คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1
1
ฉางซุนหมิงไฉนั่งอ่านตำราอยู่ในห้องอย่างมีสมาธิ ทันใดเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องก็ดังขึ้น คิ้วเรียวยาวบนใบหน้าหวานขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนที่ชายหนุ่มจะร้องบอกอนุญาตแก่ผู้ที่อยู่ข้างนอก
“เชิญเข้ามาได้”
บานประตูห้องถูกผลักเปิดออกพร้อมกับร่างเล็กๆ ของฉางซุนหมิงเสี้ยวและฉางซุนฟางเอินบุตรชายฝาแฝดของเขาก็รีบวิ่งเข้ามาในห้อง
“เสี้ยวเอ๋อร์ เอินเอ๋อร์มีเรื่องอันใดหรือ?” ชายหนุ่มถามบุตรชายวัยสามขวบทั้งสองด้วยความเอ็นดู
“บิดาท่านช่วยเขียนหนังสือให้ข้าสักสองสามประโยคได้หรือไม่ขอรับ?” ฉางซุนหมิงเสี้ยวกล่าวขึ้นก่อน
ชายหนุ่มเลิกคิ้วอย่างแปลกใจแต่ก็อดถามบุตรชายกลับไปมิได้ “เจ้าอยากให้บิดาเขียนสิ่งใดให้หรือ?”
“พลังปราณวัชระ”
“นั่นเป็นเคล็ดวิชายุทธ์นี่ มารดาสอนเจ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
“นั่นเป็นท่าไม้ตายของข้าต่างหาก”
ฉางซุนหมิงไฉถึงกับหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของบุตรชายคนโต “หมิงเสี้ยวเจ้าคิดค้นท่าไม้ตายนี้ขึ้นเองหรือ? ช่างร้ายกาจนัก”
“บิดา..ที่จริงแล้วพี่ใหญ่ชื่อโฮ่วเสี้ยวต่างหาก หาใช่ฉางซุนหมิงเสี้ยวไม่” บุตรชายคนเล็กเอ่ยขึ้นบ้าง ทำให้ผู้เป็นบิดาตกใจจนแทบร่วงลงมาจากเก้าอี้ “เจ้าว่าอะไรนะ?!”
“ทีเจ้าชื่อซ่างกวานเอินข้ายังไม่ฟ้องต่อบิดาสักคำ” บุตรชายฝาแฝดคนโตที่มีนามว่าฉางซุนหมิงเสี้ยวหันไปกล่าวกับน้องชายบ้าง
คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับอ้าปากค้าง ได้แต่เหลือบมองไปที่บุตรชายคนโตเห็นเด็กน้อยนั้นใช้มือแหวกอกเสื้อของตนเองออกมาจนมองเห็นปานแดงที่หน้าอก “ข้าใช้มีดแทงลงไปตรงนี้..” เด็กน้อยชี้ให้ผู้เป็นบิดาดู
“แต่ข้าโดนดาบฟันลงที่กลางหลัง” บุตรชายคนเล็กพูดขึ้นบ้าง จากนั้นเด็กน้อยทั้งสองก็หัวเราะคิกคักแล้วหันมายิ้มให้กับเขา
ฉางซุนหมิงไฉพลันสะดุ้งตื่นทันที เขานั่งหอบหายใจอยู่บนเตียงนอน เสิ่นหรงฟางที่นอนอยู่ด้านข้างตกใจตื่นแล้วลุกขึ้นนั่งพลางจับแขนของชายหนุ่มเบาๆ “ท่านพี่เป็นอะไรหรือ?”
“หรงฟาง..ข้าฝันถึงเรื่องเมื่อตอนเสี้ยวเอ๋อร์กับเอินเอ๋อร์ระลึกชาติได้อีกแล้ว”
เสิ่นหรงฟางจึงกอดแขนผู้เป็นสามีไว้ “ท่านอย่าได้คิดมากเลย ตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็จดจำไม่ได้แล้ว..”
