    ลมเย็นๆข้าง แม่น้ำเทมส์ พัดมาปะทะหน้าให้ผมยิ้มออกอีกครั้ง

    เวลาเย็นย่ำค่ำคืนของส่วนนี้ดูเงียบสงบ แม่น้ำไหลเอื่อย เสาไฟส่องแสงอ่อนๆเป็นระยะ ไฟจากเรือในแม่น้ำก็ยังให้ความรู้สึกเรียบเรื่อย

                   

                    ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ? ลองย้อนกลับไปอีกสักหน่อยก็ได้

     

    ....อีกสักหน่อย...หน่อยเดียวจริงๆนะ....

     

    -------------------------------------------

     

    "ทอม กลับบ้านทั้งที มัวขลุกอะไรอยู่ในห้อง" เสียงพ่อลอยผ่านประตูไม้ที่ปิดสนิทเข้ามาพร้อมกับเสียงเคาะประตู ผมงัวเงียโงหัวขึ้นจากหมอนแล้วตอบออกไป

    "รู้แล้วล่ะน่า...."

    "รีบลงมากินข้าวได้แล้ว" พ่อทิ้งท้ายไว้ก่อนจะมีเสียงลงบันไดตึงตัง

    ผมยันตัวลุกนั่งพลางหาวหวอด หันตาปรือไปทางแสงที่สาดจ้าเข้ามาในห้อง ...นานๆทีจะได้นอนที่บ้าน ปล่อยให้นอนนานๆหน่อยก็ไม่ได้...

    บิดขี้เกียจซะจนแทบหงายหลังหัวฟาดพื้นห้องน้ำ วันที่ไม่ต้องรีบตื่นรีบทำงานแบบนี้มันสบายจริงๆ ผมฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ไม่ใช่ของใครที่ไหนแต่เป็นเพลงของพวกผมเอง

    งงล่ะสิครับ? ก็ผมกำลังจะเล่าให้ฟังอยู่นี่ไง

    เมื่อเกือบๆสองปีก่อน หลังจากจอร์ชจบไฮสคูล เขาก็กลับมาหาผมอีกครั้งพร้อมกับข่าวเรื่องการทำวงดนตรีมาเสนอ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากสำหรับพวกผม และผมก็รีบกระโจนรับตำแหน่งมือกีต้าร์ของวงไปโดยไม่คิดอะไรอีก ถึงความทรงจำตอนเด็กๆจะไม่มีอะไรพิเศษเท่าไหร่ แต่ตอนที่พ่อสอนดีดกีต้าร์เท่านั้นที่รู้สึกสนุกที่สุด (ส่วนเรื่องแม่ผมลืมไปนานแล้ว)

    มันไปได้สวยกว่าที่คิด วงเราเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมา หลังผมจบไฮสคูลตามจอร์ชอีกปีให้หลัง เราก็ทุ่มเทให้กับวงได้เต็มที่ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเล็กๆของกุสตัฟจะเค้นเสียงกลองหนักหน่วงออกมาได้ และก็ไม่น่าเชื่อด้วยว่าเสียงของผมมันจะเป็นที่ยอมรับของคนอื่นจนเริ่มมีแฟนคลับตามติด เพราะผมควบตำแหน่งกีต้าร์-ร้องนำแบบไม่กลัวพลังชีวิตหมดกันเลยทีเดียวล่ะ

    ส่วนนาย..อะไรนะ? นาย บ. เหรอ?

    ผมใช้เวลาไม่นานนักหรอกในการทำใจ ก็แบบว่ามีผู้หญิงอีกมากมายที่ไม่ต้องแค่ลูบๆคลำๆให้เลือก ระหว่างที่เจ้านั่นหายไปจากชีวิต

    สองปี....สองปีเชียวนะ ถึงจะลืมหน้าไม่ได้เพราะส่องกระจกทีไรก็นึกออก

    แต่ผมก็ลืมเรื่องของ นาย บ. ไปได้....

    ...อยู่แล้วล่ะน่า....

    "มีโปสการ์ดส่งมาที่บ้านแน่ะ ไม่ได้ให้ที่อยู่ที่นี่กับแฟนๆไม่ใช่เหรอ?" พ่อพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ผมเหลือกตา มันก็จริงที่ว่ามันเป็นแค่เรื่องที่บังเอิญนึกได้ขึ้นมาเท่านั้น

    แต่พ่อ...!!

    "อยู่ไหน!?" ผมรีบยื่นหน้าเข้าไปหาพ่อที่นั่งอีกฟากโต๊ะ กลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เพิ่งป้อนเข้าปากแบบไม่เสียเวลาเคี้ยว จะติดคอตายก็ช่างแต่ขอให้ได้ถามก่อน

    หรือว่า ... นาย บ. ...??

    "ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อนแล้วนะ โอเค?" พ่อยกกาแฟขึ้นจิบแบบไม่รู้ร้อน

    "ที่พูดเนี่ย หมายความว่าไม่รู้ว่าเอาไปไว้ไหนแล้วใช่ไหม?" ผมเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างเอาเรื่อง

    ".............." พ่อเหล่ตามองผม ก่อนจะหัวเราะเบาๆ "แค่ล้อเล่นน่า... พ่อไม่นึกว่าโปสการ์ดจากแฟนๆแผ่นเดียวก็สำคัญขนาดนี้?"

