ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : I'll see you again . . .
เสียงกริ่งดังอยู่หลายนาทีอย่างว่างเปล่า ณ เบื้องหน้าบานประตูไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านหน้าทางเข้า ปราศจากวี่แววเสียงตอบรับจากคนภายในบ้านหลังนั้นซึ่งควรจะมีคนพักอาศัยอยู่อย่างที่เขาคิด
เพียงไม่นานนักบานประตูใหญ่ถูกแง้มเปิดออกจากด้านในโดยเจ้าของบ้านที่ปกติแล้วมักจะชอบใช้เวลานั่งเหม่อลอยอยู่แต่ภายในห้องของตัวเองเสียมากกว่าที่จะขยับตัวลุกไปไหนต่อไหน
"อ้าว! รูบี้จังนี่เองนึกว่าใครที่ไหนซะอีก มาๆ เข้ามาก่อนสิ" ชายหนุ่มหน้าตาสดใสดูอ่อนวัยจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นเจ้าบ้านที่มีลูกๆ ที่ต้องดูแลกว่าห้าชีวิต เขาเปิดประตูต้อนรับอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้านเสมือนว่ารู้อยู่แล้วว่าแขกคนนี้จะต้องมาเยือนไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ เพียงแต่เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาเองไม่รู้จะบอกว่ามันมาถึงช้าเกินไป หรือว่าเร็วกว่าที่คิดดี
รูบี้ ซาเลนโนว์ ลูกชายคนโตของหนึ่งในเพื่อนสนิทที่เขารู้จักว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้แม้จะไม่ใช่คนที่คุ้นเคยหรือเข้าใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสียหมดทุกอย่างก็ตามที แต่บางครั้งสำหรับเขาแล้วการได้มองหรือรู้จักใครสักคนเพียงแค่ในส่วนที่คนคนนั้นต้องการจะเปิดเผยออกมาเพียงแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับความต้องการของเขาแล้ว
รูบี้ กล่าวทักทายตามมารยาทพลางโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตามเข้าไปอย่างนึกหวั่นใจกับการมาเยือนบ้านนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่ผ่านมานั้นโดยส่วนมากแม้ว่าเขาจะเคยใช้เส้นทางมาที่บ้านหลังนี้หลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตามที แต่บอกตามตรงว่าสำหรับเขาแล้วนั้นบานประตูที่มองเห็นมันช่างดูยิ่งใหญ่ราวกับเป็นกำแพงสูงเกินกว่าที่ตัวเขาจะทำใจให้หยุดนิ่งเหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเขาได้เลย ตลอดทางที่เดินข้ามผ่านเส้นประตูรั้วบ้านเข้ามาขาทั้งสองข้างของเขายังคงสั่นไม่หายแม้จะทำใจมาก่อนแล้วก็ตาม หัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำบ่งบอกถึงความตื่นเต้นที่ได้เข้ามาในเขตพื้นที่ที่เป็นเหมือนอีกโลกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
สถานที่ที่ดูแปลกตา บ้านที่เธอคนนั้นพักอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ในด้านที่ตัวเขาไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นมาก่อน ชีวิตประจำวันที่ดูแตกต่างกัน เสียงพื้นไม้ที่ดัง เอี้ยด อ้าด ทุกครั้งที่ขยับเท้าลงไปบนแผ่นไม้มันยิ่งตอกย้ำให้เขาสั่นไหวยิ่งกว่าเดิน เบื้องหน้าสายตาที่เห็นคือแผ่นหลังของคนเป็นพ่อที่ดูยิ่งใหญ่เหมือนขุนเขา ทั้งดูสงบเหมือนสายน้ำที่ไหลนิ่ง แต่บางคราวดูพิศวงและยากจะหยั่งถึงในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในเวลาเช่นนี้
นานกว่าพักหนึ่งที่ชายหนุ่มถูกพาเดินอ้อมผ่านห้องแล้วห้องเล่า จนข้ามถึงเรือนไม้ที่เชื่อมต่อสู่เรือนด้านหลังที่เป็นทางเชื่อมเฉพาะให้เดินเลาะข้ามผ่านสวนเล็กๆ ที่มีพุ่มไม้เขียวขจีและผืนป่าของเหล่าบุพชาติที่เริ่มเบ่งบานรับแสงอรุณตลอดทั้งวันไม่รู้เบื่อ ป่าของดอกสุมิเระที่กำลังเบ่งบาน
หมู่มวลดอกไม้สีม่วงครามสว่างสดใส อบอวลกลิ่นไอหอมกรุ่นอ่อนๆ เรียงรายเต็มข้างทางที่เดินผ่าน แท่นหินทางเดินแทรกซึมด้วยผืนหญ้าเขียวอร่ามแซมด้วยใบดอกสีเขียวเข้มทะมึนปรากฎดอกเล็กดอกน้อยกระจายเต็มพื้นที่เผยให้เห็นถึงประตูบานเลื่อนตรงทางเข้าที่เด่นชัด แม้ไม่มีคำพูดใดใดเอ่ยถึงแต่ตัวเขานั้นกลับบอกได้เลยว่าเจ้าของห้องเบื้องหน้าคงชื่นชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงไม่ปลูกสุมิเระเรียงรายมากมายถึงเพียงนี้
คุณพ่อเซนที่เดินนำทางมาหยุดหน้าประตูบานเลื่อนของเรือนไม้แห่งหนึ่งโดยไม่บอกกล่าวอะไร นอกเสียจากพูดทิ้งไว้ว่าคนที่เขาอยากพบเธอนอนอยู่ในห้องนี้เพียงเท่านั้น หลายวันที่เขาโทรถามหาและได้รับเพียงแค่เสียงโวยวายกับคำพูดบอกปัดจะพูดคุยกับเขาแม้สักครั้ง จนวันนี้ถึงได้ตัดสินใจจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้โทรมาขออนุญาตหรือพูดคุยอะไรไว้ก่อนแต่ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะรู้ถึงการมาของเขาราวกับกำลังรอคอยไม่ปาน
รูบี้เอ่ยถามถึงอย่างแปลกใจว่าอะไรทำให้เขาแน่ใจว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีธุระกับคนอื่นแต่กลับเหมือนจงใจพาเขาเดินมาถึงห้องนอนของลูกสาวเขาโดยตรงแบบนี้แทน แต่เมื่อถูกทักออกไปแบบนั้นแล้วคุณพ่อเซนกลับยิ้มแล้วตอบกลับมาในสิ่งที่ตัวเขาแทบจะชาไปทั้งตัวแทน
"เดี๋ยวก่อนสิครับ! ผมน่ะยังไม่ทันได้บอกเลยว่าตั้งใจจะมาที่นี่นะครับ แล้วแบบนี้มันจะดีหรือครับที่ให้ผมเข้ามาถึงตรงนี้ได้"
"แล้วไม่ใช่เพราะอยากเจอหรอกหรือครับถึงได้โทรมาหาตั้งหลายครั้งแบบนั้น? เข้าไปเถอะครับผมเองดีใจด้วยซ้ำไปไม่นึกว่าจะมาทันซะอีก ยังคิดอยู่เลยว่าบางทีถ้าเกิดจากไปซะแบบนี้แล้วคนที่นึกเสียดายอาจจะเป็นเธอก็ได้นะรูบี้จัง"
จากไป? คำพูดที่คนคนนั้นต้องการจะบอกกับเขามันหมายความว่ายังไงอย่างงั้นหรือ? ใครจะไปกัน? รูบี้นึกแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ฟังมันเป็นเหมือนกับสัญญาณเตือนของบางอย่าง อะไรสักอย่างที่สำคัญสำหรับเขาเพียงแต่ตอนนี้เขาเพียงแค่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น
เสียงหัวใจที่ดังอยู่ในอกมันบอกให้เขาหันไปมองทางประตูเลื่อนที่ปิดอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกวูบไหวแทบจะทำให้เขาหัวใจหยุดเต้นในทันทีเมื่อลองย้อนคิดกับสิ่งที่เซนซังอยากจะบอกกับเขาแล้ว ในใจเขาได้แต่นึกภาวนาขออย่าให้สิ่งที่คิดมันเป็นจริงเลย
มือที่สั่นไหวเลื่อนบานประตูให้เปิดออกอย่างเบามือที่สุด สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือผืนผ้านวมที่มีฟูกนอนถูกปูไว้ไม่ห่างจากบานประตูเลื่อนที่เขาเปิดมันออกมากเท่าใดนัก เรือนผมยาวสยายสีน้ำตาลอ่อนที่เขายังคงจดจำได้ถนัดตา เพียงแค่เห็นว่าเธออยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้วเท่านั้นน้ำตามันแทบจะไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
มือที่ยกขึ้นปิดป้องกับริมฝีปากก่อนที่จะทำเสียงดังจนร่างบางตรงหน้าตื่นขึ้นมาเสียก่อน เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อหวังจะไม่ให้น้ำตานั้นไหลออกมาอย่างที่ตัวเขานั้นรู้สึก ดวงตาทั้งสองพลันบ่ายเบนสายตาไปรอบห้องนอนของเธอก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งอย่างไม่อาจจะหายใจได้ทั่วท้องอีกครา
"ซากิ . ." เสียงนุ่มเอ่ยขานชื่อของหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่สับสนและงุนงงกับสิ่งที่เห็นอย่างไม่อาจจะทำใจให้ยอมรับมันได้ลง มือแกร่งเอื้อมแตะลงบนเส้นผมละมุนของเธอก่อนจะลูบมันไปเบาๆ แล้วจึงโน้มลงจุมพิตบนดวงแก้มอย่างไม่กลัวว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะไปปลุกเธอจากพะวัง เพราะหากตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาจริงคงจะดีเพราะเขาเองมีคำถามมากมายที่อยากพูดออกไปเช่นกัน
ห้องนอนที่ดูโล่งอย่างผิดหูผิดตา กล่องกระดาษที่วางซ้อนกันมีชื่อเขียนอย่างชัดเจนบอกเป็นนัยให้คนที่ไม่รู้อะไรอย่างเขาได้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอกำลังจะย้ายออกไปที่ไหนสักแห่ง มากกว่าเพียงแค่สลับสับเปลี่ยนที่วางของเป็นแน่ เพราะข้าวของในห้องดูจะน้อยชิ้นจนแทบจะเรียกได้ว่านอกจากฟูกที่เธอกำลังปูนอนอยู่ในตอนนี้กับกรงของกระต่ายที่เธอเลี้ยงเอาไว้ ของทุกอย่างที่เหลือถูกยกออกไปแทบจะกลายเป็นห้องว่าง
เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ เธอก่อนถอนหายใจออกมาอย่างที่ไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกกังวลกับเรื่องของเธอได้มากถึงเพียงนี้ จนแทบจะคิดว่าเหมือนชีวิตประจำวันบางอย่างได้ขาดหายไปไม่มีผิดเลยทีเดียว
ใบหน้าเล็กที่อยู่เบื้องหน้า ตัวเขานั้นยังคงจดจำได้ดีว่ายามที่ดวงตาสีเปลือกไม้นั้นเพ่งมองมาที่เขามันช่างสุกสกาวมากแค่ไหน แววตาที่ชวนสงสัยตลอดเวลาของเธอ พวงแก้มที่มักจะโป่งพองออกด้านข้างเสมอยามที่ตัวเขาเผลอทำในสิ่งที่ขัดใจเธอหรือว่าเวลาที่เธอเห็นเขาให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่า ความทรงจำเล็กๆ เวลาที่มีเธออยู่เคียงข้างผุดขึ้นมาในหัวเขาไม่หยุดหย่อน ช่วงเวลาที่เคยได้ใช้มันร่วมกันชวนให้นึกขำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
"คุณจะไปจากผมจริงๆ โดยที่ไม่ยอมบอกอะไรกันเลยแบบนี้หรือครับ? ทำไมคุณถึงได้ขี้โกงแบบนี้กันตอบผมหน่อยสิ ซากิ!?"
เขาลูบมือไปบนดวงหน้าที่หลับพริ้มของเธอก่อนจะดึงตัวเธอนั้นให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกแนบกายเขาเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาที่พวกเขาเคยนอนอยู่ด้วยกันอย่างนี้
จะเป็นเพราะความเคยชินหรือเพราะความรู้ตัวช้าของพวกเขากันแน่ที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรให้เร็วกว่านี้จนเมื่อกว่าจะรู้ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งสำคัญไปแล้วถึงได้เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาแทนที่ได้แม้จะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหามันก็ตาม . . .
มือที่โอบอุ้มเส้นผมที่ลื่นไหวประดุจเส้นไหมเล็กๆ ที่ถักทอจนขึ้นเงา เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ส่งผ่านเข้ามาจากลมหายใจที่ร้อนระอุแต่ผิวกายเธอที่เย็นเฉียบนั้นกลับชวนให้เขายิ่งอยากโอบกอดอ้อมแขนนั้นให้กระชับมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม รูบี้ไม่รอช้าเขาขยับแขนให้กอดรัดเธอไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมพลางซบใบหน้าลงบนไหล่บางราวกับอยากจะกลืนกินทั้งร่างเธอให้เป็นเหมือนกรงขังที่แน่นหนาเพื่อไม่ให้เธอนั้นบินหนีไปจากเขาไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นที่ใดเขาเองไม่อยากให้เธอไปทั้งนั้น
มันอาจฟังดูไม่มีเหตุผล แต่ใครจะสน? เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่อยากจะกอดเธอเอาไว้แค่นั้นเองจริงๆ
จะเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไป หรือจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวกับแสงแดดที่เริ่มคล้อยต่ำลงในยามบ่ายกันถึงทำให้ชายหนุ่มที่เคยกระตือรือร้นอย่างเขาถึงได้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนขึ้นมาได้ อารามภบทความเพลียที่เริ่มครอบงำขึ้นทุกทีที่ขยับตัวจนไม่อาจจะทนฝืนรั้งให้เปลือกตานั้นเลื่อนปิดลงเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาทิ้งตัวให้นอนหลับโดยที่มือทั้งสองข้างยังคงกอดรั้งร่างบางไว้ในอ้อมอกไม่ยอมห่าง เสมือนว่าการที่มีเธอนั้นอยู่ใกล้มันช่วยให้จิตใจที่สับสนและว้าวุ่นของเขาพลันถูกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หรือว่าบางทีเขาอาจจะเคยชินกับการนอนที่มีเธออยู่เคียงข้างโดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นได้
เสียงของลมหายใจที่เริ่มปรับให้สอดคล้องกันโดยธรรมชาติพลันดังแว่วไหวขณะที่พวกเขาต่างนอนหลับไปด้วยกัน กระดิ่งลมพัดเอื่อยๆ เหนือขึ้นไปบนขอบชานหน้าห้องนอนของเธอ แม้จะไม่ก้องกังวาลเหมือนระฆังใบใหญ่ที่เคยได้ยินแต่เสียงเล็กๆ ยามที่สายลมพัดโบกมานั้นมันเป็นเสียงที่ฟังแล้วไพเราะจับใจด้วยปลายลูกกระพรวนผูกติดอยู่ที่ชายเชือกห้อยระย้าของกระดิ่งลม
หลังจากที่คุณพ่อเซนพาแขกที่มาเยือนถึงบ้านไปนั่งพักในห้องลูกสาวของเขาได้สักพักหนึ่งจึงขอแยกตัวไปจัดการยกน้ำหวานและของว่างมาให้ แต่เสียงสนทนาที่ควรจะมีกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าและทิ้งไว้ซึ่งความเงียบงันจนผิดสังเกต ทั้งที่ยังคงเห็นว่าบานประตูถูกเลื่อนเปิดค้างอยู่ก็ตาม
ชายหนุ่มวัยกลางคนเดินถือถาดใส่ขนมและน้ำหวานประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง พลางค่อยๆ เยื้องย่างก้าวเดินเพื่อไม่ให้สะดุดขากางเกงหรือแผ่นไม้กระดานจนสะดุดล้มลงไปด้วยความซุ่มซ่ามของเขาเอง ดวงตาสีน้ำตาลมองลอดผ่านเลนส์แว่นที่สวมใส่เมื่อฝีเท้าของเขามาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องนอนของลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา
สีหน้าที่ดูแปลกใจไม่น้อยกับสิ่งที่พบเห็น เมื่อชายหนุ่มที่มาเยือนในวันนี้กลับมานอนกอดลูกสาวเขาที่กำลังนอนหลับไปจนเหมือนกับว่าคนทั้งคู่ต่างกำลังหลับฝันในเรื่องเดียวกันอยู่ไม่ปาน
"ซ. . ซากิ!!" คุณพ่อที่เห็นว่าการที่ลูกสาวของตนมานอนกอดกับฝ่ายชายแบบนี้ในบ้านมันดูจะไม่เป็นการสมควรเท่าไรจึงรีบวางถาดขนมในมือลงบนพื้นข้างตัวก่อนจะเอื้อมมือออกไปหวังจะปลุกลูกสาวของตนให้ตื่นขึ้นมาก่อน แต่ทว่า. . .
มือนั้นพลันต้องลอยเคว้งหยุดอยู่กลางคัน เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มของเธอเข้า รอยยิ้มเล็กๆ ที่ต่อให้เขาไม่ตั้งใจมองยังไงต้องสังเกตเข้าอยู่ดี ซากิเป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยจะยิ้มได้บ่อยนัก และโดยมากรอยยิ้มของเธอมักจะเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกำลังแบกรับความโศกเศร้าและน้ำตาของใครบางคนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ดูสนุกสนานของเธอตลอดเวลา มันจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกหรือเขาควรจะดีใจกันแน่ที่ได้เห็นว่าใบหน้านั้นกำลังมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าในหลายวันที่ผ่านมายังไม่เคยดูดีได้ถึงเพียงนี้ หรือว่านี่จะเป็นเพราะเจ้าหนุ่มคนนี้อย่างงั้นหรือ?
