ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    An deiner Seite

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 51




                                                                                                                [ บทนำ ]



    “ไม่ว่ายังไงก็จะอยู่กับนายตลอดไป...นี่คือสัญญาจากฉัน”

    ................................................
     
    “หือ?” ผมหันไปจับสายตาที่โทรทัศน์พร้อมกับค่อยๆเคี้ยวขนมปังที่คาบไว้ในปากทีละน้อย มือข้างหนึ่งถือแก้วนมสีขาวขุ่น กดปุ่มเพิ่มเสียงของโทรทัศน์ให้ดังขึ้นด้วยมืออีกข้าง
     
    “สภาพศพไหม้เกรียม ผลการชันสูตรทำให้ทราบว่าเธอเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง ซึ่งอยู่ในช่วงกลางดึกของเมื่อคืนนี้ ผู้พบเห็นเล่าว่าเขาเพิ่งจะเห็นศพของเธอลุกไหม้เมื่อตอนสายๆ ขณะที่เขาวิ่งมา ณ ที่เกิดเหตุ แต่ไม่พบใครหรืออะไรเลยที่บ่งบอกได้ว่าเป็นตัวก่อเหตุ
    บาดแผลตามลำตัวของศพเท่าที่พบได้คือรอยเขี้ยวสองรอยที่ลำคอซึ่งไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากสัตว์ชนิดใด รวมถึงร่องรอยแปลกประหลาดที่ปลายนิ้วทั้งสิบที่ไม่ได้สื่อถึงการต่อสู้ขัดขืน ยังสรุปไม่ได้แน่ชัดว่าเธอเสียชีวิตด้วยสาเหตุใดกันแน่
    เจ้าหน้าที่ชันสูตรกล่าวว่าพวกเขาต้องพลิกศพโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างเวลาประมาณการเสียชีวิตและเวลาที่ศพถูกทำลายซึ่งห่างกันหลายชั่วโมง อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ได้เตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษในการออกจากบ้านช่วงกลางคืน เนื่องจากคดีนี้มีความน่าจะเป็นที่คนร้ายมีความเป็นมืออาชีพสูงซึ่งไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้...
     
    “ทอม อย่าให้พ่อถูกเรียกไปฟังเรื่องลูกเข้าเรียนสายบ่อยนักเลย” เสียงของพ่อลอยมาจากชั้นบน เมื่อเสียงทีวีในห้องนั่งเล่นไม่มีทีท่าจะเงียบลง
    “รู้แล้วล่ะน่า..” ผมยักไหล่และกดสวิตช์ปิด หน้าจอดับวูบขณะเดียวกับที่พุ่งตัวไปคว้าเป้สะพายหลังวิ่งฉิวออกจากบ้าน กระโดดขึ้นคร่อมจักรยานคู่ใจก่อนจะปั่นมันไปพร้อมกับสายลมยามสายที่มุ่งตรงสู่ไฮสคูลซึ่งกลืนกินชีวิตแทบทั้งวันของผมเอาไว้
              
                ผมอาศัยอยู่กับพ่อในเมือง
    มักเดอเบิร์ก (Magdeburg) มานานเท่าๆกับอายุของตัวเอง ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ดีๆจะมีคดีประหลาดเกิดขึ้นในเมืองที่สงบเงียบราวกับอยู่ในภาวะจำศีลตลอดเวลาเช่นนี้ได้ ข่าวในประเทศรายงานเนื้อหาซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่อาจหาข้อสรุป แน่นอน...บนหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็ครึกโครมไม่แพ้กัน
    ผมเรียบเรียงความคิดตามเนื้อข่าวที่ได้ยินมาอีกครั้ง เดาได้ในเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต งั้นเรื่องนี้ก็ค่อนข้างอันตราย แต่........
                - จะลองตามดูดีไหมนะ
    ? -
    ผมพยักหน้ากับตัวเองพลางเลี้ยวจักรยานผ่านประตูโรงเรียน

                "เฮ้ ทอม ดูข่าวเมื่อเช้าแล้วสิ?" รุ่นพี่ที่ค่อนข้างสนิทกันเดินเข้ามาตบไหล่เมื่อเข้าจอดจักรยานเรียบร้อยแล้ว
    "ก็งั้นแหละ" ผมผงกหัวตอบ ชั่งใจคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก "ว่าจะลองตามดู นายว่าไง จอร์ช?"
    จอร์ช (George) มีรูปร่างสมส่วน แต่บางช่วงของชีวิตก็ดูเหมือนว่าเขาจะอวบอั๋นเกินไปจนทำให้คางบุ๋มได้ ผมยาวประบ่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูเหมือนผู้หญิงหรอก (เพราะเขา ถึก จะตายไป) และคงจะป๊อปมากกว่านี้ ถ้า...ถ้าเขาไม่มีคนหน้าตาดีอย่างผมยืนกลบรัศมีอยู่ข้างๆเป็นประจำ จอร์ชอายุมากกว่าผมสองปีแต่ก็ยังไม่จบไปจากโรงเรียน (ได้ข่าวว่าจะจบในปีนี้) ทั้งที่ผมกำลังจะจบการศึกษาในปีหน้าแล้ว
    "ว่าแต่กุสตัฟไปไหนซะล่ะ" ผมพูดออกมาอย่างที่กำลังสงสัย ปกติจะเห็นติดสอยห้อยตามจอร์ชอยู่ตลอด พูดง่ายๆก็คือ เราสามคนมักจะเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันเสมอ
    "วันนี้ยังไม่เห็นแฮะ" จอร์ชเสยผมและตอบคำถามอย่างไม่ให้ความสนใจนัก เขาพาดมือโอบไหล่ผมเดินต่อไปที่ตึกเรียน ใช้เสียงพูดเบากว่าเดิม "แล้วเรื่องนั้นล่ะ คิดรึยังว่าจะเริ่มยังไง?"
    ผมส่ายหัว
    "ยังหรอก เพิ่งตัดสินใจว่าจะสนใจมันเมื่อกี้เองน่ะ"
    "เหรอ ฉันนึกว่านายจะสนใจตั้งกะครั้งแรกที่ได้ยินข่าวซะอีก"
    "...................."
    ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไรอีก คิดในใจว่า......ผิดถนัด
     
    ตอนพักกลางวัน จอร์ชกับผมแอบเข้าไปในห้องสมุดและลักลอบเอาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับของวันนี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย (เพราะช่ำชองมาก) รู้สึกสงสารคนที่ยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์อยู่เหมือนกัน แต่พวกผมก็ไม่อยากปล่อยให้พ้นวันจนข่าวเน่าไปซะก่อนหรอก อย่งน้อยนักสืบที่ดีก็ควรรวบรวมเบาะแสสดใหม่ให้ได้มากที่สุด
    "โธ่เอ้ย ตำรวจไม่เห็นจะได้เบาะแสอะไรเลยนี่" ผมโยนหนังสือพิมพ์ฉบับสุดท้ายในส่วนของตัวเองที่ต้องตรวจสอบทิ้งข้างตัว จอร์ชวางฉบับในมือลงและส่ายหน้าเช่นกัน
    "ทุกอย่างเหมือนกัน! ให้ตายเถอะ คืนนี้ฉันต้องนอนฝันเห็นศพนั่นแหงๆ"
    ข้อมูลทั้งหมดไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก ดูเหมือนจะเจาะจงรายละเอียดได้แค่สภาพศพที่เป็นหลักฐานอย่างเดียวว่าเกิดเหตุฆาตกรรมเท่านั้น
    "จะว่าไปเรื่องมันก็เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อคืน...." ผมพึมพำก่อนจะเหลือกตาอย่างนึกขึ้นได้ "เฮ้! จอร์ช เรายังไม่ได้ไปสถานที่เกิดเหตุเลยนา..."
    "นั่นสิ.." จอร์ชส่ายหัวและนึกขำกับการลืมสิ่งที่สำคัญขนาดนี้ สงสัยว่าพวกเราคงต้องไปทบทวนกฎพื้นฐานของนักสืบจอมจุ้นอีกสักรอบ
    ว่าแล้วพวกเราก็ย้ายที่จากโรงเรียน (ที่ควรจะต้องเรียนภาคบ่ายต่อ) มุ่งตรงไปอีกมุมหนึ่งของเมืองทันที
     
