ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักร้อยใจ

    ลำดับตอนที่ #3 : 3

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 54





    3

     

    แคว้นซ่งเป็นแคว้นเล็กๆ ที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉี มีอาณาเขตไม่กว้างใหญ่นัก แต่เนื่องจากตั้งอยู่ระหว่างแคว้นฉีและแคว้นฉู่ดังนั้นหลายปีมานี้จึงถูกกดดันจากแคว้นใหญ่ทั้งสองแคว้น แต่ด้วยความที่แคว้นฉีเป็นแคว้นใหญ่ที่มีกำลังทหารกล้าแข็งมากกว่า แคว้นซ่งจึงถูกตีเป็นเมืองขึ้นเช่นเดียวกับแคว้นหลู่ที่อยู่ติดกัน

    เมื่อคณะทูตจากแคว้นฉีซึ่งนำโดยเสนาธิการทหารฉางซุนหมิงเสี้ยว และรองแม่ทัพฉางซุนฟางเอินเดินทางมาถึงเมืองฉางชิว[1] ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว

    “ผู้คนที่นี่ไม่พลุกพล่านเท่าใด แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วก็คงไม่เลวเท่าใดนัก” ฉางซุนฟางเอินเอ่ยกับพี่ชายที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้าง

    “ถูกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งบรรณาการ” เสียงเรียบๆ ตอบกลับมา

    “แคว้นซ่งมีจื่อเจียงจื่ออ๋องเป็นผู้ครองแคว้น ทราบมาว่าทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมนามว่าองค์หญิง จื่อเชี่ยนเหลียน เป็นที่หมายปองของบรรดาองค์ชายและบุตรของขุนนางน้อยใหญ่รวมทั้งฉู่อ๋องเองก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นใช่หรือไม่?”

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวได้แต่ยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวกระไร จนบางครั้งฉางซุนฟางเอินยังอดหมั่นไส้มิได้ ไม่ทราบว่าจะเงียบถึงเมื่อใด ใช่หรือไม่ก็ไม่ตอบ

    “ฉู๋อ๋องก็ชราภาพจนไม่ทราบว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดยังไม่ลดละเรื่องตัณหาราคะ ช่างน่าเบื่อหน่ายนัก!

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มอีกครั้งแล้วจูงอาชาไปถึงประตูวังหลวงเพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าเฝ้าผู้ครองแคว้น รออยู่พักใหญ่ในที่สุดคณะทูตก็ถูกเชิญเข้าไปด้านใน

    “ต้องขออภัยด้วยแต่เราไม่อนุญาตให้ท่านผู้หนึ่งผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปด้านในขอรับ” องครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูทางเข้าวังกล่าวอย่างหนักแน่น

    “ตกลง” ฉางซุนหมิงเสี้ยวเหลียวหน้ากลับมามองน้องชาย ดังนั้นรองแม่ทัพหนุ่มได้แต่ปลดอาวุธประจำกายฝากเอาไว้ ทหารผู้ติดตามทั้งหมดก็ได้แต่ทำเช่นเดียวกัน

    “ผู้น้อยขอล่วงเกินแล้ว” องครักษ์ผู้นั้นคำนับคราหนึ่งก่อนจะทำการค้นตัวชายหนุ่มทุกคนที่จะผ่านเข้าวัง เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดจึงผายมือเชื้อเชิญคนทั้งหมดให้ผ่านเข้าไปในวัง

    ท้องพระโรงของแคว้นซ่งไม่ใหญ่โตเท่าใดเมื่อเทียบกับแคว้นฉีแต่ก็นับว่าเป็นสถานที่สำคัญมิใช่ว่าผู้ใดก็สามารถมาถึงได้ รออยู่พักหนึ่งเสียงมหาดเล็กที่เบื้องนอกก็ร้องบอกด้วยเสียงอันดัง

    “องค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนเสด็จ”

    หญิงสาวสะคราญโฉมนางหนึ่งก้าวผ่านประตูแล้วเดินตรงมายังคณะทูต ใบหน้างดงามของนางชวนให้ผู้คนต้องหลงใหลจนเผลอคิดไปว่าตนเองได้ขึ้นมาอยู่บนสรวงสวรรค์ รูปร่างอ้อนแอ้นของนางก็ดลบันดาลให้บุรุษหนุ่มทั้งหลายอยากโอบกอดนางมาไว้แนบอกแล้วทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนางไว้

    “ถวายพระพรองค์หญิงพะย่ะค่ะ” เสนาธิการหนุ่มแห่งแคว้นฉีถวายความเคารพ

    “ท่านทูตตามสบาย” เสียงไพเราะราวระฆังเงินของนางสั่นสะท้านจิตใจของผู้คนนัก

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มบางๆ ตามแบบฉบับของเขา รอยยิ้มเช่นนี้ก็ดลบันดาลให้หญิงสาวไม่น้อยยินยอมมอบใจให้แม้ไม่ได้สนทนาสักครึ่งคำ

    “จื่ออ๋องทรงสำราญดีหรือพะย่ะค่ะ?”

