ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักร้อยใจ

    ลำดับตอนที่ #4 : 4

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 54



    4

     

    เสียงโอดโอยดังเป็นระยะขณะที่องค์ชายรองและองค์ชายสามผลัดกันใส่ยาที่สะโพกเพราะถูกพระบิดาสั่งโบยคนละสี่สิบไม้ องครักษ์ผู้ทำหน้าที่โบยต้องผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ถึงสี่คนด้วยเกรงว่าตนเองอาจถูกโบยด้วยหากปฏิบัติหน้าที่ไม่ดีพอ ดังนั้นองค์ชายทั้งสองจึงได้แผลแตกกลับมาหลายแผล แม้จะกัดฟันไม่ร้องโอดโอยขณะถูกโบยแต่เมื่อการโบยเสร็จสิ้นลงแล้วเหล่าองค์รักษ์ต้องหิ้วปีกพวกเขาทั้งสองกลับมาที่ตำหนักของตนเอง

    “เบาๆ หน่อยได้หรือไม่เสี่ยวเจิ้ง ใจคอเจ้าจะแหวกปากแผลให้ฉีกเลยหรือ?!” ฉีหย่งเซิงตำหนิพระอนุชาที่ใส่แผลหนักมือไป

    “เงียบเสียงเถอะน่า จะไม่ทายาใช่หรือไม่ หรือต้องการเกลือเม็ดมายัดแผล?”

    ฉีหย่งเซิงได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าเถียงพระอนุชาอีก เพราะเกรงว่าเขาจะเอาเกลือมายัดแผลให้จริงๆ เสียงมหาดเล็กที่หน้าตำหนักถวายรายงานด้วยเสียงอันดัง

    “ฮองเฮาเสด็จ”

    องค์ชายทั้งสองรีบลุกขึ้นสวมใส่กางเกงอย่างทุลักทุเล แล้วเดินออกไปต้อนรับพระมารดาที่กำลังเดินเข้ามาภายในห้องบรรทมโดยมีองค์หญิงฉีเหม่ยเมิ่งพระขนิษฐาองค์สุดท้องตามเสด็จเข้ามาด้วย

    “ถวายพระพรพระมารดาพะย่ะค่ะ”

    “องค์ชายทั้งสองตามสบายเถิด” เจ้าเหม่ยอวี้จับมือของพระโอรสทั้งสองเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง “พระบิดาลงโทษพวกเจ้าหนักหน่วงยิ่ง พวกเจ้าเจ็บมากหรือไม่?”

    “ไม่มากเท่าใด พระมารดาอย่าได้ทรงเป็นกังวลเลยพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเจิ้งตอบพระมารดาไปอย่างนั้นทั้งที่เจ็บจนน้ำตาแทบร่วง

    “พวกเจ้าก็เหลวไหลนัก เหตุใดจึงกล้าไม่เข้าเรียน พระบิดาทรงกริ้วมากทราบหรือไม่?”

    “หม่อมฉันทั้งสองทราบแล้วพะย่ะค่ะ”

    เจ้าเหม่ยอวี้ทอดถอนใจออกมา “แล้วพวกเจ้าใส่ยาแล้วหรือ?”

    “พะย่ะค่ะ” องค์ชายทั้งสองตอบ

    “เจ้าพี่ทั้งสองทราบหรือไม่ว่าบ่ายวันนี้เจ้าอาจะเสด็จไปแคว้นเว่ย?” องค์หญิงฉีเหม่ยเมิ่งเริ่มหัวข้อสนทนาทันที

    “ไปแคว้นเว่ย?” องค์ชายรองฉีหย่งเซิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องร้องออกมา “ใช่แล้ว! เจ้าอาคงจะออกไปล่าสัตว์กับเว่ยอ๋องเป็นแน่”

    “ดีใจอันใด?” องค์ชายสามฉีหย่งเจิ้งถามพระเชษฐา “ดีใจที่พวกเราถูกกักบริเวณจึงไม่ได้ตามเสด็จเจ้าอาหรือ?”