    สถานที่เกิดเหตุสุดแสนจะธรรมดา เป็นมุมมืดของตึกที่พอจะให้คนสองคนพลอดรักกันได้สะดวกสายตาประชาชน มีเส้นเชือกกั้นไว้รอบๆบอกให้รู้ว่าห้ามเข้า ตำรวจสองคนยืนคุยกันไม่ห่างจากตรงนั้นมากนัก พวกผมพยายามเดินเข้าไปให้ใกล้ได้มากที่สุด
    เส้นเชือกพวกนี้เกะกะชะมัด
    ผมกระดกลิ้นอย่างไม่พอใจ แต่การมีอยู่ของพวกมันก็ทำให้พวกตำรวจที่มายืนเฝ้าตามหน้าที่ไม่ได้สนใจอะไรกับพวกเรา ก็แค่คนมุงที่อยากจะเห็นสถานที่เกิดเหตุ แล้วก็มีคนเป็นสิบที่เป็นอย่างนั้น พวกตำรวจหัวปิงปองจะไม่หือ ไม่อือเลยตราบใดที่เราไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อความเสียหายของรูปคดี อย่างกระโจนเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามหลังเส้นเชือก
    "ไม่มีร่องรอยอะไรเลยแฮะ" ผมรำพึงกับตัวเอง ดูท่าจอร์ชก็คิดอย่างนั้น เพราะถึงแม้พวกเราจะเดินไปเดินมา สังเกตสังกาทุกหลืบมุมเท่าที่จะทำได้แต่ก็ไม่มีอะไรที่แปลกไปจากพื้นอิฐบล็อกธรรมดาๆ
    ถ้าไม่มีเชือกกั้นรอบๆ ไม่มีรอยสเปรย์ที่ตำรวจทำสัญลักษณ์เอาไว้ ก็คงไม่มีใครรู้หรอกว่าที่ตรงนี้เคยมีคนตาย...
    ..ไม่มีแม้แต่รอยไหม้ที่ควรจะมี...
    มันเร้าอารมณ์อยากรู้ได้บอกไม่ถูก พวกผมหันมองหน้ากันอย่างเข้าใจในสิ่งที่ต่างฝ่ายต่างคิด
    “จอร์ช! ทอม!” เสียงเรียกด้านหลังดึงความสนใจของเราไปได้ทั้งหมด (ก็สถานที่ตรงหน้ามันไม่มีอะไรเหลือให้มองเลยจริงๆนี่นา) ร่างเล็กสมกับเสียงเดินกึ่งวิ่งตรงมาที่พวกเรา
    ...นั่นคือ กุสตัฟ...
    “ไง เกเรียนนี่หว่า” ผมหยอก กุสตัฟอายุมากกว่าผมแต่เราเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน
    “อย่างนายไม่มีสิทธิ์พูดหรอก ทอม” เขาหัวเราะจนตาปิด กุสตัฟตัวเตี้ยกว่าผมร่วมสิบเซ็นต์แต่บางทีเจ้านี่จะเรียกผมว่า เทอเรียร์ ที่หมายถึงหมาพันธุ์เล็ก ขาสั้น ซึ่งต่างจากผมตัวจริงที่ตัวสูงกว่าเมตรเจ็ดสิบแปดเซ็นต์ลิบลับ
    - เทอเรียร์น่ะมันชอบตามดมนู่นดมนี่ อยากรู้อยากเห็นไปเรื่อย มันก็นายเลยไม่ใช่เรอะ!?  -
    เหตุผลที่เคยให้ไว้ทำเอาผมตอบโต้อะไรไม่ออก เลยปล่อยเลยตามเลย ก็แค่ถูกเรียกด้วยพันธุ์หมาให้เสียจริตเล่นนานๆที
    “ตำรวจนั่งกุมขมับเลยล่ะ” กุสตัฟเอ่ยอย่างนึกสนุก ที่ขาดเรียนไปก็คงเพราะรวบรวมข้อมูลเรื่องนี้อยู่หรือไม่ก็มัวแต่นั่งสมมติว่าตัวเองเป็นฆาตกรอยู่จนเช้าล่ะมั้ง?
    “คืนนี้สงสัยเราคงต้องไปนั่งกุมบ้างเหมือนกัน” จอร์ชหัวเราะ
    หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน  
    - ไม่มีใครนึกถึงโรงเรียนเลยสักคน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่จอร์ชต้องเลื่อนการจบไฮสคูลไปอีกนิดก็ได้ -
     
    “บ้าชะมัด” ผมสะบัดหัวไปมาอย่างคิดไม่ตกกับข้อมูลทางคดีที่มีเพียงเล็กน้อย
    - พักมันไว้ก่อน! -
    ผมตัดสินใจลงไปชั้นล่างเพื่อหาอะไรกินรอบดึก
    “............บ้าที่สุด” ผมพ่นลมออกจมูกเมื่อตู้เย็นอันว่างเปล่า ปล่อยเพียงไอเย็นปะทะหน้า ไม่ได้มีกลิ่นอะไรชวนน้ำลายสอเลยแม้แต่น้อย
    การใช้สมองมันสิ้นเปลืองพลังงานนะเฟ้ย!
    ผมคว้ากุญแจบ้านหมับและเปิดประตูพาตัวเองออกไปด้านนอก ลมเย็นที่พัดเข้าปะทะข้างลำตัวทำให้ผมนึกได้ว่าอีกไม่นานก็จะเข้าหน้าหนาว ผมซุกแขนทั้งสองกอดไว้กับอก เสื้อตัวโคร่งดูเหมือนจะยิ่งทำให้ระยะของเสื้อกับผิวเนื้อถูกเติมเต็มด้วยลมหนาวมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะตั้งใจว่าจะเดินเล่นให้หัวโปร่งสักหน่อย แวะซูเปอร์ฯใกล้ๆหาอะไรกลับมากิน ขาเลยก้าวสั้นๆออกจากบ้านโดยไม่ได้หยิบอะไรติดมือไปนอกจากนั้น
    ถึงหน้าซูเปอร์ฯ ผมหยุดยืนชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะออกเดินต่อ ไม่ได้แวะเข้าร้านอย่างที่ตั้งใจไว้ (ก็ใครว่าเดินกินลม มันไม่อิ่มเล่า!) ที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากที่นี่มากสักหน่อยด้วยการเดิน แต่ความคิดยามสมองโปร่งก็ดึงให้ผมทำตามใจซึ่งถ้าผมรู้จักตัวเองดีกว่านี้อีกสักหน่อย ก็คงควบจักรยานมาด้วยแล้ว
    - คนร้ายมักจะย้อนกลับไปที่เกิดเหตุ -
    ถึงนั่นจะเป็นกรณีที่คนร้ายมักจะกังวลกับร่องรอยของตัวเองที่ไม่น่าจะมีในรายนี้ก็เถอะ
     
    - 01.05 am -
    ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วก็ถอนหายใจ อีกไม่กี่นาทีก็คงเดินถึง แม้จะเริ่มหนักใจว่าตัวเองอาจจะคิดผิดก็ได้ที่เดินเรื่อยมาถึงนี่ (ในเวลาแบบนี้!) ซึ่งผมพยายามไม่นึกถึงการเดินขาลากตอนกลับในตอนที่มันจะดึกยิ่งไปกว่านี้ด้วย
    เส้นเชือกยังโยงอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนมันจะหย่อนลงนิดหน่อย แต่ไม่มีเงาของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แถวๆนั้น
    “มันไม่มีอะไรเลยนี่...” ผมพูดกับตัวเองขณะก้มหัวลอดเข้าไปในพื้นที่
    ความเป็นไปได้ที่เหยื่อกับคนร้ายรู้จักกันล่ะ? ไม่แน่ว่าจะใช่ เพราะศพที่ไหม้เกรียมคงบอกร่องรอยการต่อสู้ไม่ได้มากนัก แต่ถึงจะรู้เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะทำให้ความคิดมืดๆของตัวเองกระจ่างขึ้น ทั้งคู่อาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน อาจจะแค่ถูกฝ่ายคนร้ายหลอกมา ‘เดท’ ก็ได้ (ถ้างั้นก็เรียกหลอกมา ‘เดธ’ ล่ะนะ)
    ผมลองย่อตัวลงนั่ง จินตนาการว่าคนร้ายจะใช้วิธีไหนฆ่าคนได้บ้าง
    - รอยเขี้ยวแบบผีดูดเลือดเรอะ -
    ผมฉุกใจคิด หนังสือพิมพ์ทุกฉบับเน้นในเรื่องนี้ ทั้งๆที่มันอาจจะเป็นแค่รอยแมลงกัดก็ได้ แสดงว่ามันไม่เหมือนรอยแมลงกัดแน่นอน? ไม่รู้สิ ผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หรือว่ามันจะจูงหมามาด้วย? สั่งให้หมากระโดดงับคอเหยื่อขณะกดเหยื่อลงทำท่าว่าจะ.......
    - หมาบ้าที่ไหนจะกัดได้รอยแบบนั้น -
    ผมส่ายหัวหยุดความคิดที่ดูจะแฟนตาซีเกินไปหน่อย หรือว่ามันใช้เล็บที่ยาวและแข็งแรงเจาะคอเหยื่อ...
    - ทำได้ขนาดนั้นมันก็เกินมนุษย์ไปแล้วหรือไม่ก็โรคจิต? -
    หรือว่ามันจะพกเขี้ยวปลอมเอาไว้ พอจะกัดเหยื่อก็พกขึ้นมาใส่แล้วก็.....หงับ......
    - ไม่มีเหตุผลที่โดนกัดคอจนทะลุโดยไม่พยายามขัดขืนหรอก -
    ผมส่ายหัวอีกครั้ง ถ้างั้นลองเบนเป้าไปที่การจัดการกับศพเป็นไง? เผา? เกรียมทั้งตัวแบบนั้น คงต้องใช้ความร้อนสูงจัด หรือว่าราดน้ำมันจุดไฟ....พรึ่บ....
    - ไม่มีร่องรอยของน้ำมันเลยสักกะหยด -
    หรือว่านั่งยาง?
    - ประหลาดก็ตรงไม่มีรอยไหม้ไฟที่บริเวณรอบๆนี่แหละ -
     