    “พระบิดาทรงประชวรดังนั้นจึงให้ข้าออกมาสนทนากับพวกท่าน คำพูดของข้าถือเป็นคำพูดของพระบิดา การตัดสินใจของข้าก็ถือเป็นการตัดสินใจของพระบิดา ดังนั้นไม่ว่าเรื่องใดสามารถบอกกล่าวได้อย่างเต็มที่”

    “ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอเข้าสู่หัวข้อสนทนาในครั้งนี้ซึ่งองค์หญิงเองคงจะทรงทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องใด?”

    จื่อเชี่ยนเหลียนพยักหน้าเล็กน้อย “เชิญท่านทูตบอกเล่ารายละเอียดมาเถิด”

    “แคว้นซ่งขาดการส่งบรรณาการ นี่เป็นเรื่องที่แคว้นฉีของเราไม่อาจยินยอมได้พะย่ะค่ะ เพียงไม่ทราบว่านี่เป็นเพราะเหตุใด?”

    “แคว้นฉีของท่านเป็นแคว้นใหญ่ยังกังวลสนใจต่อแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นซ่งของเราด้วยหรือ?”

    “หากทรงยินยอมบอกไม่แน่ว่าการศึกอาจไม่เกิดขึ้น แต่หากทรงดื้อดึงแคว้นฉีของเราคงต้องใช้การทหารเข้าจัดการแล้วพะย่ะค่ะ”

    “ท่านขู่ข้าหรือ?!

    “มิได้พะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมพูดไปตามจริงเท่านั้น แคว้นฉู่เองก็เป็นพันธมิตรกับแคว้นฉีเรา หากองค์หญิงคิดว่าแคว้นฉู่จะกล้าต่อตีกับแคว้นฉี คงต้องขอให้ทรงวินิจฉัยใหม่อีกครั้ง”

    จื่อเชี่ยนเหลียนหันมาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวสลักจากหยกของทูตจากแคว้นฉี ฝีปากคมกล้านัก แม้ไม่ได้พูดเรื่องข้อเสนอของฉู่อ๋องออกมาตรงๆ แต่นี่เท่ากับเป็นการบอกต่อนางว่าเขาทราบเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างดี ทั้งยังทราบมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ

    “กำลังทหารของแคว้นฉีตอนนี้คาดว่ามาถึงเขตชายแดนแล้ว รอเพียงองค์หญิงทรงตัดสินพระทัยเท่านั้นพะย่ะค่ะ” ฉางซุนหมิงเสี้ยวเจรจาด้วยท่าทีนอบน้อมแต่คำพูดแต่ละคำล้วนข่มขวัญจนหญิงสาวต้องกำมือจนสั่นระริกด้วยความโกรธ

    “หากเราตัดสินใจไม่รบเล่า?”

    เสนาธิการหนุ่มแย้มยิ้มออกมา “นั่นเป็นการตัดสินใจที่เฉลียวฉลาดพะย่ะค่ะ เพียงแต่องค์หญิงอาจต้องทรงเสียสละตัวเองบ้าง”

    “ท่านหมายความว่าอย่างไร?!

    “พวกเราคงต้องเชิญองค์หญิงเสด็จไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉีเป็นระยะเวลาหนึ่งพะย่ะค่ะ”

    จื่อเชี่ยนเหลียนครุ่นคิดจนคิ้วเรียวยางต้องขมวดเข้าหากัน นี่เป็นการตัดสินใจที่สำคัญยิ่ง กำลังทหารของแคว้นซ่งมีเพียงหยิบมือหนึ่งเมื่อเทียบกับแคว้นฉี หากแม้นางตกลงใจเป็นพระสนมของฉู่อ๋องแล้วแคว้นฉู่ตระบัดสัตย์ไม่ยกทัพมาช่วยแคว้นซ่งของนางมิย่ำแย่หรอกหรือ ยิ่งไปกว่านั้นหากเกิดสงครามขึ้นจริงประชาชนของนางเล่า เหล่าราษฎรจะเป็นเช่นไร

    “ตกลง เรายินยอมไปเป็นตัวประกันที่แคว้นฉี!