    ฉีหย่งเซิงพลันคิดออกมาได้ว่าตอนนี้พวกเขาถูกพระบิดาสั่งกักบริเวณจึงอุทานออกมาด้วยความเสียดาย

    “โธ่เอ๋ย! ครั้งนี้พวกเราไม่ได้ไปแคว้นเว่ย เจ้าอาเว่ยเจี้ยนคงคิดถึงข้านัก”

    ฮองเฮาเจ้าเหม่ยอวี้ได้ฟังพระโอรสทั้งสองและพระธิดาสนทนากันก็อดยิ้มขำไม่ได้

    “เจ้าพี่รองท่านทราบได้อย่างไรว่าเจ้าอาเว่ยเจี้ยนจะคิดถึงท่าน? อาจบางทีเจ้าอาเว่ยเจี้ยนอาจจะคิดถึงข้าฉีหย่งเจิ้งก็เป็นได้ แต่เป็นเพราะข้าและเจ้าพี่รองหน้าตาเหมือนกันจึงอาจทำให้เจ้าพี่รองสำคัญตัวผิดไป”

    ฉีหย่งเซิงหันมามองหน้าพระอนุชาแล้วก็ต้องบ่นพึมพำออกมา “เจ้าต่างหากที่สำคัญตัวผิดไป เจ้าลูกเต่า!

    “ผู้ใดว่าข้าเป็นลูกเต่า?! หากข้าเป็นลูกเต่าแล้วท่านเป็นตัวอะไร?”

    “พวกเจ้าทั้งสองหยุดทะเลาะกันได้แล้ว!” เสียงของพระมารดาดังขึ้นทำให้ฝาแฝดหนุ่มเงียบเสียงลง

    เจ้าเหม่ยอวี้เหลือบมองพระโอรสทั้งสองด้วยสายตาตำหนิ “อยู่ต่อหน้ามารดาพวกเจ้ายังทะเลาะกันไม่หยุด นับว่าพระบิดาลงโทษพวกเจ้าน้อยไปจริงๆ”

    คู่แฝดหนุ่มรีบคุกเข่าลงจับแขนของพระมารดาเอาไว้คนละข้าง องค์ชายสามรีบยิ้มประจบพลางกล่าวว่า

    “หม่อมฉันกับเจ้าพี่รองรักกันปานจะกลืนไหนเลยทะเลาะกันได้ คงเป็นเพราะยิ่งพูดยิ่งเสียงดังไปบ้างเท่านั้นพะย่ะค่ะ”

    “น้องสามพูดถูกแล้วพะย่ะค่ะพระมารดา หม่อมฉันรักน้องสามยิ่ง”

    เจ้าเหม่ยอวี้ค้อนบุตรชายทั้งสองคราหนึ่ง เรื่องความกะล่อนต้องยกให้พี่น้องฝาแฝดคู่นี้จริงๆ ดูเอาเถอะเพิ่งจะเถียงกันเมื่อครู่พอถูกตำหนิยังสามารถแสดงความรักกันออกมาได้ ช่างเจ้าเล่ห์นัก ไม่ทราบว่าไปได้นิสัยเช่นนี้มาจากผู้ใด

     

    คณะทูตและขบวนเสด็จขององค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนเดินทางออกจากเมืองฉางชิวในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อการเจรจาเป็นไปด้วยดีดังนั้นสงครามที่กำลังก่อตัวขึ้นจึงเป็นเพียงเมฆฝนที่ตั้งเค้าแต่ยังไม่ได้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำฝนลงสู่ผืนดิน ฉางซุนหมิงเสี้ยวและฉางซุนฟางเอินสองพี่น้องขี่อาชานำอยู่ด้านหน้าของขบวน

    ฉางซุนฟางเอินมองไปรอบข้างแล้วจึงเอ่ยกับพี่ชายเบาๆ

    “สองฟากข้างดูเงียบผิดปกติ ไม่มีแม้เสียงนกร้อง พี่ใหญ่คิดว่านี่ไม่ออกจะแปลกไปหรอกหรือ?”