คุณพ่อเซนตีสีหน้าครุ่นคิดขณะที่กำลังพินิจมองดูทั้งสองคนที่ต่างกำลังนอนกอดกันประหนึ่งว่าต่างเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อยากให้ห่างตัวไป มือแกร่งที่โอบประคองร่างบางไว้เสมือนเป็นกรงเหล็กที่แข็งขันพร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่ง ด้วยมือทั้งสองที่กอดรัดไว้แนบกายลมหายใจที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับจังหวะการเต้นของเสียงหัวใจที่กระเพื่อมไหวอยู่กลางอก หากไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย หากไม่ได้เป็นคนที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ดี พวกเขาเห็นทีคงจะไม่ยอมนอนใกล้ชิดกันมากถึงเพียงนี้เป็นแน่
แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ลูกสาวคนนี้จะโตพอที่จะออกห่างจากอ้อมอกของคนเป็นพ่อไปได้แล้วก็ตามแต่ ความรู้สึกที่อ้างว้างและเหงาหงอยดูจะเข้ามาทดแทนในส่วนที่ลูกสาวของเขาจะต้องออกห่างไป ความรู้สึกที่เรียกว่าความเหงามันคงจะมีรูปร่างแบบนี้กระมั้ง? เป็นความรู้สึกที่เจ็บแปล๊บอยู่กลางอกคล้ายกับว่ามีใครสักคนมาหยิบฉวยเอาของสำคัญไป แต่หากของสำคัญที่ว่านั้นได้ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า และหากว่านั่นจะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดแต่หากเป็นการตัดสินใจของลูกสาวเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำใจเพื่อยอมรับมัน
คุณพ่อเซน ถอนหายใจออกมาก่อนหันไปหยิบเอาถาดขนมแล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ปล่อยให้สายลมนั้นยังคงพัดผ่านช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้เพื่อให้ได้มีอากาศระบายเอาความร้อนจากอุณหภูมิที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของธรรมชาติ แม้บางครั้งมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อบางสิ่งที่ดีกว่า แต่บางคนยังคงหวังว่าอากาศที่ดีแบบนี้จะยังคงอยู่กับพวกเขาไปอีกนานต่ออีกสักหน่อยแม้จะรู้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันเป็นได้เพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เพียงแค่นั้น
เวลาที่ล่วงเลยผ่านไปจากตะวันยามบ่ายคล้อยอ่อนๆ แสงอาทิตย์อัสดงเริ่มส่องกระทบผิวก้อนเมฆเป็นสีของยามเย็น สายลมอุ่นๆ เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นลมเย็นพัดผ่านราวกับสัญญาณเตือนถึงพายุที่กำลังจะก้าวเข้ามาในค่ำคืนนี้ เสียงก้อนเมฆเสียดสีกันจนเกิดประกายแสงวูบวาบบนท้องฟ้าแม้จะไม่มีเมฆตั้งเค้าของสายฝนว่าจะเริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อใด แต่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าอีกไม่นานคงได้ยินเสียงฝนตกพรำเป็นแน่
เสียงประตูบ้านที่ถูกเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่หอบแฟ้มพะรุงพะรังวิ่งเข้าบ้านก่อนที่สายฝนจะเริ่มเทลงมาจนเปียกปอนไปหมด นานาเสะ ใช้แผ่นหลังของเขาดันประตูให้ปิดลงร่องก่อนจะจัดการวางเอกสารในมือทิ้งลงพื้นด้านหน้าประตูเพื่อหยิบเอากุญแจไปไขปิดให้เรียบร้อย สายตาที่หันมาตอนก้มลงเก็บกวาดแฟ้มมาถือไว้เหมือนเดิมนั้นอดที่จะมองดูรองเท้าไม่คุ้นตาอย่างสงสัยว่ามันเป็นของใคร? เพราะนานแล้วที่บ้านของเขาไม่ค่อยจะมีแขกมาเยือนสักเท่าไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักของคุณพ่อ ก่อนที่ความสงสัยของเขาจะมีมากไปกว่านั้นคุณพ่อที่เขากำลังพูดถึงก็เดินเข้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าบ้านที่เขากำลังยืนเก็บเอกสารอยู่พอดี
"อ้าว!? นานะจังหรอกเหรอ ป๊านึกว่าเป็นชูร่าเขาซะอีก"
"ชูร่า!? ทำไมรึครับ? " นานาเสะ ทวนถามอย่างนึกสงสัยว่าทำไมคุณพ่อของเขาถึงคิดว่าคนที่มาถึงก่อนจะเป็นชูร่าไปได้ เพราะกว่าที่งานในโรงพยาบาลสัตว์ที่หมอนั่นทำอยู่จะเลิกคงกินเวลาไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้
"ก็วันนี้ชูร่าจังเขาไม่ได้เอาร่มไปด้วยนี่นา ป๊าเลยนึกว่าเขาจะรีบวิ่งหน้าตื่นกลับมาบ้านแล้วหอบเอาหมาแมวหลงทางมาอีกน่ะสิ หะๆ "
"ถ้าแค่หมาแมวหลงทางมาก็ดีสิครับ จำได้ไหมว่าคราวก่อนหมอนั่นเล่นแบกเอาเต่ายักษ์ที่ถูกทิ้งไว้ที่แม่น้ำมาเลยนะครับ แถมก่อนหน้านู้นซ้ำร้ายเข้าไปใหญ่เลย พาอะไรเข้าบ้านไม่พาดันเล่นพาเสือเข้ามารักษาถึงในบ้าน ผมนี่ล่ะหนายใจจริงๆ เลย โชคดีที่วันนั้นพี่โคล์วเขาอยู่ด้วยเลยช่วยพาไปหาที่ปล่อยเสือตัวนั้นเข้าป่าไปได้ไม่งั้นมีหวังชาวบ้านแถวนี้เขาจะได้โทรแจ้งตำรวจมาจับพวกเราหาว่าลักลอบพาสัตว์ป่าเข้ามาในบ้านได้นี่สิ"
นานาเสะ ที่ดูภายนอกไม่ใช่คนที่จะบ่นเรื่องของตัวเองให้ใครต่อใครรับฟังได้ แต่น่าแปลกที่พออีกฝ่ายเป็นคุณพ่อแล้วเขากลับสามารถเปิดใจคุยทุกเรื่องที่อยากระบายออกมาได้อย่างไม่อายใคร คุณพ่อที่ได้รับฟังปัญหาของลูกชายได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะว่าลำพังเขาเองไม่สามารถจะทำให้ลูกๆ ทุกคนรู้สึกพึงพอใจได้ทั้งหมด หรือจะว่าไปแล้วหากจะบอกว่าทางเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายได้รับความช่วยเหลือจากลูกๆ คงจะไม่ผิดอะไรเพราะอย่างน้อยการที่มีเด็กๆ มาอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้แล้วมันเหมือนว่าทำให้เขาที่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเริ่มรู้สึกชอบตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อน
"เรื่องเก่าๆ ช่างมันเถอะนะ มาๆ เดี๋ยวป๊าจะช่วยยกแฟ้มไปไว้ที่ห้องให้นะ" คุณพ่อออกปากเสนอตัวช่วยยกของไปให้ แม้ว่าฝ่ายลูกชายคนรองของเขาจะไม่อยากรบกวนใครมากเท่าไร แต่เพราะของที่มีมากจนแทบจะล้นมือแบบนี้การได้รับความช่วยเหลือจากคุณพ่อแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตามแต่ มันก็เป็นอะไรที่ช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองคนต่างกำลังเก็บแยกแฟ้มเอกสารเพื่อจะยกมันไปไว้ในห้อง ประตูบ้านที่พึ่งจะปิดไปได้ไม่นานพลันถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ชูร่าที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกมะร่อกมะแร่กด้วยสายฝนที่ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดลงง่ายๆ เป็นแน่
ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาสีทองเดินกลับเข้าบ้านตัวเปียกสมดั่งคำพูดของคุณพ่อไม่มีผิดจะต่างกันเพียงแต่หนนี้เขาไม่ยักกะหอบหมาแมวข้างทางติดไม้ติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง
"ชูร่า!! นี่นายไม่ได้เอาร่มไปจริงๆ เหรอ!?" นานาเสะที่เห็นน้องชายของเขาตัวเปียกฝนกลับมาอย่างนี้จึงอดถามไม่ได้ว่าคนที่ปกติแล้วจะระวังตัวอยู่เสมออย่างชูร่าจะลืมพกร่มติดตัวไปด้วยแบบนี้
"หุบปากไปเลยน่า!! ดีแต่ว่าคนอื่นเขานายเองก็ดูท่าจะเปียกกลับมาเหมือนกันไม่ใช่รึไงล่ะ" เพราะไม่อยากจะโดนว่าเหมือนเป็นเด็กๆ อยู่ฝ่ายเดียวเขาจึงเถียงกลับไปบ้างเช่นกัน แต่สำหรับนานาเสะแล้วนั้นเขามีเหตุผลที่จะทำให้ถือร่มกันฝนขึ้นมาใช้ไม่ได้ต่อให้จะพกมันไปด้วยก็ตาม
"หุบปากงั้นเหรอ!? เดี๋ยวนี้นายกล้าพูดกับฉันแบบนี้แล้วงั้นสินะ หา! ห๊า!!" พอถูกน้องชายขึ้นเสียงใส่นานาเสะอดที่จะตรงเข้าไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของชูร่าเพื่อเตือนความจำเป็นไม่ได้ว่าเขากำลังแหย่ใครอยู่
"โอ็ย!!! เจ็บนะ ปล่อยได้แล้วเจ้าบ้าโรคจิตนี่!!!" แก้มทั้งสองข้างของชูร่าถูกดึงหยิกจนแดงช้ำไปหมด เสียงร้องโอดครวญของเขาเองดังระงมเพราะความเจ็บที่นานาเสะเองไม่ค่อยจะยั้งมือกับน้องชายเวลาปากเสียใส่เขาอย่างนี้
การทะเลาะกันระหว่างพี่น้องสำหรับคนบ้านอื่นอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะสานความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่สำหรับคนในบ้านนี้แล้วนั้นมันเป็นเรื่องที่ดูจะหนักอกหนักใจคุณพ่อเป็นที่สุด เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่ลูกๆ ของเขาจะเผลอลงไม้ลงมือแบบลืมออมแรงให้กันจนถึงขั้นเลือดตกยางออกได้ เมื่อลูกๆ แต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์ที่ดูแล้วแปลกกว่าชาวบ้านทั่วไปกันทั้งนั้น
"พอเถอะนะทั้งคู่น่ะ นานะ ชูร่า ไปเตรียมอาหารเย็นกันดีกว่า" เซน เข้ามาห้ามทัพของทั้งสองคนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องของกินแทน ถึงมันจะไม่ได้ทำให้ทั้งคู่อารมณ์เย็นขึ้นในทันทีแต่อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาเลิกกัดกันตอนนี้ได้
นานาเสะยอมปล่อยมือจากน้องชายจอมกวนของเขาก่อนจะหันไปเก็บรวบรวมแฟ้มทั้งหมดมาถือไว้ในมือของตัวเองด้วยสีหน้าดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีพอๆ กับอีกฝ่าย
"ชิ! ไปเปลี่ยนเสื้อซะสิ เดี๋ยวฉันจะสอนนายทำกับข้าวให้" ถึงปากจะบ่นว่าน้องชายยังไงแต่ในฐานะของคนเป็นพี่แล้วยังอดที่จะเป็นห่วงอนาคตข้างหน้าของน้องชายคนเล็กที่ต่อไปจะต้องรู้จักการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวให้ได้
ชูร่า มองพี่ชายของเขาด้วยสายตาที่งุนงงกับท่าทีในคำพูดที่บอกว่าจะสอนเรื่องการทำกับข้าวให้ เพราะลำพังตัวเขานั้นพอจะมีฝีมือทำอาหารกินได้อยู่แล้วถึงจะเป็นแค่ข้าวแกงกะหรี่อย่างเดียวก็ตาม
"บ้าน่ะ มาสอนฉันทำไมกัน!? ทำไมนายไม่ไปสอนยัยแม่มดนั่นให้ทำอาหารหรือว่าเลิกใส่ยาแปลกๆ ลงในกับข้าวยังจะดีซะกว่า"
"อย่างน้อยซัตจังถ้าเขาได้อ่านตำราอาหารแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำได้ทันที ถึงจะติดใจพวกของสำเร็จรูปก็เถอะนะ แต่นายน่ะมันต่างกันเพราะนอกจากแกงกะหรี่แล้วอย่างอื่นแทบจะกินไม่ได้เลยไม่ใช่รึไง? "
"อึก!"
"พี่โคล์วน่ะถึงเขาจะออกปากเองว่าจะยอมกลับมาเพื่ออยู่ช่วยงานนาย เรื่องกับข้าวกับปลาคงไม่ต้องห่วงก็จริงแต่ยังไงซะพี่โคล์วเขาแค่จะอยู่ช่วยจนกว่านายจะหาใครสักคนมาช่วยงานที่คลีนิคที่จะเปิดนี้ได้เท่านั้นขอให้เข้าใจไว้ซะด้วย" นานาเสะยืดอกคุยอย่างตรงไปตรงมาเพื่อต้องการให้น้องชายของเขาเลิกการผลักภาระให้คนอื่นแล้วหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องรอบตัวได้ซะที ไม่อย่างงั้นก็คงจะยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักความรับผิดชอบแบบครึ่งๆ กลางๆ อย่างงี้ต่อไปอีกเป็นแน่
"เรื่องอย่างงั้นก็ช่างมันซะสิ ยังไงซะฉันน่ะกินแค่ข้าวแกงกะหรี่อย่างเดียวก็ไม่ตายหรอกน่า" ชูร่า ยังคงไม่ยอมรับเรื่องที่เขาจะถูกต้อนเพียงฝ่ายเดียวได้ ถึงจะบอกว่าฝีมือทำอาหารของเขามีดีแค่นั้นก็ตามแต่เรื่องอะไรที่จะต้องโดนคนอื่นมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้เพียงฝ่ายเดียวด้วย
"อ้อ แน่ล่ะพ่อยอดชายลิ้นตะเข้! อย่างนายน่ะต่อให้กินข้าวแกงกะหรี่ติดต่อกันสักร้อยปีคงบอกว่าอร่อยอยู่ดี แต่ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ!! นายน่ะคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบนี้ไปชั่วชีวิตรึไงกัน!? วันหนึ่งนายก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัวไม่ใช่รึไงเจ้าน้องบ้า!! "
นานๆ ครั้งที่นานาเสะจะเหลืออดจนถึงกับระเบิดโทสะออกมาแบบนี้แม้แต่ปะป๊าเซนเองยังไม่สามารถจะเถียงแทนชูร่าไปได้เพราะรู้ดีว่าทั้งหมดนั้นเพื่อตัวของชูร่าเองอย่างที่นานาเสะว่าไว้ไม่มีผิด
ถึงจะรู้สึกกล้ำกลืนกับความเป็นจริงจนแทบสะอึก แต่ตอนนี้เขาเองไม่ใช่ตัวคนเดียวอยากที่นานาเสะว่านั่นแหละ ถ้าหากเป็นตัวเขาเมื่อก่อนมันคงเป็นอะไรที่ไม่ผิดหากว่าเขาจะทนกินข้าวแกงกะหรี่ที่แสนจะภูมิใจนั้นต่อไปแล้วล่ะก็ แต่ว่าตอนนี้เขาเองก็มีคนที่เขารักแล้ว ขืนให้เธอมาทนกินสิ่งที่เขาเพียงฝ่ายเดียวแบบนี้มันคงเหมือนกับยัดเหยียดให้กินอะไรสักอย่างจริงๆ นั่นแหละ
"เชอะ! เข้าใจแล้วล่ะน่า จะสอนอะไรรีบๆ สอนละกันเพราะฉันเองไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกนะ . . . โอ้ย!! ทำอะไรของนายน่ะเจ้าบ้าโรคจิตนี่!! " แม้ว่าชูร่าจะเป็นผู้ชายตัวโตสูงใหญ่แค่ไหน แต่พอถูกนานาเสะเอาแฟ้มเอกสารตีกะบาลเรียกสติซะเต็มเหนี่ยวถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
"ชิ! ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าลูกหมา!! นั่นมันคำพูดฉันต่างหาก! ถ้าว่างมากพอจะเถียงแล้วล่ะก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อแล้วไปรอฉันที่ห้องครัวซะ แล้วก็นะ . . . ตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะสอนนายทำอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ส่วนที่เหลือนายก็ไปเรียนรู้เอาจากพี่โคล์วเขาละกัน" นานาเสะบ่นเปรยๆ ไปพลางเดินหันหลังกลับขึ้นห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง แต่ก่อนที่เขาจะไปยังไม่วายหันมาทำตาดุใส่พลางย้ำถามให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง
"เข้าสินะที่ฉันพูดน่ะ!!" นัยน์ตาที่เคร่งเครียดจ้องเขม็งไปยังฝ่ายที่เขาต้องการจะถามย้ำมากที่สุด รังสีที่แผ่ออกมาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบจนชูร่ายังนึกขยาดไม่อยากสบตาด้วยตรงๆ สักเท่าไร แต่กระนั้นเขายังตอบกลับไปอย่างอ่อมแอ่ม
"เอ่อน่า! ฉันเข้าใจแล้ว" ฝ่ายน้องชายคนเล็ก ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างรู้สึกเหนื่อยหนายกับการที่ต้องถูกมองว่าเป็นเด็กตลอดเวลาทั้งที่เขาเองไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ แท้ๆ เลยเชียว
ดวงตาสีทองคอยจ้องมองดูจนเห็นว่าอีกฝ่ายเดินขึ้นไปบนห้องของตัวเองแล้วเขาจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะกลับห้องของเขาบ้าง แต่สายตานั้นยังคงสะดุดลงที่คุณพ่อที่ยังคงยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้จึงพูดเปรยๆ พอให้ได้ยินว่า "ผมน่ะไม่ได้เป็นเด็กอยู่ตลอดไปหรอกคอยดูเถอะ ฮึ่ม! "
จะเป็นเพราะชูร่าคือน้องชายคนเล็กของครอบครัวเลยมักจะเป็นที่เอ็นดูของบรรดาพี่ๆ ทุกคน หรือว่าจะเพราะทิฐิที่ไม่อยากให้ใครต่อใครว่าพูดเหน็บแนมว่าตัวเขาเป็นเด็กไม่ยอมโตอยู่แบบนี้กันแน่ จนถึงเดี๋ยวนี้เขาเลยกลายเป็นคนที่ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ ไปซะแล้ว
เซน มองตามแผ่นหลังของลูกชายที่เดินออกห่างไปอยากรู้สึกเหงาๆ ถึงจะรู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึงเข้าสักวันแต่ตัวเขาไม่คิดเลยว่าพอเอาเข้าจริงแล้ววันแบบนี้มันมาถึงเร็วไป หรือช้าไปกันแน่ วันที่ลูกทุกคนต่างจะค้นพบเส้นทางที่พวกเขาจะเริ่มก้าวเดินต่อไปด้วยตัวของพวกเขาเองอย่างแท้จริง เส้นทางที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแต่ละคน แม้ว่าที่สุดปลายทางนั้นอาจจะบรรจบกันหรืออาจจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีกก็ตามที สำหรับคนเป็นพ่อแล้วการได้เห็นการเติบโตของลูกควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีสินะ
รอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของเขาบอกได้ถึงความยินดีที่อย่างน้อยถึงลูกแต่ละคนจะมีนิสัยที่ต่างกันแต่เวลาที่ใครคนหนึ่งพบกับความลำบาก คนอื่นๆ ที่เหลือจะทำทุกอย่างเพื่ออีกคนเสมอมา แม้ว่าบางครั้งมันจะเหมือนวิธีที่ตรงกันข้ามก็เถอะแต่ถ้าผลลัพธ์มันออกมาดีที่เหลือคงต้องให้พวกเด็กๆ เขาจัดการกันเอาเอง ถึงแม้คนเป็นพ่ออย่างเขาจะนึกห่วงลูกๆ ของตนมากเพียงไหนแต่สิ่งที่ดีที่สุดคงมีแต่ตัวของพวกเขาที่จะเป็นฝ่ายเลือกทางเดินที่พวกเขาต้องการด้วยตัวเองเท่านั้น
คราแรกเขาเองนึกครึ้มอยากช่วยลูกๆ ทำกับข้าวบ้างแต่วันนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนานาเสะกับชูร่ากันสองคนจะดีกว่า เซนจึงตัดสินใจที่จะเดินไปในห้องครัวเพื่อไปเตรียมอาหารมื้อเย็นทั้งในส่วนของ มีมี่ กับ จิบิ รวมไปถึงบรรดาพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ยังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องว่างด้านหลังไม่ต่ำกว่า 4-5 ตัว ที่ลูกชายของเขาหอบหิ้วติดมือกลับมาบ้านเมื่อหลายวันก่อน
ขณะที่คุณพ่อกำลังหยิบเอาถุงอาหารหมาและอาหารแมวมาวางไว้บนโต๊ะในห้องครัวเพื่อเตรียมจะเทใส่ชามที่เตรียมเอาไว้ ดูเหมือนจะมีเพียง มีมี่ แมวน้อยตัวเล็กขนปุยเท่านั้นที่เดินออกมาร้อง มี้! มี้! ตรงแถวปลายเท้าราวกับรู้เวลาให้อาหารเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่อดคิดไม่ได้จนถึงกลับทำให้มือที่กำลังเทซีเรียลเม็ดอาหารกรุบของเจ้าตัวเล็กลงชามถึงกับหยุดชะงักลงกลางคันเมื่อคิดถึงอาหารของเจ้ากระต่ายในห้องนอนลูกสาวของเขาเข้า เมื่อในห้องนั้นตอนนี้ไม่ได้มีแค่ซากิที่นอนอยู่คนเดียวอีกแล้วแต่จะให้เขาเอาอาหารไปให้เจ้าตัวเล็กนั่นตอนนี้เห็นทีจะรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว สุดท้ายเลยคิดว่าปล่อยให้เจ้าตัวมาเอาอาหารไปให้จิบิเองคงจะดีกว่า
เมื่อคิดแบบนั้นแล้วคุณพ่อจึงวางชามอาหารของมีมี่ไว้ในห้องครัว ก่อนจะยกถุงอาหารหมาพร้อมชามข้าวติดมือไปหาบรรดาพวกที่เหลือทางด้านหลังบ้าน
ละอองสายฝนที่ซัดสาดกระเซ็นใส่บานประตูกระดาษที่ถูกเปิดอ้าทิ้งเอาไว้ แม้จะมีชานไม้คั่นกลางระหว่างความห่างจากขื่นด้านนอกอยู่บ้างแต่ในเวลาที่ฝนตกแรงแบบนี้แล้วหยาดน้ำที่กระเซ็นเข้ามาหย่อมจะมีมากขึ้นเป็นธรรมดา ไอเย็นที่กระทบเข้ามาทางด้านหลังยิ่งทำให้ชายหนุ่มขยับตัวเบียดกอดร่างเล็กในอ้อมแขนมากขึ้นกว่าเดิม เปลือกตาทั้งสองที่ปิดแนบสนิทบอกถึงการเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างแน่แท้แม้ทีแรกตัวเขาตั้งใจเพียงจะเอนหลังนอนเล่นเป็นเพื่อนเธอเฉยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเผลอตัวนอนกอดเธอแล้วพล่อยหลับไปไม่รู้ตัวแบบนี้ไปซะได้
ยิ่งอ้อมแขนของเขากอดรัดเธอไว้แน่นมากขึ้นเท่าไร ความรู้สึกอึดอัดจนหายใจลำบากยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกตัวทีละน้อยถึงความผิดปกติวิสัยของที่นอนที่ดูเหมือนจะคับแคบจนน่าแปลกใจ แต่กระนั้นหนังตาที่หนักอึ้งกับอากาศที่พัดเย็นของลมฝนยิ่งทำให้เธอนั้นไม่อยากลุกตัวถอยห่างจากความอบอุ่นในตอนนี้ จนเมื่อมือหนักๆ เข้ามาเขย่าร่างของเธอให้ลืมตาตื่นพร้อมกับเสียงเรียกที่ฟังคุ้นหูเหมือนทุกวันที่เธอเผลอนอนกลางวันจนเลยเวลาอาหารเย็นเช่นวันนี้
"ซัตจัง! ซัตจัง!! ตื่นได้แล้ว ซัตจังอาหารเย็นเสร็จแล้วนะ" เป็นนานาเสะที่จัดการเรื่องอาหารเย็นเสร็จแล้วเป็นคนมาเขย่าไหล่บางของน้องสาวเขาให้ลุกขึ้นไปทานข้าวด้วยกัน หลังจากที่เขาสั่งให้น้องชายเป็นคนจัดเตรียมเรื่องนำอาหารขึ้นโต๊ะแทน
ความรู้สึกที่งัวเงียยกเปลือกตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือคล้ายกำลังฝืนตัวเองไปพลาง ชั่งใจให้อยากก้มลงซบใบหน้ากับไออุ่นที่อยู่ต่อหน้าในต่อเวลานานออกไปมากกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี หากแต่คนที่มาปลุกมีหรือจะยอมให้เธอทำเช่นนั้นได้โดยง่ายเพราะยิ่งซัตจังพยายามจะบ่ายเบี่ยงตัวหนีเขายิ่งตามมาหยิกแก้มใสของเธอจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปล๊บๆ จนไม่อยากจะนอนต่อไปอีกสักพัก
"จะตื่นดีๆ ไหม? นี่แน่ะ!! ลุกได้แล้วซัตจัง! เลิกไปนอนซบรูบี้เขาแบบนั้นได้แล้ว"
"รูบี้!? รูบี้ไหนอ่ะ? " ซากิที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่เต็มตาดีนักขยี้ดวงตาทั้งสองข้างอย่างมึนๆ งงๆ กับคำพูดของนานะจังที่กำลังพูดถึงชื่อของใครบางคนที่เธอเองไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่อะไรที่นี่ตรงนี้กัน แต่นานะกลับชี้มือไปทางที่นอนที่อยู่ข้างๆ เธอจนต้องเหลียวไปดูอย่างไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกเป็นนัย
"ก็ที่นอนข้างๆ เธอนั่นไง คุณพ่อบอกว่าเขามาหาเธอตั้งแต่บ่ายแล้วเห็นนอนอยู่ด้วยกันเลยเอาผ้าห่มมาห่มให้ด้วยน่ะ ยังไงถ้าตื่นแล้วฝากปลุกเขาให้มาทานข้าวด้วยเลยนะ ส่วนอาหารเย็นของจิบิฉันให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมตามมาด้วยล่ะไม่งั้นกับข้าวจะเย็นเอาซะก่อน" คำพูดที่รัวออกมาติดๆ กันเหมือนเป็นประโยคที่ลอยผ่านเธอไปไม่ปาน เพราะทันทีที่สายตาของเธอไปหยุดลงยังบุคคลที่ไม่คาดคิดมาก่อน หากว่าสิ่งที่นานะพูดกับเธอก่อนที่เขาจะเดินออกไปนั้นเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ หมายความว่าตั้งแต่ตอนบ่ายหมอนี่ก็มานอนอยู่ข้างๆ เธอโดยที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นสิ
เสียงในใจอยากตะโกนกรีดร้องให้ลั่นบ้านแต่อีกหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อไปซะทุกอย่างที่มองเห็น ไม่สิตอนนี้เธอเองอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ หมอนั่นไม่เคยเข้าบ้านเธอเลยสักครั้งนี่แล้วจู่ๆ จะเข้ามาแบบนี้ทำไมกันน่ะ นี่ต้องเป็นความฝัน!? ใช่!! มันต้องเป็นฝันอยู่แน่ๆ !!