    "เอามา" ผมไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบแบมือทวงทันที

    ...ไม่แน่นะ.....ไม่แน่ ผมลุ้นจนตัวโก่ง เมื่อไหร่พ่อจะบอกสักทีว่าอยู่ไหน

    "รอเดี๋ยวซี่~" พ่อพูดกลั้วหัวเราะ ละจากอาหารเช้าพยักพเยิดหน้าขึ้นไปบนชั้นสอง "อยู่ในลิ้นชักโต๊ะหนังสือของลูกแน่ะ"

    "ขอบคุณฮะ" ผมโดดแผล่วจากโต๊ะอาหาร วิ่งรวดเดียวขึ้นไปบนห้อง

    ประตูที่กระชากเปิดออกไหลบรรยากาศคุ้นเคยอันเงียบสงบออกมายั้งผมไว้ หัวใจที่เต้นแรงเมื่อครู่สงบลงได้ด้วยไอแดดอุ่นๆที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง

    ...อาจจะไม่ใช่จากบิลก็ได้....

    ผมไม่อยากคาดหวังมากเกินไป....เกินไปกว่านี้

    ...สองปีที่ผ่านมาก็มากเกินพอ....

    อยากจะใช้มือซ้ายตบไปที่มือขวาแรงๆให้หายสั่นขณะเอื้อมเปิดลิ้นชัก

                    ในนั้นไม่มีของอะไรมาก สมุดโน้ตเล่มหนึ่งที่จำได้ว่าเคยใช้ขีดๆเขียนๆเล่นไม่เป็นโล้เป็นพาย ปากกาสองแท่งกลิ้งกลุกๆออกมาติดฝาลิ้นชักตามแรงดึง แผ่นโปสการ์ดที่ว่านอนสงบนิ่งอยู่บนสมุดโน้ตไร้สาระของผม

                    ท้องฟ้าสีครามสดในโปสการ์ดแต้มริ้วเมฆสีขาว ตึกทรงยุโรปสีไข่เรียงยาวจากฝั่งซ้ายของโปสการ์ดไปจรดฝั่งขวาแน่นขนัดไปตามสายแม่น้ำที่มีตัวหนังสือสีขาวเขียนจารึกไว้บนแผ่นกระดาษอาบมัน

                    - แม่น้ำเทมส์ ลอนดอน – (Thames River , London)

    ผมพลิกด้านหลัง ลายมือหวัดๆไม่คุ้นตา เขียนไว้ว่า

     

    " เดียร์  ทอม

    ตอนนี้ฉันอยู่ที่ลอนดอน ข้างหน้ามีแม่น้ำเทมส์ไหลผ่าน แต่ในโปสการ์ดที่ส่งมาก็ไม่ได้ถ่ายติดบ้านของฉันหรอกนะ

     

    - ใบหน้ายามหัวเราะของเจ้านั่น...นึกภาพได้ดีเลย -

    ผมอ่านต่อ

     

    นานทีเดียวที่ฉันจะกล้าฟังคำตอบของนาย แล้วก็นานพอกันกว่าที่ฉันจะกล้าบอกคำตอบของฉัน

    ด้วยความจริงใจ

    บิล"

     

    ผมสอดโปสการ์ดใส่กระเป๋าเสื้อ ขมวดคิ้วกับคำลงท้ายจดหมาย

    ด้วยความจริงใจ?

    ด้วยความจริงใจเนี่ยนะ!?

     

    ทำไมไม่ใช้ ด้วยรัก เล่า!!

     

    ผมนิ่งคิด...ประมาณ 2 วินาทีก่อนจะกึ่งวิ่งกึ่งโดดลงมาทุบโต๊ะปึง

    พรุ่งนี้ผมจะไปลอนดอนนะ

    พ่อเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ ขมวดคิ้วใส่ผมอย่างสงสัย (แหงล่ะ!)

                    ไหนว่าวันหยุดคราวนี้จะอยู่บ้าน?”

                    ขอไปลอนดอนก่อน ผมตอบและพูดต่อรัวเร็วอย่างกับปืนกล โทร.จองที่นั่งให้ผมหน่อย ถ้าเป็นไปได้เอาเย็นนี้เลย ไปเก็บของล่ะ

                    รีบขนาดนั้น?” พ่อถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกเมื่อผมหายหัวไปจากตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

                    รีบ...รีบ ผมตะโกนตอบขณะที่ขาตัวเองก้าวข้ามบันไดขั้นสุดท้ายและหายเข้าไปในห้อง  เปิดกระเป๋า คว้าเสื้อผ้าตัวไหนได้ก็ยัดลงไปหมด

    ผมจะไปลอนดอน~ ผมจะไปลอนดอนนนน!!!

     

    -------------------------------------------

     

    เงยหน้ามองเลขที่บ้านตรงหน้าสลับกับลายมือหวัดที่เขียนไว้บนโปสการ์ด กว่าจะหาเจอไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในหนังรักโรแมนติก โชคดีที่ผมมาถึงลอนดอนก่อนเวลาทำการไปรษณีย์หมดลง แต่ตอนนี้พนักงานคงกลับบ้านนอนแล้วหลายงีบ

                    - น่าจะใช่ -

    ยกมือเตรียมจะเคาะแต่ก็ชะงักไว้

                    - ถ้าคนที่มาเปิดเป็นหนุ่มลอนดอนรูปงามล่ะ ?-

    ภาพในหัวผมดูคล้ายจะเป็นหนุ่มฝรั่งเศสกล้ามโตมากกว่า ตาหวาน คางบุ๋ม ยิ้มยิงฟันมีประกายแสงวิ้งและคาบดอกกุหลาบออกมาเปิดประตูให้พร้อมกับแนะนำตัวว่า

                    ฮ้า นายเป็นครายน่า โผมเป็นแฟนของนาย บ. เองขร้าบบบ

    ผมส่ายหัวไล่ความคิด

    ...ไม่หรอกน่า ถึงนี่จะเป็นเรื่องกะทันหัน แต่บิลก็น่าจะยังต้อนรับผมได้ หรือถ้าเขามีแขกอยู่แล้ว อย่างน้อยก็คงแนะนำโรงแรมดีๆให้สักที่ หรืออย่างน้อยที่สุด.......