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวพยักหน้าเห็นพ้องด้วย แต่ใบหน้ายังคงยิ้มแย้มราวกับไม่มีเรื่องราวใด

    “ถูกต้อง ว่าแต่..เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่?”

    รองแม่ทัพหนุ่มทำสีหน้าแปลกใจแต่เขาก็เข้าใจในบัดดล เมื่อผู้เป็นพี่ชายพลันแหงนศีรษะไปทางด้านหลัง ทำให้เขาเห็นลูกดอกลูกหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้าใส่ศีรษะของเขาแทนพี่ชายที่ตกเป็นเป้าหมายในครั้งแรก ฉางซุนฟางเอินชักกระบี่เข้าต้านรับลูกดอกลูกหนึ่งที่พุ่งผ่านใบหน้าของพี่ชายมาถึงเขาอย่างแม่นยำ เสียงเคร้งเมื่อลูกดอกลูกนั้นถูกกระบี่ต้านทานรับไว้จนกระเด็นไปทางอื่น

    “ตัวร้ายกาจท่านหลบได้ดียิ่ง! เหตุใดจึงไม่ร้องบอกข้าพรุ่งนี้เลยเล่า!” ฉางซุนฟางเอินตะโกนด่าพี่ชายพลางโถมเข้าใส่ศัตรูที่พุ่งตัวออกมาจากสองฟากข้าง

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวหัวเราะเบาๆ “ข้าเพียงแต่ต้องการทดสอบว่าความรักทำให้เจ้าตาบอดไปแล้วหรือไม่?”

    ได้ยินเสียงทหารคุ้มกันขบวนร้องบอกว่ามีศัตรู ก่อนเสียงอาวุธกระทบกันจะดังไปทั่วบริเวณ

    “ผลการทดสอบเป็นอย่างไร?” รองแม่ทัพรับมือศัตรูไปพลางตะโกนถามไปพลาง

    “นับว่ายังใช้ได้อยู่!” ฉางซุนหมิงเสี้ยวตอบกลับไปแล้วพลิ้วกายไปยังเกี้ยวขององค์หญิงแห่งแคว้นซ่งเพื่อรับมือศัตรูที่เข้ามาบุก

    ชายชุดดำที่ปรากฏขึ้นขัดขวางขบวนเสด็จในครั้งนี้มีทั้งสิ้นไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีดังนั้นจึงสามารถรับมือกับทหารจำนวนมากกว่าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ฉางซุนฟางเอินรับมือศัตรูไปมาก็รู้สึกตึงมือหลังจากสังหารบุรุษชุดดำไปผู้หนึ่งจึงชิงกระบี่ของบุรุษชุดดำผู้นั้นมาถือไว้

    “กระบี่คู่แบบนี้ค่อยเหมาะมือหน่อย พวกเจ้าเข้ามา!

    ทางด้านของฉางซุนหมิงเสี้ยวเองก็ถูกบุรุษชุดดำสามคนรายล้อมไว้ การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ องค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนถูกชายชุดดำผู้หนึ่งฉุดคร่าออกมาจากในเกี้ยว ฉางซุนหมิงเสี้ยวซึ่งใช้เพลงฝ่ามือต้านศัตรูเห็นดังนั้นจึงเร่งพลังลมปราณใส่ฝ่ามือทั้งสองแต่เพียงสังหารบุรุษชุดดำไปเพียงสองคนเท่านั้น อีกสองคนเข้ามาสมทบใหม่จึงกลายเป็นสามคนเท่าเดิม ชายหนุ่มจึงคิดจะใช้ออกด้วยท่าไม้ตายที่เขาเก็บงำเอาไว้แต่ไม่เคยใช้ออก พลันฉางซุนฟางเอินก็ขยับกายมาถึงแล้วใช้กระบี่คู่สังหารบุรุษชุดดำไปคนหนึ่ง

    “พี่ใหญ่รีบไปช่วยองค์หญิงก่อน!