     

    องค์ชายรองฉีหย่งเซิงกวักมือเรียกพระอนุชาฝาแฝดองค์ชายสามฉีหย่งเจิ้งให้รีบเข้ามาที่กำแพงวัง พลางใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงวังไปอย่างรวดเร็ว ฉีหย่งเจิ้งเห็นพระเชษฐากระโดดออกไปแล้วจึงกระโดดตามออกไปอีกผู้หนึ่ง แต่เมื่อเท้าเหยียบลงบนพื้นองค์ชายหนุ่มก็ตกพระทัยแทบสิ้นสติเมื่อพบพระบิดาฉีหย่งฉือฉีต้าอ๋องหัวหน้าองครักษ์ชุดพิเศษเสิ่นหลินเจิน และหัวหน้าองครักษ์วังหลวงซีจงยืนรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนพระเชษฐาของเขาก็ยืนหน้าซีดอยู่ใกล้ๆ กับพระบิดา

    “ลูกเซิง ลูกเจิ้ง พวกเจ้าจะไปที่ใดกันหรือ?”

    ฉีต้าอ๋องตรัสถามอย่างยิ้มแย้มเหมือนปกติทุกครั้ง แต่ผู้ถูกถามกลับอดขนลุกชี้ชันมิได้

    “ช่วงเช้านี้พวกเจ้าต้องเรียนจริยธรรมกับพระอาจารย์เหมามิใช่หรือ?”

    “ทูลพระบิดา หม่อมฉันทั้งสองเพียงแต่จะลองมาสำรวจดูว่าการวางเวรยามในวังหลวงรัดกุมแล้วหรือไม่พะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงกล่าวแก้ตัว

    “อย่างนั้นหรือ แล้วรัดกุมดีหรือไม่?”

    “ยังไม่พะย่ะค่ะ”

    ฉีหย่งฉือพยักหน้าเล็กน้อย “ดี ซีจงเพิ่มเวรยามรักษาการให้เข้มงวดกว่านี้ หากมีมุสิกเล็ดลอดเข้ามาได้แม้แต่ตัวเดียวข้าจะลงโทษมันผู้นั้นอย่างหนัก!

    “พะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์วังหลวงรับพระบัญชาอย่างหนักแน่น

    “อีกประการหนึ่ง ให้ลงโทษองครักษ์ที่อยู่เวรวันนี้ทั้งหมดเพราะทำหน้าที่ผิดพลาด!

    องค์ชายทั้งสองหันมามองหน้ากัน ไม่ทราบควรทำอย่างไรดี ได้ยินเสียงหัวหน้าองครักษ์วังหลวงซีรับคำ

    “พระอาจารย์เหมารายงานต่อข้าว่าพวกเจ้าไม่เข้าเรียนบ่อยๆ จริงหรือไม่?”

    ฝาแฝดทั้งสองถึงกับโบกมือกันวุ่นวาย “ผู้บุตรไหนเลยกล้าไม่เข้าเรียน พระบิดากล่าวหารุนแรงไปแล้วพะย่ะค่ะ”

    “ดี เสิ่นหลินเจินจับตัวพระอาจารย์เหมามาตัดลิ้น โทษฐานที่มันบังอาจหลอกลวงเราและใส่ร้ายองค์ชายทั้งสอง!

    “พะย่ะค่ะ” หัวหน้าองครักษ์เสิ่นรับคำ แล้วล่าถอยออกไป

    ฉีหย่งเจิ้งหันไปมองหน้าพระเชษฐาพลางกระซิบถามว่าจะทำอย่างไรดี ฉีหย่งเซิงได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้

    ไม่นานนักองครักษ์ชุดพิเศษสองนายก็หิ้วร่างของพระอาจารย์เหมามาถึงที่เบื้องหน้าของฉีต้าอ๋อง เสิ่นหลินเจินจึงรายงานทันที

    “ทูลต้าอ๋อง พระอาจารย์เหมาอยู่ที่นี่แล้วพะย่ะค่ะ จะให้กระหม่อมลงมือเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ?”

