คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 3
3
แคว้นซ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉี มีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่นัก แต่เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างแคว้นฉีและแคว้นฉู่ดังนั้นหลายปีมานี้จึงถูกกดดันจากแคว้นใหญ่ทั้งสองแคว้น แต่ด้วยความที่แคว้นฉีเป็นแคว้นใหญ่ที่มีกำลังทหารกล้าแข็งมากกว่า แคว้นซ่งจึงถูกตีเป็นเมืองขึ้นเช่นเดียวกับแคว้นหลู่ที่อยู่ติดกัน
เมื่อคณะทูตจากแคว้นฉีซึ่งนำโดยเสนาธิการทหารฉางซุนหมิงเสี้ยว และรองแม่ทัพฉางซุนฟางเอินเดินทางมาถึงเมืองฉางชิว[1] ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
“ผู้คนที่นี่ไม่พลุกพล่านเท่าใด แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วก็คงไม่เลวเท่าใดนัก” ฉางซุนฟางเอินเอ่ยกับพี่ชายที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง
“ถูกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งบรรณาการ” เสียงเรียบๆ ตอบกลับมา
“แคว้นซ่งมีจื่อเจียงจื่ออ๋องเป็นผู้ครองแคว้น ทราบมาว่าทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมนามว่าองค์หญิง ‘จื่อเชี่ยนเหลียน’ เป็นที่หมายปองของบรรดาองค์ชายและบุตรของขุนนางน้อยใหญ่รวมทั้งฉู่อ๋องเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นใช่หรือไม่?”
ฉางซุนหมิงเสี้ยวได้แต่ยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวกระไร จนบางครั้งฉางซุนฟางเอินยังอดหมั่นไส้มิได้ ไม่ทราบว่าจะเงียบถึงเมื่อใด ใช่หรือไม่ก็ไม่ตอบ
“ฉู๋อ๋องก็ชราภาพจนไม่ทราบว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดยังไม่ลดละเรื่องตัณหาราคะ ช่างน่าเบื่อหน่ายนัก!”
ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มอีกครั้งแล้วจูงอาชาไปถึงประตูวังหลวงเพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าเฝ้าผู้ครองแคว้น รออยู่พักใหญ่ในที่สุดคณะทูตก็ถูกเชิญเข้าไปด้านใน
“ต้องขออภัยด้วยแต่เราไม่อนุญาตให้ท่านผู้หนึ่งผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปด้านในขอรับ” องครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าวังกล่าวอย่างหนักแน่น
“ตกลง” ฉางซุนหมิงเสี้ยวเหลียวหน้ากลับมามองน้องชาย ดังนั้นรองแม่ทัพหนุ่มได้แต่ปลดอาวุธประจำกายฝากเอาไว้ ทหารผู้ติดตามทั้งหมดก็ได้แต่ทำเช่นเดียวกัน
“ผู้น้อยขอล่วงเกินแล้ว” องครักษ์ผู้นั้นคำนับคราหนึ่งก่อนจะทำการค้นตัวชายหนุ่มทุกคนที่จะผ่านเข้าวัง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดจึงผายมือเชื้อเชิญคนทั้งหมดให้ผ่านเข้าไปในวัง
ท้องพระโรงของแคว้นซ่งไม่ใหญ่โตเท่าใดเมื่อเทียบกับแคว้นฉีแต่ก็นับว่าเป็นสถานที่สำคัญมิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถมาถึงได้ รออยู่พักหนึ่งเสียงมหาดเล็กที่เบื้องนอกก็ร้องบอกด้วยเสียงอันดัง
“องค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนเสด็จ”
หญิงสาวสะคราญโฉมนางหนึ่งก้าวผ่านประตูแล้วเดินตรงมายังคณะทูต ใบหน้างดงามของนางชวนให้ผู้คนต้องหลงใหลจนเผลอคิดไปว่าตนเองได้ขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์ รูปร่างอ้อนแอ้นของนางก็ดลบันดาลให้บุรุษหนุ่มทั้งหลายอยากโอบกอดนางมาไว้แนบอกแล้วทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนางไว้
“ถวายพระพรองค์หญิงพะย่ะค่ะ” เสนาธิการหนุ่มแห่งแคว้นฉีถวายความเคารพ
“ท่านทูตตามสบาย” เสียงไพเราะราวระฆังเงินของนางสั่นสะท้านจิตใจของผู้คนนัก
ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเขา รอยยิ้มเช่นนี้ก็ดลบันดาลให้หญิงสาวไม่น้อยยินยอมมอบใจให้แม้ไม่ได้สนทนาสักครึ่งคำ
“จื่ออ๋องทรงสำราญดีหรือพะย่ะค่ะ?”