ดวงตาเรียวเล็กสีม่วงครามเบิกกว้างอย่างตกตะลึงถึงบุคคลที่มานอนซบอยู่ข้างๆ เธอเกือบตลอดบ่ายของวันนี้ ทั้งที่พยายามจะหลบเลี่ยงเขามาตลอดแท้ๆ ทั้งที่เธอคิดว่าถ้าไม่ต้องเจอกันในตอนนี้ได้คงจะดีไม่น้อย ทั้งที่คิดอย่างงั้นถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปพบ ไม่อยากได้เสียงของเขาแต่ทำไม ทำไมถึงต้องมาในวันนี้ด้วย!
มือเล็กๆ ยกขึ้นปาดดวงตาที่ชื้นเหมือนว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้อีกสักพักเธอคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเป็นแน่
'บ้าน่า!! ฉันน่ะ. . ฉันน่ะ . . . ไม่ได้ดีใจสักหน่อยที่นายมา คนบ้า'
ความรู้สึกที่ท่วมท้นออกมาจนไม่อาจบรรยายได้ถูก เพราะนั่นอาจเป็นเพราะตัวเธอเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา นี่ตัวฉันดีใจอย่างงั้นเหรอ? ทำไมกัน . . ทำไมกันถึงได้รู้สึกอึดอัดมากขนาดนี้กัน ฉันน่ะไม่ได้ดีใจที่หมอนี่มาแลยนะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ
แม้จะคิดเช่นนั้น แม้จะพูดในใจออกมาแบบนั้นแต่เธอก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่น้อย สายตาที่มักจะหยุดมองที่เขาตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อไรที่ตัวเธอคิดถึงแต่เรื่องของเขาเสมอมาทั้งที่ระหว่างพวกเราแล้วมันก็แค่ . . . หึ น่าขำละเกินแม้แต่ชื่อที่จะใช้เรียกสิ่งที่พวกเราเป็นกันอยู่ในตอนนี้ฉันยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำไป ระหว่างพวกเราแล้วมันคืออะไรกันแน่นะ ตอบฉันหน่อยสิรูบี้
ซากิ วางมือของเธอลูบไปบนข้างใบหน้าของรูบี้ที่กำลังนอนหลับอย่างไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนั้น เธอไม่ได้อยากปลุกเขาให้ตื่น ไม่ได้อยากจะทำให้เขารู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ข้างกายเขาอีกต่อไปแล้ว และจากนี้นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนอนอย่างนี้อีกก็ได้
รอยยิ้มละมุนขยับบนริมฝีปากบางให้ขยับออกอย่างช้าๆ ปลายนิ้วที่เกลี่ยไล้กับดวงแก้มที่นุ่มละมุนของอีกฝ่าย ก่อนที่ร่างบางจะก้มตัวลงจุมพิตที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงยกมือขึ้นแตะบนริมฝีปากของเธอเอาไว้ เวลากับความคิดเสมือนหยุดนิ่งลงชั่วขณะแม้แต่เสียงของสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อนยังไม่อาจสอดแทรกห้วงความคิดที่หยุดนิ่งของเธอได้
นัยน์ตาสีม่วงอ่อนกระพริบขึ้น-ลง ช้าๆ ก่อนขยับตัวให้ลุกขึ้นยืนเพื่อหวังจะออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะตื่น แต่ไม่ทันที่ร่างบางจะได้ถอยหนีไปได้ไกลนักข้อมือเล็กของเธอพลันถูกเขาฉุดรั้งและดึงเข้าไปหาซะก่อน
ร่างเล็กที่ถูกดึงเข้าหาตัวของเขาที่ยังนอนอยู่ก่อนจะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ซากิไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาแบบนี้จึงไม่ทันได้ระวังตัวดีพอ เมื่อถูกจู่โจมเข้าใส่ใบหน้าขาวนวลพลันแดงระเรื่อจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามจะผลักไสให้เธอหลุดออกจากกรงขังที่อบอุ่นนี้ไปให้ได้ก่อน
"ป. . ปล่อยฉันนะ เดี๋ยวปะป๊าก็มาเห็นเข้าหรอก" เสียงประท้วงทัดทานของหญิงสาวเหมือนคำยั่วยุที่มีแต่จะทำให้เขาไม่เพียงจะไม่ยอมปล่อยเธอไปเท่านั้นแต่เขายังหอมแก้มเธอคืนอีก
"เรื่องอะไรผมต้องปล่อยคุณด้วยล่ะ ทีเมื่อกี้ผมยังไม่ว่าคุณเลยสักคำ" คำพูดที่ชวนให้ใจนั้นสั่นไหวกระซิบข้างใบหูที่แดงระเรื่อจนอาบไปทั่วทั้งใบหน้า เพราะหากเขาพูดแบบนี้กับเธอแล้วนั่นย่อมหมายความว่าตัวเขานั้นตื่นมาตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเผลอจูบแก้มเขาแล้วอย่างงั้นสิ?
เมื่อรู้ว่าถูกเขาแกล้งตบตาทำเป็นเหมือนคนนอนหลับแล้วมาฉวยโอกาสตอนเธอไม่ทันระวังตัวแบบนี้แล้วมันน่าแค้นใจนัก ริมฝีปากบางกัดเม้มลงอย่างนึกเจ็บใจที่ถูกเขาหลอกแต่อีกใจกลับรู้สึกกระดากอายที่ดันเผลอตัวทำเรื่องแบบนั้นลงไป
"ถ้าตื่นแล้วก็ลุกซะทีสิ ไม่ได้ยินรึไงที่นานะจังเขาบอกว่าปะป๊าชวนนายไปกินข้าวด้วยน่ะ"
"ได้ยินแต่ยังไม่อยากลุกนี่ครับ จนกว่าคุณจะยอมบอกผมก่อน" รูบี้ต่อรองกับซากิว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะยอมตอบคำถามของเขาก่อน แม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขามากแค่ไหนแต่จะถ่วงเวลาให้คุณพ่อมาตามเองตอนนี้คงจะไม่ดีแน่ เพราะเธอเองไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
"ไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ไงล่ะว่านายจะถามเรื่องไหนน่ะ"
"เรื่องที่คุณเก็บข้าวของจะหนีผมไปทั้งแบบนี้น่ะสิ คนขี้โกง" ดวงตาสีแดงสดเฉกเช่นเดียวกับชื่อตัวของเขาที่เป็นอัญมณีที่เปล่งประกายกำลังทอแสงจ้องมองเธอไม่ห่าง ยิ่งตอกย้ำการไล่ต้อนไม่ยอมให้อีกฝ่ายวิ่งหนีหายไปต่อหน้าเฉยๆ เป็นแน่
ซากิ ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าควรจะบอกเขาไปดีหรือจะเก็บเรื่องนี้ไว้ต่อไปกันแน่ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่เธอกลัวเพราะไม่อาจจะมองเห็นหรือรับรู้เรื่องใดได้ทั้งนั้น ถ้าหากยังอยู่กับเขาแบบนี้นานต่อไปอีกแล้วล่ะก็เธอคงจะถอยห่างจากเขาไม่ได้อีกแน่
"ฉันน่ะไม่ได้หนีนายซะหน่อย . . . " เสียงที่ตอบกลับมาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไม่อาจทำให้เขาเชื่อได้สนิทใจ การทำให้เขารู้จักเธอมากเกินไปอาจเป็นข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียวที่เธอทำลงไปก็เป็นได้
"โกหก ถ้าคุณไม่หนีแล้วทำไมต้องไปแบบนี้โดยไม่ยอมบอกผมเลยสักคำล่ะ ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลยสักนิด"
"ก็ฉัน . . นั่นน่ะ . . . เพราะว่าฉัน" ใบหน้าเล็กก้มต่ำลงขยับตัวลุกนั่งเพราะตัวเขายอมที่จะคลายอ้อมแขนออกจากเธอ เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเห็นที่สุดคือใบหน้าของเธอที่มองได้ใกล้ยิ่งกว่านี้ ปลายคางมนถูกเชยขึ้นเพื่อตอบคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ
"เพราะฉัน ทำไมล่ะ?. . . " รูบี้ทวนคำพูดนั้นซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะหวังเพียงว่าครั้งนี้ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงหรือใครอื่นจะมองเขาแบบไหนเขาเองไม่สนใจทั้งนั้นเพราะสิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้คือ เขาอยากจะรู้ว่าเหตุผลอะไรที่สำคัญมากจนถึงกับทำให้เธอต้องวิ่งหนีเขาไปแบบนี้
ริมฝีปากบางระเรื่อที่เปิดออกไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปมากกว่านั้น ใบหน้าของเขาพลันเลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะกดเม้มริมฝีปากนุ่มลงทาบทับอย่างดูดดื่ม ปิดกั้นทุกคำพูดและลมหายใจที่โอบอุ้ม มือใหญ่กอบกุมเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ขณะที่มืออีกข้างของเขารัดตรึงเอวบางของเธอไม่ยอมห่าง
จูบที่หนักหน่วงแต่อ่อนโยนและอบอุ่น ความแข็งแกร่งของอ้อมแขนที่คุ้นเคย กลิ่นกายของเขาที่ยังคงจดจำในสัมผัสทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันได้ไม่เคยลืม และเสียงที่รู้จักยามที่เขาพร่ำเรียกชื่อของฉันมันทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ชื่อนั่นไม่ได้แตกต่างอะไรจากชื่อที่คนอื่นเรียกตัวตนของฉันเลยแท้ๆ แต่มันเพราะอะไรกันนะเวลาที่ถูกเขาเรียกด้วยชื่อนี้แล้วฉันยิ่งรู้สึกชอบชื่อนี้และตัวตนที่ฉันเป็นอยู่มากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของเขา
"ซากิ . . . อย่าไปเลยนะอยู่กับผมเถอะ ช่วยอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ต่อไปเถอะนะ"
นี่เป็นคำขอร้องของเขาหรือเปล่านะ? หรือว่ามันจะเป็นเพียงแค่คำพูดที่อยากเหนี่ยวรั้งฉันเอาไว้แค่นั้นกันแน่ . . .
ซากิ รู้สึกดีใจเช่นกันที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้มันเหมือนกับคำพูดที่อยากให้เธออยู่ข้างๆ เขาต่อไปเพราะว่าเขาต้องการเธออย่างงั้นสินะ หรือมันจะเป็นเพียงความคิดเข้าข้างตัวเองของเธอฝ่ายเดียว? แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตามผลลัพธ์ที่เธอได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วไม่ว่าใครไม่สามารถจะมาเปลี่ยนความตั้งใจของเธอได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครแม้แต่เขาก็ตาม
รอยยิ้มละมุนขยับยิ้มเล็กๆ ให้เปิดออกบนใบหน้าเล็กที่ซบพิงในอ้อมแขนของเขา เธอยกท่อนแขนที่เรียวเล็กขึ้นกอดตอบเขาเสมือนเป็นการบอกถึงความยินดีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากของเขา มันเหมือนเป็นคำพูดที่เธอไม่เคยได้ยินมาแสนนานจากใครสักคนที่ต้องการเธอและทำให้เธอยิ้มออกมาได้แบบนี้
"ฉันดีใจนะที่นายพูดแบบนี้ แต่ว่าฉันคงทำอย่างงั้นไม่ได้ เพราะว่าที่นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นสำหรับฉัน!! " มือของเธอเริ่มคลายออกอย่างช้าๆ ก่อนจะดันตัวให้ออกห่างจากเขาเพียงเล็กน้อยเพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรงๆ อีกครั้ง
"เพราะอย่างงั้นฉันถึงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก ไม่งั้นแล้วตัวฉันเองคงจะต้องเป็นเด็กที่ไม่สามารถจะทำอะไรเองได้เลยสักอย่างเดียวแบบนี้ต่อไปแน่ แม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่ตัวฉันต้องการจริงๆ ก็ยังทำไม่ได้ . . . น่าสมเพชสินะ" ซากิเบือนหน้ามองไปทางสายฝนที่โปรยปรายเหมือนเป็นตัวแทนเสียงร่ำร้องในใจเธอตอนนี้
"ปะป๊าเคยพูดไว้ว่าทุกคนไม่ว่าใครต่างมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันขอเพียงแค่หาจุดเริ่มของเราให้เจอ จากนั้นทุกอย่างถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริง"
รอยยิ้มที่ดูเงียบเหงาของเธอกลับมาอีกคราพร้อมกับมือที่ยื่นมาให้กับเขาหลังจากที่หญิงสาวพลันลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับอาหารมื้อเย็นที่รอคอยอยู่ท่ามกลางเสียงของสายฝน
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉันและก็ไม่ใช่ที่ของนายด้วย สักวันหนึ่งนายเองคงต้องแต่งงานกับใครสักคนและทำให้คนคนนั้นมีความสุขกับชีวิตครอบครัวของนาย บางทีพวกเราอาจจะได้เจอกันอีกหรือวันนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะยังได้คุยกันก็ตาม แต่อนาคตที่มองไม่เห็นมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่ใช่รึไง? หรือว่าไม่ใช่กันล่ะพ่อลูกแหง่"
นัยน์ตาสีม่วงครามมองเขาอย่างท้าทายกับคำพูดที่มักจะอ้างเหตุผลให้เขายอมจำนนได้ซะทุกครั้งไป ถึงจะรู้ ถึงจะเข้าใจ ว่าทุกอย่างที่เธอบอกกับเขาเพียงแค่ต้องการให้ตัวเขานั้นตัดใจและเลิกที่จะเฝ้ารอคอยเธอก็ตามเพราะว่ามันเป็นอนาคตที่มองไม่เห็นงั้นสินะ . . .
รูบี้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กๆ ของเธอเอาไว้แล้วจึงพยุงตัวให้ลุกตามเธอขึ้นมา
"คุณนี่ยังชอบพูดเอาแต่ใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ"
"แน่ล่ะ เพราะฉันเป็นซากินี่ แล้วนายเองยังพูดอ้อนฉันเมื่อกี้อยู่เลยนะอย่าลืมสิ" ท่าทางยียวนที่เอานิ้วชี้ขึ้นแตะบนริมฝีปากของเธอมันชวนให้เขานึกอยากจับแม่ตัวยุ่งมากอดซะให้เข็ดแต่ติดที่ว่านี่ไม่ใช่บ้านของเขาและไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะอยู่กันตามลำพัง ตอนนี้จึงจำต้องตัดใจจากเรื่องนั้นไปก่อนไม่งั้นเขาเองคงจะวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเซนซังเป็นแน่ มือที่อยากจะคว้าเธอเอาไว้จำต้องหยุดลงก่อนที่มันจะเผลอทำอะไรตามใจเหมือนอย่างเคย
"ไปกินข้าวกัน! ป่านนี้ชูร่าคงบ่นให้ได้ยินจนหูชาแล้วล่ะ หะๆ " ซากิเดินนำออกจากห้องก่อนพลางนึกถึงสีหน้าแต่ละคนเวลาที่ต้องรอทานข้าวให้พร้อมกัน โดยเฉพาะชูร่าที่มักจะชอบพูดแขวะเธอบ่อยครั้งแต่นั่นเป็นความน่ารักของพ่อน้องชายตัวดีที่เธอชอบใช้เขาเป็นเครื่องแก้เครียดได้เสมอ
แม้ว่ารูบี้จะเดินตามเธอออกมาทีหลังแต่ตัวเขายังอดที่จะเหลียวมองกลับไปยังฟูกนอนที่พึ่งจะลุกกันออกมาด้วยความคิดบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาให้มองหันหลังกลับมา มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม คล้ายกับมีบางอย่างที่มันทำให้เขาเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็น บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้
บรรยากาศภายในห้องกินข้าวที่วันนี้ย้ายจากโต๊ะกินข้าวใหญ่ในห้องครัวมาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นโต๊ะเล็กในห้องญี่ปุ่นแทน ถึงแม้ว่าปกติแล้วจะไม่ค่อยได้มากินกันในห้องนี้มากเท่าไรเพราะโดยมากมันจะถูกใช้เป็นห้องนั่งเล่นกับห้องรับรองแขกภายในบ้านที่นานๆ ครั้งถึงจะมีมาให้พวกเขาได้ใช้งานมันก็ตาม
โต๊ะโคทัตสึถูกนำออกมาวางอย่างง่ายๆ ภายในห้องขนาด 6 เสื่อ ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก ชายหนุ่มทั้งสามต่างนั่งประจำตำแหน่งของตนโดยมีคุณพ่อนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ส่วนชูร่า กับนานาเสะ นั่งด้วยกันทางด้านขวามือเหลือที่ว่างอีกสองที่ไว้รอลูกสาวของเขาพร้อมทั้งแขกของเธอ ช่วงเวลาการรอคอยที่ยาวนานเกือบสิบนาทีดูจะมีแต่เพียงชูร่าที่ออกปากบ่นเหมือนหมีกินผึ้งทุกครั้งที่ต้องเป็นฝ่ายรอใครสักคนเสมอ
"ให้ตายสิ! ยัยนั่นจะปล่อยให้รอไปถึงเมื่อไรกันแน่เนี่ย!? " ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ออกปากบ่นไม่หยุดตั้งแต่ที่เขาเข้ามานั่งเพื่อรอจะทานอาหารฝีมือของตนที่พึ่งจะเคยหัดทำกับพี่ชายของเขาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ทันจะได้เริ่มกินกลับต้องมานั่งรอคนที่มาถึงช้าอยู่แบบนี้แทนความอดทนที่จุดเดือดต่ำของเขาเลยพาลเดือดปุดขึ้นจนแทบจะนั่งไม่ติดราวกับว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อสำคัญอะไรบางอย่างไม่มีผิดทั้งที่จริงมันเป็นเพียงแค่อาหารมื้อหนึ่งเหมือนทุกวันแท้ๆ
"ถ้านายหิวก็กินก่อนซะสิ ปกติใครจะกินก่อนกินหลังปะป๊าเขาไม่เคยห้ามสักคำแล้วนายจะมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งแบบนี้ไปทำไม?" นานาเสะที่เริ่มจะเบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งทนฟังน้องชายเขาพูดคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมายังกับเครื่องกรอเทปอย่างงี้มาไม่ต่ำกว่าสิบรอบจึงออกปากขัดขึ้นมา
"ฉันไม่ได้บ่นซะหน่อย ก็มันเรื่องจริงนี่! "
"เรื่องจริงอะไรไม่ทราบ พูดจาให้มันเข้าหูหน่อยสิ" ซากิเลื่อนประตูกระดาษเข้ามาพร้อมกับคุณชายบ้านซาโต้ที่เดินตามมาข้างๆ ถึงจะได้ยินไม่คบทุกประโยคแต่เธอพอจะจับใจความได้ว่าพ่อน้องชายที่น่ารักคงกำลังบ่นกะปอดปะแปดเรื่องเธอเหมือนเคย
หน้าตาที่ไม่ยี่หระซ้ำยังเหยียดยิ้มให้ขณะที่เดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับชูร่าแล้วเว้นที่ข้างๆ ติดกับปะป๊าไว้ให้คุณชายนั่งอยู่ข้างเธอ หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นเพียงตัวเลือกไม่กี่ตัวเท่านั้นว่าจะให้เขานั่งข้างใครมากกว่ากันระหว่างนั่งแทรกกลางระหว่างปะป๊าของเธอกับตัวเธอเอง หรือจะให้เธอไปนั่งที่ตรงนั้นแทน แต่เพราะเขาขยับตัวช้ากว่าจึงถูกเลือกที่นั่งให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวที่นั่งระหว่างเธอกับปะป๊าของเธอเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่ตัวเขาค่อนข้างจะลำบากใจนิดหน่อยกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและการต้อนรับที่ดูจะให้ความเป็นกันเองและสนิทสนมเหมือนว่าเขาไม่ใช่แขกแต่เป็นคนในครอบครัวมากกว่า จนบางครั้งแม้แต่ตัวของรูบี้เองยังอดนึกในใจไม่ได้ว่าที่บ้านนี้พวกเขาปฎิบัติแบบนี้กับแขกทุกคนเลยอย่างงั้นหรือ?