    “มีอะไรเรอะ?” ผมถามห้วนๆกับผู้มาใหม่ ร่างนั้นทำเอาความคิดที่กำลังโลดแล่น (ไปนอกทาง) ของผมชะงักค้าง เขาคงจะสงสัยที่ผมดอดเข้ามานั่งจุ้มปุกเท้าคางกับเข่า ตีหน้าเครียดอยู่ในสถานที่เกิดเหตุซึ่งถูกล้อมไว้ด้วยเส้นเชือกของตำรวจ ถึงได้เดินเข้ามาดู
    ลมกลางคืนพัดปอยผมสีดำสนิทปิดหน้าไปเกินครึ่ง เห็นได้จากมุมล่างก็แค่ดวงตาสีน้ำตาลทองที่จ้องมองกลับมา รู้สึกว่าเจ้าของดวงตานั้นจะทำแค่ยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง ไม่ตอบคำถามแล้วก็เดินจากไป
    - ทำไมรู้สึกว่าคุ้นๆแฮะ -
    ผมเกาหัวแกรก มองตามแผ่นหลังที่เลือนหายไปกับสายหมอก เพื่อนที่โรงเรียนรึเปล่าหว่า? ขืนเป็นงั้นต้องมีข่าวลือแปลกๆเรื่องมาอยู่ที่นี่กลางดึกแน่นอนเลย...
    ผมนั่งแช่อยู่ที่เดิมอีกพักใหญ่ คิดไปคิดมา เหตุการณ์เริ่มจะไกลไปถึงมนุษย์ต่างดาวเข้าทุกทีเลยต้องหยุดแค่นั้น ตั้งใจว่าจะกลับแต่ในความเงียบสงบของค่ำคืน นาฬิกาส่งเสียงติ๊ดเบาๆบอกเวลา
    - 02.00 -
     
    “กรี๊ดดดดดดดด!!”
    เสียงนั้นแทรกอากาศมาจากอีกทาง ผมรีบวิ่งไปทางนั้นเร็วกว่าใจคิด
    “ป...ปีศาจ” หญิงสาวที่คาดว่าเป็นเจ้าของเสียงกรีดร้องนั่งตัวสั่นเทาอยู่ในซอกตึกที่ห่างจากจุดเกิดเหตุเดิมไม่กี่สิบเมตร รอบๆไม่มีวี่แววของบุคคลอื่น ตอนนี้มีแค่ผมและเธอ
    “เกิดอะไรขึ้น!?” ผมรี่เข้าไปถาม แต่เธอไม่ตอบอะไรเลยนอกจากส่ายหัว ร้องไห้ และเอาแต่รำพึงว่า
     
    ...ปีศาจ....
     
    “ปีศาจ...เหรอ?” จอร์ชเกาคางอย่างใช้ความคิด มันคือท่าทางที่ติดเป็นนิสัย ผมเคยบอกไปแล้วว่านั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้คางของเขาบุ๋มเข้าไป แต่จอร์ชตอบแทนความหวังดีของผมด้วยการไล่เตะ
    “อื้อ” ผมอู้อี้ตอบเพราะแซนด์วิชทั้งชิ้นยังคาอยู่กับปาก
    “งั้นก็ใกล้เคียงกับคำว่าฆาตกรผีดูดเลือดน่ะสิ” กุสตัฟออกความเห็น
    “ยังไม่รู้ว่ายัยนั่นเห็นอะไรสักหน่อย อาจจะไม่ได้หมายถึงผีดูดเลือดก็ได้” ผมฝืนกลืนมะเขือเทศทั้งชิ้นลงคอ รสเจื่อนๆของมันทำเอาผมนึกถึงสีของเลือด พานจะคายออกมา เลยต้องกระดกน้ำอัดลมตามอึกใหญ่ 
                "ฉันไม่คิดว่ามันจะโยงถึง ‘ปิศาจไฟไหม้’ ได้มากกว่านี่" กุสตัฟเบ้ปาก
                “คืนนี้ว่าจะไปอีกน่ะ” ผมตบอกให้เจ้ามะเขือเทศลงกระเพาะไปเร็วๆ
    “ถ้าไม่เป็นผู้หญิงก็คงไม่มีแรงดึงดูดหรอก” จอร์ชคาดคะเน
    ก็ใช่ว่าผมจะเดาไม่ออกหรอกน่า! เพราะถ้าผมเป็นเจ้าฆาตกรนั่นก็คงเลือกถอยห่างจากชายหนุ่มร่างสูงวัยฉกรรจ์ เจ้าของหัวเดดร็อคสีทองที่ดูหมัดหนักและมาดแมน แฮ่ม...แถมหล่อเหลาอย่างที่ตัวเองเป็นอยู่นี่เหมือนกันแหละ
    “งั้นก็แต่งเป็นผู้หญิงไปเดิน...” ผมตอบส่งๆ
    “มันคงไม่โง่มั้ง...” จอร์ชส่งสายตาสมเพชให้กับความคิดนี้ขณะที่ผมเด้งตัวขึ้นจากพื้น บิดขี้เกียจแล้วโยนกระป๋องน้ำอัดลมลงถังขยะ
     “ยังไงคืนนี้ก็ต้องลองไปดูอีกที เผื่อจะได้ตกเป็นขี้ปากพวกโง่อย่างวันนี้อีก” ผมแค่นประชด เพราะอยู่ไม่สุขจริงๆตั้งแต่ผมกลายเป็นคนพบเหยื่อรายสำคัญที่ยังมีชีวิต (แต่คงจะเสีย ‘ประสาท’ ไปแล้ว)
    มีแต่สายตามองมา ซุบซิบอยู่ทั่วไปหมด บางคนสงสัยว่าผมเป็นฆาตกรซะเองด้วยซ้ำ เอาเถอะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ข่าวลือมันก็เหมือนควัน ถ้าต้นไฟไม่ได้อยู่ที่ผม ไอ้ควันนั่นก็หมุนวนอยู่รอบตัวได้ไม่นานนักหรอก จอร์ชบอกอย่างนั้น  
     