                   

    แก้ตัวต่างๆนาๆ....แต่มือก็ยังไม่กล้าเคาะประตูอยู่ดี

     

    ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ

                    ...มาเพื่อจะรู้คำตอบของบิล ถ้าเขาปฏิเสธ...ก็แค่หอบผ้าผ่อนกลับเยอรมนี....

     

    ก๊อก ก๊อก

    ผมพยายามเคาะบานไม้สักที่พาดกั้นตรงหน้าให้เบามือที่สุดแล้วเหมือนกลัวคนที่อยู่ข้างในได้ยิน แต่เสียงมันก็ออกมาดังมากกว่าที่คิดไว้เยอะทีเดียว อยากจะซุ่มหลบไปที่อื่นก่อน ประมาณว่าขอรอดูลาดเลา แต่ที่ทางก็ไม่อำนวยให้หลบซ่อนเอาซะเลย

                    ลอนดอนช่างเป็นเมืองที่สะอาดและมีระเบียบดีจริงๆ

     

    ช่วงเวลาไม่กี่วินาที ตั้งแต่ได้ยินเสียงกุกกักจากด้านในจนถึงเวลาที่ประตูค่อยๆแง้มออก ผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนภาพสโลโมชั่นในหนังผี 

    เป็นเวลาที่ยาวนาน...จนแทบลืมหายใจ

    อ๊ะ.... เสียงของนาย บ.

                    ผมหมายถึง บิล

    ดังเข้าหูได้แค่นั้น ผมเองก็ไม่ทันได้ยินเสียงของตัวเองเลยด้วยซ้ำ

    มือของเขาไล้เบาๆอยู่ที่เอวราวกับกำลังปลอบประโลมเด็กน้อยร้องไห้ อีกมือหนึ่งกระชับแผ่นหลังผมเข้าหา ส่วนมือทั้งสองของผมมันถูกดึงเข้าหาอีกร่างราวกับเจอแม่เหล็กต่างขั้วตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าของบ้านเปิดประตูอ้าออกรับ

                    นายมันบ้า ผมขยับปากพูดได้คำแรก เสียงยังอู้อี้เพราะกดริมฝีปากไว้กับไหล่ของอีกฝ่าย

                    นี่มันคำตอบของนายเหรอ? แค่เป็นคำทักทายที่ดียังไม่ได้เลย บิลเอ่ย เสียงหัวเราะน้อยๆดังอยู่ข้างหู

    เขาค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดผมและดึงแขนเข้าไปด้านใน

                    จากภายนอกที่เป็นตึกแถวสีไข่เรียงรายกันอยู่ นี่เป็นคูหาหนึ่งในนั้น ด้านในไม่กว้างไม่แคบเกินไปสำหรับหนึ่งคน...ไม่สิ....สองคน

    ผนังสีครีม ปูพรมสีอมส้ม ไฟสีเหลือง เสียงไม้ลุกไฟดังกร่อบแกร่บออกมาจากเตาผิงยิ่งทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นจนอากาศข้างนอกกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปเลย

    เขาชี้ให้ผมนั่งที่โซฟาแถวๆนั้นก่อนจะผลุบหายเข้าไปในครัว ผมคิดว่าน่าจะใช่ เพราะเขาออกมาพร้อมแก้วเซรามิกควันกรุ่นในมือทั้งสอง บิลยื่นให้ผมแก้วหนึ่งและนั่งลงข้างๆกัน

                    เป็นยังไงบ้าง?” เขาหันมาถาม

    ...รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาตั้งนานก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย....

                    ก็ดี ผมตอบ ก้มหน้าลงไปจมกับโกโก้ร้อนในมือต่อไป

                    “....................”

    ยิ่งห้องเงียบเท่าไหร่ เสียงหัวใจที่มัวแต่กังวลว่าบิลจะได้ยินก็ดูเหมือนจะยิ่งดังขึ้นเท่านั้น ที่ผ่านมาใช่ว่าผมจะจำบิลได้ในทุกลมหายใจ สองปีก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้รักษาพรหมจรรย์ไว้ให้สักหน่อย แต่ก็เพิ่งรู้เหมือนกัน.

    เพิ่งรู้ตัวว่า ผมคิดถึง...คิดถึงคนข้างๆนี่มากๆเลย

                   

    ....แต่ฉันคิดถึงนาย ในที่สุดผมก็พูดแผ่วๆออกไป ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในห้องปิดทึบ บิลก็อาจจะไม่ได้ยินเลยก็ได้ เพราะลมคงจะพัดพามันปลิวหายไปหมด ผมพูดต่อด้วยเสียงที่ดังขึ้น..อีกนิด ..เพิ่งจะกลับบ้านแล้วก็ได้รับโปสการ์ดของนายเมื่อ...วาน ผมโกหก มันจะดูใจง่ายไปหน่อยถ้าจะบอกว่าความจริงแล้วคือ เมื่อเช้า ต่างหาก

     

                    คิดว่าจะมาฟังคำตอบจากนายผมพูดออกไปแบบแทบไม่หายใจ เค้นคอจริงๆเลย ให้ตาย....

                    คำตอบ? จากฉัน?” บิลเลิกคิ้ว ผมไม่มอง เอาแต่นั่งดมกลิ่นโกโก้ในแก้วแบบไม่กล้าสบตา ทำได้แค่พยักหน้ารับ

                    ...ก็บอกไปแล้วนี่ คำตอบของบิลทำเอาผมนิ่งเฉยไม่ไหว ผมหันหน้าขวับไปจ้องอีกฝ่ายอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

                    จะว่าไปตอนนี้ให้ผมกินบิลเข้าไปทั้งตัวยังได้เลย!