“เจ้าแน่ใจเช่นนั้นจริงๆ หรือ?..ข้าไม่ใช่ไม่ดีใจที่พวกเขามาเกิดเป็นบุตรของเรา แต่ในชาตินี้ข้าเพียงอยากให้พวกเขาเป็นเพียงบุตรของเราเท่านั้น..”
“ท่านพี่อย่าได้คิดมากแล้ว หลายปีมานี้ทั้งเสี้ยวเอ๋อร์และเอินเอ๋อร์ต่างก็เป็นเพียงบุตรชายของท่านเท่านั้น ซ้ำยังก่อเรื่องวุ่นวายให้ท่านไม่หยุดหย่อน นี่ก็ดึกมากแล้วท่านนอนเถิด รุ่งขึ้นบุตรชายฝาแฝดทั้งสองของท่านอาจก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีกจะได้มีเรี่ยวแรงรับมือเป็นอย่างไร?”
ฉางซุนหมิงไฉได้แต่พยักหน้าเห็นพ้องด้วย จากนั้นจึงเอนกายลงนอนพร้อมกับโอบภรรยารักเอาไว้ในอ้อมกอด
“หรงฟาง ถ้าเราจะมีบุตรสาวอีกสักคน เจ้าจะว่าอย่างไร?”
เสิ่นหรงฟางถึงกับใบหน้าแดงสดใส “บุตรชายทั้งสองของเราปีนี้ก็อายุ 18 ปีแล้ว หากเราจะมีบุตรอีกคนตอนนี้ ท่านไม่อายผู้อื่นหรือ?”
“เหตุใดต้องอาย? ในเมื่อเจ้าเป็นภรรยาของข้า และข้าก็รักเจ้ามากถึงเพียงนี้”
“แต่ข้า...”
“อย่าเพิ่งพูดเลยหรงฟาง เรารักกันเถอะนะ” ฉางซุนหมิงไฉพูดจบก็ใช้ริมฝีปากของตนปิดริมฝีปากนุ่มของภรรยารักในอ้อมกอดเพื่อไม่ให้นางได้กล่าวอะไรต่อไปอีก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีแต่เขาก็ยังรักและปรารถนาในตัวของนางไม่เสื่อมคลาย...
ร่างสูงในชุดรัดกุมสีขาววิ่งพรวดพราดออกมาจากห้องส่วนตัวจนเกือบชนเข้ากับบิดาที่เดินผ่านมา ร่างสูงจึงชะงักหยุดนิ่งอยู่กับที่ราวกับถูกตะปูตอกตรึงให้อยู่ตรงนั้น ชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าไหมสีเทาเข้มจ้องมองใบหน้าหวานของชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เอินเอ๋อร์เจ้าจะรีบไปที่ใด?”
“คือ...วันนี้อากาศดีมากดังนั้นข้าคิดจะออกไปเดินเล่นข้างนอกขอรับ” ชายหนุ่มแย้มยิ้มจนเห็นฟันขาวที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
“อากาศดี?” ชายวัยกลางคนเหลือบสายตาออกไปยังชายคาบ้านที่ฝนยังตกพรำอยู่ไม่ขาดสายพลางกล่าวว่า
“วันหยี่ส่วย[1]อย่างนี้น่ะหรืออากาศดี?”