    ครั้งนี้ผมควบจักรยานฝ่าไปในความมืด กะให้ไปถึงราวๆเวลาเดิม ตั้งใจว่าจะแวะดูที่เกิดเหตุแรกก่อนแล้วค่อยไปดักรออะไรก็ตาม ณ ที่เกิดเหตุล่าสุด ถึงตำรวจจะยังไม่สรุปว่าเป็นคนร้ายคนเดียวกัน แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ควรจะนอนเชื่อฟังอยู่ที่บ้านอยู่ดี
    ในความมืดสลัวตรงหน้าปรากฏร่างหนึ่งลางๆ เขายืนนิ่งอยู่ที่รอบนอกเส้นเชือกกั้นของสถานที่เกิดเหตุแรก ถึงจะเห็นแค่ข้างหลังแต่ผมจำได้แม่น ก็เมื่อคืนนั่งมองเจ้านั่นเดินหนีจนหายไปจากสายตาเป็นการฆ่าเวลานี่นา
    “ไง” ผมเอ่ยทักอย่างระวัง ด้วยการปาดจักรยานไปจอดใกล้ๆตัวของเจ้านั่น ต่อให้อยู่ดีๆเขาประกาศว่าตัวเองเป็นคนร้ายก็เตรียมปั่นหนีได้ทันทุกสถานการณ์ “เจอกันอีกแล้วนะ”
    ร่างนั้นหันมาหาผม ดวงตาสีทองราวกับจ้องแต่จะดึงดูดผู้มองให้ดิ่งลึก ทำเอาผมหายใจไม่ทั่วท้อง
    “นั่นสิ” เสียงนั้นตอบกลับแผ่วเบา เขาน่าจะสูงพอๆกับผม อาจจะมากกว่านิดหน่อย ร่างสมส่วนซ่อนตัวอยู่ใต้โค้ทหนาสีเข้ม ก็ไม่แปลกที่จะหยิบโค้ทมาใส่ในช่วงรอยต่อของฤดูหนาวอย่างนี้...ถึงจะน่าคิดว่าเร็วไปหน่อย
    - หน้าคุ้น....คุ้นจริงๆนา... -
    ผมเริ่มมั่นใจว่าหมอนี่ต้องไม่ใช่เด็กที่โรงเรียนแน่นอน เครื่องหน้าของเจ้านั่นจัดวางอย่างลงตัวจนนึกชื่นชมในฝีมือปั้นของพระเจ้า ดวงตากลมโตฉายแววที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกรุกล้ำเข้ามาในความคิด ใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อน สวยกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก ถ้าอยู่ในโรงเรียนก็ไม่มีทางที่จะไม่เป็นที่รู้จัก
    “เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าเนี่ย? เอ้อ โทษที” กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอใช้คำพูดสุดเห่ยเหมือนที่พวกบ้านนอกใช้จีบหญิงแล้วก็แทบอยากชกปากตัวเองที่ไวเท่าความคิดเกินไปนิด
    ร่างนั้นหันหัวออกมาทางผมเล็กน้อย เขาหัวเราะตอบอาการแสดงหน้าเก้อของผม
    “อาจจะ..นะ ไม่รู้สิ”
    “ฉัน ทอม” ผมเปลี่ยนเรื่อง ตั้งใจทำความรู้จักเอาไว้ บางทีเจ้านี่อาจจะเป็นพวก เทอเรียร์ เหมือนกัน ถ้าได้เพื่อนต่างโรงเรียนจากคดีนี้มันก็ไม่เลว
    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ทอม” จบคำพูดด้วยรอยยิ้มประหลาด หันตัวไปด้านตรงข้ามและสาวเท้าจากไป
    “เฮ้ย......” ผมครางพลางมองตามร่างนั้นกลืนหายไปกับสายหมอกอีกครั้งอย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
    ...นี่ ไม่คิดจะบอกชื่อกันซะหน่อยเลยเรอะ?....
     
    ถึงจะวนดูสถานที่เกิดเหตุทั้งสองจนพอใจ แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมา เลยปั่นจักรยานกลับบ้าน
    หัวเสียที่ไม่มีเบาะแสอะไรสักนิด...แต่ก็ตื่นเต้นจนต้องติดตามแบบไม่กล้าวางมือ
    ผมสปริงตัวขึ้นบันได ก้าวเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็กระโดดเข้าห้องน้ำ ปกติผมอาจจะดูเฉื่อยๆ
    - แต่พอเป็นเทอเรียร์แล้วก็กลายเป็นคนละคน -
    กุสตัฟเคยพูดเอาไว้แบบนั้น
    “เฮ้ย!....”
    ผมเห็นเงาตัวเองที่สะท้อนกับกระจกนั่น ทำหน้าเหมือนคนเห็นผี
    “เอ่อ......”
    ลองหลับตาลงซิ นึกหน้าเจ้านั่นอีกที
    “อืม.....”
    มันจะเป็นไปได้ไงฟะ .....ไหน ลืมตาซิ
    “เอ่อ....เฮอะ”
    ผมลูบหน้าตัวเองอย่างประหลาดใจ
     
    - นี่มัน...หน้าเหมือนเจ้ามนุษย์ปริศนานั่นเลยนี่หว่า -
     
    ถึงจะบอกว่าเหมือนแต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันอย่างกับแกะหรอก อย่างน้อยมองโดยรวมก็เป็นอย่างนั้น พูดง่ายๆก็คือ เรามันคนละสไตล์กัน ผมเป็นฮิพฮอพแต่ดูเหมือนเจ้านั่นจะเป็นคนพันธุ์ร็อก ผมยังสงสัยอยู่เลยว่าใต้เสื้อโค้ทนั่นจะเป็นกางเกงหนังรัดรูปกับเสื้อลายตาข่ายรึเปล่า!
    แต่มันก็เหมือนกันเกินกว่าที่ใครบางคนจะเหมือนกับคนอีกคนในโลกได้โดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
    - อย่างกับฝาแฝด -
    เจ้านั่นหน้ารูปไข่ ผมก็ด้วยเพียงแต่ผมคางแหลมกว่า
    ดูเหมือนสีผิวผมจะเหลืองกว่าอีกนิดหน่อย หรือจะบอกว่าสีของผมมันเข้มกว่า อา...ไม่สิ ผิวของเจ้านั่นต่างหากที่ซีดเกินไปแต่ว่าเนียนน่าจับกว่าผมหลายขุม
    ตาของผมก็เหมือนๆจะเป็นสีทอง แต่รู้สึกว่าจะค่อนไปทางสีน้ำตาลอ่อนแต่ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นสีทองเหมือนกันแฮะ
    ผมใช้นิ้วทั้งสองแหกตาตัวเองดูกับกระจก
    เจ้านั่นตาโตกว่าผม เอ๊ะ หรือว่าเป็นเพราะอายแชโดว์สีดำที่ทาทับอยู่ที่ขอบตากันนะ จะว่าไปก็ไม่ทันสังเกตเกี่ยวกับเมคอัพบนหน้าของเจ้านั่นเลย สงสัยจะถูกตาสีทองนั่นดึงความสนใจไปหมด 
    - แหม...ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจซะจริง -
    ผมหัวเราะลงคออย่างไม่เข้าใจตัวเองว่ามีอะไรขำนักหนา
     
    “พ่อ..ผมมีฝาแฝดรึเปล่า” ผมถามพ่อก่อนที่เขาจะทันออกไปทำงาน พ่อขมวดคิ้วมองผมอย่างแปลกใจ “หนังโศกเรื่องใหม่ที่ฉายทางโทรทัศน์เหรอ?”
    “อะไรล่ะนั่น” ผมเบ้ปาก ได้แต่มองประตูปิดลงโดยที่พ่อพาเงาของตัวเองออกไปด้วย
     
    “ถึงไปก็ไม่เห็นจะได้อะไรคืบหน้านี่” จอร์ชนอนแผ่อยู่ด้านขวาของผม นั่นเป็นเรื่องที่เราคุยกันเมื่อตอนพักกลางวัน หลังจากที่พวกผมเสร็จสิ้นการปิกนิกขนาดย่อมที่สนามหญ้าหลังตึกเรียน
    “ก็ว่างั้น....” ผมตอบเลี่ยงๆ
    คิดในใจว่า ผิดถนัด เพียงแต่มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีเลยสักนิด
    เที่ยงคืนกว่า ผมจมอยู่กับการบ้านที่ทำยังไงก็ไม่เสร็จ (ความจริงคือมันไม่ขยับเลย) คิดในใจว่าคืนนี้คงเลิกไปแถวนั้นได้สักที เมื่อคืนก็ไม่ได้มีคดีเกิดขึ้น สถานที่เกิดเหตุแค่สองแห่งก็ไปดูจนสนิทสนมกับพื้นอิฐสีน้ำตาลส้มแถวนั้นแล้ว
    ...นายนั่นจะไปรึเปล่า...
    หมุนปากกาในมือไปพลางคิดไปพลาง ทางนั้นดูท่าทางจะหัวดี อาจจะไม่มีการบ้านที่ต้องนั่งปวดสมองคิดอย่างผมก็ได้
    ...ถ้ารู้ชื่อก็ดีสิ...
    เพราะมันทำให้ความคิดสะดุดกึกเวลาคิดถึงขึ้นมา เฮะ ไม่ใช่สิ...ต้องเรียกว่า การนึกถึง จะถูกกว่า
    “เฮอะ”
    ผมโยนปากกาลงตรงหน้า ผุดจากเก้าอี้ตรงดิ่งลงไปที่จักรยาน
     
