ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กลรักร้อยใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : 2

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 54



    2

     

    เวลาผ่านไปหลายปีเวลานี้องค์ชายใหญ่ฉีหย่งไฉทรงกลายเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบหกปีแล้ว อีกทั้งยังถอดแบบออกมาจากฉีต้าอ๋องราวกับเป็นคนคนเดียวกันเพียงแต่องค์ชายใหญ่มีผิวขาวราวกับฮองเฮาเจ้าเหม่ยอวี้ผู้เป็นพระมารดาเท่านั้น องค์ชายหนุ่มประทับอยู่ที่ศาลาริมสระน้ำในวังหลวง จำได้ว่าตอนที่ตนเองยังเล็กพระบิดามักจะพามาเดินเล่นที่นี่เป็นประจำ และยังทรงเล่าให้ฟังว่าตอนพระมารดาตั้งครรภ์เขานั้นทรงอยากเสวยดอกบัว จนพระบิดาต้องให้ท่านแม่ทัพเจี่ยเล่อเดินทางไกลไปถึงแคว้นฉู่เพื่อหาดอกบัวมาให้เนื่องจากในตอนนั้นแคว้นฉียังมีอากาศหนาวเย็นอยู่มาก คิดแล้วก็อดยิ้มกับตนเองมิได้เนื่องจากหลายปีมานี้เขาเกิดมาท่ามกลางความรักของคนรอบข้างทำให้ทุกช่วงเวลาที่ผ่านไปล้วนมีความสุขยิ่ง ทันใดนั้นเสียงของมหาดเล็กก็ดังขึ้นทำให้องค์ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์

    “ทูลองค์ชายใหญ่ท่านเสนาธิการขอเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”

    “รีบเชิญ”

    สิ้นเสียงอนุญาต ฉางซุนหมิงเสี้ยวก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับถวายคำนับอย่างมีมารยาท “ถวายพระพรองค์ชาย”

    “ตามสบายเถอะเสี่ยวเสี้ยว” ฉีหย่งไฉหันมายิ้ม หลายปีมานี้เสนาธิการหนุ่มผู้นี้นอกจากจะเป็นคนสนิทแล้ว ในสายตาของเขาชายหนุ่มผู้นี้ยังเปรียบเสมือนพระอนุชาคนหนึ่งหาได้แตกต่างจากฉีหย่งเซิงและฉีหย่งเจิ้งพระอนุชาคู่แฝดของตนเองไม่

    “นั่งลงก่อน” ฉีหย่งไฉผายมือออก ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าจึงทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม

    “เกี่ยวกับเรื่องการวางแผนตีแคว้นซ่งที่พวกเราได้กำหนดการจะเคลื่อนทัพในวันมะรืนนั้น เมื่อครู่สายของเราเพิ่งรายงานมาว่าแคว้นฉู่ยื่นข้อเสนอให้แคว้นซ่งส่งองค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนไปเป็นพระสนมของฉู่อ๋องแล้วแคว้นฉู่จะช่วยต่อตีกับแคว้นฉีของเรา เรื่องนี้เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

    ฉางซุนหมิงเสี้ยวได้ฟังก็ยิ้มน้อยๆ “ทูลองค์ชายใหญ่ เรื่องนี้นับว่าแคว้นฉู่มีแผนการสูงยิ่ง การกระทำเช่นนี้ดูเหมือนกับแคว้นฉู่จะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่มีข้อแม้ว่าแคว้นซ่งต้องส่งองค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนไปเป็นพระสนมเพื่อให้มีข้ออ้างในการออกหน้าต่อตีกับแคว้นฉีของเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่คือการฮุบแคว้นซ่งอย่างเงียบๆ เนื่องจากจื่ออ๋องไม่มีพระโอรส ดังนั้นการได้องค์หญิงจื่อไปเป็นพระสนมก็เท่ากับได้แคว้นซ่งไปด้วยพะย่ะค่ะ”

    “ถูกต้อง ข้าก็คิดเช่นนั้น แล้วเจ้าคิดว่าแคว้นซ่งจะคิดอย่างนั้นหรือไม่? ระหว่างเป็นเมืองขึ้นของแคว้นฉีเรากับถูกแคว้นฉู่กลืนกินไปทั้งแคว้น เจ้าคิดว่าจื่ออ๋องจะทรงเลือกหนทางใด?”