“โธ่! บิดา เนื่องเพราะฝนตกในวันหยี่ส่วยจึงถือว่าเป็นวันที่อากาศดี หากวันหยี่ส่วยไม่มีฝนตกแสดงว่าอากาศไม่ดี เฮ้อ! บิดาท่านช่างไม่เข้าใจศัพท์ของเด็กหนุ่มสมัยนี้เสียบ้างเลย” ชายหนุ่มกล่าวจบก็รีบเดินออกไปจากห้องทันทีด้วยเกรงว่าผู้เป็นบิดาจะซักไซ้ไล่เลียงไปมากกว่านี้
ผู้คนในแคว้นฉีล้วนทราบดีว่าเสนาบดีปกครองอย่าง ‘ฉางซุนหมิงไฉ’ บิดาของเขามีฝีปากเป็นเลิศเพียงใด นอกจากท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเสียนแล้วบิดาของเขามักไม่นำพาต่อผู้อื่น เช่นเดียวกับตัวของชายหนุ่มเองที่ไม่นำพาต่อผู้อื่นนอกเสียจาก ‘เซวียชิงเซียน’ ธิดาเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่
“กลับมาให้ทันอาหารค่ำด้วยล่ะ” ผู้เป็นบิดาตะโกนไล่หลังมาอีก จนผู้ถูกเรียกต้องขานรับดังๆ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังประตูหน้าบ้านพร้อมกับร่มน้ำมันคันหนึ่ง
“เอินเอ๋อร์ ไปไหนแต่เช้าหรือท่านพี่?” หญิงวัย 38 ปี ผู้สะคราญโฉมเดินเข้ามาพร้อมกับจานอาหารว่างในมือ
“ไม่ต้องบอกข้าก็ทราบว่าเจ้าตัวแสบนั่นรีบออกไปหาผู้ใด” ฉางซุนหมิงไฉตอบคำถามของภรรยารักอย่างยิ้มแย้ม ใช่แล้วนอกจากเซวียชิงเซียนผู้เลอโฉมแล้วในแคว้นฉียังมีผู้ใดที่จะทำให้ ‘ฉางซุนฟางเอิน’ บุตรชายฝาแฝดคนเล็กของเขาตื่นเต้นได้ถึงเพียงนี้
“ว่าแต่..ตอนนี้เสี้ยวเอ๋อร์กำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
เสิ่นหรงฟางได้ยินดังนั้นจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “เสี้ยวเอ๋อร์กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ท่านพี่มีธุระอันใดกับเสี้ยวเอ๋อร์หรือไม่?”
“ไม่มีใด เห็นเจ้าตัวแสบคนเล็กไม่อยู่บ้าน ก็เลยคิดถึงเจ้าตัวแสบคนโตเท่านั้น” ฉางซุนหมิงไฉระบายยิ้มทั่วใบหน้า เห็นทีว่าในวันหยี่ส่วยเช่นนี้ บรรยากาศในจวนเสนาบดีปกครองของเขาคงจะสงบเงียบหนึ่งวัน
ทางเข้าศาลเจ้าผู้คนไม่หนาแน่นเท่าใดเนื่องจากวันนี้มีฝนตกพรำลงมาตลอดทั้งวัน ฉางซุนฟางเอินกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปจนถึงหน้าศาลเจ้าพลางใช้สายตามองหาหญิงสาวที่นัดหมายเอาไว้ พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับหญิงสาวในชุดสีฟ้าที่นั่งอยู่ที่เก๋งเล็กๆ ตรงปากทาง ความงดงามของนางเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นฉี และเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มมากมาย
ฉางซุนฟางเอินเดินเข้าไปในศาลาแห่งนั้นก็พบกับรอยยิ้มของหญิงสาวที่ตนเองเฝ้าคิดถึง รอยยิ้มนั้นทั้งสวยงามทั้งน่ารักจนชายหนุ่มต้องเผลอเหม่อมองนางอย่างลืมตัว เซวียชิงเซียนเห็นชายหนุ่มรูปงามจ้องมองนางอย่างเซื่องซึมก็รู้สึกเขินอายยิ่งจึงแสร้งพูดขึ้นว่า
“ท่าน...จะมองอีกนานหรือไม่?”
ฉางซุนฟางเอินหัวเราะออกมาเบาๆ นับวันเขายิ่งรู้สึกว่าหญิงสาวน่ารักเสียจนเขาอยากจะแต่งงานกับนางโดยเร็ว เพียงแต่ตอนนี้ฐานะรองแม่ทัพอย่างเขาออกจะไม่เพียงพอที่จะสู่ขอนาง แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นถึงเสนาบดีปกครองก็ตามแต่นั่นก็เป็นเรื่องของบิดาหาใช่ตัวของเขาไม่ ดังนั้นเขาจะต้องสร้างฐานะให้มั่นคงกว่านี้เสียก่อน
“รอข้านานหรือไม่?”