                    ไม่เห็นจะได้บอกอะไรฉันซักอย่าง ผมเถียงด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม...มาก ความอึดอัดในใจเพิ่งรู้ว่ามันมากมายขนาดนี้ก็ตอนที่ได้พูดออกมา  ไม่ได้บอกให้มาหา ไม่ได้บอกว่า...

                    ...ว่า....รัก....

                    ผมสะอึก อึกอัก และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงคำพูดให้เป็นคนละอย่างกับที่อยากจะตัดพ้อ..อย่างน้อยนายก็ไม่ได้บอกว่าคิดถึงด้วยซ้ำ ผมก้มหน้าก้มตาลงอีกครั้ง

     

    ก็แค่ ด้วยความจริงใจ!?

     

    “.................” บิลนิ่งไปอึดใจก่อนจะหัวเราะออกมา...อย่างดังด้วย นี่นาย...ไม่เข้าใจแต่ก็ยังอุตส่าห์มาเหรอ? ฮะๆ บ้าชะมัดท่าปาดน้ำตาของเจ้านั่นมันน่าโมโหจริงๆ มีอะไรน่าขำนักรึไง ..ถ้างั้นคำตอบของนายก็ไม่ต้องบอกหรอก ฉันเข้าใจดีพอๆกับที่นายไม่เข้าใจความหมายของฉันเลย บิลยังขำไม่หาย

                    อย่าพูดให้งงไปกว่านี้ได้ไหม?” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ ก่อนจะผุดลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ

    มือกระชับแก้วเซรามิกไว้แน่น ตั้งใจว่าจะออกไปข้างนอกพร้อมกับมันนี่แหละ เรื่องจริงจังแท้ๆกลับถูกทำให้กลายเป็นเรื่องตลก...ใครจะไปทนให้นั่งขำอยู่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน...เดินไปเรื่อยๆก็ได้ โลกอันกว้างใหญ่คงจะมีที่ให้ผมพักพิงล่ะน่า!

                    ถึงจะแอบโล่งใจที่นิ้วชี้ของบิลงอเกี่ยวนิ้วของผมเพื่อรั้งไว้ด้วยแรงน้อยๆก็เถอะ

                    "เดี๋ยว...." บิลกระตุกนิ้วเบาๆอีกครั้งเมื่อผมไม่มีทีท่าว่าจะนั่งลงอย่างที่สื่อผ่านนิ้วเชิญชวน

                    "เฮ้อ........." เขาถอนหายใจพลางลุกขึ้นบ้าง ยืนขึ้นแต่ก็ไม่ยอมขยับ ผละจากนิ้วของผมชั่ววินาทีเพื่อที่จะรวบทั้งห้านิ้วเข้ากับมือของตัวเองหลวมๆ บิลเริ่มพูดต่อ

     

    "...มันไม่มีประโยชน์ที่จะส่งโปสการ์ดไปหาคนที่ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ?"

     

                    "................." ผมยังนิ่งเงียบอย่างไม่พยายามทำความเข้าใจใดๆ

                    ไม่จริง...ไม่จริงหรอก

    อย่าไปคิด...ก็แค่คิดมาก....คิดเข้าข้างตัวเอง....คิดไปเอง....คิดอะไรบ้าๆ

    คนที่ทิ้งผมไปตั้งสองปีน่ะ....มันทางนั้นต่างหาก!

                    "....แล้วนาย....คงไม่มาเพื่อจะฟังคำตอบอะไรก็ตามจากคนที่ลืมหน้าไปแล้วหรอกใช่มั้ย?"

                    "ฉันไม่เคยลืมนาย!" ผมเผลอเสียงดัง....หรือไม่ก็เป็นเพราะห้องนี้มันเงียบเกินไป

    ผมหันหลังกลับไปหาอีกร่าง กระชับมือแน่นเข้าอย่างกล้าๆกลัวๆ จ้องตอบสายตาที่คงจะมองอยู่ที่ผมตั้งแต่แรก

     

                    "เรารักกันเหรอ?"

     

                    บิลส่ายหน้ายิ้มๆ

                    "ไม่รู้สิ" เขาแยกเขี้ยวมากขึ้นอีก

     

                    ".....แต่ฉันรักนาย"

     

    ผมไม่รอหาที่วางแก้ว ไม่รออะไรอีกต่อไป ปล่อยมือให้ว่าง ขอบคุณพระเจ้าที่โกโก้ร้อนไม่ลวกนิ้วเท้า บีบมือที่จับกันแน่น อีกมือไล้ผ่านเอวบอบบางยึดเข้าหาตัว เวลาที่เริ่มเดินต่ออย่างกะทันหัน กระชากภาพฝันตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเข้าหากันด้วยความรวดเร็ว เหตุการณ์ที่ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ริมฝีปากนุ่มและลิ้นอุ่นชื้นที่ผมดูดดุนหนักหน่วง

                    ...เอากำไรจากสองปีที่ผ่านมาที่ไม่เคยมีใครเติมเต็มผมได้เลย

                    "อืม....."