"นี่นายมานั่งนี่สิ เดี๋ยวกับข้าวก็เย็นหมดหรอก" ครั้นเห็นว่าฝ่ายรูบี้เอาแต่ยืนเก้กังเหมือนลังเลใจไม่ยอมนั่งเสียที ซากิจึงกวักมือเรียกให้เขาเข้ามานั่งใกล้ๆ จึงได้ยอมหย่อนตัวลงนั่งข้างเธอโดยไม่ปริปากบ่นอะไรแต่อย่างใด ซึ่งมันทำให้คนอื่นค่อนข้างจะนึกแปลกใจกับความว่าง่ายอย่างนั้นของรูบี้จนอดนึกไม่ได้ว่านี่เขาไปโดนยาสั่งของเธอเข้าหรือจะเป็นเพราะมารยาทที่อบรมมาให้เป็นคนว่าง่ายอยู่แล้วกันแน่
"มีอะไรรึเปล่าครับ?" รูบี้ที่กำลังนั่งลงบนเบาะนุ่มๆ ที่ถูกวางเตรียมไว้ให้นั้นอดสังเกตมองเห็นสีหน้าท่าทางของแต่ละคนที่กำลังมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวเหมือนว่าอยากจะถามอะไรบางอย่าง
"อ้อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก นั่งสิ เชิญ เชิญ! อาหารอร่อยนะ หะๆ" นานาเสะที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาพยายามอยากจะพูดให้เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าอาหารที่เขาทำไม่เคยมีใครบ่นว่าไม่ถูกปากเลยสักครั้งยกเว้นแต่ครั้งนี้เท่านั้น เพียงครู่เดียวจากสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับหน้าซีดเซียวลงทันตาเห็นก่อนที่จะเบือนหน้าเฉไฉหันไปทิศทางอื่นพลางถอนหายใจเหมือนว่ากับข้าวมื้อนี้เป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจสำหรับเขาไม่ปาน
"ทำหน้ายังกับปลาตายไปได้ กะอิแค่กับข้าวแค่นี้อย่าทำมาเป็นเรื่องมากกับเรื่องรสชาติไปหน่อยเลยน่า" ชูร่ารู้ตัวดีว่าเรื่องรสชาติกับข้าวอย่างอื่นนอกจากแกงกะหรี่แล้วเขาไม่เคยมั่นใจเลยแต่จะให้มาเสียหน้ากับเรื่องอาหารได้ยังไงกัน ซ้ำยังต่อหน้ายัยแม่มดนี่อีกถ้าไม่ติดว่าเขาไปติเรื่องอาหารของเธอเอาไว้เยอะคงไม่ต้องมานั่งลุ้นจะออกหัวออกก้อยว่ารสชาติตอนปรุงแล้วกับตอนที่ตักใส่ถ้วยมันจะเปลี่ยนไปไหมอย่างนี้หรอก
ถึงคนที่รับบทบาทในการทำอาหารของวันนี้จะรู้สึกตื่นกลัวกับรสชาติแปลกใหม่ของตัวเองกันจนไม่อยากแตะเป็นคนแรกสักเท่าไร ถ้าไม่กลัวว่าสายตาที่สุดแสนจะเย็นชาของหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามของพวกเขาจะมองมาอย่างยิ้มเยาะที่คราวนี้แม้แต่พี่นานาเสะเองยังต้องมือตกเรื่องการจะสอนใครเรื่องทำอาหารเป็นกับเขาเหมือนกัน
มื้ออาหารที่ดูจะเป็นการนั่งจ้องหน้ากับข้าวที่ไม่มีใครกล้าแตะมันก่อนทุกคนแทบจะถือตะเกียบค้างไว้ในมือพร้อมกับชามข้าว อาหารที่ถูกเตรียมจัดแยกไว้เป็นชุดส่วนตัวแต่ละคนถึงปลาย่างจะเป็นฝีมือของนานาเสะที่พอจะวางใจได้ว่ารสชาติมันคงไม่มีปัญหาอะไร แต่นอกเหนือจากนี้ล่ะ!? ทั้งน้ำซอสข้นๆ เหนียวๆ เหมือนยางอะไรสักอย่างสีเขียวที่อยู่ในถ้วยเล็กๆ ที่พอจะสังเกตเห็นชิ้นส่วนบางอย่างที่พอจะเดาได้ว่าเมื่อชาติก่อนมันคงจะเป็นแตงกวา(?) ผสมลงอยู่ด้วย
ส่วนในถ้วยซุปมิโซะที่ปกติควรจะมีแค่เห็ด เต้าหู้ กับสาหร่าย แต่วันนี้สิ่งที่มันลอยอืดอยู่ในถ้วยนั่นมันเหมือนยางพลาสติกที่ยืดเหนียวแถมยังใช้ตะเกียบคีบไม่ติดอีกต่างหาก เพียงแค่คีบมันขึ้นมาจากของเหลวสีน้ำตาลเข้มขุ่นคั่กจนมองไม่ออกแล้วว่านี่มันซุปมิโซะหรือว่าซุปซีอิ๋วกันแน่มันก็ลื่นหลุดลงในน้ำปริศนานั่นดัง จ๋อม ก่อนจะเห็นเพียงแค่คลื่นวงน้ำกระจายตัวอยู่นิ่งๆ
ที่ร้ายกว่านั้นเห็นจะเป็นสิ่งที่น่าจะเรียกว่า "ก้อนฟอสซิลปริศนาของสะเก็ดอุกกาบาต" คงจะไม่ผิดอะไร เพราะทุกคนต่างพร้อมใจลงความเห็นอยู่ในใจว่ามันไม่น่าจะใช่ของที่กินได้แน่ . . . อะไรสักอย่างที่ถูกนำไปทอดจนแห้งกรอบแทบดำจนไหม้เกรียมไปจนหมด ขนาดเอาตะเกียบจิ้มแล้วจิ้มอีกมันยังจิ้มไม่ลงจะเรียกว่าไม่รู้สึกถึงความนิ่มที่มาจากน้ำในเนื้อเลยสักนิด เพราะคาดว่ามันคงจะแห้งผากจนหมดไปนานแล้ว ดูจากขนาดชิ้นเนื้อที่ใหญ่เท่าฝ่ามือกลับไม่มีรอยตัดเป็นชิ้นพอดีคำนั่นหมายความว่าขนาดมีดยังตัดมันไม่เข้าแล้วแบบนี้ขืนเอาเข้าปากไปมีหวังฟันคงหลุดเป็นแถบแหงๆ
"เอ่อ . . อันนี้มันอะไรหรือครับ?" รูบี้จิ้มตะเกียบไปทางสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าจะเรียกมันเป็นอาหารที่กินได้ หรือว่าอาหารเทรนใหม่กันดี ความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ว่าหากเขาไม่แตะอะไรกินเลยมันคงจะเป็นการเสียมารยาทแน่ แต่การจะทดลองหยิบชิ้นไหนเข้าปากก่อนมันดูไม่ต่างจากการเลือกว่าจะกินยาพิษตัวไหนก่อนหลังเท่านั้นเอง
ขณะที่เขากำลังลังเลใจอยู่นั้นมือของคนที่นั่งข้างเขาเลื่อนไปคีบเนื้อปลาซัมมะที่ย่างพอได้ที่และรสชาติสดใหม่ขึ้นมากินอย่างไม่รอช้า มีเพียงเธอกับชูร่าที่เริ่มลงมือกินอาหารพวกนั้นเข้าไปทีละอย่างเหมือนว่ามันเป็นอาหารปกติที่กินได้อย่างไม่รู้สึกอะไร มีเพียงแค่ปะป๊าเซนกับนานาเสะเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาเลือกกินแต่ปลาย่างเพื่อรักษาชีวิตรอดพ้นจากอาหารมื้อนี้ไปได้
"เป็นอะไร? ไม่รีบกินเดี๋ยวจะไม่อร่อยนะ" พอเห็นว่าเขาเอาแต่มองดูเวลาที่เธอกินเพียงอย่างเดียวโดยไม่ยอมขยับมือเลยแบบนี้ ซากิเลยทักเขาออกไปด้วยความสงสัย
"อ้อ อืมนั่นสินะ ถ้าไม่กินคงจะ. . . " พอถูกเธอท้วงเข้าเขาจึงนึกได้ว่าคงต้องเริ่มลงมือทานข้าวบ้างแล้ว แต่พอเหลือบมองดูอาหารบนโต๊ะยังไงซะจะให้ทำใจยอมรับมันตอนนี้มีแต่จะกลืนน้ำลายลงคอยังลำบาก มือที่สั่นเล็กน้อยเลื่อนตะเกียบลงเหนือจากของก้อนวัตถุสีดำๆ ที่เดาว่าคงจะเป็นเนื้ออะไรสักอย่างชุบแป้งทอด(?) แต่ไม่ทันที่ตะเกียบของเขาจะได้สัมผัสมันจานนั้นกลับถูกยกสลับกับจานของปลาย่างที่คนนั่งข้างๆ เขาพึ่งจะชิมมันไปได้แค่คำเดียวเท่านั้น
"อื้อ เอาไปสิ" เธอยื่นจานปลามาสลับกับอาหารทุกอย่างตรงหน้าเขาขณะที่ในปากยังคงคาบตะเกียบไม้ค้างเอาไว้อยู่ แต่มือทั้งสองข้างกับสลับตำแหน่งอาหารเป็นระวิงพอๆ กับชูร่าเองที่แลกจานปลาย่างกับ กับข้าวในส่วนของนานาเสะและของปะป๊า พวกเขามักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาที่รู้ว่าอาหารอะไรที่ใครจะกินได้หรือกินไม่ได้ถึงบางครั้งจะออกปากบ่นไปบ้างเรื่องรสชาติอาหารที่ถูกตำหนิใส่ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะบังคับให้ใครมานั่งกินกับสิ่งที่อาจจะถูกโยนลงถังทันทีที่มันถูกวางไว้บนโต๊ะ
"อ่ะ! เปลี่ยนทำไมกันครับ!?" รูบี้ท้วงขึ้นเพราะไม่อยากให้เธอรีบเปลี่ยนจานโดยที่เขายังไม่ทันได้ลองชิมมันเลยสักคำ เพราะไม่แน่ว่าบางทีถึงหน้าตามันจะไม่น่าทานเท่าไรแต่รสชาติอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้เพราะไม่งั้นแล้วพวกเธอสองพี่น้องคงไม่ตั้งหน้าตั้งทานกินโดยไม่รู้สึกอะไรแบบนี้แน่
แต่สิ่งที่มองเขากลับมา กลายเป็นสายตาที่ดูเย็นชาเหมือนไม่อยากเชื่อหูในสิ่งที่ได้ยินเท่าไรแทน
"ห๊า!? แน่ใจเหรอว่านายจะลองท้าทายกับของแบบนี้ดูน่ะ ฉันว่าอย่าดีกว่าเดี๋ยวเกิดนายเข้าโรงพยาบาลหรือเป็นอะไรไปพวกฉันเองไม่อยากวิ่งหาข้อแก้ตัวแทนนายหรอกนะ"
"ท้าทาย?" เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยรึไงนะ? หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่นี่กันไปแล้ว
"ขอโทษทีนะรูบี้ วันนี้เลยได้กินแค่นี้เองเอาไว้วันหลังลองหาโอกาสมาเที่ยวอีกสิ รับรองเลยว่าคราวหน้าจะเตรียมของกินอร่อยๆ ไว้ให้กินจนเบื่อเลยล่ะ หะๆ " เซนยังคงอารมณ์ดีได้ทุกสถานการณ์เหมือนเช่นเคยจนบางทีเขาเองยังนึกแปลกใจว่าคนคนนี้จะมีบ้างไหมที่จะนึกขุ่นเคืองอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง
"ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะลองแวะมาที่นี่ดูนะครับ" รูบี้ตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน ก่อนจะหยิบจานปลาของเขาเลื่อนไปให้เซนที่นั่งข้างๆ เขาแทนโดยเหลือไว้เพียงแค่จานปลาที่ได้รับมาจากซากิอีกต่อหนึ่ง
"ก่อนจะมาผมทานอะไรไปบ้างแล้วล่ะครับ ตอนนี้เลยไม่หิวเท่าไร" ทั้งที่จริงข้าวเช้าเขาแทบจะไม่ได้กิน ตอนเที่ยงพอเสร็จงานรีบตรงมาบ้านเธอแทบจะทันที แต่จะรับจานกับข้าวมามากอย่างนี้เขาเองคงรู้สึกไม่ดีแน่ ทว่าจานที่เลื่อนให้กลับถูกเลื่อนคืนแทบจะทันทีด้วยเหตุผลที่ไม่ว่าใครในบ้านต่างรู้จักนิสัยของปะป๊าคนนี้เป็นอย่างดี
"ขอบใจนะแต่มื้อเย็นผมคงกินเยอะไม่ได้หรอกครับ"
". . . "
คำพูดที่ชวนให้สงสัยกับคำถามที่อยากถามออกไปแบบเคยตัว แต่คนรอบข้างทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันกับกิจกรรมในบ้านที่มักจะมีขึ้นทุกวันจนเคยชินกันไปแล้ว
"เพราะจะรอมื้อต่อไป"
"มื้อต่อไป?" คำตอบของพวกเขาทำให้รูบี้นึกในใจว่า บ้านนี้เขากินกันกี่มื้อกันแน่นะ
รสชาติอาหารแต่ละคำถึงจะเป็นแค่ปลาย่างกับข้าวเปล่าแต่มันกับให้ความรู้สึกอร่อยจนเหมือนกินอาหารฝีมือเชฟชื่อดังไม่มีผิด ทีแรกเขาเองคิดว่าถ้าเป็นปลาย่างธรรมดารสชาติมันคงไม่ได้แตกต่างกันนักแต่นี่มันไม่ใช่เลย เพราะเนื้อปลายังมีรสชาติความสดใหม่เหมือนพึ่งจับมาไม่มีผิด
"อ. . อร่อยจัง ปลานี่ย่างได้พอดีจนแทบไม่อยากเชื่อเลยครับว่าจะมีคนทำแบบนี้ได้ ทั้งปลาก็สดใหม่แถมข้าวนี่ก็หุงได้ไม่มีที่ติ ข้าวดีปลาอร่อยผมต้องขอบคุณเลยล่ะครับที่วันนี้ช่วยเลี้ยงของดีๆ อย่างนี้กับผม ขอบคุณนะครับ" ชิ้นปลาที่ถูกหยิบขึ้นมาพินิจมองก่อนจะหยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวทีละน้อยเพื่อให้ซึมซับถึงรสชาติความหอมหวานจากน้ำมันที่ไหลซึมออกมา ยิ่งพอได้เคี้ยวพร้อมกับเม็ดข้าวอวบเม็ดโตที่หุงจนนุ่มและหอมน่าทานด้วยแล้วยิ่งเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานนี้จนแทบไม่ต้องมีเครื่องเคียงเลยทีเดียว
"อ้อ ข้าวนั่นหมอนี่เป็นคนหุงน่ะ ใช้ได้เลยใช่ไหม? มีดีแค่นี้แหละนะนอกนั้นก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ" เสียงที่ป่าวประกาศทั้งยังกลั้วหัวเราะอย่างนึกขำเมื่อนึกถึงข้อดีที่พอจะเอามาชมได้ของน้องชายคนเล็ก
"เหอะ! ข้าวแกงกะหรี่ฉันก็อร่อยไม่แพ้ใครเหมือนกันล่ะน่า นี่นาย อยู่ค้างซะสิ! พรุ่งนี้ฉันจะได้สงเคราะห์ทำข้าวแกงกะหรี่ที่อร่อยที่สุดในโลกให้นายกินเองตกลงตามนี้แหละ" กินข้าวไปได้เพียงไม่กี่คำ รูบี้ดูจะถูกคนในบ้านนี้กำหนดกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจโดยไม่สนใจว่าตัวเขาจะคิดยังไงจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งพี่ - น้อง คู่นี้นิสัยเหมือนกันยังกับแกะเลยจริงๆ
ชูร่า ที่ดูจะภูมิอกภูมิใจที่ถูกชมเรื่องข้าวถึงกับยืดอกบอกให้อีกฝ่ายค้างคืนที่บ้านเพื่อรอชิมอาหารฝีมือเขาตอนเช้า แต่จู่ๆ จะให้ค้างบ้านคนอื่นโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนแบบนี้เขาเองไม่รู้จะพูดยังไงออกไปเหมือนกัน
"ค้างเหรอครับ? คงไม่ได้หรอกครับขืนทำแบบนั้นรบกวนเซนซังแย่เลย อีกอย่างผมเองยังไม่ได้บอกนันจิซังเขาไว้ด้วยเพราะงั้นคงไม่ได้หรอกครับ" รูบี้รีบเอ่ยปากบอกปัดทันที ถึงแม้ว่าสายตาจะเหลือบมองไปทางร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ จนเผลอคิดไปว่าถ้าหากเขาได้ค้างแล้วล่ะก็มันแปลว่าเขาจะได้อยู่กับเธอทั้งคืน!?
ความรู้สึกวูบไหวชั่วขณะหนึ่งมันทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัวจนแทบพูดไม่ออก ทั้งความคิด รวมไปถึงการจะจับตะเกียบขึ้นมาทานข้าวต่อไปก็ตาม
"เรื่องนันจิไม่ต้องห่วงนะเพราะผมโทรไปบอกให้แล้วล่ะว่ารูบี้จังจะมาทานข้าวด้วย แต่เรื่องค้างยังไงเดี๋ยวค่อยโทรไปอีกรอบก็ได้" เซนตอบออกไปเหมือนเป็นเรื่องที่รูบี้จะตัดสินใจยังไงเขาไม่ขัดข้อง และอีกอย่างรูบี้เองไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องหวงว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้เมื่อตัวเขาโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเรียนรู้การรับผิดชอบชีวิตของตัวเองรวมไปถึงการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ตัวเขาจะต้องเผชิญต่อไปในอนาคต
"โทรไปแล้วรึครับ? อา. . ผมลืมไปซะสนิทเลย" พอรู้ตัวอีกทีเขาเองตกใจไม่น้อยเช่นกัน ทั้งที่ไม่น่าจะลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ทั้งที่เป็นครอบครัวที่เขาเคยให้ความสำคัญมาก่อนเรื่องอื่นแท้ๆ เชียว
"ไม่ต้องทำหน้าสลดขนาดนั้นหรอกน่า นายเนี่ยทำยังกับว่าในชีวิตไม่เคยไปค้างข้างนอกหรือว่ากลับบ้านดึกซะอย่างงั้นแน่ะ พ่อลูกแหง่"
"ซัตจังอย่าไปว่ารูบี้เขาอย่างงั้นสิ บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลอะไรก็ได้จริงไหมรูบี้?" เซนที่ไม่อยากเห็นลูกของเขาตั้งแง่ทะเลาะกับใครขึ้นมาจึงเอ่ยปากแก้ตัวแทนลูกชายของเพื่อนแม้ว่าครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายผิดมากน้อยกว่ากันก็ตาม
". . . "
ชายหนุ่มที่ถูกถามไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขานั้นยังคงเอาแต่จ้องมองไปทางคนใกล้ตัวอย่างเคืองๆ เพราะถึงมันจะจริงอย่างเธอว่าแต่เขาไม่ชอบที่ถูกเธอมาเรียกว่าเป็นลูกแหงอยู่แบบนี้ เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กติดพ่อ - แม่ แบบนั้นซะหน่อย
"แต่จะว่าไปแล้วรูบี้เองก็โตเป็นหนุ่มขนาดนี้ไม่คิดจะแต่งการแต่งงานบ้างหรือครับ? หรือว่าตอนนี้กำลังคบหาดูใจกับใครเป็นพิเศษอยู่รึเปล่านะ?" จู่ๆ ปะป๊าเซนโพล่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำเอาคนที่ถูกเอ่ยถึงแทบจะสำลักข้าวที่พึ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด
"แค่ก! แค่ก! พูดเรื่องอะไรกันครับผมน่ะยังไม่คิดเรื่องนี้ เอ่อ. . . คือ ผมน่ะยังไม่มีใครเป็นพิเศษอย่างงั้นหรอกครับเซนซัง" ใบหน้าของรูบี้ยามที่พูดถึงใครสักคนเป็นพิเศษมันกลับฉายแววตาที่กลบเกลื่อนความจริงบางอย่างรวมไปถึงสีหน้าที่แดงระเรื่ออ่อนๆ ของเขาราวกับเด็กน้อยที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่มแล้วถูกพ่อ - แม่ ถามถึงคนรักไม่มีผิด
น้ำเสียงที่สั่นคลอเล็กน้อยกับประโยคที่พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่เคยมีใครที่พอจะเรียกว่าเป็นคนรักจริงๆ ได้ ทั้งกับเธอ. . . กับซากิแล้ว มันเป็นเหมือนสายสัมพันธ์บางอย่างที่ผูกมัดพวกเขาเอาไว้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเรียกว่าความรัก ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากความใคร่ หากแต่เป็นความรู้สึกที่มันลึกล้ำมากไปกว่านั้น ความรู้สึกที่เหมือนรากไม้ที่จมดิ่งและฝังรากลึกจนไม่อาจจะถอนตัวไปได้
"ไม่มีจริงๆ เหรอ!?" เสียงที่เค้นถามพลางเลื่อนใบหน้าเข้ามาสบตาสีแดงนั้นอย่างใกล้ชิดเหมือนต้องการจะค้นหาความจริงในดวงตาของเขา เวลาที่เซนซังทำท่าทางจริงจังมองลอดแว่นออกมาแบบนี้แล้ว ความรู้สึกกลัวบางอย่างมันทำให้รูบี้อดที่จะขยับตัวออกห่างไปเองโดยธรรมชาติ
"ไม่มีจริงๆ ครับ" เขาส่ายมือบอกเพื่อยืนยันในความจริงเรื่องนี้ แต่มันดูจะทำให้เซนรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยกับคำตอบของเขา
"เฮ่อ~ งั้นก็น่าเสียดายจังนะ คงจะผิดหวังแย่เลย" เซนถึงกับบ่นอุบอย่างนึกเสียดายที่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเอาไว้
ลูกๆ แต่ละคนต่างหยุดชามข้าวในมือไว้แล้วมองดูปะป๊าที่ไม่เคยเห็นแสดงท่าทีผิดหวังแบบนี้นอกจากเรื่องการ์ตูน กับงานเทศกาลขนม ที่กลายมาเป็นงานอดิเรกที่ปะป๊ามักจะไปเสมอถ้าไม่ติดธุระอะไรแล้ว เพราะงั้นในกรณีนี้จึงค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจของพวกลูกที่อยากรู้มากว่าอะไรถึงทำให้ปะป๊ารู้สึกท้อแท้ใจได้มากขนาดนี้
"น่าเสียดายอะไรหรือครับ?" ถึงจะยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เพราะเขาเองพึ่งจะนึกได้ว่าเมื่อครู่เผลอไปนอนอยู่กับซากิอย่างเคยตัว ไม่รู้ว่าเซนซังเขามาเห็นจะคิดยังไงบ้างแต่ว่าดันเผลอหลุดปากถามกลับไปซะแล้ว
ปะป๊าเซน เหลือบสายตามองเหมือนชั่งใจบางอย่างก่อนจะตอบออกไปเหมือนคนเปรยแบบบ่นๆ มากกว่าการตอบคำถามจริงๆ จังๆ
"ก็ถ้าเป็นแบบนั้นจริงนันจิสงสัยคงต้องอดอุ้มหลานแน่น่ะสิปะป๊าถึงได้เสียดายไงล่ะ"
"หลานหรือครับ. . ." คำๆ นี้ดูจะทำให้รูบี้นึกหวั่นใจไม่น้อยกับปฎิกิริยาของเขาเพียงแค่ลองนึกวาดภาพถึงสิ่งที่ผ่านมาเท่านั้นมันแทบจะทำให้เขาหน้าถอดสีได้ไม่ยากเลยทีเดียว ฝ่ามือที่ถูกดึงขึ้นมาปิดริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว เพราะที่ผ่านตัวเขาเองไม่เคยนึกเอะใจถึงเรื่องนี้มาก่อนถ้าหากเป็นอย่างงั้นจริงคงเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกผิดมากที่สุดในชีวิต
บรรยากาศรอบข้างที่ดูอึมครึมและเงียบงันภายใต้ความรู้สึกที่ตรึงเครียดนั้น เห็นทีจะมีคนหนึ่งที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรซ้ำยังหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุกกับเรื่องบางอย่างเสียด้วยซ้ำ
เธอไม่ได้รู้สึกกังวลถึงเรื่องที่รูบี้จะแต่งงานกับใคร หรือมีลูกสักกี่คน แต่สิ่งที่มันทำให้เธอนึกอดขำไม่ได้คือ ถ้าหากเด็กคนนั้นหน้าตาออกมาเหมือนพ่อของเขาราวกับโขลกพิมพ์เดียวกันมาแล้วมันคงจะน่าขำพิลึกเลย
"อุ๊บ! หะๆ ฮะ ฮ่า ขอโทษทีนะแต่ว่ามันอดไม่ได้น่ะ ลองคิดดูสิถ้าลูกของนายออกมาหน้าเหมือนนายยังกับแกะคงสนุกพิลึกเลยนะมีคนหน้าเหมือนกันตั้งสองคนแต่ต่างไซส์กันเท่านั้นเอง"
"ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากมีลูกชายสักหน่อยถ้าจะมีล่ะก็มันต้องลูกสาวสิ!! เด็กผู้หญิงน่ะตัวก็เล็ก แล้วยังน่ารักกว่าตั้งเยอะยิ่งเวลาที่เรียก . . . เอ่อ . . . . อืม . . เวลาที่เรียกแบบนั้นแล้วมันก็ . . . เอาเป็นว่ายังไงถ้าจะมีลูกของผมก็ต้องเป็นลูกสาวเท่านั้น!!"