“ไม่นานเท่าใด พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ”
ฉางซุนฟางเอินพยักหน้ารับพร้อมทั้งแย่งตะกร้าที่ใส่ธูปเทียนและดอกไม้ในมือของนางมาถือไว้ แล้วเดินตามหลังชิงเซียนเข้าไปยังศาลเจ้า ชายหนุ่มช่วยหญิงสาวจัดแจงข้าวของสำหรับไหว้เจ้าอย่างชำนาญเนื่องจากเคยมาที่นี่กับมารดาหลายครั้งแล้ว
‘ขอให้ข้าได้แต่งงานอยู่กินกับเซวียชิงเซียนด้วยเถอะ’ ฉางซุนฟางเอินอธิษฐานในใจก่อนจะก้มลงกราบ แล้วหันไปมองหญิงสาวที่กำลังหลับตาอธิษฐานอยู่ด้านข้าง หัวใจของชายหนุ่มรู้สึกรุ่มร้อนจนอยากจะดึงตัวนางมากอดให้หายคิดถึง แต่เมื่อนึกถึงว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับตนเองไม่ให้เกียรติหญิงสาว จากนั้นใบหน้าเย็นชาของท่านแม่ทัพใหญ่เซวียเสียนก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิดจนชายหนุ่มอดยิ้มออกมาไม่ได้ เนื่องเพราะทุกครั้งที่เขาโผล่หน้าไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ ท่านลุงเสียนมักทำสีหน้าเย็นชาใส่และพยายามหาเรื่องไล่เขากลับบ้านเป็นประจำ
“พวกเราไปกันเถอะ” เซวียชิงเซียนหันมายิ้มให้กับชายหนุ่ม
หนุ่มสาวทั้งสองเดินเคียงคู่กันออกมาจากศาลเจ้า และดูเหมือนว่าฝนจะตกรุนแรงมากขึ้นจนฉางซุนฟางเอินต้องชักชวนหญิงสาวให้เข้าไปหลบฝนในเก๋งเล็กๆ ที่ปากทางเข้า
“เจ้าเปียกหรือไม่?” ฉางซุนฟางเอินถามด้วยความเป็นห่วง เซวียชิงเซียนมองชายหนุ่มด้วยความซาบซึ้งใจ เนื่องเพราะเมื่อครู่ที่ฝนตกหนักนั้นชายหนุ่มยื่นร่มมาให้นางเกือบทั้งคันซ้ำยังใช้ตนเองบังฝนให้กับนางอีก จนเสื้อผ้าของเขาเปียกไปแถบหนึ่งแล้ว
“ข้าไม่เป็นไร ท่านต่างหากที่เปียก” หญิงสาวจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมาซับน้ำบนหน้าของชายหนุ่ม ตาต่อตามองสบกัน ในที่สุดชายหนุ่มก็ตัดสินใจบอกความในใจกับหญิงสาวในวันนี้
“ชิงเซียน..” ฉางซุนฟางเอินจับมือเรียวบางของหญิงสาวไว้แล้วสบตาของนางด้วยสายตาอบอุ่น หญิงสาวใบหน้าแดงสดใสหัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก
“ข้ารักเจ้ายิ่ง แล้วเจ้ารักข้าบ้างหรือไม่?”