    “ในสายตาของกระหม่อม ผู้ที่จะเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องนี้น่าจะเป็นองค์หญิงจื่อเชี่ยนเหลียนมากกว่าพะย่ะค่ะ”

    “เพราะเหตุใด?” องค์ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

    “ทั้งสองทางเลือกล้วนมีสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา แม้ว่าการเข้าต่อตีกับแคว้นฉีของเราด้วยตนเองจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสชนะน้อยมาก และมีสิทธิ์ถูกจับมาเป็นตัวประกันที่นี่อย่างน้อยก็หนึ่งปี แต่การเป็นตัวประกันนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเท่าใดนัก ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือยอมเป็นพระสนมของฉู่อ๋องที่อายุเจ็ดสิบปีเพื่อให้แคว้นฉู่ออกหน้าให้ก็เป็นเรื่องน่าคิดเช่นกันแต่หากทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่าต้องยอมแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิตของนาง”

    “ในความคิดเห็นของข้านั้น หากเราต้องรบกับแคว้นฉู่คงเป็นเรื่องใหญ่ แม้ว่าแคว้นฉู่จะมีอิทธิพลไม่มากเท่ากับแคว้นฉินและแคว้นฉีของเราแต่ก็ถือเป็นแคว้นที่เข้มแข็งแคว้นหนึ่ง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าหนักใจอยู่ไม่น้อย อีกประการ..หากเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าเราสูญเสียแคว้นซ่งไป หากคิดทวงคืนก็ต้องทำสงครามไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีแน่” พูดจบองค์ชายฉีหย่งไฉก็หันมายิ้มกับเสนาธิการหนุ่มที่เบื้องหน้า

    มาแล้ว..ในที่สุดเราก็ติดกับขององค์ชายใหญ่อีกจนได้ ฉางซุนหมิงเสี้ยวได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “องค์ชายใหญ่ทรงต้องการให้กระหม่อมออกเดินทางเมื่อใดพะย่ะค่ะ?”

    องค์ชายฉีหย่งไฉหัวเราะออกมาทันที ในแคว้นฉีนี้จะมีผู้คนสักกี่คนที่จะรู้ทันแผนการของเขาไปเสียทุกครั้ง แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นย่อมมีฉางซุนหมิงเสี้ยวคนสนิทของเขารวมอยู่ด้วย

    “การทูตย่อมมาก่อนการทหาร ดังนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะให้ท่านออกเดินทางไปแคว้นซ่งสักครั้ง ท่านต้องการเพื่อนร่วมเดินทางหรือไม่?”

    “องค์ชายจะให้ผู้ใดร่วมทางไปกับกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ?”

    “ท่านเลือกเอาระหว่างองค์ชายรองฉีหย่งเซิง กับองค์ชายสามฉีหย่งเจิ้ง”

    คราวนี้เสนาธิการหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกเพราะองค์ชายรองและองค์ชายสามเหมือนกันราวกับเงาในกระจก ซ้ำยังมีความสามารถในการก่อเรื่องวุ่นวายยิ่งกว่าฉางซุนฟางเอินน้องชายของเขาเสียอีก ดูท่างานนี้จะมิใช่งานเล็กเสียแล้ว