    ...ต้องเป็นเพราะไอ้นิสัยเทอเรียร์อย่างที่กุสตัฟว่าไว้แน่ๆ
     
    “แฮ่ก...”
    - หวังว่าคงจะทันนะ -
    ผมปั่นจักรยานมือเดียว ยกแขนอีกข้างขึ้นมาตรงหน้า ตาแวบมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาเลยตีหนึ่งไปหลายสิบนาทีขณะที่ขาทั้งสองข้างต้านแรงหน่วงเกียร์สุดกำลัง
    “อะ....”
    จักรยานถูกเบรกจนตัวโก่ง เมื่อถึงที่ที่ร่างคุ้นเคยยืนอยู่
    “เจอกัน..ที่นี่...อีกแล้ว” ผมฝืนน้ำเสียงให้ราบเรียบ (ซึ่งทำได้ยาก) ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนทุกอย่างเป็นแค่เหตุบังเอิญ ผมไม่ได้เหนื่อยเพราะการปั่นจักรยานรี่มาเพื่อเจอใครสักหน่อย...นะ
    “ไม่หนาวเหรอ” เจ้านั่นถาม เมื่อเสื้อแขนสั้นของผมไหวลมเย็นยามดึก ไม่รู้ว่าจงใจแกล้งพูดหรือเปล่า หรือแค่ไม่ทันสังเกตว่าผมปั่นจักรยานมาจนเหงื่อโชก
    “ไม่หรอก” ผมกระโดดลงจากจักรยานแล้วเดินนำไปที่ตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่แอบอยู่มุมหนึ่งของตึกแถวนั้น แปลกใจเล็กน้อยที่เจ้านั่นยอมเดินตามมาโดยดี
    ผมกดน้ำออกมาสองกระป๋องและโยนให้ทางนั้นกระป๋องหนึ่ง
    “พอจะเป็นค่าถามชื่อนายได้รึเปล่า?”
    เจ้านั่นไม่ตอบแต่เปิดกระป๋องน้ำยกขึ้นดื่ม
    “บิล”
    “บิล โอเค...” ผมยักไหล่ก่อนจะหันไปพินิจใบหน้านั้นอีกครั้ง ยิ่งได้แสงสลัวจากหลอดนีออนปลดเกษียรมายืนยันก็ยิ่งมั่นใจว่าหน้าเราเหมือนกันจริงๆ...มันเหมือนกันเกินไป “นาย..ไม่สงสัยอะไรบ้างเหรอ?” ผมถามขึ้นในที่สุด ระหว่างที่ผมจ้อง เจ้านั่น...บิลก็จะทำเป็นไม่สนใจ (ทั้งๆที่รู้...แน่ล่ะ) บางทีก็หันหน้ามาหาบ้าง พอผมไม่พูดอะไรก็หันหนีไปอีก
    “สงสัยอะไร”
    “ไม่คิดว่าหน้าเราคล้ายๆกันเรอะ?”
    “...........” เจ้านั่น...เอ่อ ผมหมายถึงบิล มองหน้าผมนิ่งชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “คงงั้น” แล้วก็หันไปสนใจอากาศตรงหน้าอย่างเดิม
    “...................” ผมหันไปเบะปากให้อากาศอีกข้างหนึ่งของตัวเองอย่างผิดหวัง
    - ปฏิกิริยาเฉยสนิท -
    เราเงียบกันไปอีกพักใหญ่ จนผมโยนกระป๋องกาแฟลงถังขยะนั่นแหล่ะ บิลถึงได้พูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาบาง ราบเรียบสม่ำเสมอ
    “ฉันกำลังจะเลิกตามคดี”
    ผมหันขวับ งั้นผมก็คิดถูกเรื่องที่บิลสนใจคดีเหมือนกันน่ะสิ แต่...ก็กำลังจะเลิก
    “เพราะมันคงไม่เกิดอะไรขึ้นอีก ฉันก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วด้วย”
    “รู้ได้ไงว่าจะไม่เกิดอีก? แล้วนายจะไปไหน?”
    ผมเดินไปหยุดยืนตรงหน้าบิลอย่างคาดคั้นคำตอบ บิลเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาประหลาด...ที่ผมตีความไม่ได้
    “ไม่เกิดหรอก...” เขายืนขึ้นบ้าง ทำให้ผมต้องถอยหลังครึ่งก้าวก่อนที่หน้าของเราจะชนกัน เจ้านั่นสูงกว่าระดับสายตาของผมเล็กน้อย ผมเดาถูกอีกในเรื่องนี้ บิลพูดต่อ
     
    “.....ฉันทำเอง”
     