“พระบิดาทรงประชวรดังนั้นจึงให้ข้าออกมาสนทนากับพวกท่าน คำพูดของข้าถือเป็นคำพูดของพระบิดา การตัดสินใจของข้าก็ถือเป็นการตัดสินใจของพระบิดา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดสามารถบอกกล่าวได้อย่างเต็มที่”
“ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอเข้าสู่หัวข้อสนทนาในครั้งนี้ซึ่งองค์หญิงเองคงจะทรงทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องใด?”
จื่อเชี่ยนเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย “เชิญท่านทูตบอกเล่ารายละเอียดมาเถิด”
“แคว้นซ่งขาดการส่งบรรณาการ นี่เป็นเรื่องที่แคว้นฉีของเราไม่อาจยินยอมได้พะย่ะค่ะ เพียงไม่ทราบว่านี่เป็นเพราะเหตุใด?”
“แคว้นฉีของท่านเป็นแคว้นใหญ่ยังกังวลสนใจต่อแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นซ่งของเราด้วยหรือ?”
“หากทรงยินยอมบอกไม่แน่ว่าการศึกอาจไม่เกิดขึ้น แต่หากทรงดื้อดึงแคว้นฉีของเราคงต้องใช้การทหารเข้าจัดการแล้วพะย่ะค่ะ”
“ท่านขู่ข้าหรือ?!”
“มิได้พะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมพูดไปตามจริงเท่านั้น แคว้นฉู่เองก็เป็นพันธมิตรกับแคว้นฉีเรา หากองค์หญิงคิดว่าแคว้นฉู่จะกล้าต่อตีกับแคว้นฉี คงต้องขอให้ทรงวินิจฉัยใหม่อีกครั้ง”
จื่อเชี่ยนเหลียนหันมาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวสลักจากหยกของทูตจากแคว้นฉี ฝีปากคมกล้านัก แม้ไม่ได้พูดเรื่องข้อเสนอของฉู่อ๋องออกมาตรงๆ แต่นี่เท่ากับเป็นการบอกต่อนางว่าเขาทราบเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี ทั้งยังทราบมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ
“กำลังทหารของแคว้นฉีตอนนี้คาดว่ามาถึงเขตชายแดนแล้ว รอเพียงองค์หญิงทรงตัดสินพระทัยเท่านั้นพะย่ะค่ะ” ฉางซุนหมิงเสี้ยวเจรจาด้วยท่าทีนอบน้อมแต่คำพูดแต่ละคำล้วนข่มขวัญจนหญิงสาวต้องกำมือจนสั่นระริกด้วยความโกรธ
“หากเราตัดสินใจไม่รบเล่า?”
เสนาธิการหนุ่มแย้มยิ้มออกมา “นั่นเป็นการตัดสินใจที่เฉลียวฉลาดพะย่ะค่ะ เพียงแต่องค์หญิงอาจต้องทรงเสียสละตัวเองบ้าง”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?!”
“พวกเราคงต้องเชิญองค์หญิงเสด็จไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉีเป็นระยะเวลาหนึ่งพะย่ะค่ะ”
จื่อเชี่ยนเหลียนครุ่นคิดจนคิ้วเรียวยางต้องขมวดเข้าหากัน นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญยิ่ง กำลังทหารของแคว้นซ่งมีเพียงหยิบมือหนึ่งเมื่อเทียบกับแคว้นฉี หากแม้นางตกลงใจเป็นพระสนมของฉู่อ๋องแล้วแคว้นฉู่ตระบัดสัตย์ไม่ยกทัพมาช่วยแคว้นซ่งของนางมิย่ำแย่หรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดสงครามขึ้นจริงประชาชนของนางเล่า เหล่าราษฎรจะเป็นเช่นไร
“ตกลง เรายินยอมไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี!”