ทั้งที่ตัวเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเถียงกับเธอในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย แต่รู้ตัวอีกทีดูจะมีเธอนี่แหละที่เป็นผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าสามารถคุยได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทั้งยังไม่ต้องคอยเก็บความรู้สึกหรือเก็กสีหน้าท่าทางว่าต้องวางตัวยังไง
ชูร่า กับนานาเสะ เลิกที่จะให้ความสนใจกับคำถามที่ดูน่าเบื่อสำหรับพวกเขาจึงหันไปทานข้าวต่อ เพราะนานาเสะเองมีงานที่ต้องรีบไปทำต่อให้เสร็จจะมัวมานั่งพิรี้พิรัยนั่งกินข้าวต่อแบบนี้คงไม่ได้
"แล้วถ้าเป็นลูกชายล่ะนายจะว่ายังไง?" เพราะแหย่เขาจนเหมือนเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วเลยไม่อยากเป็นฝ่ายหยุดก่อนจึงได้ลองถามแหย่เขาเล่นๆ ดู แม้จะรู้ว่านั่นมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอก็ตาม
"ฮึ่ม! ไว้ถึงตอนนั้นจริงผมค่อยคิดละกัน ว่ายังอยากมีลูกต่ออีกรึเปล่า ถ้าไม่คงต้องหยุดแค่นั้นแล้วถึงจะไม่ใช่ลูกสาวก็เถอะ" ครั้นพอได้ตอบเธอออกไปแบบนั้นแล้วเขาจึงพึงรู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่เหมือนกับเป็นเรื่องที่น่าอายมากยังไงยังงั้นไม่มีผิด ใบหน้าของเขาเผยสีแดงระเรื่อบางๆ อาบบนดวงแก้มอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของใบหน้านั้นพยายามหลบเลี่ยงหันหน้าไปทางอื่นเพราะคนที่เขาไม่อยากให้เห็นเรื่องน่าอายในเวลานี้ที่สุดกลับเป็นเธอที่คอยเอาแต่จ้องมองเขาตาแบ๋วแบบนั้น ซ้ำยังยิ้มระรื่นได้อีกเห็นแล้วมันช่างน่าเจ็บใจนัก
ใบหน้าของรูบี้ที่กำลังเขินอายอยู่นั้นกลับดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูกหรือจะพูดว่ามันเป็นใบหน้าที่พวกเขาจะได้เห็นเฉพาะตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้อยู่กับซากิเท่านั้นหรือ . . .
จะเป็นเพราะความอยากรู้หรือเพราะอยากหยอกเย้า เซนที่เห็นและได้ยินคำพูดที่รูบี้พูดคุยกับซากิ ลูกสาวของเขาแล้วจึงถามขึ้นมา
"ที่ว่าอยากให้ลูกสาวเรียกน่ะหมายถึงให้เรียกว่า คุณพ่อ ใช่ไหม? จะว่าไปแล้วผมเองยังไม่เคยมีใครเรียกอย่างนี้ด้วยสิ ถ้ายังไงรูบี้จังจะลองเรียกผมว่าคุณพ่อบ้างก็ได้นะครับ"
นานาเสะกับชูร่าที่ได้ยินปะป๊าของเขาเอ่ยอย่างงั้นขึ้นมาถึงกับมองตาค้างพลางพูดอะไรไม่ถูก มันเหมือนกับว่าสติพวกเขาแทบจะหลุดลอยออกไปชั่วขณะเลยทีเดียว
" . . . อ่ะ ! . . . . . อืม คงไม่ได้หรอกครับ" รูบี้บอกปัดออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากจะเรียกอย่างนั้นแต่ว่า
"นั่นสินะครับ ผมคงจะขออะไรไม่เข้าท่าจริงๆ หะๆ " พอได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้วมันเหมือนกับการถูกปฎิเสธจนปั้นสีหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
"ม . . ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ! แต่ว่า คือผมน่ะ. . แม้แต่นันจิซังเองผมก็ยังไม่เคยเรียกเธอว่า แม่ ด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องมาเรียกคนอื่นแบบนั้นแล้วมันก็"
คำตอบที่พยายามจะหาเหตุผลเพื่อถนอมน้ำใจคนอื่นและไม่อยากจะให้ถูกเข้าใจผิดนั้นมันทำให้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว คำตอบของรูบี้ชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นเด็กขี้อายที่ไม่กล้ายอมรับความเปลี่ยนแปลงในหัวใจที่ดื้อรั้นของเขา
เซน โล่งอกกับคำตอบที่ได้ฟังมันเหมือนกับว่าเขาได้มองเห็นหัวใจที่ใสบริสุทธิ์ที่ยังคงความเป็นเด็กแฝงไว้ในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ข้างในลึกๆ จิตใจของเขา
"ได้ฟังแบบนี้แล้วผมค่อยโล่งใจหน่อยนึกว่าจะถูกรูบี้จังเกลียดซะแล้วสิ ทีแรกผมนึกว่าเพราะไม่ชินซะอีกนะก็นันจิซังเขาไม่เห็นพูดเลยนี่ว่า ฮาจิ เขาจะกลับมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ เลยคิดไปเองซะอีกถ้าฮาจิซังเขามาที่บ้านบ่อยล่ะก็รูบี้จังคงจะชินที่จะเรียกคุณพ. ."
คำพูดที่ยังค้างคาพูดไปไม่ทันจบกลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงกัดเขี้ยวเล็ดลอดจากไรฟันที่ขบกรามแน่นสนิทด้วยอารมณ์ที่กำลังพรุพร่านขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของคนคนนั้นขึ้นมา จนแม้แต่มือที่วางอยู่ข้างตัวยังเกร็งจนสั่นไปหมดทั้งตัว ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติอันน้อยนิดนี้แต่เธอที่คอยมองดูเขามาตลอดมีหรือจะมองข้ามมันไป
"อา. . . งั้นหรือครับ นันจิซังยังพูดถึงคนคนนั้นอีกหรือครับ" น้ำเสียงที่ดังลอดออกมาชวนให้นึกหวั่นใจแก่ผู้ที่ได้ยิน มันทั้งสั่นคลอนและเย็นยะเยือกเหมือนเห็นเกลียวคลื่นความชิงชัง ริษยา โกรธา และเกรี้ยวกราดในเวลาเดียวกัน หากแต่มันเป็นถ้อยคำที่เจ้าตัวนั้นพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้พุ่งขึ้นสูงไปมากกว่านี้
"อะไรนะ!? กินข้าวอิ่มแล้วอยากเข้าห้องน้ำงั้นเหรอ? ลุกสิเดี๋ยวฉันจะพาไปเดี๋ยวนี้แหละ! ปะป๊าฝากเก็บจานข้าวด้วยนะ" ก่อนที่ใครต่อใครจะทันได้พูดอะไรออกมา จู่ๆ ซากิก็พรวดพราดฉุดมือคนข้างตัวให้ลุกขึ้นตามมาพร้อมกับอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ในแบบของเธอที่ตอนนั้นพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้เท่านั้น เพราะสิ่งเดียวที่เธอรู้คือต้องพาเขาออกไปจากที่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่กับคำพูดที่ปะป๊าเองคงไม่ได้ตั้งใจจะไปสะกิดอะไรเขาเข้าเหมือนกัน
รูบี้ถูกดึงออกมาจากห้องทั้งที่เขาเองไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่อีกครึ่งหนึ่งนึกขอบคุณเธออยู่ในใจที่ช่วยพาเขาออกมาจากที่ตรงนั้นก่อนที่อาจจะเผลอหักตะเกียบไม้ให้แหลกคามือไปแล้วก็ได้
"คุณ! เดี๋ยวสิครับ! ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าอยากเข้าห้องน้ำแล้วคุณจะพาผมออกมาทำไม?" หลังจากโดนฉุดลากมาได้กว่าครึ่งทางชายหนุ่มอดที่จะถามออกไปถึงเหตุผลของการกระทำของเธอเป็นไม่ได้
ซากิ ที่ได้ยินเขาพูดขึ้นมาจึงหยุดฝีเท้าลงก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของเขาแล้วพูดขึ้นมาทั้งที่เธอยังคงหันหลังให้กับเขาอยู่เช่นเคย
"ฉัน. . ไม่ได้ช่วยนายหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากฟังปะป๊าเขาถามต่อเท่านั้นเอง"
"ถามต่อ? อ่า . . . เรื่องนั้นสินะครับ" รูบี้นึกถึงคำพูดที่ถูกถามเข้ามาในหัวของเขา ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นสติและอารมณ์ที่เคยคิดว่ามันสงบและเยือกเย็นกว่าใครๆ กลับเดือดขึ้นมาจนแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ แล้วนี่ถ้าหากว่าซากิไม่พาเขาเดินหนีออกมาแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างตัวเขาเองไม่สามารถจะตอบได้
"ปะป๊าเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก นายเองอย่าไปโกรธป๊าเขาเลยนะ" สีหน้าและแววตาของเธอที่เฝ้ารอคำตอบเขาอย่างกังวลใจ ใบหน้าแบบนี้ทั้งที่เขาเองไม่ได้อยากเห็นเธอในยามที่ดูเศร้าอย่างนี้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าเขาอยากเห็นมันอีก อยากเห็นทุกอย่างที่เป็นเธอ สีหน้าที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้จักมัน
"ผมไม่ได้โกรธปะป๊าของคุณหรอกครับ ผมแค่รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่มีใครสักคนเอ่ยชื่อของหมอนั่นขึ้นมาเท่านั้นเอง"
"หมอนั่น? ฮาจิ น่ะเหรอ? "
". . . ครับ " เขาลังเลใจที่จะยอมรับในเรื่องนั้นแม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ความสงสัยไม่ถูกกำจัดออกไปจนหมดเพราะไม่ได้รับคำตอบที่แจ่มชัดจากปากของเขา เธอจึงทวงถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ยอมพูดออกมาถึงเรื่องราวในอดีตว่าอะไรที่ทำให้เขานึกโกรธคนคนนั้นได้มากถึงเพียงนี้กัน
"นี่แล้วโกรธเรื่องอะไรกันล่ะ? โกรธมาตั้งนานแล้วเหรอ? หรือว่าพึ่งโกรธล่ะ? แล้วใครโกรธใครก่อน? " คำถามที่รัวมาไม่ยั้งซ้ำยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้ตอบอะไรเลยสักคำนั้น มันเป็นสิ่งที่ชวนหัวเราะกับหน้าตาและท่าทางที่ดูจริงจังของเธอในเวลาอย่างนี้จนสุดท้ายแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูจะกลับคืนมาอีกครั้งแบบไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้านั้นพลางมองดูที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่อนโยนและอยากจะดึงเธอเข้ามากอดให้คลายความกลัดกลุ้มในใจที่ผ่านมาให้สมกับที่ตัวเขาไม่ได้พบเธอมาหลายวัน
รูบี้ ไม่ได้ตอบคำถามของเธอออกไป เขาเพียงแค่ยิ้มแล้วยื่นมือเข้ามากุมมือของเธอเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่จะเอ่ยขอบางอย่างทั้งที่ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น
"จูบผมหน่อยได้ไหมครับซากิ?"
"เอ๋!?"
ร่างบางสบสายตามองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อหูในสิ่งที่ได้ยิน คำเอ่ยขอที่เฝ้ารอคำตอบต่างจากที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งที่เขาเอ่ยถามมักจะลงมือทำก่อนที่เธอจะทันได้ให้คำตอบเสียด้วยซ้ำไป แต่ครานี้ชายหนุ่มกลับลดสายตาทอดมองหญิงสาวอย่างใกล้ชิดก่อนยกมือของเธอขึ้นมาวางแนบอกของเขาแล้วจึงเริ่มกักขังเธอด้วยแววตาที่เว้าวอนเหมือนแววตาที่ใสบริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไขใดใดของเด็กเล็กที่ไร้เดียงสา
สายตาที่เพิ่งเคยได้เห็น คำเอ่ยขอที่เพิ่งเคยได้ยิน ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างความสับสนและความขวยเขินเล็กๆ แก่เธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
"เอ่อ . . . เรื่องแบบนี้น่ะมัน . . ฉ . . ฉัน. . . ฉันไม่" เสียงเล็กที่ขาดห้วงดังตะกุกตะกักบอกถึงความสั่นคลอในจิตใจที่อ่อนไหวจนไม่สามารถจะตอบคำถามใดใดได้อย่างชัดเจนเหมือนเธอคนก่อน
"รังเกียจผมหรือครับ?" ท่าทางของเธอที่ดูเหมือนกับการบอกปัดเพื่อปฎิเสธที่จะทำในสิ่งที่เขาขอ ทั้งยังสายตาที่คอยหลบเลี่ยงเขาไม่ยอมสบตาตรงๆ ยิ่งตอกย้ำเหตุผลในการตีจากเขาไปโดยไม่ยอมแม้จะบอกลาสักคำ
"ม. . ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่อย่างงั้นหรอก . ." จะเป็นเพราะเสียงตัดพ้อของเขา หรือเพราะดวงตาที่ดูหม่นหมองของเขากันถึงทำให้เธอไม่อาจปล่อยมือเขาไปได้ จนถึงกับเผลอตัวพลั้งปากพูดความในใจออกไป
แค่เพียงรู้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขาเพียงแค่นั้น สีหน้าของเขากลับยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
"งั้นเหรอ! ไม่ได้รังเกียจผมสินะครับ"
"เรื่องนั้นน่ะมันไม่เกี่ยวกันซะหน่อยนี่"
มือของเขาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ยิ่งเขากุมมือเธอเอาไว้แน่นมากเท่าไรมันกลับยิ่งรู้สึกถึงบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกจนหายใจแทบไม่ออก เวลาที่เขามองมาตอนนี้กลับไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่สามารถจะมองตอบไปตรงๆ ได้เลย พวงแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวราวกับถูกแดดเผาทั้งที่ตอนนี้เป็นตอนเย็นแล้วแท้ๆ เชียว แต่ทำไมถึงได้ทำอะไรไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้ทุกทีเลย
ยิ่งเห็นเธอก้มหลบสายตาเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ แถมยังขบกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นอย่างนั้นแล้วมันเหมือนเป็นการแสดงออกที่เขาจำได้ดีว่ามันคือสัญญาณที่คอยบอกเขาถึงเรื่องหนึ่งมาตลอด เรื่องที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้
รูบี้ เชยปลายคางของเธอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเกลี่ยไล้ริมฝีปากที่ขบแน่นให้คลายออก แล้วกระซิบถามอีกครั้ง
"ถ้างั้นให้ผมจูบคุณแทนได้ไหมครับ ซากิ? . . " ทันทีที่พูดจบครั้งนี้เขาไม่รอคำตอบจากเธอเหมือนเช่นในคราแรกอีกแล้ว แต่ยังโน้มตัวลงพร้อมกับยึดกุมใบหน้าของเธอไม่ยอมให้หลบไปไหน ริมฝีปากเล็กสั่นระริกพลางเผยอเปิดออกเล็กน้อยเมื่อครั้นถูกเขาสัมผัสมือที่ข้างแก้มเย็นเฉียบของเธอ
ซากิ ได้แต่เพียงหลับตาแน่นด้วยใจที่สั่นไหวไม่เป็นจังหวะ แม้แต่จะหายใจเข้า - ออก ยังยากเกินกว่าจะขยับตัวได้
ลมหายใจของเขาที่ขยับใกล้จนรู้สึกถึงสายลมอุ่นที่ห่างกันเพียงปลายนิ้วสัมผัส ความคิดที่ถูกบิดเบือนด้วยละอองคลื่นสีขาวโพลนจนเหลือเพียงความว่างเปล่าในห้วงคำนึง ภาพสุดท้ายที่ยังจำได้คือใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตรงหน้าเพียงเท่านั้น
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำในสิ่งที่คิดไว้ เสียงที่ฉุดรั้งพลันเรียกสติของร่างบางให้ผละตัวถอยห่างแทบจะทันที
"เฮ้! พวกนายน่ะ ตกลงว่าจะเอายังไงกัน!?" ชูร่า เดินไล่ตามพวกเขามาเพราะถูกปะป๊าสั่งให้มาถามความจากแขกของเขาว่าจะตัดสินใจค้างที่นี่หรือจะรอจนฝนหยุดตกแล้วถึงจะกลับ เมื่อเดินไล่ตามมาจนทันกลับพบว่าทั้งสองคนนี้เหมือนกำลังทำอะไรลับลมคมในกันตามลำพังแทน ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของรูบี้เท่านั้น หากแต่ชูร่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของทั้งสองคนนี้มากนักเพราะเขาเองไม่ค่อยจะมีโชคเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับใครอื่นมากนักเลยพยายามเลี่ยงตัวให้ถอยห่างจากการเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแทน
ซากิ ที่ผละตัวถอยห่างออกมาเมื่อได้ยินเสียงของน้องชายเธอ พลันรีบหันหลังเดินหนีออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็นใบหน้าที่แดงกร่ำจากพวงแก้มไปจนถึงใบหู เธอไม่ได้สนใจว่าเขาจะเรียกเธอไว้หรือเปล่าเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ร่างกายของเธอกำลังสั่งการอยู่ในหัวสมองคือ เดิน! เธอจะต้องรีบเดินให้ไกลจากตรงนี้ จะเป็นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ที่ไหนที่เขาจะไม่เห็นว่าเธอกำลังอายเพียงเพราะแค่เรื่องที่เขาจะจูบเธอเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรที่มากกว่านั้นเธอกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายมากเท่ากับตอนที่เขาจูบเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้
มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นทาบบนดวงแก้ม ขาทั้งสองที่ทรุดลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาที่ปิดลงเหมือนยังคงจดจำภาพนั้นอย่างติดตา เสียงของลมหายใจ สัมผัสมือที่โอบกอด มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้ได้
"นี่นาย ตกลงจะค้างที่นี่ใช่ไหม? ว่าไงล่ะฉันจะได้ไปเตรียมห้องเอาไว้ให้เลย" ชูร่า เดินตรงมาหยุดห่างจากจุดที่รูบี้ยืนอยู่เพียง สอง - สาม ก้าว เขายกมือขึ้นกอดอกพลางเอียงคอถามเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ
ฝ่ายรูบี้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ หรือจะบอกว่าเขาเหมือนถูกคนในบ้านนี้มัดมือชกอย่างไม่ยอมเปิดโอกาสให้ได้ปฎิเสธเลยคงไม่ผิดอะไร แต่ถ้าพูดถึงเหตุผลดีๆ สักข้อสำหรับการได้ค้างสักคืนแล้ว เพียงแค่คิดถึงภาพใบหน้ากับท่าทางของซากิที่มีกับเขาเหมือนครู่นั้นอย่างน้อยมันก็พอจะเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจจนยากจะบอกปัดได้
"เอ่อ . . ถ้างั้นขอผมโทรไปบอกนันจิซังก่อนนะครับ เพราะผมเองไม่ได้บอกก่อนจะมาด้วยว่าจะมาค้างข้างนอกแบบนี้"
เพียงแค่ได้ยินคำตอบรับจากแขกที่มาเยือนถึงบ้านว่าจะยอมค้างที่นี่สักคืนทำเอาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถึงกับคลี่ยิ้มบนใบหน้าที่ดูบึ้งตึงนั้นออกมาได้ไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย
"หะ หะ . . บอกแล้วไงว่าแกงกะหรี่ฝีมือฉันน่ะอร่อยอย่าบอกใครเลย รับรองว่าพรุ่งนี้เช้านายจะต้องติดใจจนอยากกลับมากินอีกแน่" ชูร่า ที่ยังคงเข้าใจว่าสาเหตุที่รูบี้ตกลงใจจะค้างที่นี่เพราะยังติดใจเรื่องข้าวที่เขาหุงเมื่อตอนมื้อเย็นอยู่ จนเดินเข้ามาตบบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะพาเดินไปเลือกห้องนอนแบบที่เขาชอบโดยที่เจ้าตัวยังคงจ้อเรื่องฝีมือทำข้าวแกงกะหรี่ไม่หยุดปากไปตลอดทาง
สายฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงตอนเย็น เมื่อเวลาผ่านไปได้เกือบสองชั่วโมงจึงเริ่มซาลงทีละน้อย จนเห็นเค้าความสงบของยามค่ำคืนที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายจากต้นหญ้าและผิวดินที่พัดโชยความหอมเย็นเข้ามาถึงในตัวบ้านที่เปิดบานประตูจากทางด้านในสวนออกโดยหวังจะให้ได้มีลมพัดถ่ายเทได้ทั่วถึง
แม้ว่าสภาพอากาศด้านนอกจะเบาบางลงจนสามารถขับรถกลับบ้านได้ก็ตามที แต่เขาเองที่ตกปากรับคำเรื่องจะขอนอนค้างที่นี่สักคืนไปแล้วจะมาเปลี่ยนใจเอาตอนนี้คงจะไม่ทัน จนถึงตอนนี้สิ่งเดียวที่ยากที่สุดสำหรับเขาเห็นจะเป็นการหยิบโทรศัพท์ตรงหน้าขึ้นมาแล้วหาเหตุผลดีๆ สำหรับการออกมานอนค้างโดยไม่บอกกับทางบ้านไว้ก่อน
หูโทรศัพท์บ้านถูกยกขึ้นนิ่งค้างไว้พักหนึ่งก่อนที่เขาจะหยิบมันขึ้นมาแนบหูพร้อมทั้งไล่กดหมายเลขทีละตัวอย่างใจเย็น ชูร่าที่เป็นคนพารูบี้ไปเลือกดูห้องนอนก่อนจะมาหยุดที่เครื่องโทรศัพท์ตรงหน้าบ้าน เขาเองพลอยยืนลุ้นจนเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องของตัวเองไม่ปาน
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่คฤหาสน์ซาโต้ ดังอยู่นานเกือบนาทีจึงมีคนรับสาย เสียงกล่าวทักทายจากอีกฟากหนึ่งทำให้รูบี้นึกโล่งใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
"ค่ะ บ้านซาโต้ค่ะ"
"มิมิจังนี่ผมเองนะ"
"พี่รูบี้!" มิโดริเรียกชื่อพี่ชายเธอด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลที่ทำไมเขาถึงไม่เป็นฝ่ายโทรมาเองในตอนแรก
"ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะค่ะว่าจะค้างที่บ้านนั้น รู้ไหมค่ะว่านันจิซังตกใจมากเลยพอรู้ว่าพี่รูบี้จะไม่กลับบ้านแถมยังไปค้างโดยไม่ยอมบอกกันก่อนอีก" มิโดริคอยรายงานสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ให้ฟังถึงเรื่องที่เซนซังโทรมาบอกว่าพี่ชายของเธอจะทานข้าวเย็นและอยู่ค้างคืนที่นั่นเลย
"ค้าง!? เดี๋ยวนะครับมิมิจังเมื่อกี้บอกว่าเซนซังเป็นคนโทรมางั้นหรือครับ" รูบี้ทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไร เพราะตอนทานข้าวเขาเพียงแค่มาร่วมโต๊ะเพราะไม่อยากเสียมารยาท แต่เรื่องตกปากรับคำว่าจะค้างมันหลังจากที่เขาทานข้าวแล้วไม่ใช่รึไง? ยิ่งคิดทบทวนเท่าไรเขาได้คำตอบเพียงว่าเรื่องทั้งหมดที่เซนซังพูดลงท้ายเหมือนจงใจจะให้เขาค้างที่นี่ให้ได้
"มีอะไรหรือเปล่าคะพี่รูบี้?"