    “ตกลงว่าที่เงียบไปนี่กำลังตัดสินใจอยู่หรือ?” องค์ชายใหญ่อดขำกับท่าทีอึดอัดใจของชายหนุ่มมิได้ “เอาเถอะ ข้าเปลี่ยนใจแล้วเจ้าเดินทางไปกับฟางเอินน้องชายของเจ้าก็แล้วกัน” ตรัสแล้วก็ทรงยื่นหนังสือคำสั่งของฉีต้าอ๋องให้กับชายหนุ่มทันทีเป็นการสิ้นสุดการสนทนา

    นี่ก็ปัญหาใหญ่อีกแล้ว ฉางซุนหมิงเสี้ยวคิดในใจพร้อมกับน้อมกายรับหนังสือฉบับนั้นมา

    “อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง เมื่อตอนเช้าเสด็จลุงของข้าที่แคว้นเจ้าส่งผลไม้และเครื่องแห้งมาให้พระมารดาหลายหีบ ดังนั้นข้าจึงแบ่งให้พระอาจารย์ฉางซุนบิดาของเจ้า อีกทั้งยังอยากวานเจ้าช่วยนำไปให้พระอาจารย์เซวียได้หรือไม่?”

    “พะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มรับคำ

     

    เมื่อฉางซุนหมิงเสี้ยวกลับมาถึงจวนเสนาบดี จึงสั่งให้พลทหารนายสองนายยกหีบเล็กๆ สองใบตามเข้ามาในจวน ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องของน้องชายฝาแฝดทันที แล้วเคาะประตูอยู่หลายครั้งแต่ก็หาได้มีเสียงตอบรับไม่ ดังนั้นฉางซุนหมิงเสี้ยวจึงผลักบานประตูเข้าไปก็พบว่าฉางซุนฟางเอินกำลังนั่งยิ้มอย่างเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง ชายหนุ่มจึงหันไปทางพลทหารที่ยืนอยู่ด้านหลัง

    “เจ้านำของอีกหีบหนึ่งไปวางไว้ที่ห้องหนังสือ ส่วนหีบใบนี้ส่งมาให้ข้า”

    พลทหารทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ฉางซุนหมิงเสี้ยวจึงยกหีบใบเล็กนั้นมาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าของน้องชาย ฉางซุนฟางเอินสะดุ้งสุดตัวพลางหันมามองผู้เป็นพี่ชายอย่างตกใจ

    “พี่ใหญ่เหตุใดเข้ามาไม่เคาะประตูก่อน?”

    “ข้าเคาะจนประตูห้องของเจ้าจะพังอยู่แล้ว นั่งเหม่อลอยอันใด?” ฉางซุนหมิงเสี้ยวตำหนิ แต่ดูท่าน้องชายของเขาจะไม่รับรู้เอาเสียเลย ชายหนุ่มกลับชวนเขาสนทนาเรื่องอื่น

    “พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าบุรุษหนุ่มควรแต่งงานเมื่อใด?”

    “แต่งงาน? ข้าไม่ทราบ”

    “สมมติว่าเป็นพี่ใหญ่เอง ท่านคิดจะแต่งงานเมื่อใด?” ชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายยังคงถามด้วยความอยากรู้

    “ไม่ทราบ..ข้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน”

    ฉางซุนฟางเอินถึงกับทำสีหน้าเบื่อหน่าย นี่เขาถามผิดคนจริงๆ คนบ้างานและเย็นชาอย่างพี่ใหญ่ของเขา วันๆ นอกจากอ่านหนังสือ ฝึกยุทธ์ และวางแผนการทางทหารแล้ว ก็ไม่เห็นว่าชายหนุ่มจะมีเวลาทำอย่างอื่นอีก

    “พรุ่งนี้เตรียมตัวออกเดินทางไปแคว้นซ่งกับข้า นี่หนังสือคำสั่งจากฉีต้าอ๋อง”

    ฉางซุนฟางเอินมองหนังสือคำสั่งเล็กน้อยแล้วรับมาถือไว้ “ไปแคว้นซ่ง? เพราะเหตุใด? วันมะรืนนี้ทัพใหญ่ก็จะเคลื่อนพลแล้วมิใช่หรือ?”