    “หา?”
    “ฉันคิดว่านายตามคดีเพื่อที่จะรู้นี่?”
    “ก็ใช่นะ แต่.....”
    ผมเบี่ยงสายตามองพื้น เจ้านี่กำลังบอกว่าตัวเองเป็นฆาตกรเหรอ?
    “นี่ไง?”
    บิลอ้าปาก เขี้ยวเล็กๆประดับอยู่ที่มุมทั้งสอง แต่ก็ไม่ใช่เขี้ยวที่จะกัดคอใครได้ ผมทำหน้างง ขมวดคิ้ว สายตามองเขี้ยวในปากบางนั้น แล้วก็มองลงพื้น กลับมาจ้องที่เจ้านั่นอีกทีอย่างใช้ความคิด
    “อุ...ฮะ ฮะ” บิลงอตัวและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
    เท่านั้นแหละ ที่ผมรู้ตัวว่างับหนอนเข้าไปตัวเบ้อเริ่ม
    “เฮ้...นายหลอกฉันเรอะ!?”
    หนอย......
    “ไม่เอาน่า นายเชื่อ?” บิลยังพูดกลั้วหัวเราะขณะที่ผมเสไปที่ตู้ขายน้ำ หยอดเหรียญกดโคล่าออกมาอีกกระป๋อง บางทีผมอาจจะยอมให้ตัวเองระเบิดปุ้งเพราะแก๊ซโคล่าไปตอนนี้เลยก็ได้
    “เลิกหัวเราะน่า...”
    “ขอโทษที” บิลกระดกน้ำอึกสุดท้ายลงคอและโยนกระป๋องลงถัง เขาหันมายิ้มน้อยๆให้ “เราหน้าคล้ายกันมากจริงๆ ฉันยอมรับ นึกไม่ถึงว่านายเพิ่งจะสังเกตเห็น”
    “.............” คราวนี้กลายเป็นผมที่พูดไม่ออกซะเอง
    ขอโทษทีเถอะ ที่นึกไม่ออกตั้งแต่ครั้งแรก
    “แต่ที่ว่าจะเลิกตามแล้วก็ไปจากที่นี่เป็นเรื่องจริงนะ” อยู่ดีๆรอยยิ้มก็หายไปจากหน้า น้ำเสียงราบเรียบแบบที่ไม่น่าฟังกลับมาอีกครั้ง
    “จะย้ายไปอยู่เมืองอื่น?”
    บิลส่ายหน้า
    “ประเทศอื่น?”
    บิลส่ายหน้าพร้อมกับเอ่ยปาก
    “ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก แค่ยังไม่รู้...”
    “หา? ไม่รู้เนี่ยนะ?” ผมเลิกคิ้ว “...งั้นยังไม่ต้องไปก็ได้สิ”
    เขาส่ายหน้าอีกครั้ง
    “ไม่ว่ายังไงก็ต้องไปจากที่นี่ก่อนต่างหากล่ะ”
    “หือ?”
    “ฉันแค่พอใจเท่านี้”
    “........งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ” ผมลอบถอนหายใจ ถึงจะไม่เข้าใจกับคำพูดของบิลแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ถาม ทั้งที่แอบเสียดายเพื่อนใหม่ที่หน้าตาคล้ายกันเหลือเกินแล้วก็ดูท่าจะเข้ากันได้ดีคนนี้อยู่เหมือนกัน
    “..................” แล้วความเงียบก็เข้าครอบคลุมเราไว้
    ผมไม่ทันสังเกตตัวเองสักนิดว่าเลิกพูดถึงเรื่องคดีไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตอนนี้ที่ปล่อยให้เงียบก็ไม่ได้ใช้ความคิดอะไรเลย จะบอกว่าหัวมันว่างเปล่าก็น่าจะได้
    หลังจากที่สำนึกได้ว่าในหัวตัวเองไม่มีอะไรทำ เลยใช้การมองหน้าของบิลเป็นตัวฆ่าเวลา
    “งั้นนี่ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกันแล้วสิ?” ผมพูดลอยๆ หลังจากหันมาสบตากันเป็นรอบที่ร้อย โดยที่ไม่ได้พูดอะไรกันเลย
    “ก็คงงั้น...” บิลหันหน้าหนีไปอีกทาง
    “ถ้าไม่รีบกลับบ้านก็อยู่ด้วยกันนานหน่อย...น่ะ?” ผมเสหน้าไปอีกทางเช่นกัน รู้สึกว่าเป็นคำพูดที่น่าอายยังไงไม่รู้ แต่เวลาที่เพิ่มขึ้นอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนไม่หยุดลงไปแค่นี้...ผมได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
    “โอเค” บิลลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินนำไปทางสถานที่เกิดเหตุแห่งที่สองที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
    “บางทีคนร้ายอาจจะเป็นผีดูดเลือดจริงๆก็ได้” บิลพูดก่อน “ไม่มีร่องรอยการขัดขืน ไม่มีร่องรอยของเครื่องมือใดๆ”
    “ตลกน่า นายยังเชื่อเรื่องพรรค์นั้นอยู่อีกเรอะ?” ผมส่ายหัวช้าๆ “อย่างมากก็ฆาตกรที่จิตไม่ปกติ”
    “แล้วทำไมถึงฆ่าได้ง่ายๆล่ะ” บิลแย้งเสียงเรียบ
    “ก็แล้วทำไมเป็นแวมไพร์แล้วต้องฆ่าได้ง่ายๆล่ะ?” ผมค้านด้วยสำนวนเดียวกัน เรามองไปที่เกิดเหตุแห่งที่สองที่เดินมาถึง มันมีสภาพไม่ต่างจากแห่งแรก คือเป็นมุมมืดที่ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก แสงไฟอ่อนๆจากเสาไฟทั้งสองส่องมันไม่ถึงด้วยระยะที่อยู่กึ่งกลางระยะห่างของเสาสองต้นพอดิบพอดี เชือกกั้นของตำรวจถูกเก็บไปหมดแล้ว ไม่มีใครมายืนเฝ้าบ้างหลับบ้างอยู่แถวนี้อีก
    “ก็เพราะ...” บิลหันมามองผม “เขี้ยวของเจ้าพวกนั้นมีสารพิเศษที่หลั่งออกมาให้เหยื่อเคลิบเคลิ้มน่ะสิ ไม่เคยอ่านเรื่องพวกนี้เลยหรือไง”
    “อ่านไปมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะพิสูจน์ได้นี่” ผมแบะมืออย่างไม่เชื่อ
    “....................” บิลหันไปมองกำแพงชั่วอึดใจก่อนเสียงคุ้นหูจะแผ่วออกจากริมฝีปาก “...งั้นจะลองไหมล่ะ”
    “...ห๊ะ?”
    “เขี้ยวไง” บิลใช้นิ้วแตะฟันเขี้ยวเล็กๆของตัวเอง ผมมองตามมือ แต่จับสายตาอยู่ที่ริมฝีปากสีชมพู ในสายตาผมดูเหมือนมันจะขยับช้าๆเหมือนภาพที่ถูกลดความเร็วต่อวินาทีลงและที่สำคัญ...ดันละสายตาไม่ได้ซะด้วย
    - แย่ล่ะสิ....เผลอคิดว่าน่าจูบไปซะแล้ว... -
    ผมกลืนน้ำลายลงคอลำบากขึ้นนิดหน่อยขณะที่รู้สึกว่าตัวเองพยักหน้าตกลง กว่าสติจะกลับมาอีกครั้งก็เป็นตอนที่บิลดันผมชิดกำแพงราวกับผลักให้จมลงสู่ก้นบึ้งของความมืด ใบหน้าซุกอยู่ที่ซอกคอ ผมรู้สึกถึงปากอุ่นที่นาบทับอยู่กับผิวเนื้อและปลายเขี้ยวแหลมเย็นขีดครูดไปมาเบาๆ
    ทุกครั้งที่บิลขยับตัว ริมฝีปากนั้นจะกดลงแน่นมากขึ้น ทั้งอบอุ่น...นุ่มนิ่ม จะว่าไงดีนะ
    .....แบบว่ารู้สึกดีชะมัด!
     
    ...ถ้าเจ้านี่เป็นแวมไพร์ ผมอาจจะยอมตายก็ได้..
     