    ฉีต้าอ๋องพยักหน้าคราหนึ่ง พระโอรสทั้งสองเบิกตากลมโตมองดูพระอาจารย์ที่กำลังถูกดึงลิ้นออกมา

    “ทรงเมตตาด้วยพะย่ะค่ะ ฉีต้าอ๋องทรงเมตตาด้วย” เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของพระอาจารย์เหมาดังขึ้น แต่เสิ่นหลินเจินยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง

    ทันทีที่มีดสั้นวาววับถูกดึงออกมาจากปลอกรองเท้า องค์ชายทั้งสองก็คุกเข่าลงตรงหน้าของพระบิดาอย่างอับจนปัญญา

    “เป็นลูกทั้งสองผิดเอง ทรงอภัยให้พระอาจารย์เหมาและเหล่าองครักษ์ทั้งหลายด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”

    ฉีหย่งฉือฉีต้าอ๋องซ่อนยิ้มไว้ในพระทัยพลางโบกมือให้เสิ่นหลินเจินหยุดมือแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา

    “อ้อ?”

    “หม่อมฉันมักไม่เข้าเรียนวิชาจริยธรรมของพระอาจารย์เหมาเป็นเรื่องจริงพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงสารภาพก่อน

    “แล้วพวกเจ้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด?”

    “ไปเที่ยวเล่นข้างนอกวังพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเจิ้งตอบคำ

    “ทั้งฉลองพระองค์องค์ชายอย่างนั้นหรือ?”

    “มิได้พะย่ะค่ะ พวกเราซ่อนชุดเอาไว้ผลัดเปลี่ยน”

    ฉีหย่งฉือต้องลอบร้องคำ เด็กฉลาดที่ร้ายกาจนัก!’ อยู่ในใจ

    “พวกเจ้าออกไปทำอะไรที่เบื้องนอก?”

    “ไป..เอ่อ..ไป..”

    “ตะกุกตะกักอันใด ยังไม่รีบบอกออกมา?”

    “พวกเราไปเดินเที่ยวเล่นบ้าง ปั่นจิ้งหรีดบ้าง เล่นพนันบ้าง ดื่มสุราบ้าง ต่อยตีบ้าง..เท่านั้นพะย่ะค่ะ”

    คำตอบนั้นทำให้ทุกผู้คนนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง

    “เหลือแต่หอนางโลมที่พวกเรายังไม่เคยเข้าไปพะย่ะค่ะ”

    ฉีต้าอ๋องทอดถอนพระทัยออกมา พระโอรสทั้งสองช่างมีนิสัยเหมือนกับตนเองเมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม จำได้ว่าตอนนั้นพระองค์เองก็เคยชักชวนท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเสียนออกไปเที่ยวเล่นที่นอกวังหลวงเช่นกัน เพียงแต่พระโอรสทั้งสองออกจะเกินเลยไปบ้าง หากไม่ลงโทษคงติดเป็นนิสัยแล้ว

    “สนุกสนานหรือไม่?”

    องค์ชายทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย ยังดีที่อย่างน้อยก็ยังกล้าทำกล้ารับ

    “พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่า การกระทำของพวกเจ้าทำให้ผู้คนที่ถวายการรับใช้ต่อเจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย?”

    “หม่อมฉันทราบแล้วพะย่ะค่ะ”

    “พวกเจ้าผิดหรือไม่?”

    องค์ชายทั้งสองก้มหน้าลงแล้วตอบเสียงเบา “ผิดพะย่ะค่ะ”

    “ต้องการให้บิดาลงโทษเจ้าสถานใด?”

    “เพียงเล็กน้อย พอให้หลาบจำก็พอพะย่ะค่ะ” ฉีหย่งเซิงยิ้มประจบ

    “ตกลง” ฉีต้าอ๋องหันไปสั่งหัวหน้าองครักษ์ซีจงที่ด้านข้าง “โบยองค์ชายทั้งสองคนละสี่สิบไม้ แล้วกักบริเวณอีกเจ็ดวัน ห้ามมิให้ผ่อนผันใดๆ และหากผู้ใดไม่กล้าโบยโดยแรงข้าจะโบยมันผู้นั้นด้วย!

    “พะย่ะค่ะ” ซีจงรับคำ

    ฉีหย่งเซิงและฉีหย่งเจิ้งอ้าปากตาค้าง ไม่ทราบว่าคราครั้งนี้พวกเขายังจะเดินได้อีกหรือไม่

     


    [1] เมืองฉางชิว(Shangqiu) เมืองหลวงของแคว้นซ่ง ปัจจุบัน คือ เมืองฉางชิว มณฑลเหอหนาน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×