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวพยักหน้าแล้วพุ่งร่างติดตามบุรุษชุดดำที่ลักพาตัวองค์หญิงไปในบัดดล นักสู้ทั้งสองเห็นเสนาธิการหนุ่มติดตามไปจึงพากันลงมือขัดขวางแต่กลับถูกกระบี่คู่ของฉางซุนฟางเอินสกัดกั้นเอาไว้

    “คิดจะขัดขวางลองถามกระบี่ของข้าดูก่อนเป็นไร ว่ามันยินยอมหรือไม่?”

     

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวติดตามบุรุษชุดดำไปไม่นานก็พบว่าร่องรอยของคนทั้งหมดขาดหายไป ชายหนุ่มพลันรวบรวมสมาธิหลับตาลงเพื่อสดับฟังเสียงรอบข้าง เสียงลมหายใจกระชั้นถี่ขององค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนกระทบกับโสตประสาทของเขา ใช่แล้วนางไม่มีวิชายุทธ์ไม่อาจบังคับลมหายใจได้เมื่อตื่นเต้นยิ่งหายใจถี่ นางอยู่ที่นั่นเอง

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวก้มลงเก็บกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินตรงเข้ามาที่พุ่มไม้ด้านข้าง บุรุษชุดดำที่คร่ากุมองค์หญิงอยู่พลันเลิกคิ้วด้วยความตระหนกที่ชายหนุ่มสามารถหาพวกเขาเจอ จึงส่งองค์หญิงให้บุรุษชุดดำอีกผู้หนึ่งพาตัวไปก่อนที่ตนเองจะพุ่งตัวออกจากที่ซ่อน

    เสนาธิการแห่งแคว้นฉีชี้กิ่งไม้แห้งใส่หน้าบุรุษชุดดำทันที “เป็นพระบัญชาจากฉู่อ๋องหรือ?”

    “หากเก่งกล้าก็เชิญท่านสืบทราบเอาเอง!

    บุรุษชุดดำกำดาบวิ่งเข้าหา ฉางซุนหมิงเสี้ยวยกกิ่งไม้เข้ารับมือไว้ บุรุษชุดดำถึงกับแตกตื่นจนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาในชีวิตนี้ไหนเลยเคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ที่สามารถใช้กิ่งไม้ผุๆ ท่อนหนึ่งต้านรับดาบที่เขาฟาดฟันลงไปจนสุดแรงได้ ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะกระแทกลมปราณผ่านกิ่งไม้ท่อนนั้นจนบุรุษชุดดำกระเด็นไปชนกับต้นไม้ใหญ่แล้วตกลงมากระแทกพื้นจนกระอักโลหิตออกมากองโต

    เห็นชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาหาช้าๆ สองตาที่แตกซ่านก็ยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    “ลม..ลมปราณวัชระ ท่านเป็นอะไรกับโฮ่วเสี้ยว?!

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามนั้น “ไม่มีความสัมพันธ์ใด เพียงแต่ชื่อคำสุดท้ายของข้าและเขาเขียนเหมือนกันเท่านั้น”

    “ใช่แล้วข้าจำท่านได้แล้ว! โฮ่วเสี้ยวต้องเป็นท่านแน่ๆ เหตุใดท่านไม่แก่ชราลงเลย เหตุใดท่านจึงดูเยาว์วัยเช่นนี้?!

    “ข้าจะถามท่านอีกครั้ง นี่เป็นคำสั่งของผู้ใด?”

    บุรุษชุดดำผู้นั้นอ้าปากจะตอบว่ากระไรแต่ขาดใจตายไปก่อนทั้งที่ดวงตายังเบิกโพลงอยู่ เสนาธิการหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเร่งฝีเท้าติดตามบุรุษชุดดำอีกผู้หนึ่งไป

     