องค์ชายรองฉีหย่งเซิงกวักมือเรียกพระอนุชาฝาแฝดองค์ชายสามฉีหย่งเจิ้งให้รีบเข้ามาที่กำแพงวัง พลางใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงวังไปอย่างรวดเร็ว ฉีหย่งเจิ้งเห็นพระเชษฐากระโดดออกไปแล้วจึงกระโดดตามออกไปอีกผู้หนึ่ง แต่เมื่อเท้าเหยียบลงบนพื้นองค์ชายหนุ่มก็ตกพระทัยแทบสิ้นสติเมื่อพบพระบิดาฉีหย่งฉือฉีต้าอ๋องหัวหน้าองครักษ์ชุดพิเศษเสิ่นหลินเจิน และหัวหน้าองครักษ์วังหลวงซีจงยืนรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนพระเชษฐาของเขาก็ยืนหน้าซีดอยู่ใกล้ๆ กับพระบิดา
“ลูกเซิง ลูกเจิ้ง พวกเจ้าจะไปที่ใดกันหรือ?”
ฉีต้าอ๋องตรัสถามอย่างยิ้มแย้มเหมือนปกติทุกครั้ง แต่ผู้ถูกถามกลับอดขนลุกชี้ชันมิได้
“ช่วงเช้านี้พวกเจ้าต้องเรียนจริยธรรมกับพระอาจารย์เหมามิใช่หรือ?”
“ทูลพระบิดา หม่อมฉันทั้งสองเพียงแต่จะลองมาสำรวจดูว่าการวางเวรยามในวังหลวงรัดกุมแล้วหรือไม่พะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงกล่าวแก้ตัว
“อย่างนั้นหรือ แล้วรัดกุมดีหรือไม่?”
“ยังไม่พะย่ะค่ะ”
ฉีหย่งฉือพยักหน้าเล็กน้อย “ดี ซีจงเพิ่มเวรยามรักษาการให้เข้มงวดกว่านี้ หากมีมุสิกเล็ดลอดเข้ามาได้แม้แต่ตัวเดียวข้าจะลงโทษมันผู้นั้นอย่างหนัก!”
“พะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์วังหลวงรับพระบัญชาอย่างหนักแน่น
“อีกประการหนึ่ง ให้ลงโทษองครักษ์ที่อยู่เวรวันนี้ทั้งหมดเพราะทำหน้าที่ผิดพลาด!”
องค์ชายทั้งสองหันมามองหน้ากัน ไม่ทราบควรทำอย่างไรดี ได้ยินเสียงหัวหน้าองครักษ์วังหลวงซีรับคำ
“พระอาจารย์เหมารายงานต่อข้าว่าพวกเจ้าไม่เข้าเรียนบ่อยๆ จริงหรือไม่?”
ฝาแฝดทั้งสองถึงกับโบกมือกันวุ่นวาย “ผู้บุตรไหนเลยกล้าไม่เข้าเรียน พระบิดากล่าวหารุนแรงไปแล้วพะย่ะค่ะ”
“ดี เสิ่นหลินเจินจับตัวพระอาจารย์เหมามาตัดลิ้น โทษฐานที่มันบังอาจหลอกลวงเราและใส่ร้ายองค์ชายทั้งสอง!”
“พะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เสิ่นรับคำ แล้วล่าถอยออกไป
ฉีหย่งเจิ้งหันไปมองหน้าพระเชษฐาพลางกระซิบถามว่าจะทำอย่างไรดี ฉีหย่งเซิงได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้
ไม่นานนักองครักษ์ชุดพิเศษสองนายก็หิ้วร่างของพระอาจารย์เหมามาถึงที่เบื้องหน้าของฉีต้าอ๋อง เสิ่นหลินเจินจึงรายงานทันที
“ทูลต้าอ๋อง พระอาจารย์เหมาอยู่ที่นี่แล้วพะย่ะค่ะ จะให้กระหม่อมลงมือเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
ฉีต้าอ๋องพยักหน้าคราหนึ่ง พระโอรสทั้งสองเบิกตากลมโตมองดูพระอาจารย์ที่กำลังถูกดึงลิ้นออกมา
“ทรงเมตตาด้วยพะย่ะค่ะ ฉีต้าอ๋องทรงเมตตาด้วย” เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของพระอาจารย์เหมาดังขึ้น แต่เสิ่นหลินเจินยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง
ทันทีที่มีดสั้นวาววับถูกดึงออกมาจากปลอกรองเท้า องค์ชายทั้งสองก็คุกเข่าลงตรงหน้าของพระบิดาอย่างอับจนปัญญา
“เป็นลูกทั้งสองผิดเอง ทรงอภัยให้พระอาจารย์เหมาและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”
ฉีหย่งฉือฉีต้าอ๋องซ่อนยิ้มไว้ในพระทัยพลางโบกมือให้เสิ่นหลินเจินหยุดมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
“อ้อ?”