    “ถูกแล้ว แต่ตอนนี้แคว้นฉู่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นองค์ชายใหญ่จึงมีพระประสงค์ให้ใช้การทูตโน้มน้าวแคว้นซ่งก่อน รายละเอียดข้าจะเล่าให้ฟังภายหลัง ว่าแต่..ตอนนี้เจ้าว่างงานหรือไม่?”

    “ไม่ว่าง” ฉางซุนฟางเอินตอบแล้วหันหน้าไปทางอื่น ผู้เป็นพี่ชายอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแสร้งพูดขึ้นว่า

    “น่าเสียดาย หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องยกของหีบใบนี้ไปจวนท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเองเสียแล้ว”

    “ท่านว่าอะไรนะ?!” ชายหนุ่มหันขวับกลับมาทันที

    “ก็องค์ชายใหญ่น่ะสิวานให้ข้านำของในหีบนี้ไปมอบให้กับท่านลุงเสียน ตอนแรกจะวานเจ้าต่อแต่เจ้าก็ไม่ว่าง ดังนั้นข้าคงต้องไปเอง” ฉางซุนหมิงเสี้ยวพูดจบก็ทำท่าจะยกหีบใบนั้นขึ้น ผู้เป็นน้องชายถึงกับร้องเสียงหลง

    “พี่ใหญ่..เอ่อ..พอดีข้านึกขึ้นได้ว่ามีธุระต้องไปแถวนั้นพอดี เดี๋ยวข้านำไปให้ก็ได้”

    “แต่ว่า..มันจะดีหรือ?” ผู้เป็นพี่ชายแสร้งทำท่าลังเล ทั้งที่ในใจกลั้นหัวเราะแทบตาย

    “ดี ดี ดีแน่! พี่ใหญ่ท่านเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนก่อนเป็นอย่างไร?”

    “ก็ได้ แต่เจ้าต้องกลับมาให้ทันอาหารค่ำล่ะ” ฉางซุนหมิงเสี้ยวยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

     

    เซวียเสียนนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ สองสามปีมานี้องค์ชายใหญ่ฉีหย่งไฉเริ่มเข้ามาศึกษางานในด้านต่างๆ เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นไทจือตามรับสั่งของฉีต้าอ๋อง นับไปนับมาเขาก็แต่งงานกับไป๋ชิงซิ่วมายี่สิบปีแล้วแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกรักนางน้อยลงเลยกลับยิ่งรักเพิ่มขึ้นทุกวัน ซ้ำเขายังภาคภูมิใจที่มีบุตรสาวที่ทั้งสวยทั้งน่ารักอย่างเซวียชิงเซียน พลันใบหน้าของฉางซุนหมิงไฉกับบุตรชายทั้งสองก็ปรากฏขึ้นในห้วงสมอง

    “เสี่ยวเสียน ท่านยังจำได้หรือไม่? เมื่อครั้งที่พวกเราไปทำงานที่แคว้นหานข้าเคยจับจองบุตรสาวของท่านไว้ ตอนนี้ข้าเองก็มีบุตรชาย ซ้ำยังคลอดวันเดียวกันกับบุตรสาวของท่านด้วย ท่านคิดว่าพวกเราควรจะให้บุตรของพวกเราแต่งงานกันเมื่อใดดี?”

    “นี่ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวเสียน อีกอย่าง..ข้าก็บอกกับท่านไปแล้วว่าข้าจะไม่เกี่ยวดองกับท่านเด็ดขาด จำไม่ได้หรือ?” เขาตอบกลับไปอย่างหัวเสีย เรื่องอันใดเขาจะต้องยกบุตรสาวที่น่ารักให้กับบุตรชายของฉางซุนหมิงไฉด้วย เจ้าคนพี่ก็เย็นชา ส่วนเจ้าคนน้องก็ถอดแบบมาจากบิดาไม่ผิดเพี้ยน

    “เรียนนายท่าน” พ่อบ้านส่งเสียงเรียกหาเบาๆ ทำให้เซวียเสียนต้องหันมามอง

    “มีอันใดหรือ?”