"ไม่มีอะไรหรอกครับมิมิจัง ถ้ายังไงผมฝากช่วยดูแลนันจิซังแทนผมด้วยนะครับ. . . ครับ ถ้ากลับไปแล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ . . . . เรื่องนั้นไม่ลำบากอะไรหรอกครับ ได้ชูร่าซังเขาพาไปดูห้องนอนแล้วก็ให้ยืมชุดมาด้วยน่ะครับ มิมิจังจะคุยกับชูร่าเขาไหมครับ? ไม่ไกลหรอกครับอยู่ด้วยกันตรงนี้เอง"
รูบี้เล่าถึงเรื่องที่เขาได้รับความช่วยเหลือเรื่องต่างๆ จากชูร่าให้น้องสาวของเขาฟัง ชูร่าที่ยืนอยู่ด้วยไม่ได้ตั้งใจว่าอยากจะแอบฟังการสนทนาของสองพี่น้องแต่อย่างใด เพียงแต่เขาคิดว่าบางทีแขกของเขาคนนี้อาจจะต้องการใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้จึงยอมทนแบกหน้ายืนอยู่ด้วยนานกว่าหลายนาที จนเมื่ออีกฝ่ายยื่นหูโทรศัพท์มาให้กับเขาถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้เขาเริ่มอยากจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกจากตรงนี้ไป
"ชูร่าซังจะคุยกับมิมิจังหน่อยไหมครับ? ให้อีกฝ่ายถือสายรอนานไม่ดีนะครับ"
"หา? ใครบอกว่าฉันจะคุยกับยัย. . อ่ะ! เอ่อ มิโดริเขากันล่ะ" สุ่มเสียงที่ตะกุกตะกักเวลาจะเรียกชื่อของเธอทีไรมันเหมือนเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพราะเขาเองดันไปตั้งชื่อแปลกๆ ให้เธอจนชินปากไปซะแล้ว
"แต่ผมว่าชูร่าซังต้องมีเรื่องอยากคุยกับมิมิจังแน่ครับ ผมน่ะมองออกนะครับว่าเมื่อกี้ชูร่าซังดูสนใจเรื่องที่ผมคุยกับมิมิจังไม่ใช่รึครับ"
รูบี้มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับว่านี่เป็นการตอบโต้อย่างหนึ่งของเขาที่ถูกริดรอนสิทธิ์ในการตัดสินใจในคราแรกไม่ปาน ในขณะที่ชูร่าคนที่ไม่ค่อยจะสันทัดกับเรื่องการถูกไล่ต้อนในลักษณะแบบนี้สักเท่าไรถึงกับยืนอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะรับหูโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่ายมาถือไว้อย่างเกร็งๆ
เพียงไม่นานนักบานประตูใหญ่ถูกแง้มเปิดออกจากด้านในโดยเจ้าของบ้านที่ปกติแล้วมักจะชอบใช้เวลานั่งเหม่อลอยอยู่แต่ภายในห้องของตัวเองเสียมากกว่าที่จะขยับตัวลุกไปไหนต่อไหน
"อ้าว! รูบี้จังนี่เองนึกว่าใครที่ไหนซะอีก มาๆ เข้ามาก่อนสิ" ชายหนุ่มหน้าตาสดใสดูอ่อนวัยจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นเจ้าบ้านที่มีลูกๆ ที่ต้องดูแลกว่าห้าชีวิต เขาเปิดประตูต้อนรับอย่างเป็นมิตรพร้อมกับเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้านเสมือนว่ารู้อยู่แล้วว่าแขกคนนี้จะต้องมาเยือนไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ เพียงแต่เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาเองไม่รู้จะบอกว่ามันมาถึงช้าเกินไป หรือว่าเร็วกว่าที่คิดดี
รูบี้ ซาเลนโนว์ ลูกชายคนโตของหนึ่งในเพื่อนสนิทที่เขารู้จักว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้แม้จะไม่ใช่คนที่คุ้นเคยหรือเข้าใจในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ไปเสียหมดทุกอย่างก็ตามที แต่บางครั้งสำหรับเขาแล้วการได้มองหรือรู้จักใครสักคนเพียงแค่ในส่วนที่คนคนนั้นต้องการจะเปิดเผยออกมาเพียงแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับความต้องการของเขาแล้ว
รูบี้ กล่าวทักทายตามมารยาทพลางโค้งศีรษะเล็กน้อยอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินตามเข้าไปอย่างนึกหวั่นใจกับการมาเยือนบ้านนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต
ที่ผ่านมานั้นโดยส่วนมากแม้ว่าเขาจะเคยใช้เส้นทางมาที่บ้านหลังนี้หลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตามที แต่บอกตามตรงว่าสำหรับเขาแล้วนั้นบานประตูที่มองเห็นมันช่างดูยิ่งใหญ่ราวกับเป็นกำแพงสูงเกินกว่าที่ตัวเขาจะทำใจให้หยุดนิ่งเหมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเขาได้เลย ตลอดทางที่เดินข้ามผ่านเส้นประตูรั้วบ้านเข้ามาขาทั้งสองข้างของเขายังคงสั่นไม่หายแม้จะทำใจมาก่อนแล้วก็ตาม หัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำบ่งบอกถึงความตื่นเต้นที่ได้เข้ามาในเขตพื้นที่ที่เป็นเหมือนอีกโลกที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
สถานที่ที่ดูแปลกตา บ้านที่เธอคนนั้นพักอาศัยและใช้ชีวิตอยู่ในด้านที่ตัวเขาไม่เคยรู้จักหรือพบเห็นมาก่อน ชีวิตประจำวันที่ดูแตกต่างกัน เสียงพื้นไม้ที่ดัง เอี้ยด อ้าด ทุกครั้งที่ขยับเท้าลงไปบนแผ่นไม้มันยิ่งตอกย้ำให้เขาสั่นไหวยิ่งกว่าเดิน เบื้องหน้าสายตาที่เห็นคือแผ่นหลังของคนเป็นพ่อที่ดูยิ่งใหญ่เหมือนขุนเขา ทั้งดูสงบเหมือนสายน้ำที่ไหลนิ่ง แต่บางคราวดูพิศวงและยากจะหยั่งถึงในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ในเวลาเช่นนี้
นานกว่าพักหนึ่งที่ชายหนุ่มถูกพาเดินอ้อมผ่านห้องแล้วห้องเล่า จนข้ามถึงเรือนไม้ที่เชื่อมต่อสู่เรือนด้านหลังที่เป็นทางเชื่อมเฉพาะให้เดินเลาะข้ามผ่านสวนเล็กๆ ที่มีพุ่มไม้เขียวขจีและผืนป่าของเหล่าบุพชาติที่เริ่มเบ่งบานรับแสงอรุณตลอดทั้งวันไม่รู้เบื่อ ป่าของดอกสุมิเระที่กำลังเบ่งบาน
หมู่มวลดอกไม้สีม่วงครามสว่างสดใส อบอวลกลิ่นไอหอมกรุ่นอ่อนๆ เรียงรายเต็มข้างทางที่เดินผ่าน แท่นหินทางเดินแทรกซึมด้วยผืนหญ้าเขียวอร่ามแซมด้วยใบดอกสีเขียวเข้มทะมึนปรากฎดอกเล็กดอกน้อยกระจายเต็มพื้นที่เผยให้เห็นถึงประตูบานเลื่อนตรงทางเข้าที่เด่นชัด แม้ไม่มีคำพูดใดใดเอ่ยถึงแต่ตัวเขานั้นกลับบอกได้เลยว่าเจ้าของห้องเบื้องหน้าคงชื่นชอบดอกไม้ชนิดนี้เป็นพิเศษแน่ ไม่เช่นนั้นแล้วเธอคงไม่ปลูกสุมิเระเรียงรายมากมายถึงเพียงนี้
คุณพ่อเซนที่เดินนำทางมาหยุดหน้าประตูบานเลื่อนของเรือนไม้แห่งหนึ่งโดยไม่บอกกล่าวอะไร นอกเสียจากพูดทิ้งไว้ว่าคนที่เขาอยากพบเธอนอนอยู่ในห้องนี้เพียงเท่านั้น หลายวันที่เขาโทรถามหาและได้รับเพียงแค่เสียงโวยวายกับคำพูดบอกปัดจะพูดคุยกับเขาแม้สักครั้ง จนวันนี้ถึงได้ตัดสินใจจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้โทรมาขออนุญาตหรือพูดคุยอะไรไว้ก่อนแต่ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะรู้ถึงการมาของเขาราวกับกำลังรอคอยไม่ปาน
รูบี้เอ่ยถามถึงอย่างแปลกใจว่าอะไรทำให้เขาแน่ใจว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีธุระกับคนอื่นแต่กลับเหมือนจงใจพาเขาเดินมาถึงห้องนอนของลูกสาวเขาโดยตรงแบบนี้แทน แต่เมื่อถูกทักออกไปแบบนั้นแล้วคุณพ่อเซนกลับยิ้มแล้วตอบกลับมาในสิ่งที่ตัวเขาแทบจะชาไปทั้งตัวแทน
"เดี๋ยวก่อนสิครับ! ผมน่ะยังไม่ทันได้บอกเลยว่าตั้งใจจะมาที่นี่นะครับ แล้วแบบนี้มันจะดีหรือครับที่ให้ผมเข้ามาถึงตรงนี้ได้"
"แล้วไม่ใช่เพราะอยากเจอหรอกหรือครับถึงได้โทรมาหาตั้งหลายครั้งแบบนั้น? เข้าไปเถอะครับผมเองดีใจด้วยซ้ำไปไม่นึกว่าจะมาทันซะอีก ยังคิดอยู่เลยว่าบางทีถ้าเกิดจากไปซะแบบนี้แล้วคนที่นึกเสียดายอาจจะเป็นเธอก็ได้นะรูบี้จัง"
จากไป? คำพูดที่คนคนนั้นต้องการจะบอกกับเขามันหมายความว่ายังไงอย่างงั้นหรือ? ใครจะไปกัน? รูบี้นึกแปลกใจกับสิ่งที่เขาได้ฟังมันเป็นเหมือนกับสัญญาณเตือนของบางอย่าง อะไรสักอย่างที่สำคัญสำหรับเขาเพียงแต่ตอนนี้เขาเพียงแค่ยังไม่แน่ใจเท่านั้น
เสียงหัวใจที่ดังอยู่ในอกมันบอกให้เขาหันไปมองทางประตูเลื่อนที่ปิดอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกวูบไหวแทบจะทำให้เขาหัวใจหยุดเต้นในทันทีเมื่อลองย้อนคิดกับสิ่งที่เซนซังอยากจะบอกกับเขาแล้ว ในใจเขาได้แต่นึกภาวนาขออย่าให้สิ่งที่คิดมันเป็นจริงเลย
มือที่สั่นไหวเลื่อนบานประตูให้เปิดออกอย่างเบามือที่สุด สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือผืนผ้านวมที่มีฟูกนอนถูกปูไว้ไม่ห่างจากบานประตูเลื่อนที่เขาเปิดมันออกมากเท่าใดนัก เรือนผมยาวสยายสีน้ำตาลอ่อนที่เขายังคงจดจำได้ถนัดตา เพียงแค่เห็นว่าเธออยู่ตรงหน้าแบบนี้แล้วเท่านั้นน้ำตามันแทบจะไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
มือที่ยกขึ้นปิดป้องกับริมฝีปากก่อนที่จะทำเสียงดังจนร่างบางตรงหน้าตื่นขึ้นมาเสียก่อน เขาสูดหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อหวังจะไม่ให้น้ำตานั้นไหลออกมาอย่างที่ตัวเขานั้นรู้สึก ดวงตาทั้งสองพลันบ่ายเบนสายตาไปรอบห้องนอนของเธอก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งอย่างไม่อาจจะหายใจได้ทั่วท้องอีกครา
"ซากิ . ." เสียงนุ่มเอ่ยขานชื่อของหญิงสาวด้วยความรู้สึกที่สับสนและงุนงงกับสิ่งที่เห็นอย่างไม่อาจจะทำใจให้ยอมรับมันได้ลง มือแกร่งเอื้อมแตะลงบนเส้นผมละมุนของเธอก่อนจะลูบมันไปเบาๆ แล้วจึงโน้มลงจุมพิตบนดวงแก้มอย่างไม่กลัวว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะไปปลุกเธอจากพะวัง เพราะหากตอนนี้เธอตื่นขึ้นมาจริงคงจะดีเพราะเขาเองมีคำถามมากมายที่อยากพูดออกไปเช่นกัน
ห้องนอนที่ดูโล่งอย่างผิดหูผิดตา กล่องกระดาษที่วางซ้อนกันมีชื่อเขียนอย่างชัดเจนบอกเป็นนัยให้คนที่ไม่รู้อะไรอย่างเขาได้เข้าใจเป็นอย่างดีว่าเธอกำลังจะย้ายออกไปที่ไหนสักแห่ง มากกว่าเพียงแค่สลับสับเปลี่ยนที่วางของเป็นแน่ เพราะข้าวของในห้องดูจะน้อยชิ้นจนแทบจะเรียกได้ว่านอกจากฟูกที่เธอกำลังปูนอนอยู่ในตอนนี้กับกรงของกระต่ายที่เธอเลี้ยงเอาไว้ ของทุกอย่างที่เหลือถูกยกออกไปแทบจะกลายเป็นห้องว่าง
เขาล้มตัวลงนอนข้างๆ เธอก่อนถอนหายใจออกมาอย่างที่ไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกกังวลกับเรื่องของเธอได้มากถึงเพียงนี้ จนแทบจะคิดว่าเหมือนชีวิตประจำวันบางอย่างได้ขาดหายไปไม่มีผิดเลยทีเดียว
ใบหน้าเล็กที่อยู่เบื้องหน้า ตัวเขานั้นยังคงจดจำได้ดีว่ายามที่ดวงตาสีเปลือกไม้นั้นเพ่งมองมาที่เขามันช่างสุกสกาวมากแค่ไหน แววตาที่ชวนสงสัยตลอดเวลาของเธอ พวงแก้มที่มักจะโป่งพองออกด้านข้างเสมอยามที่ตัวเขาเผลอทำในสิ่งที่ขัดใจเธอหรือว่าเวลาที่เธอเห็นเขาให้ความสนใจอย่างอื่นมากกว่า ความทรงจำเล็กๆ เวลาที่มีเธออยู่เคียงข้างผุดขึ้นมาในหัวเขาไม่หยุดหย่อน ช่วงเวลาที่เคยได้ใช้มันร่วมกันชวนให้นึกขำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
"คุณจะไปจากผมจริงๆ โดยที่ไม่ยอมบอกอะไรกันเลยแบบนี้หรือครับ? ทำไมคุณถึงได้ขี้โกงแบบนี้กันตอบผมหน่อยสิ ซากิ!?"
เขาลูบมือไปบนดวงหน้าที่หลับพริ้มของเธอก่อนจะดึงตัวเธอนั้นให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกแนบกายเขาเหมือนเช่นทุกครั้งเวลาที่พวกเขาเคยนอนอยู่ด้วยกันอย่างนี้
จะเป็นเพราะความเคยชินหรือเพราะความรู้ตัวช้าของพวกเขากันแน่ที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรให้เร็วกว่านี้จนเมื่อกว่าจะรู้ว่าจะต้องสูญเสียสิ่งที่เป็นเหมือนสิ่งสำคัญไปแล้วถึงได้เข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะหาสิ่งใดมาแทนที่ได้แม้จะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นหามันก็ตาม . . .
มือที่โอบอุ้มเส้นผมที่ลื่นไหวประดุจเส้นไหมเล็กๆ ที่ถักทอจนขึ้นเงา เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่ส่งผ่านเข้ามาจากลมหายใจที่ร้อนระอุแต่ผิวกายเธอที่เย็นเฉียบนั้นกลับชวนให้เขายิ่งอยากโอบกอดอ้อมแขนนั้นให้กระชับมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม รูบี้ไม่รอช้าเขาขยับแขนให้กอดรัดเธอไว้แน่นขึ้นกว่าเดิมพลางซบใบหน้าลงบนไหล่บางราวกับอยากจะกลืนกินทั้งร่างเธอให้เป็นเหมือนกรงขังที่แน่นหนาเพื่อไม่ให้เธอนั้นบินหนีไปจากเขาไม่ว่าที่แห่งนั้นจะเป็นที่ใดเขาเองไม่อยากให้เธอไปทั้งนั้น
มันอาจฟังดูไม่มีเหตุผล แต่ใครจะสน? เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่อยากจะกอดเธอเอาไว้แค่นั้นเองจริงๆ
จะเป็นเพราะบรรยากาศที่พาไป หรือจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวกับแสงแดดที่เริ่มคล้อยต่ำลงในยามบ่ายกันถึงทำให้ชายหนุ่มที่เคยกระตือรือร้นอย่างเขาถึงได้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนขึ้นมาได้ อารามภบทความเพลียที่เริ่มครอบงำขึ้นทุกทีที่ขยับตัวจนไม่อาจจะทนฝืนรั้งให้เปลือกตานั้นเลื่อนปิดลงเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาทิ้งตัวให้นอนหลับโดยที่มือทั้งสองข้างยังคงกอดรั้งร่างบางไว้ในอ้อมอกไม่ยอมห่าง เสมือนว่าการที่มีเธอนั้นอยู่ใกล้มันช่วยให้จิตใจที่สับสนและว้าวุ่นของเขาพลันถูกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หรือว่าบางทีเขาอาจจะเคยชินกับการนอนที่มีเธออยู่เคียงข้างโดยไม่รู้ตัวแล้วก็เป็นได้
เสียงของลมหายใจที่เริ่มปรับให้สอดคล้องกันโดยธรรมชาติพลันดังแว่วไหวขณะที่พวกเขาต่างนอนหลับไปด้วยกัน กระดิ่งลมพัดเอื่อยๆ เหนือขึ้นไปบนขอบชานหน้าห้องนอนของเธอ แม้จะไม่ก้องกังวาลเหมือนระฆังใบใหญ่ที่เคยได้ยินแต่เสียงเล็กๆ ยามที่สายลมพัดโบกมานั้นมันเป็นเสียงที่ฟังแล้วไพเราะจับใจด้วยปลายลูกกระพรวนผูกติดอยู่ที่ชายเชือกห้อยระย้าของกระดิ่งลม
หลังจากที่คุณพ่อเซนพาแขกที่มาเยือนถึงบ้านไปนั่งพักในห้องลูกสาวของเขาได้สักพักหนึ่งจึงขอแยกตัวไปจัดการยกน้ำหวานและของว่างมาให้ แต่เสียงสนทนาที่ควรจะมีกลับเป็นเพียงความว่างเปล่าและทิ้งไว้ซึ่งความเงียบงันจนผิดสังเกต ทั้งที่ยังคงเห็นว่าบานประตูถูกเลื่อนเปิดค้างอยู่ก็ตาม
ชายหนุ่มวัยกลางคนเดินถือถาดใส่ขนมและน้ำหวานประคองไว้ในมืออย่างระมัดระวัง พลางค่อยๆ เยื้องย่างก้าวเดินเพื่อไม่ให้สะดุดขากางเกงหรือแผ่นไม้กระดานจนสะดุดล้มลงไปด้วยความซุ่มซ่ามของเขาเอง ดวงตาสีน้ำตาลมองลอดผ่านเลนส์แว่นที่สวมใส่เมื่อฝีเท้าของเขามาหยุดยืนที่หน้าประตูห้องนอนของลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา
สีหน้าที่ดูแปลกใจไม่น้อยกับสิ่งที่พบเห็น เมื่อชายหนุ่มที่มาเยือนในวันนี้กลับมานอนกอดลูกสาวเขาที่กำลังนอนหลับไปจนเหมือนกับว่าคนทั้งคู่ต่างกำลังหลับฝันในเรื่องเดียวกันอยู่ไม่ปาน
"ซ. . ซากิ!!" คุณพ่อที่เห็นว่าการที่ลูกสาวของตนมานอนกอดกับฝ่ายชายแบบนี้ในบ้านมันดูจะไม่เป็นการสมควรเท่าไรจึงรีบวางถาดขนมในมือลงบนพื้นข้างตัวก่อนจะเอื้อมมือออกไปหวังจะปลุกลูกสาวของตนให้ตื่นขึ้นมาก่อน แต่ทว่า. . .