“หม่อมฉันมักไม่เข้าเรียนวิชาจริยธรรมของพระอาจารย์เหมาเป็นเรื่องจริงพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงสารภาพก่อน
“แล้วพวกเจ้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด?”
“ไปเที่ยวเล่นข้างนอกวังพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเจิ้งตอบคำ
“ทั้งฉลองพระองค์องค์ชายอย่างนั้นหรือ?”
“มิได้พะย่ะค่ะ พวกเราซ่อนชุดเอาไว้ผลัดเปลี่ยน”
ฉีหย่งฉือต้องลอบร้องคำ ‘เด็กฉลาดที่ร้ายกาจนัก!’ อยู่ในใจ
“พวกเจ้าออกไปทำอะไรที่เบื้องนอก?”
“ไป..เอ่อ..ไป..”
“ตะกุกตะกักอันใด ยังไม่รีบบอกออกมา?”
“พวกเราไปเดินเที่ยวเล่นบ้าง ปั่นจิ้งหรีดบ้าง เล่นพนันบ้าง ดื่มสุราบ้าง ต่อยตีบ้าง..เท่านั้นพะย่ะค่ะ”
คำตอบนั้นทำให้ทุกผู้คนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง
“เหลือแต่หอนางโลมที่พวกเรายังไม่เคยเข้าไปพะย่ะค่ะ”
ฉีต้าอ๋องทอดถอนพระทัยออกมา พระโอรสทั้งสองช่างมีนิสัยเหมือนกับตนเองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม จำได้ว่าตอนนั้นพระองค์เองก็เคยชักชวนท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเสียนออกไปเที่ยวเล่นที่นอกวังหลวงเช่นกัน เพียงแต่พระโอรสทั้งสองออกจะเกินเลยไปบ้าง หากไม่ลงโทษคงติดเป็นนิสัยแล้ว
“สนุกสนานหรือไม่?”
องค์ชายทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย ยังดีที่อย่างน้อยก็ยังกล้าทำกล้ารับ
“พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่า การกระทำของพวกเจ้าทำให้ผู้คนที่ถวายการรับใช้ต่อเจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย?”
“หม่อมฉันทราบแล้วพะย่ะค่ะ”
“พวกเจ้าผิดหรือไม่?”
องค์ชายทั้งสองก้มหน้าลงแล้วตอบเสียงเบา “ผิดพะย่ะค่ะ”
“ต้องการให้บิดาลงโทษเจ้าสถานใด?”
“เพียงเล็กน้อย พอให้หลาบจำก็พอพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงยิ้มประจบ
“ตกลง” ฉีต้าอ๋องหันไปสั่งหัวหน้าองครักษ์ซีจงที่ด้านข้าง “โบยองค์ชายทั้งสองคนละสี่สิบไม้ แล้วกักบริเวณอีกเจ็ดวัน ห้ามมิให้ผ่อนผันใดๆ และหากผู้ใดไม่กล้าโบยโดยแรงข้าจะโบยมันผู้นั้นด้วย!”
“พะย่ะค่ะ” ซีจงรับคำ
ฉีหย่งเซิงและฉีหย่งเจิ้งอ้าปากตาค้าง ไม่ทราบว่าคราครั้งนี้พวกเขายังจะเดินได้อีกหรือไม่
[1] เมืองฉางชิว(Shangqiu) เมืองหลวงของแคว้นซ่ง ปัจจุบัน คือ เมืองฉางชิว มณฑลเหอหนาน
ความคิดเห็น