    “ท่านรองแม่ทัพฉางซุนฟางเอินมาที่จวนขอรับ”

    วันนี้เจ้าตัวแสบนั่นมาทำอะไรอีก? แม่ทัพใหญ่คิดในใจ “แล้วเป็นผู้ใดต้อนรับเขาอยู่?”

    “เป็นคุณหนูชิงเซียนขอรับ”

    “อะไรนะ?!” ท่านแม่ทัพใหญ่พลันปลดกระบี่ลงมาจากแท่นวางแล้วเดินตรงไปยังห้องโถงทันที

     

    เซวียชิงเซียนกล่าวขอบคุณชายหนุ่มอยู่หลายคำที่อุตส่าห์นำของฝากจากองค์ชายใหญ่มาให้ด้วยตัวเอง

    “พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปแคว้นซ่งแล้ว ถือว่ามาลาเจ้าไปในตัวด้วย”

    “เลื่อนกำหนดการเดินทัพหรือ?” หญิงสาวถามอย่างแปลกใจเนื่องจากครั้งแรกชายหนุ่มเคยบอกว่าจะออกเดินทางวันมะรืนนี้

    “มิใช่ กำหนดการเดินทัพยังเหมือนเดิมแต่มีรับสั่งให้ข้าไปทำภารกิจบางอย่างก่อน” ชายหนุ่มตอบแล้วยกชาในถ้วยขึ้นมาจิบแก้กระหาย

    ทันใดนั้นเซวียเสียนพร้อมกับกระบี่คู่ใจก็เดินมาถึงห้องโถง ทำเอาฉางซุนฟางเอินแทบสำลักน้ำชา ท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเสียนมีสีหน้าเย็นชาจนชายหนุ่มต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบากพร้อมกับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

    “บิดา มีอะไรหรือเจ้าคะ?” เซวียชิงเซียนหันไปเห็นเข้า หญิงสาวจึงลุกขึ้นไปเกาะแขนผู้เป็นบิดาด้วยความรัก แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าบิดาของนางนำกระบี่มาด้วย

    “บิดา..ท่านนำกระบี่มาทำอะไรหรือเจ้าคะ?”

    “เอ่อ..” เซวียเสียนอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะตอบอย่างยิ้มแย้ม “บิดานำมันมาเช็ดถูจะได้ไม่เป็นสนิมเท่านั้น” ว่าแล้วท่านแม่ทัพใหญ่ก็ทรุดกายลงนั่งที่เก้าอี้ด้านข้างของบุตรสาว

    “ท่านลุงเสียนสบายดี?” ชายหนุ่มน้อมกายคำนับ

    “จะสบายดีกว่านี้ถ้าไม่มีแขกมารบกวน!” ท่านแม่ทัพใหญ่ตอบห้วนๆ จนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปสบตากับหญิงสาว

    “บิดา พูดอะไรอย่างนั้นเจ้าคะ ฟางเอินเป็นบุตรของท่านอาหมิงไฉ ส่วนท่านอาหมิงไฉก็เป็นสหายกับบิดามิใช่หรือ?”