                    ผมดึงดัน บิลขานรับ

                    บิลรุกเร้า ผมตอบสนอง

    ขาที่แทรกไว้ทำให้สะโพกของเราแนบชิดกันได้มากขึ้น ผมปล่อยให้บิลทิ้งน้ำหนักลงมาทั้งตัวขณะที่ผมเองก็ค่อยๆหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟา รับบิลขึ้นบนตัก แต่ริมฝีปากของเราไม่เคยห่างกันมากพอที่จะทำให้สูดอากาศเข้าไปหายใจได้ทัน มันน่าเสียดายถ้าจะปล่อยไป...เพราะผมอยากจะช่วงชิงลมหายใจของบิลมาครอบครอง...ทั้งหมด

                    "ทอม...เดี๋ยว"

                    รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงปนหอบของอีกร่างห้ามปรามเมื่อแขนทั้งสองของผมรั้งบิลกดเข้าหาตัวพร้อมกับปลายจมูกที่ซุกไซ้ไปตามซอกคอระหง กรุ่นกลิ่นอ่อนๆของแชมพูจากไรผมหนานุ่ม ทำเอาผมเมาได้เลยจริงๆ

                    "ทอม...." เสียงหวานหูนั้นยังทำท่าจะหยุดผมจริงๆพร้อมกับมือทั้งสองที่ดันไหล่ออกอย่างเบามือ ผมเงยหน้าขึ้นไปหาบิลอย่างไม่พร้อมทำความเข้าใจเรื่องยากใดๆทั้งสิ้น เขาคงนึกอยู่แล้วถึงได้หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว "ฟังฉันก่อนได้ไหม?" เขาพูดออกมาในที่สุด

                    ผมส่ายหน้า

                    แต่บิลก็ตั้งท่าจะพูดแบบไม่สนใจคำตอบที่ได้จากผมเลยสักนิด

                    "....ตอนนี้พูดอะไรยาวๆก็คงไม่ฟังสินะ?" เขายิ้มและก้มลงมาหา กดลมหายใจลงกับปลายจมูกผมเบาๆ ยั่วยวนได้อย่างคาดไม่ถึง ผมแทบจะกระโจนทับเจ้าตัวลงกับโซฟายาวไปแล้วถ้าคำพูดที่หักล้างกันอย่างเด็ดขาดกับอารมณ์ที่สร้างไว้ให้ผมจะไม่ออกมาจากริมฝีปากที่เพิ่งทำให้ช้ำไปหมาดๆนั่นซะก่อน

     

                    "ห้ามมีเซ็กส์"

     

    ช่างเป็นคำสั้นๆที่หยุดผมได้ชะงักยิ่งกว่าไฟแดงตามสี่แยก ก็เลยพอจะมีประสาทหูไว้ฟังคำพูดอื่นของเจ้าหน้าสวยในอ้อมกอดต่อไปได้บ้าง

                    "....อย่ายั่วฉันจนกว่านายจะรับได้กับความจริงบางอย่างสัก...2-3ข้อ"

                    - ใครยั่วใครกันแน่...นายเข้าใจผิดอะไรไปหน่อยรึเปล่า? -

                    "ความจริงอะไร?" ผมเอียงหน้าถาม ไม่ลืมใช้มือหนึ่งไล้ไรผมไปตามโครงหน้าของอีกฝ่ายอย่างเพลิดเพลิน ส่วนอีกมือกดหนักไม่ยอมให้บิลลุกไปไหนในนาทีนี้

                    "ไม่ใช่ตอนนี้" เขายิ้มตอบ

                    - งั้นตอนนี้เล่นบทข่มขืนกระชากเสื้อผ้ากันดีกว่าไหม ห๊ะ? -

                    ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ที่ทำก็คือยักไหล่ใส่ ไม่ต่อล้อต่อเถียง

                    "แล้วเมื่อไหร่จะได้รู้ไอ้ความจริงที่ว่านั่นล่ะ ฉันว่าฉันรับได้?"

    กว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าตัวเองกลายเป็นเกย์ไปซะเฉยๆเพราะบิลได้ ก็หนักพอที่จะทำให้ผมยอมรับความจริงในโลกนี้ได้ทุกอย่าง ผมคิดอย่างนั้น

                    "มันไม่ใช่ความจริงระดับแค่ว่านายรับที่ตัวเองชอบฉันแล้วหรอกนะ?"

                    บิลดักอย่างกับอ่านใจผมได้ แต่ถึงยังไงบิลก็คงไม่ได้รู้สึกต่างจากผมมากสักเท่าไหร่หรอก ในเมื่อเขาก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขารักผมเหมือนกัน เอ...ผมว่าเมื่อกี้บิลพูดผิด

                    "เฮ้ ฉันไม่ได้แค่ยอมรับว่าตัวเองชอบนาย" ผมเริ่มม้วนเกลียวผมอีกฝ่ายเล่นแก้เหงา หรี่ตาเพ่งมองใบหน้าที่ใกล้แทบแลบลิ้นเลียถึงราวกับมันจะทำให้มองทะลุไปรู้สิ่งที่อีกฝ่ายคิดอยู่ได้ แต่ก็เปล่า ผมทำได้แค่พูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกไป

     

                    "บิล...ฉันรักนาย"

     

                    บิลยิ้มกว้างจนแทบจะกลายเป็นหัวเราะ เขาใช้เขี้ยวงับริมฝีปากผมอย่างพอใจ ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบขนาดไหนก็ควบคุมตัวเองไม่ให้จูบบิลในเวลาแบบนี้ไม่ได้หรอก ผมแน่ใจ

                    - พูดอีกทีซิ...ใครต้องไม่ยั่วใครนะ? -

                    "เดี๋ยวสิ...." บิลกลั้วหัวเราะพลางปัดป่ายผมออกเมื่อตั้งท่าจะไม่หยุดแค่จูบ

                    "ทำไมอีก?" ผมยิ้มกลับไปบ้าง...แบบแอบซ่อนเลศนัยไว้หน่อยๆ

                    "บอกแล้วไงว่า....."

                    "ก็ไม่ได้จะทำนี่ เซ็กส์น่ะ" ผมส่ายหัว "...ก็แค่...คนสองคนที่รักกัน...จะร่วมรักกัน?"

                    "..................."

    ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ผมก็ทำให้บิลเข้าตัวเลือกโหมดเงียบหลังจากที่ไม่ได้เลือกใช้มานานจนได้ เขาไม่ได้ไม่พอใจหรอก ดูจะอึ้งๆเหมือนนึกไม่ถึงกับมุกนี้ของผมมากกว่า

                    - หน้าเอ๋อๆนี่ก็น่ารักดีแฮะ -

                    "เอาเถอะ" ผมถอนหายใจยอมแพ้ "...ถ้านายว่ามันสำคัญที่ต้องรู้อะไรบางอย่างของนายก่อน....ฉันจะรอก็ได้"

    บิลยิ้มรับอ่อนโยนจนผมอยากจับกดอีกรอบ ดีที่ยั้งใจ(และมือ)ไว้ได้ก่อนจะต่อรองอย่างไร้ความหวัง

                    ...อย่านานนักนะ

     

                    หือ?” ผมหรี่ตาอย่างรำคาญ เมื่อโทรศัพท์ข้างเตียงไม่มีทีท่าจะหยุดดัง ผมทำเฉยกับมันไปแล้วหนหนึ่ง แต่คนที่โทร.มาคงจะอยากคุยจนตัวสั่นถึงได้ลั่นโทรศัพท์มาหาผมอีกรอบ

                    เฮ้ นี่มันกี่โมง โทร.มาก็ดูเวลาซะมั่งซี่!”

    คงเพราะผ้าม่านหนาหนักสีเข้มที่ปิดหน้าต่างไว้ได้มิด ถึงทำให้ห้องมืดอย่างกับกลางคืน ถ้าไม่มีโคมไฟส่องแสงนวลอ่อนติดอยู่กับผนังข้างเตียงแล้วล่ะก็ ผมว่าที่นี่คงมืดสนิท

                    จะ 11 โมงอยู่แล้ว ทอม เสียงเย็นๆคุ้นหูตอบกลับมา ดูท่าจอร์ชจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ

                    - ก็แค่โดดงานมาครึ่งเดือนเอง -

                    ยังกลับไม่ได้ ผมตอบผ่านสายไปหลังจากที่โดนเสียงบ่นกรอกจนหูเริ่มจะชา ...ไม่รู้สิ แต่ฉันก็ยังไม่อยากออกจากวงหรอกนะ สาบานได้ การคุยกับจอร์ชทำให้ประสาทเขม็งเกลียวจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ถึงจะรู้ตัวว่าผมต่างหากที่แย่ แต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งไปทั้งที่ทุกอย่างมันยังค้างคาอยู่ได้ เพราะคุณจะไม่มีทางทำเพลงและเล่นคอนเสิร์ตที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแน่

                    แล้วฉันจะรีบ...โอเคนะ?” ผมตัดบทอย่างรวดเร็ว วางสายแบบไม่รอฟังคำทักท้วงอะไรทั้งนั้น

                    ป่านนี้แฟนๆร้องไห้คิดถึงนายแย่แล้ว เสียงจากร่างบางที่ยืนพิงประตูกระเซ้าพลางยิ้มบาง บิลเดินมาหาผมที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียง

                    เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร?” ผมยันตัวนั่งและรับบิลเข้ามากอด

                    แหม...รู้สึกดีจังที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วได้เห็นหน้าบิลเป็นคนแรก

                    ก็ตั้งแต่นายปล่อยให้โทรศัพท์ดังสนั่น ไม่ยอมรับสายน่ะสิทางนั้นหัวเราะคิกคักขณะที่ยอมหย่อนตัวลงบนตักของผมโดยดี

     

    บิลยกห้องนอนแขกให้ผมครอบครอง ทีแรก ผมก็กะจะดึงดันให้ได้นอนห้องเดียวกันอยู่หรอก แต่ไอ้ใบหน้าสวยที่โผล่ออกมาจากประตูแล้วพูดจริงจังว่า

                    อย่ายั่วฉันน่ะ

    ทำเอาผมกลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง เลยต้องทำใจ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางทนนอนนิ่งอยู่เฉยๆข้างเจ้านั่นผ่านพ้นค่ำคืนไปได้แน่ มีแต่ต้องยอมแยกห้องกันนอนเท่านั้น

     

                    กลับไปทำงานเถอะ ทอม

                    จะกลับไปทั้งๆแบบนี้ได้ยังไง ผมตอบตามจริงยังไม่ได้เข้าใกล้กันมากกว่าเดิมเลย

    ผ่านมาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว บิลยังไม่มีทีท่าจะบอกอะไรผมสักนิด ผมเองก็คงไม่มีสิทธิ์ทวงถามสิ่งที่เขาบอกให้รอ ได้แต่ทู่ซี้ตัดพ้อไปวันๆ

                    ใกล้แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ?” เขายิ้มหวานพลางโอบมือทั้งสองกอดรั้งรอบคออย่างเอาใจ

    ผมซุกหน้าลงกับแผ่นอกของบิล ปล่อยให้ห้องเงียบและฟังเสียงหัวใจของเขาพักใหญ่

    ....กำแพงที่มองไม่เห็น มันกดดันผมจนจุกอกเลยจริงๆ.....

     

                    อยากเข้าไป...ใจจะขาด

     

                    “..............................”

    ห้องเงียบลงอีกนานตามความคาดหมาย แต่บิลก็ไม่ได้ผละออกไปจากผม จนได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆจากร่างที่ยืนให้กอดอยู่นานนั่นแหละ คำพูดจากร่างนั้นถึงได้หลุดออกมา

                    ทอม...จูบฉันที

    เป็นคำพูดที่คาดไม่ถึง...แต่ก็ยินดีอยู่แล้ว

    ผมเงยหน้าขึ้น ขณะที่บิลโน้มตัวลงมา ริมฝีปากที่สัมผัสกัน รู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวจากอีกฝ่าย

                    ...ความกลัว....ที่จะสูญเสีย...