    คิดอย่างนั้นพลางเลื่อนมือของตัวเองผ่านเอวของอีกฝ่ายและโอบรั้งเข้าหาตัวแบบไม่ทันคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตัวเองอยากทำหรือเปล่า (แต่คงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำแน่นอน) บิลชะงักและเงยหน้าขึ้นมองจังหวะเดียวกับที่ผมครอบครองริมฝีปากสีกุหลาบด้วยสิ่งที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน บิลตาค้างขณะที่ร่างบางๆของเจ้านั่นถูกผมบังคับหมุนครึ่งรอบให้เป็นฝ่ายหลังแนบกำแพงซะเอง
    มือหนึ่งเกี่ยวเอวพาดเลยไปถึงวงก้นกบเหนือบั้นท้าย อีกมือหนึ่งลูบนิ้วกับริมแก้มเนียนละเอียดของอีกร่างเบาๆอย่างเป็นสุข
    ผมไม่รู้ว่าจะหยุดได้รึเปล่า...แต่คงไม่ยอมหยุดแน่นอน
    “อื้อ........”
    บิลเอียงหน้าเข้าตอบรับหลังจากที่มือเคยพยายามใช้มือผลักอกผมออกแต่ไม่เป็นผล เขาเกาะมือไว้กับต้นแขนของผมสลับกับเอวอีกด้านหนึ่ง
    “ทอม....”
    ทุกครั้งที่ริมฝีปากเราห่างกันพอที่จะขยับได้เล็กน้อย บิลก็ทำท่าจะพูดอะไรต่อจากการเรียกชื่อของผม ผมสงสัยว่าทำไมเขาไม่ใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่น้อยนิดในการสูดอากาศหายใจเข้าไป บางทีสิ่งที่กำลังจะพูดอาจสำคัญกว่า อย่างการห้ามปรามหรืออะไรทำนองนี้ที่จะทำให้หายใจได้ง่ายกว่า สะดวกกว่าและนานกว่าด้วยการหยุดผม แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองพร้อมจะเชื่อฟัง เลยมักจะรีบนาบเรียวปากเข้าประกบเพื่อหยุดคำพูดเหล่านั้น ถ้าไม่ได้พูดสิ่งที่อยากพูดสักทีก็คงจะร้องเรียกชื่อผมไปเรื่อยๆงั้นสิ?
    “ทอม...อืม”
    ผมแทรกเข่าเข้าหว่างขาของอีกร่าง
    ...ขอบคุณสวรรค์ที่เราสูงเท่าๆกัน ทำอะไรก็สะดวกไปหมด....
    บิลขืนไว้ได้แค่ช่วงแรกก่อนจะยอมให้ผมกดขาเข้าหาอย่างช่วยไม่ได้ (เผอิญผมไม่ยอมหยุด)
    “ทอม....อุ”
    เสียงเรียกครั้งนี้ขึ้นสูงอย่างตกใจเมื่อผมไล้มือที่เคยอยู่สูงลงต่ำ ปัดโค้ทให้พ้นทางแล้วเริ่มลูบมือผ่านกางเกงผ้าเนื้อละเอียด ครอบครองใบหูแดงเรื่อด้วยปาก ขบเบาๆด้วยฟัน ไล้เลียด้วยปลายลิ้นราวกับได้ดื่มด่ำน้ำผึ้งแสนหวาน
    “อ...ทอม....อย่า”
    บิลก้มหน้าลงพักไว้กับไหล่ ทำให้ได้ยินเสียงหายใจหอบของเขาชัดขึ้นเหมือนเชิญชวนอยู่ข้างหู มือข้างหนึ่งพยายามรั้งแขนผมไว้ไม่ให้ขยับ แต่มันจะไปมีผลได้ยังไงในเมื่อแรงของเขามันหมดไปแล้ว??
    “อ๊ะ”
    ผมค่อยๆลากนิ้วโป้งซึ่งกดผิวไว้หนักหน่วงขึ้นสู่ส่วนปลาย หยาดน้ำอุ่นๆหยดย้อนตกลงบนมือ ได้ยินเสียงครางแผ่วอย่างพยายามจะกลั้นไว้จากร่างในอาณัติ บิลซุกหน้าลงกับไหล่ผมแน่นขึ้นอีกเหมือนกำลังหาที่พึ่ง ผมมั่นใจว่าตัวเองน่าจะเป็นสิ่งที่บิลต้องการได้นะ แต่เขากลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
    เฮือก
    บิลสะดุ้งเมื่อผมถูปลายนิ้วกับยอดชุ่มน้ำและปล่อยมือออกยกขึ้นเตรียมแนบปากของตัวเอง เกิดเห็นว่ามันน่าอร่อยขึ้นได้ยังไงก็ไม่รู้ ผมเลยคิดจะลองชิมดูให้แน่ใจ แต่ยังไม่ทันได้ไล้ลิ้นเลียก็ถูกบิลใช้มือสั่นๆรั้งไว้ซะก่อน
    “อย่า...” เสียงนั้นปนหอบปนอาย ใบหน้าเหมือนจะกลายเป็นสีชมพู...ดูตรงไหนก็น่ารัก
    “...รอฉันก่อน” ผมกดหน้าลงกระซิบข้างหู ยังไม่ทันจะเลื่อนมือตัวเองลงไปจัดการความร้อนรุ่มที่แผดเผาส่วนล่าง ดวงหน้าของบิลที่เบี่ยงไม่ยอมสบตาด้วยความเขินอายกับคำพูดที่กระตุ้นกันได้อย่างร้ายกาจก็ดึงสติผมไปซะก่อน
     “ฉันช่วย...” น้ำเสียงนั้นทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะฝังรอยจูบลงกับริมฝีปากยั่วยวนนั้นอีกเป็นครั้งที่กี่ร้อยก็ไม่ได้นับ
    ...น่ารักเป็นบ้า....
    ระหว่างที่ผมไม่จำเป็นต้องช่วยตัวเอง มือว่างๆเลยไม่พ้นจะรีบไปกอบกุมอีกฝ่ายไว้ราวกับกระหายเหลือเกินทั้งๆที่ละมือไปแค่ไม่ถึงเสี้ยวนาที
    “ฮะ...ทอม” เสียงของบิลใสอย่างกับแก้ว ผมยังไม่หยุดรุกรานริมฝีปากแดงช้ำนั้นง่ายๆ เรียวลิ้นที่เกี่ยวกระหวัดกันและกันจนด้านชา แต่ผมก็ยังถวิลหารสสัมผัสที่เหมือนผ้ากำมะหยี่อุ่นชื้นนั้น
    วินาทีถัดมา ผมรวบเราทั้งสองไว้ด้วยกันด้วยมือข้างเดียวและขยับอย่างที่รู้ว่าต่างฝ่ายต่างก็ต้องการ แลกลิ้นกันอย่างมัวเมาในรสจูบในขณะที่ร่างกายร้อนจนแทบหลอมละลาย
    เสียงหอบหายใจครั้งสุดท้าย...หูชาดิกจนแทบสูญเสียประสาทการรับรู้
    เสียงหายใจของบิลดังอยู่ข้างหูและคิดว่าเสียงเรียกของผมก็คงผ่านหูบิลในระยะใกล้เช่นกัน
    “บิล....” ผมบรรจงจุมพิตลงที่ใบหูข้างแก้มอีกครั้ง ความเงียบของกลางคืนที่เลิกสนใจมันไปนานกลับมาสะท้อนให้ได้ยิน มือของผมรั้งอยู่กับสะโพกใต้โค้ทหนาขณะที่อีกมือใช้ยันตัวไม่ให้ล้ม
    เวลาผ่านไปอีกหลายนาที จนเสียงลมหายใจของเราทั้งคู่เริ่มผ่อนใกล้เคียงจังหวะปกติมากขึ้น
    “ทำ.....”
    “อย่าถาม...” ดูเหมือนคำพูดที่ขัดขึ้นของผมจะทำให้คำพูดของบิลลอยหายไปกับสายลมได้ “...อย่าถามว่าทำไม...” ดึงขาตัวเองออกมายืนให้ถนัดขึ้น ใช้มือทั้งสองรั้งเอวของบิลให้ใกล้ตัว ซุกหน้าลงกับซอกคออุ่นร้อนของเขา “...ฉันก็ไม่รู้” ผมตอบก่อนจะพูดต่อ “แต่ฉันเองที่เลือกจะไม่หยุด”
    “...............” บิลเงียบ ยอมให้ผมใช้ริมฝีปากขบเม้มไหล่เขาต่อไป
    “ถ้านายรังเกียจ...ก็ผลักฉันให้เต็มแรงเลย” ผมกระชับอ้อมแขนแน่นเข้า ใจหนึ่งก็หวาดกลัวคำตอบ ถ้าบิลผลักผมออกก็คงไม่มีวิธีไหนรั้งไว้ แต่ใครจะยอมอยู่กับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปอย่างผมกัน?
    “.............” เขาเงียบไปอึดใจ ความเงียบของบิลตอนนี้เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่ผมเคยเจอมาเลย
    และในที่สุด คำตอบที่ไม่ใช่คำพูด (ซึ่งผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยากรู้)
    ...มือของบิลค่อยๆเลื่อนมาที่แผ่นอก
    ผมหลับตา รับสัมผัสนั้นโดยดี
    ...ผลักมาเลย...ผลักมาเลยสิ จะต่อยด้วยก็ได้...
    แต่ตอนนี้ผมไม่อยากปล่อยมือก่อน ชั่ววินาทีก่อนจะต้องห่างกันแบบที่ไม่สามารถคงความสัมพันธ์แบบไหนไว้ได้อีก ผมอยากจะซึมซับความอบอุ่นของบิลไว้กับผิวเนื้อให้เต็มที่
    ไม่รู้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม...ผมไม่ได้เป็นเกย์นะ....ไม่เคยคิดจะเป็นมาก่อนเลยจริงๆ แต่อะไรทำให้โหยหาอีกฝ่ายได้ขนาดนี้?
    ผมช็อก...กับคำว่าบิลจะไป และทำทุกอย่างโดยปราศจากสำนึกถึงความถูกต้องใดๆ
    มือของบิลทาบอยู่กับอกของผมพักใหญ่ เหมือนกำลังตัดสินใจหรือไม่ก็รวบรวมลมปราณอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ทางผมเองที่ยิ่งรู้ว่าหัวใจกำลังเต้นสะท้อนอยู่กับมือของบิล มันก็ยิ่งเพิ่มจังหวะเร็วขึ้นจนน่ากลัว
    “จะบ้าหรือไง” บิลเลื่อนมือผ่านสีข้างเข้าโอบผมแน่นขึ้นเป็นคำตอบ ตอนนั้นแหล่ะที่สิ่งที่กลัวทั้งหมดของผมทลายออกมาเป็นหยดน้ำร่วงจากตา
    “...ขอโทษ”
    “ขอโทษ...”
     