    เซวียเสียนเพียงแค่นเสียงคำหนึ่งหาได้ตอบคำของบุตรสาวไม่ แต่กลับตะโกนเรียกท่านพ่อบ้านแทน “ไปนำผ้าเช็ดกระบี่มาให้ข้าหน่อย”

    “ขอรับนายท่าน” พ่อบ้านรับคำแล้วล่าถอยออกไป ฉางซุนฟางเอินจึงค่อยๆ ทรุดนั่งลง

    “เมื่อครู่พวกเราคุยกันถึงไหนแล้ว?” หญิงสาวหันมาชักชวนชายหนุ่มที่นั่งด้านตรงข้ามให้สนทนาต่อ ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากตอบใดๆ ท่านแม่ทัพใหญ่ก็แกล้งกระแอมไอเสียงดังๆ เพื่อขัดจังหวะ

    “ตอนนี้มีฝนตกบ่อยท่านลุงเสียนคงไม่สบายแล้ว น่าจะกลับไปพักผ่อนด้านในนะขอรับ ข้าเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลไม่ต้องลำบากอยู่เป็นเพื่อนข้าก็ได้”

    ได้ฟังดังนั้นท่านแม่ทัพใหญ่ก็ได้แต่ถลึงตาใส่ชายหนุ่มตรงหน้า พลางคิดในใจ เจ้าจิ้งจอกน้อยในที่สุดก็โผล่หางของเจ้าออกมาจนได้ ช่างเหมือนบิดาของเจ้าไม่มีผิด วันนี้ข้าจะดูซิว่าระหว่างข้ากับเจ้าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ?

    “บิดาท่านไม่สบายหรือเจ้าคะ?” เซวียชิงเซียนหันมาถามบิดาด้วยความกังวลใจจนเซวียเสียนทำหน้าไม่ถูก

    “มิใช่ บิดาเพียงแต่รู้สึกคันคอเท่านั้น”

    “จะว่าไปที่จริงข้าเองก็เคยคันคอบ่อยๆ นะขอรับท่านลุงเสียนโดยเฉพาะเวลาที่ก้างมันขวางอยู่ข้างในนี้” ชายหนุ่มชี้มือมาที่คอของตนเอง

    เซวียเสียนพลันผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับชักกระบี่ในมือออกมา “ถ้าอย่างนั้นข้าจะปฐมพยาบาลให้เจ้าเอง!

    ฉางซุนฟางเอินคว้าฝาถ้วยน้ำชาขึ้นรับกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา แต่ฝาถ้วยกลับถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ชายหนุ่มจึงเบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วพร้อมกับนึกหวาดเสียวในใจ เซวียเสียนเห็นว่าตนเองโจมตีไม่ประสบผลจึงหันเหกระบี่เข้าหาชายหนุ่มหน้าหวานที่หลบหลีกไปยังด้านข้างอีกครั้ง เซวียชิงเซียนร้องเรียกบิดาหลายคำแต่ก็หาได้เป็นผลไม่ จนกระทั่งเสียงเย็นๆ ของไป๋ชิงซิ่วดังขึ้น

    “ท่านพี่ นั่นท่านทำอะไรหรือ?”

    ได้ผล..เซวียเสียนชะงักท่วงท่าลงแล้วหันไปยิ้มให้กับภรรยารักอย่างอบอุ่น “ไม่มีใดข้าแค่ทดสอบความก้าวหน้าของฟางเอินเท่านั้น ใช่หรือไม่?” ประโยคหลังเขาหันไปถามชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    “ใช่ขอรับท่านป้า” ฉางซุนฟางเอินเองก็ตอบอย่างยิ้มแย้มพร้อมทั้งถือโอกาสเข้าไปกอดเอวของท่านแม่ทัพใหญ่ไว้เพื่อแสดงความสนิทสนม

    เซวียเสียนจึงกอดคอของชายหนุ่มบ้างแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปกระซิบที่ข้างหูของชายหนุ่มเบาๆ “ถ้าขืนยังมาจีบบุตรสาวของข้าอีก คราวหน้าข้าจะใช้หนังของเจ้าเช็ดกระบี่ของข้าแทน!

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ฉางซุนฟางเอินหัวเราะแล้วหันไปตอบด้วยเสียงอันดัง “ท่านลุงเสียนวันนี้ข้ามีธุระต้องขอตัวกลับก่อน แล้วข้าจะแวะมาใหม่ขอรับ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×