    ผมตวัดแขนดึงเอวเขาลงมาให้นั่งลงบนตัก ฝังจุมพิตหนักหน่วงกับเรียวปากนุ่มอย่างตอกย้ำ

                    ....ถ้าสิ่งนั้นคือ ผม ล่ะก็....ไม่จำเป็นต้องกลัวเลย...เพราะคนที่จากไปไม่ได้คือผมต่างหาก....

    ลิ้นอุ่นลุกไล่เข้ามาหา เชิญชวนให้ขบเม้ม เร่าร้อนจนต้องระบายใส่อีกฝ่ายเป็นความรุนแรงที่หอมหวล

    อื้ม…”

    เนิ่นนาน...จนอยากจะหยุดหายใจ แล้วหลอมละลายรวมกันไปทั้งอย่างนี้มากกว่าจะต้องมาคอยยอมรับความจริงทุกอย่างที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร

                    บิลหัวเราะเมื่อผมไล้นิ้วไปตามแผ่นหลัง เขากอดผมแน่น ปลายจมูกแหลมปล่อยลมหายใจขาดห้วงรินรดข้างคอ

                    ....อยากจะบดขยี้จนพอใจ แต่อะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลไหลวนอยู่ในอากาศ...หยุดผมไว้แค่นั้น...

    ดูเหมือนบิลจะตัวสั่นขึ้นมา ผมนึกว่าเขาร้องไห้ซะอีก แต่ใบหน้าที่เงยขึ้นมาก็ไม่ได้มีวี่แววของเรื่องแบบนั้น เขาลุกผละจากผม ปล่อยมือจากทุกอย่าง....

                    เขาทำท่าเหมือนว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

                    - ปล่อยมือจากทุกอย่าง -

                    ....................

    ...........

    ....

    .

     

                    ทอม...เราเป็นพี่น้องกัน

     

    คำพูดนั้นไล่เรียงออกมาจากริมฝีปากที่ผมนึกอยากจะฉุดเข้ามาจูบอีกครั้งเพื่อหาคำยืนยันว่า ล้อเล่น จากมัน บิลมองหน้าผมนิ่ง...นิ่งพอๆกับผมที่มองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

                    เราเป็นฝาแฝด ...หลักฐานก็อยู่บนหน้าของเราอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะสงสัยด้วยซ้ำ

    จะว่าเข้าใจ...กับคำพูดนั่น..ก็เข้าใจนะ จะว่าไม่เคยสงสัยก็ไม่ใช่ แต่คำเดียวที่หลุดออกจากปากผมได้ก็ยังเป็น

                    ทำไม... 

    ...อยู่ดี

                    เรื่องนี้...ถ้าถามพ่อนาย...คงจะน่าเชื่อกว่าล่ะมั้ง เขาแค่นหัวเราะ แต่ใบหน้ากลับเจือไว้แค่ความเจ็บปวด

    ...จะด้วยเรื่องของพ่อ เรื่องของผม...หรือเรื่องของเรา ก็ไม่รู้เหมือนกัน

                    บิล...” ผมผุดลุกขึ้นจากเตียง อีกแค่ก้าวเดียวก็ถึงตัวเจ้าของชื่อที่อยากโอบกอดให้มั่นใจ แต่เขากลับยกมือห้ามไว้ ราวกับนั่นเป็นโล่ที่ชะงักผมไว้ได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

                    ....เป็นเหตุผลที่ดีพอจะกลับไปเลยใช่ไหม

                    ...ถ้าอยากจะไล่ผมไป แล้วทำไมต้องใช้สายตาที่ไม่ได้เจ็บปวดน้อยไปกว่ากันนั่นมองมาด้วย!?...

    บิลสะบัดหน้าหนีแล้วก้าวเท้ายาวๆออกไปจากห้อง ผมในตอนนี้ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะรั้งใครไว้ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าโลกจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ดูเหมือนมันจะหยุดนิ่งจนน่าตกใจมากกว่า

    ...นิ่งงันซะจนผมนึกไม่ออกว่ายังยืนอยู่บนโลกหรือเปล่า?

                    บิลกับผมเป็นพี่น้องกัน? พี่น้องกันเนี่ยนะ? มันจะบ้าไปแล้ว! ผมรักเขาก่อนที่จะรู้ซะอีก!

                    บ้าเอ๊ย!?” ผมสบถพลางใช้สันมือทุบเข้ากับกำแพง เสียงมันดังกว่าที่ผมคิด...ได้แต่หวังว่าบิลคงจะไม่ได้ยิน

     

    ผมเก็บตัวอยู่ในห้องได้ไม่นานนักก่อนจะลงมาพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า บิลนั่งอยู่ที่โซฟา เหมือนจะจับสายตาไปที่โทรทัศน์ที่ไม่ได้เปิด หรือเตาผิงที่เลิกเผาไหม้ฟืนไปแล้ว เขารู้สึกตัวเมื่อผมลงบันไดขั้นสุดท้าย หันมามองอย่างไม่แปลกใจ สายตานั้นจับอยู่ที่กระเป๋าเดินทางของผมแวบหนึ่ง

                    เขาลุกจากที่นั่น ตั้งใจจะเดินผ่านผมขึ้นบันไดสู่ชั้นบนโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ

                    ....การที่เขาทำเหมือนมั่นใจกับการจากไปของผม สายตาที่บอกว่า 'ก็คิดไว้อยู่แล้ว' ทำเอาผมแทบจะยืนไม่อยู่เลยทีเดียว มันเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่รู้ความจริงเรื่องนี้...เจ็บปวดที่บิลไม่เชื่อใจผมเลย?