    "นี่...ยังไม่ไปไม่ได้เหรอ" พูดจบก็หาวซะทีนึง กาแฟในแก้วแผ่ไออุ่นๆออกมารุมมือทั้งสองที่โอบประคองมันเอาไว้ นาฬิกาของผมติ๊ดบอกเวลาตีสาม
    "บอกแล้วไงว่าถึงจะไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนแต่ยังไงก็ต้องไปจากที่นี่ก่อน" บิลยกแก้วกาแฟขึ้นจรดริมฝีปาก "...นี่ก็ถลำตัวลึกเกินไปแล้วด้วย" เขารำพึงอะไรกับตัวเองที่ผมไม่รู้เรื่องด้วยอีกแล้ว
    รู้สึกไม่ชอบใจเลย...ให้ตาย
    "..............." ผมแอบถอนหายใจ "...ฉันไม่อยากจากกันทั้งแบบนี้ ก็มันยังไม่รู้เลยว่า......"
    ผมเงยหน้ามองไล้จากปลายเท้าที่ก้าวเข้ามาอยู่ในขอบเขตสายตาที่เคยทอดไว้กับพื้นตรงหน้า ขึ้นสู่ใบหน้าที่...เกือบจะเหมือนกัน...แต่สวยกว่าผมมากมายนัก
    บิลยื่นมือออกมา อีกมือหนึ่งถือปากกาส่งให้
    "ถ้ารู้ที่อยู่เมื่อไหร่จะรีบส่งข่าวทันทีเลย" เขาพูดยิ้มๆ
    ผมรีบดึงปากกามาขีดๆเขียนๆที่อยู่ของตัวเองลงบนมือของบิลแทนกระดาษทันที เสร็จแล้วก็ไม่ลืมดึงมือนั้นมาจุมพิตแผ่วเบาเป็นการปิดท้าย บิลไม่ขัดขืนการกระทำนั้นสักนิด...ผมเองก็ไม่แปลกใจ
    "ระหว่างนี้ก็คิดไปนะ สิ่งที่นายยังไม่รู้" บิลเอ่ย
    "จะไปพรุ่งนี้เลยเหรอ"
    บิลส่ายหน้า เขาเคาะนิ้วกับนาฬิกาของผมเบาๆ
    "วันนี้ต่างหาก"
     
    "แล้วสักวัน..นายก็คงจะได้รู้คำตอบของฉันเหมือนกัน"
     
    บิลทิ้งคำพูดไว้ เขาโน้มตัวลงมาสร้างรสจูบหวานล้ำเนิ่นนาน....ก่อนที่พวกเราจะหายไปจากชีวิตของกันและกัน
     
    "ทอม? ทอมมมมม"
    รู้สึกเหมือนมีใครพ่นลมใส่หู แต่ผมไม่อยากสนใจ ดูเหมือนใบไม้ร่วงผ่านหน้าต่างจะน่าจับจ้องมากกว่าห้องเรียนที่วุ่นวายซะอีก
    "อย่าไปยุ่งกับมันเลย กุสตัฟ ไว้อาลัยให้ 2 วินาทีก็พอ"
    เหมือนจะได้ยินเสียงจอร์ชลอยมาไกลๆว่าแบบนั้น
    ...น่าโดดเตะชะมัด....
    "เป็นอะไรไปน่ะ?"
    คราวนี้คงไม่ได้พูดกับผม เลยยิ่งไม่อยากจะยุ่งด้วยเข้าไปใหญ่
    "...คงจะอกหักล่ะมั้ง?"
    ผมหลุดออกจากภวังค์ หันขวับไปทางจอร์ชก็พอดีเห็นกำลังเกาคางทำท่าหยั่งรู้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลส้นเท้า แต่เผอิญยังไม่มีอารมณ์มากพอจะออกแรงยกอะไรขึ้นมาก็เท่านั้น
    "ยัง..ไม่ได้อกหักเฟ้ย" อยากจะเถียงเสียงดังให้ขาดใจ แต่ทำได้แค่ปล่อยเสียงอ่อยๆออกไปแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่
    "ยัง? นายบอกว่ายังน่ะ?" กุสตัฟทวนคำอย่างฉงน
    "แสดงว่า...แอบไปตกหลุมรักใครเข้า?" จอร์ชถามกลับ
    "ไม่รู้...แต่ไม่น่าจะใช่ ตกหลุมรัก ของนายหรอก" ผมเบ้หน้า แค่คิดก็แขยงตัวเองแล้ว ถึงนั่นจะสวยอย่างกับผู้หญิง
    ...แต่ก็ผู้ชายล่ะวะ....
    "อ้าว แล้วมานั่งซังกะตายแถวนี้ทำไม?" จอร์ชถลามากอดคอ
    "................" ผมนิ่งไปเสี้ยววินาทีแบบไม่ยอมแสดงท่าทีผิดสังเกตก่อนจะยักไหล่ "ซังกะตายบ้าอะไร? บางช่วงชีวิตของวัยรุ่นมันก็ต้องมีเวลามานั่งเหม่อมองฟ้ากันมั่ง..." ผมไถไปแบบที่คิดว่าลื่นไหลสุดๆ หารู้ไม่ว่านั่นยิ่งทำให้หลักฐานการกลบเกลื่อนชัดยิ่งขึ้น ผมน่าจะแนบเนียนกว่านี้...ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนของผมเป็นยังไง
    แต่ช้าไป...นิดหนึ่ง
    "ใคร?" กุสตัฟยื่นหน้าเข้ามาถามแบบมั่นใจเต็มเปี่ยมในการเดาสุ่มของจอร์ช...ที่ผมทำให้มันได้รับการยืนยันด้วยตัวเอง จอร์ชกดแขนกับไหล่ผมหนักขึ้นอย่างคาดคั้นคำตอบของกุสตัฟ
    ผมยกมือขึ้นตบหน้าผากแปะ 
                ...แย่ล่ะสิ....
    "เจอกันตอนไปด้อมๆมองๆแถวที่เกิดเหตุ" ผมง้างปากอย่างช่วยไม่ได้
    "เจอกัน? เฮ้ งั้นก็ไม่ใช่รักข้างเดียวเหมือนเบียร์เปรี้ยวสินะ?" กุสตัฟยิ้ม
    ...ทำไมเป็นเบียร์เปรี้ยว... ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำเปรียบเปรยแปลกๆของอีกฝ่าย แต่ก็พูดต่อ
    "ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ฉันไม่มีที่อยู่ติดต่อ" ผมตัดบทไปเลย
    ....ก็มันเป็นอย่างงั้นจริงๆ....
    "นั่นคือผลที่นายจะบอกพวกฉันเหรอ คาสโนว่าทอม?" จอร์ชเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อขณะที่ผมทำได้แค่ก้มหน้าจ๋อย
    จอร์ชอาจจะล้อเล่นเกินไปหน่อยที่เรียกผมอย่างนั้น แต่ผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาไม่เคยทำให้ผมจบแค่...เอ่อ...แค่ช่วยกันเองหรือทำให้ต้องมานั่งนับใบไม้ร่วงหลังจากแยกทางกัน
    "อื้ม" จอร์ชใช้มือหนึ่งลูบคาง อีกมือหนึ่งยังกอดคอผมไม่ปล่อย "น่าทึ่งจริงๆ หญิงสาวปริศนาที่ทำให้นายทอมเป็นอย่างนี้ได้ อยากเห็นหน้าแฮะ"
    ...สาบานได้ว่าผมพยายามจะเสนอหน้าให้จอร์ชดูแต่เจ้านั่นไม่สนใจจะมองแม้แต่น้อย....
    "เอาเถอะนะ หล่อนคงจะสวยเลือกได้...."
    จอร์ชยังพล่ามไม่หยุด ในขณะที่ผมเริ่มกระดากที่จะนำเสนอหน้าตัวเองต่อชาวโลกต่อไป 
    ...สวยเลือกได้... หึหึ
    "รู้แล้วๆ" ผมปัดมือและดึงตัวออกจากการเกาะกุมของจอร์ช คำพูดของเจ้านั่นพอจะเข้าใจได้ว่าถึงจะหล่อแต่หญิงบางคนก็ไม่แล สิ่งที่ทำได้ก็แค่ทำใจอะไรทำนองนั้น

                ...ไอ้เรื่องทำใจน่ะ...ก็ว่าจะทำอยู่แล้วล่ะน่า...


    สวัสดีคับ~

    เป็นครั้งแรกที่ได้ลองเอางานของตัวเองมาลง
    หากมีคนที่อุตส่าห์เข้ามาอ่านก็จะดีใจมากเลยล่ะคับ (ยิ้ม)
    ถ้ามาพร้อมคำติชมก็จะยิ่งขอบคุณมากเลยล่ะ!

    จริงๆแล้วเรื่องนี้น่าจะเรียกว่าเป็นแฟนฟิค
    เพราะตัวหลักในเรื่องมีตัวตนจริงๆนะคับ
    เป็นวงของเยอรมัน ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนรู้จักมากน้อยแค่ไหนในไทย
    เรื่องนี้ยังอีกยาวไกลนัก *ร้องไห้*
    แค่คิดก็เหนื่อยแล้วแต่ผมตั้งใจเต็มที่!
    ถ้ากรุณาติดตามก็จะดีใจมากคับ

    Special Thanx:Cres [D]sire ที่ช่วยสกรีนงานให้ส่วนหนึ่งคับ

    0:00 ค่ำคืนที่ร้อนอบอ้าว
    FUJOIN K. Rack
     

    ....................................

    ....................
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×