    ฉางซุนฟางเอินร่ายรำเพลงกระบี่คู่ทั้งสวยงามทั้งรวดเร็วจนผู้คนอดจ้องมองจนตาลายมิได้ พริบตาที่เสียสมาธิคมกระบี่ก็พาดผ่านร่างกายของคนผู้นั้นไปจนตกตายก็ยังไม่ทันทราบถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย เพียงไม่นานนักศัตรูทั้งหมดก็ถูกสังหารจนเกือบหมดสิ้น แต่มีบุรุษชุดดำผู้หนึ่งเห็นท่าไม่ดีจึงชิงหลบหนีไปก่อน ฉางซุนฟางเอินเห็นดังนั้นจึงทุ่มเทวิชาตัวเบาติดตามไปอย่างกระชั้นชิด เขาต้องทราบให้ได้ว่านี่เป็นผู้ใดบงการอยู่เบื้องหลัง

    ริมลำธารเล็กๆ แห่งหนึ่งหญิงสาวชาวบ้านสองนางกำลังนั่งซักผ้ากันอยู่ตามปกติ หนึ่งในหญิงสาวทั้งสองมีรูปร่างสะคราญโฉมยิ่งแม้สวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบยังคงไม่อาจปิดบังรูปโฉมที่งดงามได้

    “เพ่ยเพ่ยเมื่อวานตอนไปเสี่ยงเซียมซี ท่านหมอตีความให้เจ้าว่าอย่างไรนะ จะมีโชคในคราเคราะห์หรือ?”

    หญิงสาวผู้มีนามว่าเพ่ยเพ่ยหัวเราะเบาๆ “อาจเป็นไปได้ว่าข้าทำผ้าลอยไปกับน้ำแล้วไปเจอทองคำที่หล่นอยู่ในลำธาร”

    “แย่จริง! ข้ายังคิดไปว่าเจ้าทำผ้าลอยไปกับน้ำแล้วมีบุรุษรูปงามมาเก็บผ้าให้กับเจ้าเสียอีก”

    “เสี่ยวเฟินเจ้าพูดอันใดกัน ไหนเลยมีเรื่องเหลวไหลเช่นนั้น”

    “ไม่มีก็ไม่มี เหตุใดต้องหน้าแดงด้วยเล่า หรือว่าเจ้ากลัวว่าผ้าชิ้นที่หลุดลอยไปจะเป็นเอี๊ยมของเจ้า?”

    “เสี่ยวเฟิน!” เพ่ยเพ่ยอับอายจนหันไปถลึงตาใส่เพื่อนสาว

    ขณะนั้นเองเสื้อตัวหนึ่งก็ลอยไปตามน้ำสร้างความตกใจให้หญิงสาวยิ่งจึงยกชายกระโปรงวิ่งตามไป จู่ๆ บุรุษชุดดำผู้หนึ่งก็กระโจนผ่านหน้าของหญิงสาวไปอย่างกระชั้นชิดจนหญิงสาวต้องกรีดร้องด้วยความตกใจ บุรุษชุดดำเห็นดังนั้นจึงรวบเอวของนางโยนเข้าหาคมกระบี่ของบุรุษขุดขาวที่ติดตามมา

    ฉางซุนฟางเอินเลิกคิ้วด้วยความตกใจ พลันรวบกระบี่มาไว้ในมือข้างเดียวกันแล้วกระโดดขึ้นไปรับร่างของหญิงสาวนางนั้นไว้

    “แม่นางเจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

    เสียงทุ้มที่ถามด้วยความกังวล ทำให้เพ่ยเพ่ยที่หลับตาด้วยความหวาดกลัวลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง นางถึงกับตกตะลึง บุรุษชุดขาวที่รับนางไว้มีใบหน้าที่งดงามราวกับอิสตรีนางหนึ่ง คิ้วเรียวยาวจรดจอน จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาคม ริมฝีปากแดงราวแต้มชาด แก้มของเขาในตอนนี้ยังแดงราวกับผงอิงเถา[1]

    “แม่นางเจ้าเป็นไรไปแล้ว?!” ชายหนุ่มเขย่าร่างของนางเบาๆ

    “ข้า..ข้าไม่เป็นไร” นางตอบได้เพียงเท่านั้นก็หมดสติไป

     


    [1] เชอร์รี่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×