                    เดี๋ยว.. กวาดมือไปรั้งเอวเขาไว้ได้ทันท่วงทีในช่วงก่อนที่ทั้งตัวของเขาจะเลยผ่านผมไป รู้สึกได้เลยว่าบิลหยุดหายใจไปชั่วครู่ ปรับสีหน้าเป็นปกติแล้วหันมองผม

                    จะว่าปกติก็ไม่ใช่หรอก....เพราะนี่มันเย็นชาสุดๆเลยต่างหากล่ะ

                    “................” หน้าของเขาก็ถามชัดอยู่แล้วว่า อะไรอีก?

    ผมกระชับมือเข้ากับเอวบางเล็กน้อยก่อนจะถาม

                   

    ฉันยังกอดนายได้รึเปล่า?”

     

    เท่านั้นแหละ ที่ดูเหมือนว่าสิ่งที่อดทนเอาไว้ทั้งหมดของบิลจะพังลง เขาย่นคิ้ว ดวงตาระยับสะท้อนแสงกับไฟ

                    นั่นมันก็แล้วแต่นาย!”

                    เปล่าผมปฏิเสธ ฉันเป็นคนร้องขอ นายต่างหากเป็นคนตัดสินใจ

                    ยังอยากจะกอดฉันอยู่เหรอ? ยังอยากจะแตะต้องคนอย่างฉันอยู่อีกรึไง!?”

    ผมเริ่มไม่เข้าใจกับคำพูดของเขา

                    - ทำไมถึงต้องพูดขนาดนั้น -

    ปลายประโยคนั้นจบลงด้วยน้ำตาเม็ดโตจากตาคู่สวย ก่อนที่บิลจะเบนเข็มสายตาลงมองที่พื้นห้อง แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เขาร้องไห้นานนัก เลยถือวิสาสะใช้อีกมือที่เหลือช้อนใบหน้านั้นขึ้นมาสบตา และถามไปอย่างที่ตัวเองกังวล

    นายยังรักฉันอยู่ไหม?”

    บิลจะกลัวอย่างที่ผมกลัว? เขาจะเข้าใจผิดไหม? (แน่นอน ข้อนี้ผมรู้ เขาเข้าใจผิดอย่างจังเลย) ที่ผมอยากพูดก็คือ ผมไม่ได้ลังเลเรื่องที่เราเป็นพี่น้องกัน แต่ยอมรับว่าตกใจมาก

    ก็เป็นธรรมดาไม่ใช่รึไง?

    แต่ไม่ว่ายังไง...ผมรักบิล...มันก็เป็นไปแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนใจง่ายๆด้วยเหตุผลแค่นี้หรอก บิลยอมให้ผมใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาออกโดยดี เขาตอบกลับอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก

                    นั่นมัน...ฉันต่างหากที่ต้องถามบิลเอ่ยแผ่วเบาพลางหลบสายตามองลงพื้นอีกครั้ง คำพูดของเขาทำให้หลายๆอย่างที่ผมไม่เข้าใจเมื่อครู่ลงล็อกกันเป๊ะเหมือนตัวจิ๊กซอว์ที่ต่อกันติด

                    อะ.... ผมอุทานอย่างนึกได้ อยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆสักที ทำไมถึงไม่ทันคิดนะ ว่าบิลไม่ได้รู้สึกเหมือนผม แต่เขาต้องแบกรับอะไรที่หนักกว่า เพราะว่า......

                    ฉันรักนาย...ทั้งๆที่รู้ว่าเรา.....ท

    อย่าว่าแต่ผมจะรอให้เขาพูดจนจบประโยค แค่ชื่อผมก็ยังไม่ยอมให้เรียกเลย ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่สำคัญอีกแล้วนอกจากการที่ผมจะต้องทำให้บิลมั่นใจมากกว่านี้

                    ก็บอกแล้วไงล่ะ ว่าถ้ากลัวจะสูญเสีย ผม - ล่ะก็ ให้เลิกกลัวซะ!

    ผมกอดรับเอาบิลเข้ามาไว้เต็มอ้อมแขน กดหน้าเขาลงเล็กน้อยให้รับการรุกรานจากผมได้สะดวกขึ้น แค่ชั่วโมง..หรือสองชั่วโมงที่ตัวไม่ได้ห่างไกลแต่เป็นหัวใจที่ห่างกัน กลับทำให้ผมทรมานได้มากกว่าสองปีที่เราไม่ได้เห็นหน้า แต่ไม่เคยลืมกันเลยเสียอีก

                    ฉันจะไปคุยเรื่องนี้กับพ่อ ผมบอกเหตุผลที่หอบผ้าหอบผ่อนลงมาด้วย แล้วจะรีบกลับ ตกลงไหม?” จ้องมองดวงตาอีกคู่หวานเชื่อมพร้อมกับให้คำสัญญาที่ไม่จำเป็นกับคนที่ไม่คิดจะสานต่อความสัมพันธ์ใดๆด้วยอีกต่อไป




    สวัสดีคับ~

    แง่ม มาลงตอนที่ 2
    ต่อจากบทนำที่ันับเป็นตอนแรก
    .
    .
    .
    แม้จะไม่มีใครอ่านก็ตาม โฮกกกก *ร้องไห้*
    แป่ว!

    เอ่อ ใครหลงเข้ามาอ่านก็ต้องขอบคุณมากๆอยู่ดีนะคับ ^^
    ถ้าอ่านแล้วอยากจะเข้ามาอีกล่ะก็ จะดีใจมาก! 55+
    ขอบคุณคับผม~

    22:27 คืนที่ัพัดลมเสีย(อีกแล้ว)
    FUJOIN K. Rack

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×