“ข้า..” หญิงสาวอึกอัก จะให้นางตอบได้อย่างไรว่านางก็รักเขา นี่ออกจะน่าอายไปแล้ว
“หากเจ้ายังไม่พร้อมที่จะตอบตอนนี้ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า ข้าเพียงอยากให้เจ้าทราบว่าข้าคิดอย่างไรกับเจ้า..อีกไม่กี่วันข้าจะต้องเดินทางไปรบคงไม่ได้เจอหน้าเจ้าอีก ข้าขอผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ได้หรือไม่”
เซวียชิงเซียนยักหน้าน้อยๆ ไม่กล้าสบตาของชายหนุ่ม ฉางซุนฟางเอินยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แม้นางจะยังไม่ตอบรับแต่อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ดึงมือน้อยๆ นั้นออกจากมือของเขา ชายหนุ่มจึงโอบเอวอ้อนแอ้นของนางเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดนางไว้
“ฟางเอิน..” หญิงสาวตกใจจนอุทานเรียกชื่อของชายหนุ่มเบาๆ
“ข้ารักเจ้าจนแทบบ้าแล้ว ชิงเซียนเมตตาข้าหน่อยได้ไหมให้ข้าได้กอดเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิดนะ”
หญิงสาวได้แต่เขินอายทำอะไรไม่ถูกร่างบางสั่นสะท้านเบาๆ เนื่องเพราะไม่เคยใกล้ชิดกับชายหนุ่มคนใดถึงเพียงนี้มาก่อน แต่นางกลับรู้สึกว่าอ้อมกอดของชายหนุ่มช่างอบอุ่นยิ่งนักราวกับมันสามารถถ่ายทอดความรักมาถึงนางได้
ฉางซุนฟางเอินค่อยๆ คลายอ้อมกอดออกอย่างเสียดาย แล้วแกะต่างหูของเขาออกมาข้างหนึ่งจากนั้นจึงยื่นให้กับหญิงสาว “นี่เป็นของหมั้นจากข้า ข้าจะขอจับจองเจ้าเอาไว้ก่อน ชิงเซียน..ตกลงนะ”
หญิงสาวเขินอายยิ่งแต่ในที่สุดก็ยื่นมือมารับต่างหูข้างนั้นไป
ฉางซุนหมิงเสี้ยวในชุดรัดกุมสีขาวเดินออกมาที่ห้องโถงด้านนอกและพบว่าขณะนี้ฝนได้หยุดตกแล้ว เป็นเวลาเดียวกับที่ฉางซุนฟางเอินน้องชายฝาแฝดของเขาเดินกลับเข้ามาพอดี “ฝนตกอย่างนี้เจ้ายังออกไปข้างนอกอีกหรือ? ช่างว่างงานนัก”
“วันนี้ข้าอารมณ์ดี ไม่อยากเถียงกับท่านหรอกพี่ใหญ่” ชายหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริแล้วเดินผ่านพี่ชายฝาแฝดเข้าไปด้านใน
“วันนี้มาแปลก..หรือว่าจะเปียกฝนจนเป็นไข้ไปแล้ว?” ฉางซุนหมิงเสี้ยวมองตามหลังของน้องชายไปอย่างงงงัน
แม้ว่าฉางซุนหมิงเสี้ยวและฉางซุนฟางเอินจะเป็นฝาแฝดกันแต่ชายหนุ่มทั้งสองหาได้มีหน้าตาเหมือนกันไม่ ฉางซุนหมิงเสี้ยวมีใบหน้างดงามคล้ายกับเสิ่นหรงฟางผู้เป็นมารดา และมีบุคลิกสง่างามและเย็นชา ส่วนฉางซุนฟางเอินกลับถอดแบบออกมาจากฉางซุนหมิงไฉผู้เป็นบิดา แต่มีบุคลิกองอาจกล้าหาญ
ขณะนั้นเองพลทหารนายหนึ่งก็เข้ามาคำนับฉางซุนหมิงเสี้ยวพร้อมทั้งรายงานเรื่องสำคัญ “เรียนท่านเสนาธิการ องค์ชายใหญ่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“ทราบแล้ว” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ พลทหารผู้นั้นจึงล่าถอยออกไป ฉางซุนหมิงเสี้ยวจึงหันไปสั่งหญิงรับใช้ผู้หนึ่งว่า “เรียนมารดาของข้าว่าข้าจะไปเข้าเฝ้าองค์ชายใหญ่ที่วังหลวง”
“เจ้าค่ะคุณชายใหญ่” หญิงสาวรับคำ
ความคิดเห็น