มือนั้นพลันต้องลอยเคว้งหยุดอยู่กลางคัน เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดเข้ากับใบหน้าที่ระบายด้วยรอยยิ้มของเธอเข้า รอยยิ้มเล็กๆ ที่ต่อให้เขาไม่ตั้งใจมองยังไงต้องสังเกตเข้าอยู่ดี ซากิเป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยจะยิ้มได้บ่อยนัก และโดยมากรอยยิ้มของเธอมักจะเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกำลังแบกรับความโศกเศร้าและน้ำตาของใครบางคนเอาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ดูสนุกสนานของเธอตลอดเวลา มันจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกหรือเขาควรจะดีใจกันแน่ที่ได้เห็นว่าใบหน้านั้นกำลังมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
สีหน้าในหลายวันที่ผ่านมายังไม่เคยดูดีได้ถึงเพียงนี้ หรือว่านี่จะเป็นเพราะเจ้าหนุ่มคนนี้อย่างงั้นหรือ?
คุณพ่อเซนตีสีหน้าครุ่นคิดขณะที่กำลังพินิจมองดูทั้งสองคนที่ต่างกำลังนอนกอดกันประหนึ่งว่าต่างเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่อยากให้ห่างตัวไป มือแกร่งที่โอบประคองร่างบางไว้เสมือนเป็นกรงเหล็กที่แข็งขันพร้อมจะปกป้องเธอจากทุกสิ่ง ด้วยมือทั้งสองที่กอดรัดไว้แนบกายลมหายใจที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันกับจังหวะการเต้นของเสียงหัวใจที่กระเพื่อมไหวอยู่กลางอก หากไม่ใช่สิ่งที่คุ้นเคย หากไม่ได้เป็นคนที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ดี พวกเขาเห็นทีคงจะไม่ยอมนอนใกล้ชิดกันมากถึงเพียงนี้เป็นแน่
แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่ลูกสาวคนนี้จะโตพอที่จะออกห่างจากอ้อมอกของคนเป็นพ่อไปได้แล้วก็ตามแต่ ความรู้สึกที่อ้างว้างและเหงาหงอยดูจะเข้ามาทดแทนในส่วนที่ลูกสาวของเขาจะต้องออกห่างไป ความรู้สึกที่เรียกว่าความเหงามันคงจะมีรูปร่างแบบนี้กระมั้ง? เป็นความรู้สึกที่เจ็บแปล๊บอยู่กลางอกคล้ายกับว่ามีใครสักคนมาหยิบฉวยเอาของสำคัญไป แต่หากของสำคัญที่ว่านั้นได้ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่า และหากว่านั่นจะไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเข้าใจผิดแต่หากเป็นการตัดสินใจของลูกสาวเขาแล้วมันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำใจเพื่อยอมรับมัน
คุณพ่อเซน ถอนหายใจออกมาก่อนหันไปหยิบเอาถาดขนมแล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป ปล่อยให้สายลมนั้นยังคงพัดผ่านช่องประตูที่เปิดทิ้งไว้เพื่อให้ได้มีอากาศระบายเอาความร้อนจากอุณหภูมิที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาลของธรรมชาติ แม้บางครั้งมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อบางสิ่งที่ดีกว่า แต่บางคนยังคงหวังว่าอากาศที่ดีแบบนี้จะยังคงอยู่กับพวกเขาไปอีกนานต่ออีกสักหน่อยแม้จะรู้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันเป็นได้เพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เพียงแค่นั้น
เวลาที่ล่วงเลยผ่านไปจากตะวันยามบ่ายคล้อยอ่อนๆ แสงอาทิตย์อัสดงเริ่มส่องกระทบผิวก้อนเมฆเป็นสีของยามเย็น สายลมอุ่นๆ เริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นลมเย็นพัดผ่านราวกับสัญญาณเตือนถึงพายุที่กำลังจะก้าวเข้ามาในค่ำคืนนี้ เสียงก้อนเมฆเสียดสีกันจนเกิดประกายแสงวูบวาบบนท้องฟ้าแม้จะไม่มีเมฆตั้งเค้าของสายฝนว่าจะเริ่มโปรยปรายลงมาเมื่อใด แต่คาดการณ์ได้ไม่ยากว่าอีกไม่นานคงได้ยินเสียงฝนตกพรำเป็นแน่
เสียงประตูบ้านที่ถูกเปิดออก พร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสันทัดที่หอบแฟ้มพะรุงพะรังวิ่งเข้าบ้านก่อนที่สายฝนจะเริ่มเทลงมาจนเปียกปอนไปหมด นานาเสะ ใช้แผ่นหลังของเขาดันประตูให้ปิดลงร่องก่อนจะจัดการวางเอกสารในมือทิ้งลงพื้นด้านหน้าประตูเพื่อหยิบเอากุญแจไปไขปิดให้เรียบร้อย สายตาที่หันมาตอนก้มลงเก็บกวาดแฟ้มมาถือไว้เหมือนเดิมนั้นอดที่จะมองดูรองเท้าไม่คุ้นตาอย่างสงสัยว่ามันเป็นของใคร? เพราะนานแล้วที่บ้านของเขาไม่ค่อยจะมีแขกมาเยือนสักเท่าไร หรือว่าจะเป็นคนรู้จักของคุณพ่อ ก่อนที่ความสงสัยของเขาจะมีมากไปกว่านั้นคุณพ่อที่เขากำลังพูดถึงก็เดินเข้ามาถึงหน้าประตูทางเข้าบ้านที่เขากำลังยืนเก็บเอกสารอยู่พอดี
"อ้าว!? นานะจังหรอกเหรอ ป๊านึกว่าเป็นชูร่าเขาซะอีก"
"ชูร่า!? ทำไมรึครับ? " นานาเสะ ทวนถามอย่างนึกสงสัยว่าทำไมคุณพ่อของเขาถึงคิดว่าคนที่มาถึงก่อนจะเป็นชูร่าไปได้ เพราะกว่าที่งานในโรงพยาบาลสัตว์ที่หมอนั่นทำอยู่จะเลิกคงกินเวลาไปอีกกว่าครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้
"ก็วันนี้ชูร่าจังเขาไม่ได้เอาร่มไปด้วยนี่นา ป๊าเลยนึกว่าเขาจะรีบวิ่งหน้าตื่นกลับมาบ้านแล้วหอบเอาหมาแมวหลงทางมาอีกน่ะสิ หะๆ "
"ถ้าแค่หมาแมวหลงทางมาก็ดีสิครับ จำได้ไหมว่าคราวก่อนหมอนั่นเล่นแบกเอาเต่ายักษ์ที่ถูกทิ้งไว้ที่แม่น้ำมาเลยนะครับ แถมก่อนหน้านู้นซ้ำร้ายเข้าไปใหญ่เลย พาอะไรเข้าบ้านไม่พาดันเล่นพาเสือเข้ามารักษาถึงในบ้าน ผมนี่ล่ะหนายใจจริงๆ เลย โชคดีที่วันนั้นพี่โคล์วเขาอยู่ด้วยเลยช่วยพาไปหาที่ปล่อยเสือตัวนั้นเข้าป่าไปได้ไม่งั้นมีหวังชาวบ้านแถวนี้เขาจะได้โทรแจ้งตำรวจมาจับพวกเราหาว่าลักลอบพาสัตว์ป่าเข้ามาในบ้านได้นี่สิ"
นานาเสะ ที่ดูภายนอกไม่ใช่คนที่จะบ่นเรื่องของตัวเองให้ใครต่อใครรับฟังได้ แต่น่าแปลกที่พออีกฝ่ายเป็นคุณพ่อแล้วเขากลับสามารถเปิดใจคุยทุกเรื่องที่อยากระบายออกมาได้อย่างไม่อายใคร คุณพ่อที่ได้รับฟังปัญหาของลูกชายได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะว่าลำพังเขาเองไม่สามารถจะทำให้ลูกๆ ทุกคนรู้สึกพึงพอใจได้ทั้งหมด หรือจะว่าไปแล้วหากจะบอกว่าทางเขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายได้รับความช่วยเหลือจากลูกๆ คงจะไม่ผิดอะไรเพราะอย่างน้อยการที่มีเด็กๆ มาอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้แล้วมันเหมือนว่าทำให้เขาที่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเองเริ่มรู้สึกชอบตัวเองได้มากกว่าแต่ก่อน
"เรื่องเก่าๆ ช่างมันเถอะนะ มาๆ เดี๋ยวป๊าจะช่วยยกแฟ้มไปไว้ที่ห้องให้นะ" คุณพ่อออกปากเสนอตัวช่วยยกของไปให้ แม้ว่าฝ่ายลูกชายคนรองของเขาจะไม่อยากรบกวนใครมากเท่าไร แต่เพราะของที่มีมากจนแทบจะล้นมือแบบนี้การได้รับความช่วยเหลือจากคุณพ่อแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตามแต่ มันก็เป็นอะไรที่ช่วยเขาได้มากเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งสองคนต่างกำลังเก็บแยกแฟ้มเอกสารเพื่อจะยกมันไปไว้ในห้อง ประตูบ้านที่พึ่งจะปิดไปได้ไม่นานพลันถูกเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง ชูร่าที่เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับเนื้อตัวที่เปียกมะร่อกมะแร่กด้วยสายฝนที่ตกแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดลงง่ายๆ เป็นแน่
ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของดวงตาสีทองเดินกลับเข้าบ้านตัวเปียกสมดั่งคำพูดของคุณพ่อไม่มีผิดจะต่างกันเพียงแต่หนนี้เขาไม่ยักกะหอบหมาแมวข้างทางติดไม้ติดมือมาด้วยเท่านั้นเอง
"ชูร่า!! นี่นายไม่ได้เอาร่มไปจริงๆ เหรอ!?" นานาเสะที่เห็นน้องชายของเขาตัวเปียกฝนกลับมาอย่างนี้จึงอดถามไม่ได้ว่าคนที่ปกติแล้วจะระวังตัวอยู่เสมออย่างชูร่าจะลืมพกร่มติดตัวไปด้วยแบบนี้
"หุบปากไปเลยน่า!! ดีแต่ว่าคนอื่นเขานายเองก็ดูท่าจะเปียกกลับมาเหมือนกันไม่ใช่รึไงล่ะ" เพราะไม่อยากจะโดนว่าเหมือนเป็นเด็กๆ อยู่ฝ่ายเดียวเขาจึงเถียงกลับไปบ้างเช่นกัน แต่สำหรับนานาเสะแล้วนั้นเขามีเหตุผลที่จะทำให้ถือร่มกันฝนขึ้นมาใช้ไม่ได้ต่อให้จะพกมันไปด้วยก็ตาม
"หุบปากงั้นเหรอ!? เดี๋ยวนี้นายกล้าพูดกับฉันแบบนี้แล้วงั้นสินะ หา! ห๊า!!" พอถูกน้องชายขึ้นเสียงใส่นานาเสะอดที่จะตรงเข้าไปหยิกแก้มทั้งสองข้างของชูร่าเพื่อเตือนความจำเป็นไม่ได้ว่าเขากำลังแหย่ใครอยู่
"โอ็ย!!! เจ็บนะ ปล่อยได้แล้วเจ้าบ้าโรคจิตนี่!!!" แก้มทั้งสองข้างของชูร่าถูกดึงหยิกจนแดงช้ำไปหมด เสียงร้องโอดครวญของเขาเองดังระงมเพราะความเจ็บที่นานาเสะเองไม่ค่อยจะยั้งมือกับน้องชายเวลาปากเสียใส่เขาอย่างนี้
การทะเลาะกันระหว่างพี่น้องสำหรับคนบ้านอื่นอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะสานความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่สำหรับคนในบ้านนี้แล้วนั้นมันเป็นเรื่องที่ดูจะหนักอกหนักใจคุณพ่อเป็นที่สุด เพราะไม่รู้ว่าวันไหนที่ลูกๆ ของเขาจะเผลอลงไม้ลงมือแบบลืมออมแรงให้กันจนถึงขั้นเลือดตกยางออกได้ เมื่อลูกๆ แต่ละคนต่างมีเอกลักษณ์ที่ดูแล้วแปลกกว่าชาวบ้านทั่วไปกันทั้งนั้น
"พอเถอะนะทั้งคู่น่ะ นานะ ชูร่า ไปเตรียมอาหารเย็นกันดีกว่า" เซน เข้ามาห้ามทัพของทั้งสองคนอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนเรื่องไปเป็นเรื่องของกินแทน ถึงมันจะไม่ได้ทำให้ทั้งคู่อารมณ์เย็นขึ้นในทันทีแต่อย่างน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาเลิกกัดกันตอนนี้ได้
นานาเสะยอมปล่อยมือจากน้องชายจอมกวนของเขาก่อนจะหันไปเก็บรวบรวมแฟ้มทั้งหมดมาถือไว้ในมือของตัวเองด้วยสีหน้าดูจะอารมณ์ไม่ค่อยดีพอๆ กับอีกฝ่าย
"ชิ! ไปเปลี่ยนเสื้อซะสิ เดี๋ยวฉันจะสอนนายทำกับข้าวให้" ถึงปากจะบ่นว่าน้องชายยังไงแต่ในฐานะของคนเป็นพี่แล้วยังอดที่จะเป็นห่วงอนาคตข้างหน้าของน้องชายคนเล็กที่ต่อไปจะต้องรู้จักการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวให้ได้
ชูร่า มองพี่ชายของเขาด้วยสายตาที่งุนงงกับท่าทีในคำพูดที่บอกว่าจะสอนเรื่องการทำกับข้าวให้ เพราะลำพังตัวเขานั้นพอจะมีฝีมือทำอาหารกินได้อยู่แล้วถึงจะเป็นแค่ข้าวแกงกะหรี่อย่างเดียวก็ตาม
"บ้าน่ะ มาสอนฉันทำไมกัน!? ทำไมนายไม่ไปสอนยัยแม่มดนั่นให้ทำอาหารหรือว่าเลิกใส่ยาแปลกๆ ลงในกับข้าวยังจะดีซะกว่า"
"อย่างน้อยซัตจังถ้าเขาได้อ่านตำราอาหารแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำได้ทันที ถึงจะติดใจพวกของสำเร็จรูปก็เถอะนะ แต่นายน่ะมันต่างกันเพราะนอกจากแกงกะหรี่แล้วอย่างอื่นแทบจะกินไม่ได้เลยไม่ใช่รึไง? "
"อึก!"
"พี่โคล์วน่ะถึงเขาจะออกปากเองว่าจะยอมกลับมาเพื่ออยู่ช่วยงานนาย เรื่องกับข้าวกับปลาคงไม่ต้องห่วงก็จริงแต่ยังไงซะพี่โคล์วเขาแค่จะอยู่ช่วยจนกว่านายจะหาใครสักคนมาช่วยงานที่คลีนิคที่จะเปิดนี้ได้เท่านั้นขอให้เข้าใจไว้ซะด้วย" นานาเสะยืดอกคุยอย่างตรงไปตรงมาเพื่อต้องการให้น้องชายของเขาเลิกการผลักภาระให้คนอื่นแล้วหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องรอบตัวได้ซะที ไม่อย่างงั้นก็คงจะยังทำตัวเหมือนเด็กไม่รู้จักความรับผิดชอบแบบครึ่งๆ กลางๆ อย่างงี้ต่อไปอีกเป็นแน่
"เรื่องอย่างงั้นก็ช่างมันซะสิ ยังไงซะฉันน่ะกินแค่ข้าวแกงกะหรี่อย่างเดียวก็ไม่ตายหรอกน่า" ชูร่า ยังคงไม่ยอมรับเรื่องที่เขาจะถูกต้อนเพียงฝ่ายเดียวได้ ถึงจะบอกว่าฝีมือทำอาหารของเขามีดีแค่นั้นก็ตามแต่เรื่องอะไรที่จะต้องโดนคนอื่นมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชแบบนี้เพียงฝ่ายเดียวด้วย
"อ้อ แน่ล่ะพ่อยอดชายลิ้นตะเข้! อย่างนายน่ะต่อให้กินข้าวแกงกะหรี่ติดต่อกันสักร้อยปีคงบอกว่าอร่อยอยู่ดี แต่ฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ!! นายน่ะคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวแบบนี้ไปชั่วชีวิตรึไงกัน!? วันหนึ่งนายก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัวไม่ใช่รึไงเจ้าน้องบ้า!! "
นานๆ ครั้งที่นานาเสะจะเหลืออดจนถึงกับระเบิดโทสะออกมาแบบนี้แม้แต่ปะป๊าเซนเองยังไม่สามารถจะเถียงแทนชูร่าไปได้เพราะรู้ดีว่าทั้งหมดนั้นเพื่อตัวของชูร่าเองอย่างที่นานาเสะว่าไว้ไม่มีผิด
ถึงจะรู้สึกกล้ำกลืนกับความเป็นจริงจนแทบสะอึก แต่ตอนนี้เขาเองไม่ใช่ตัวคนเดียวอยากที่นานาเสะว่านั่นแหละ ถ้าหากเป็นตัวเขาเมื่อก่อนมันคงเป็นอะไรที่ไม่ผิดหากว่าเขาจะทนกินข้าวแกงกะหรี่ที่แสนจะภูมิใจนั้นต่อไปแล้วล่ะก็ แต่ว่าตอนนี้เขาเองก็มีคนที่เขารักแล้ว ขืนให้เธอมาทนกินสิ่งที่เขาเพียงฝ่ายเดียวแบบนี้มันคงเหมือนกับยัดเหยียดให้กินอะไรสักอย่างจริงๆ นั่นแหละ
"เชอะ! เข้าใจแล้วล่ะน่า จะสอนอะไรรีบๆ สอนละกันเพราะฉันเองไม่ได้มีเวลาว่างมากนักหรอกนะ . . . โอ้ย!! ทำอะไรของนายน่ะเจ้าบ้าโรคจิตนี่!! " แม้ว่าชูร่าจะเป็นผู้ชายตัวโตสูงใหญ่แค่ไหน แต่พอถูกนานาเสะเอาแฟ้มเอกสารตีกะบาลเรียกสติซะเต็มเหนี่ยวถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
"ชิ! ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าลูกหมา!! นั่นมันคำพูดฉันต่างหาก! ถ้าว่างมากพอจะเถียงแล้วล่ะก็รีบไปเปลี่ยนเสื้อแล้วไปรอฉันที่ห้องครัวซะ แล้วก็นะ . . . ตั้งแต่วันนี้ไปฉันจะสอนนายทำอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ส่วนที่เหลือนายก็ไปเรียนรู้เอาจากพี่โคล์วเขาละกัน" นานาเสะบ่นเปรยๆ ไปพลางเดินหันหลังกลับขึ้นห้องของตัวเองที่อยู่ชั้นสอง แต่ก่อนที่เขาจะไปยังไม่วายหันมาทำตาดุใส่พลางย้ำถามให้เข้าใจอีกครั้งหนึ่ง
"เข้าสินะที่ฉันพูดน่ะ!!" นัยน์ตาที่เคร่งเครียดจ้องเขม็งไปยังฝ่ายที่เขาต้องการจะถามย้ำมากที่สุด รังสีที่แผ่ออกมาปกคลุมบรรยากาศโดยรอบจนชูร่ายังนึกขยาดไม่อยากสบตาด้วยตรงๆ สักเท่าไร แต่กระนั้นเขายังตอบกลับไปอย่างอ่อมแอ่ม
"เอ่อน่า! ฉันเข้าใจแล้ว" ฝ่ายน้องชายคนเล็ก ยกมือขึ้นเกาศีรษะอย่างรู้สึกเหนื่อยหนายกับการที่ต้องถูกมองว่าเป็นเด็กตลอดเวลาทั้งที่เขาเองไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ แท้ๆ เลยเชียว
ดวงตาสีทองคอยจ้องมองดูจนเห็นว่าอีกฝ่ายเดินขึ้นไปบนห้องของตัวเองแล้วเขาจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ ก่อนจะกลับห้องของเขาบ้าง แต่สายตานั้นยังคงสะดุดลงที่คุณพ่อที่ยังคงยืนมองอยู่ข้างๆ ไม่ได้จึงพูดเปรยๆ พอให้ได้ยินว่า "ผมน่ะไม่ได้เป็นเด็กอยู่ตลอดไปหรอกคอยดูเถอะ ฮึ่ม! "
จะเป็นเพราะชูร่าคือน้องชายคนเล็กของครอบครัวเลยมักจะเป็นที่เอ็นดูของบรรดาพี่ๆ ทุกคน หรือว่าจะเพราะทิฐิที่ไม่อยากให้ใครต่อใครว่าพูดเหน็บแนมว่าตัวเขาเป็นเด็กไม่ยอมโตอยู่แบบนี้กันแน่ จนถึงเดี๋ยวนี้เขาเลยกลายเป็นคนที่ไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ ไปซะแล้ว
เซน มองตามแผ่นหลังของลูกชายที่เดินออกห่างไปอยากรู้สึกเหงาๆ ถึงจะรู้ดีว่าวันนี้จะต้องมาถึงเข้าสักวันแต่ตัวเขาไม่คิดเลยว่าพอเอาเข้าจริงแล้ววันแบบนี้มันมาถึงเร็วไป หรือช้าไปกันแน่ วันที่ลูกทุกคนต่างจะค้นพบเส้นทางที่พวกเขาจะเริ่มก้าวเดินต่อไปด้วยตัวของพวกเขาเองอย่างแท้จริง เส้นทางที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของแต่ละคน แม้ว่าที่สุดปลายทางนั้นอาจจะบรรจบกันหรืออาจจะไม่มีวันได้พบเจอกันอีกก็ตามที สำหรับคนเป็นพ่อแล้วการได้เห็นการเติบโตของลูกควรจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีสินะ
รอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปากของเขาบอกได้ถึงความยินดีที่อย่างน้อยถึงลูกแต่ละคนจะมีนิสัยที่ต่างกันแต่เวลาที่ใครคนหนึ่งพบกับความลำบาก คนอื่นๆ ที่เหลือจะทำทุกอย่างเพื่ออีกคนเสมอมา แม้ว่าบางครั้งมันจะเหมือนวิธีที่ตรงกันข้ามก็เถอะแต่ถ้าผลลัพธ์มันออกมาดีที่เหลือคงต้องให้พวกเด็กๆ เขาจัดการกันเอาเอง ถึงแม้คนเป็นพ่ออย่างเขาจะนึกห่วงลูกๆ ของตนมากเพียงไหนแต่สิ่งที่ดีที่สุดคงมีแต่ตัวของพวกเขาที่จะเป็นฝ่ายเลือกทางเดินที่พวกเขาต้องการด้วยตัวเองเท่านั้น
คราแรกเขาเองนึกครึ้มอยากช่วยลูกๆ ทำกับข้าวบ้างแต่วันนี้คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนานาเสะกับชูร่ากันสองคนจะดีกว่า เซนจึงตัดสินใจที่จะเดินไปในห้องครัวเพื่อไปเตรียมอาหารมื้อเย็นทั้งในส่วนของ มีมี่ กับ จิบิ รวมไปถึงบรรดาพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่ยังนอนพักฟื้นอยู่ในห้องว่างด้านหลังไม่ต่ำกว่า 4-5 ตัว ที่ลูกชายของเขาหอบหิ้วติดมือกลับมาบ้านเมื่อหลายวันก่อน
ขณะที่คุณพ่อกำลังหยิบเอาถุงอาหารหมาและอาหารแมวมาวางไว้บนโต๊ะในห้องครัวเพื่อเตรียมจะเทใส่ชามที่เตรียมเอาไว้ ดูเหมือนจะมีเพียง มีมี่ แมวน้อยตัวเล็กขนปุยเท่านั้นที่เดินออกมาร้อง มี้! มี้! ตรงแถวปลายเท้าราวกับรู้เวลาให้อาหารเป็นอย่างดี แต่สิ่งที่อดคิดไม่ได้จนถึงกลับทำให้มือที่กำลังเทซีเรียลเม็ดอาหารกรุบของเจ้าตัวเล็กลงชามถึงกับหยุดชะงักลงกลางคันเมื่อคิดถึงอาหารของเจ้ากระต่ายในห้องนอนลูกสาวของเขาเข้า เมื่อในห้องนั้นตอนนี้ไม่ได้มีแค่ซากิที่นอนอยู่คนเดียวอีกแล้วแต่จะให้เขาเอาอาหารไปให้เจ้าตัวเล็กนั่นตอนนี้เห็นทีจะรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว สุดท้ายเลยคิดว่าปล่อยให้เจ้าตัวมาเอาอาหารไปให้จิบิเองคงจะดีกว่า
เมื่อคิดแบบนั้นแล้วคุณพ่อจึงวางชามอาหารของมีมี่ไว้ในห้องครัว ก่อนจะยกถุงอาหารหมาพร้อมชามข้าวติดมือไปหาบรรดาพวกที่เหลือทางด้านหลังบ้าน
ละอองสายฝนที่ซัดสาดกระเซ็นใส่บานประตูกระดาษที่ถูกเปิดอ้าทิ้งเอาไว้ แม้จะมีชานไม้คั่นกลางระหว่างความห่างจากขื่นด้านนอกอยู่บ้างแต่ในเวลาที่ฝนตกแรงแบบนี้แล้วหยาดน้ำที่กระเซ็นเข้ามาหย่อมจะมีมากขึ้นเป็นธรรมดา ไอเย็นที่กระทบเข้ามาทางด้านหลังยิ่งทำให้ชายหนุ่มขยับตัวเบียดกอดร่างเล็กในอ้อมแขนมากขึ้นกว่าเดิม เปลือกตาทั้งสองที่ปิดแนบสนิทบอกถึงการเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างแน่แท้แม้ทีแรกตัวเขาตั้งใจเพียงจะเอนหลังนอนเล่นเป็นเพื่อนเธอเฉยๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเผลอตัวนอนกอดเธอแล้วพล่อยหลับไปไม่รู้ตัวแบบนี้ไปซะได้
ยิ่งอ้อมแขนของเขากอดรัดเธอไว้แน่นมากขึ้นเท่าไร ความรู้สึกอึดอัดจนหายใจลำบากยิ่งทำให้ร่างบางรู้สึกตัวทีละน้อยถึงความผิดปกติวิสัยของที่นอนที่ดูเหมือนจะคับแคบจนน่าแปลกใจ แต่กระนั้นหนังตาที่หนักอึ้งกับอากาศที่พัดเย็นของลมฝนยิ่งทำให้เธอนั้นไม่อยากลุกตัวถอยห่างจากความอบอุ่นในตอนนี้ จนเมื่อมือหนักๆ เข้ามาเขย่าร่างของเธอให้ลืมตาตื่นพร้อมกับเสียงเรียกที่ฟังคุ้นหูเหมือนทุกวันที่เธอเผลอนอนกลางวันจนเลยเวลาอาหารเย็นเช่นวันนี้
"ซัตจัง! ซัตจัง!! ตื่นได้แล้ว ซัตจังอาหารเย็นเสร็จแล้วนะ" เป็นนานาเสะที่จัดการเรื่องอาหารเย็นเสร็จแล้วเป็นคนมาเขย่าไหล่บางของน้องสาวเขาให้ลุกขึ้นไปทานข้าวด้วยกัน หลังจากที่เขาสั่งให้น้องชายเป็นคนจัดเตรียมเรื่องนำอาหารขึ้นโต๊ะแทน
ความรู้สึกที่งัวเงียยกเปลือกตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือคล้ายกำลังฝืนตัวเองไปพลาง ชั่งใจให้อยากก้มลงซบใบหน้ากับไออุ่นที่อยู่ต่อหน้าในต่อเวลานานออกไปมากกว่านี้อีกสักนิดก็ยังดี หากแต่คนที่มาปลุกมีหรือจะยอมให้เธอทำเช่นนั้นได้โดยง่ายเพราะยิ่งซัตจังพยายามจะบ่ายเบี่ยงตัวหนีเขายิ่งตามมาหยิกแก้มใสของเธอจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บแปล๊บๆ จนไม่อยากจะนอนต่อไปอีกสักพัก
"จะตื่นดีๆ ไหม? นี่แน่ะ!! ลุกได้แล้วซัตจัง! เลิกไปนอนซบรูบี้เขาแบบนั้นได้แล้ว"
"รูบี้!? รูบี้ไหนอ่ะ? " ซากิที่ตื่นขึ้นมาแบบไม่เต็มตาดีนักขยี้ดวงตาทั้งสองข้างอย่างมึนๆ งงๆ กับคำพูดของนานะจังที่กำลังพูดถึงชื่อของใครบางคนที่เธอเองไม่คิดว่าเขาจะมาอยู่อะไรที่นี่ตรงนี้กัน แต่นานะกลับชี้มือไปทางที่นอนที่อยู่ข้างๆ เธอจนต้องเหลียวไปดูอย่างไม่แน่ใจนักกับสิ่งที่อีกฝ่ายพยายามจะบอกเป็นนัย
"ก็ที่นอนข้างๆ เธอนั่นไง คุณพ่อบอกว่าเขามาหาเธอตั้งแต่บ่ายแล้วเห็นนอนอยู่ด้วยกันเลยเอาผ้าห่มมาห่มให้ด้วยน่ะ ยังไงถ้าตื่นแล้วฝากปลุกเขาให้มาทานข้าวด้วยเลยนะ ส่วนอาหารเย็นของจิบิฉันให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมตามมาด้วยล่ะไม่งั้นกับข้าวจะเย็นเอาซะก่อน" คำพูดที่รัวออกมาติดๆ กันเหมือนเป็นประโยคที่ลอยผ่านเธอไปไม่ปาน เพราะทันทีที่สายตาของเธอไปหยุดลงยังบุคคลที่ไม่คาดคิดมาก่อน หากว่าสิ่งที่นานะพูดกับเธอก่อนที่เขาจะเดินออกไปนั้นเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ หมายความว่าตั้งแต่ตอนบ่ายหมอนี่ก็มานอนอยู่ข้างๆ เธอโดยที่เธอไม่รู้เรื่องอะไรเลยงั้นสิ
เสียงในใจอยากตะโกนกรีดร้องให้ลั่นบ้านแต่อีกหนึ่งก็ไม่อยากเชื่อไปซะทุกอย่างที่มองเห็น ไม่สิตอนนี้เธอเองอาจจะกำลังฝันอยู่ก็ได้ หมอนั่นไม่เคยเข้าบ้านเธอเลยสักครั้งนี่แล้วจู่ๆ จะเข้ามาแบบนี้ทำไมกันน่ะ นี่ต้องเป็นความฝัน!? ใช่!! มันต้องเป็นฝันอยู่แน่ๆ !!
ดวงตาเรียวเล็กสีม่วงครามเบิกกว้างอย่างตกตะลึงถึงบุคคลที่มานอนซบอยู่ข้างๆ เธอเกือบตลอดบ่ายของวันนี้ ทั้งที่พยายามจะหลบเลี่ยงเขามาตลอดแท้ๆ ทั้งที่เธอคิดว่าถ้าไม่ต้องเจอกันในตอนนี้ได้คงจะดีไม่น้อย ทั้งที่คิดอย่างงั้นถึงได้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไปพบ ไม่อยากได้เสียงของเขาแต่ทำไม ทำไมถึงต้องมาในวันนี้ด้วย!
มือเล็กๆ ยกขึ้นปาดดวงตาที่ชื้นเหมือนว่าหากปล่อยไว้นานกว่านี้อีกสักพักเธอคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเป็นแน่
'บ้าน่า!! ฉันน่ะ. . ฉันน่ะ . . . ไม่ได้ดีใจสักหน่อยที่นายมา คนบ้า'
ความรู้สึกที่ท่วมท้นออกมาจนไม่อาจบรรยายได้ถูก เพราะนั่นอาจเป็นเพราะตัวเธอเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา นี่ตัวฉันดีใจอย่างงั้นเหรอ? ทำไมกัน . . ทำไมกันถึงได้รู้สึกอึดอัดมากขนาดนี้กัน ฉันน่ะไม่ได้ดีใจที่หมอนี่มาแลยนะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ
แม้จะคิดเช่นนั้น แม้จะพูดในใจออกมาแบบนั้นแต่เธอก็ไม่อาจจะละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่น้อย สายตาที่มักจะหยุดมองที่เขาตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อไรที่ตัวเธอคิดถึงแต่เรื่องของเขาเสมอมาทั้งที่ระหว่างพวกเราแล้วมันก็แค่ . . . หึ น่าขำละเกินแม้แต่ชื่อที่จะใช้เรียกสิ่งที่พวกเราเป็นกันอยู่ในตอนนี้ฉันยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำไป ระหว่างพวกเราแล้วมันคืออะไรกันแน่นะ ตอบฉันหน่อยสิรูบี้
ซากิ วางมือของเธอลูบไปบนข้างใบหน้าของรูบี้ที่กำลังนอนหลับอย่างไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนั้น เธอไม่ได้อยากปลุกเขาให้ตื่น ไม่ได้อยากจะทำให้เขารู้ตัวด้วยซ้ำไปว่าตอนนี้เธอไม่ได้นอนอยู่ข้างกายเขาอีกต่อไปแล้ว และจากนี้นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้เห็นใบหน้าของเขาตอนนอนอย่างนี้อีกก็ได้
รอยยิ้มละมุนขยับบนริมฝีปากบางให้ขยับออกอย่างช้าๆ ปลายนิ้วที่เกลี่ยไล้กับดวงแก้มที่นุ่มละมุนของอีกฝ่าย ก่อนที่ร่างบางจะก้มตัวลงจุมพิตที่ข้างแก้มของเขาเบาๆ เพียงครู่หนึ่งแล้วจึงยกมือขึ้นแตะบนริมฝีปากของเธอเอาไว้ เวลากับความคิดเสมือนหยุดนิ่งลงชั่วขณะแม้แต่เสียงของสายฝนที่ตกลงมาไม่หยุดหย่อนยังไม่อาจสอดแทรกห้วงความคิดที่หยุดนิ่งของเธอได้
นัยน์ตาสีม่วงอ่อนกระพริบขึ้น-ลง ช้าๆ ก่อนขยับตัวให้ลุกขึ้นยืนเพื่อหวังจะออกจากห้องไปก่อนที่เขาจะตื่น แต่ไม่ทันที่ร่างบางจะได้ถอยหนีไปได้ไกลนักข้อมือเล็กของเธอพลันถูกเขาฉุดรั้งและดึงเข้าไปหาซะก่อน
ร่างเล็กที่ถูกดึงเข้าหาตัวของเขาที่ยังนอนอยู่ก่อนจะโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ซากิไม่คิดว่าเขาจะรู้สึกตัวและตื่นขึ้นมาแบบนี้จึงไม่ทันได้ระวังตัวดีพอ เมื่อถูกจู่โจมเข้าใส่ใบหน้าขาวนวลพลันแดงระเรื่อจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามจะผลักไสให้เธอหลุดออกจากกรงขังที่อบอุ่นนี้ไปให้ได้ก่อน
"ป. . ปล่อยฉันนะ เดี๋ยวปะป๊าก็มาเห็นเข้าหรอก" เสียงประท้วงทัดทานของหญิงสาวเหมือนคำยั่วยุที่มีแต่จะทำให้เขาไม่เพียงจะไม่ยอมปล่อยเธอไปเท่านั้นแต่เขายังหอมแก้มเธอคืนอีก
"เรื่องอะไรผมต้องปล่อยคุณด้วยล่ะ ทีเมื่อกี้ผมยังไม่ว่าคุณเลยสักคำ" คำพูดที่ชวนให้ใจนั้นสั่นไหวกระซิบข้างใบหูที่แดงระเรื่อจนอาบไปทั่วทั้งใบหน้า เพราะหากเขาพูดแบบนี้กับเธอแล้วนั่นย่อมหมายความว่าตัวเขานั้นตื่นมาตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเผลอจูบแก้มเขาแล้วอย่างงั้นสิ?
เมื่อรู้ว่าถูกเขาแกล้งตบตาทำเป็นเหมือนคนนอนหลับแล้วมาฉวยโอกาสตอนเธอไม่ทันระวังตัวแบบนี้แล้วมันน่าแค้นใจนัก ริมฝีปากบางกัดเม้มลงอย่างนึกเจ็บใจที่ถูกเขาหลอกแต่อีกใจกลับรู้สึกกระดากอายที่ดันเผลอตัวทำเรื่องแบบนั้นลงไป
"ถ้าตื่นแล้วก็ลุกซะทีสิ ไม่ได้ยินรึไงที่นานะจังเขาบอกว่าปะป๊าชวนนายไปกินข้าวด้วยน่ะ"
"ได้ยินแต่ยังไม่อยากลุกนี่ครับ จนกว่าคุณจะยอมบอกผมก่อน" รูบี้ต่อรองกับซากิว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอไปไหนทั้งนั้นจนกว่าจะยอมตอบคำถามของเขาก่อน แม้จะรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นฝ่ายเสียเปรียบเขามากแค่ไหนแต่จะถ่วงเวลาให้คุณพ่อมาตามเองตอนนี้คงจะไม่ดีแน่ เพราะเธอเองไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดี
"ไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ไงล่ะว่านายจะถามเรื่องไหนน่ะ"
"เรื่องที่คุณเก็บข้าวของจะหนีผมไปทั้งแบบนี้น่ะสิ คนขี้โกง" ดวงตาสีแดงสดเฉกเช่นเดียวกับชื่อตัวของเขาที่เป็นอัญมณีที่เปล่งประกายกำลังทอแสงจ้องมองเธอไม่ห่าง ยิ่งตอกย้ำการไล่ต้อนไม่ยอมให้อีกฝ่ายวิ่งหนีหายไปต่อหน้าเฉยๆ เป็นแน่
ซากิ ชั่งใจอยู่พักหนึ่งว่าควรจะบอกเขาไปดีหรือจะเก็บเรื่องนี้ไว้ต่อไปกันแน่ เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่เธอกลัวเพราะไม่อาจจะมองเห็นหรือรับรู้เรื่องใดได้ทั้งนั้น ถ้าหากยังอยู่กับเขาแบบนี้นานต่อไปอีกแล้วล่ะก็เธอคงจะถอยห่างจากเขาไม่ได้อีกแน่
"ฉันน่ะไม่ได้หนีนายซะหน่อย . . . " เสียงที่ตอบกลับมาอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไม่อาจทำให้เขาเชื่อได้สนิทใจ การทำให้เขารู้จักเธอมากเกินไปอาจเป็นข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียวที่เธอทำลงไปก็เป็นได้
"โกหก ถ้าคุณไม่หนีแล้วทำไมต้องไปแบบนี้โดยไม่ยอมบอกผมเลยสักคำล่ะ ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลยสักนิด"
"ก็ฉัน . . นั่นน่ะ . . . เพราะว่าฉัน" ใบหน้าเล็กก้มต่ำลงขยับตัวลุกนั่งเพราะตัวเขายอมที่จะคลายอ้อมแขนออกจากเธอ เมื่อตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเห็นที่สุดคือใบหน้าของเธอที่มองได้ใกล้ยิ่งกว่านี้ ปลายคางมนถูกเชยขึ้นเพื่อตอบคำถามที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ
"เพราะฉัน ทำไมล่ะ?. . . " รูบี้ทวนคำพูดนั้นซ้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะหวังเพียงว่าครั้งนี้ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงหรือใครอื่นจะมองเขาแบบไหนเขาเองไม่สนใจทั้งนั้นเพราะสิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้คือ เขาอยากจะรู้ว่าเหตุผลอะไรที่สำคัญมากจนถึงกับทำให้เธอต้องวิ่งหนีเขาไปแบบนี้
ริมฝีปากบางระเรื่อที่เปิดออกไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยคำพูดใดออกไปมากกว่านั้น ใบหน้าของเขาพลันเลื่อนเข้ามาใกล้ก่อนจะกดเม้มริมฝีปากนุ่มลงทาบทับอย่างดูดดื่ม ปิดกั้นทุกคำพูดและลมหายใจที่โอบอุ้ม มือใหญ่กอบกุมเส้นผมสีน้ำตาลไหม้ขณะที่มืออีกข้างของเขารัดตรึงเอวบางของเธอไม่ยอมห่าง
จูบที่หนักหน่วงแต่อ่อนโยนและอบอุ่น ความแข็งแกร่งของอ้อมแขนที่คุ้นเคย กลิ่นกายของเขาที่ยังคงจดจำในสัมผัสทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันได้ไม่เคยลืม และเสียงที่รู้จักยามที่เขาพร่ำเรียกชื่อของฉันมันทำให้รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ทั้งที่ชื่อนั่นไม่ได้แตกต่างอะไรจากชื่อที่คนอื่นเรียกตัวตนของฉันเลยแท้ๆ แต่มันเพราะอะไรกันนะเวลาที่ถูกเขาเรียกด้วยชื่อนี้แล้วฉันยิ่งรู้สึกชอบชื่อนี้และตัวตนที่ฉันเป็นอยู่มากขึ้นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของเขา
"ซากิ . . . อย่าไปเลยนะอยู่กับผมเถอะ ช่วยอยู่ข้างๆ ผมแบบนี้ต่อไปเถอะนะ"
นี่เป็นคำขอร้องของเขาหรือเปล่านะ? หรือว่ามันจะเป็นเพียงแค่คำพูดที่อยากเหนี่ยวรั้งฉันเอาไว้แค่นั้นกันแน่ . . .
ซากิ รู้สึกดีใจเช่นกันที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้มันเหมือนกับคำพูดที่อยากให้เธออยู่ข้างๆ เขาต่อไปเพราะว่าเขาต้องการเธออย่างงั้นสินะ หรือมันจะเป็นเพียงความคิดเข้าข้างตัวเองของเธอฝ่ายเดียว? แต่ไม่ว่าสิ่งนั้นมันจะเป็นอะไรก็ตามผลลัพธ์ที่เธอได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วไม่ว่าใครไม่สามารถจะมาเปลี่ยนความตั้งใจของเธอได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครแม้แต่เขาก็ตาม
รอยยิ้มละมุนขยับยิ้มเล็กๆ ให้เปิดออกบนใบหน้าเล็กที่ซบพิงในอ้อมแขนของเขา เธอยกท่อนแขนที่เรียวเล็กขึ้นกอดตอบเขาเสมือนเป็นการบอกถึงความยินดีที่ได้ยินคำพูดนั้นจากปากของเขา มันเหมือนเป็นคำพูดที่เธอไม่เคยได้ยินมาแสนนานจากใครสักคนที่ต้องการเธอและทำให้เธอยิ้มออกมาได้แบบนี้
"ฉันดีใจนะที่นายพูดแบบนี้ แต่ว่าฉันคงทำอย่างงั้นไม่ได้ เพราะว่าที่นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นสำหรับฉัน!! " มือของเธอเริ่มคลายออกอย่างช้าๆ ก่อนจะดันตัวให้ออกห่างจากเขาเพียงเล็กน้อยเพื่อที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรงๆ อีกครั้ง
"เพราะอย่างงั้นฉันถึงอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีก ไม่งั้นแล้วตัวฉันเองคงจะต้องเป็นเด็กที่ไม่สามารถจะทำอะไรเองได้เลยสักอย่างเดียวแบบนี้ต่อไปแน่ แม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่ตัวฉันต้องการจริงๆ ก็ยังทำไม่ได้ . . . น่าสมเพชสินะ" ซากิเบือนหน้ามองไปทางสายฝนที่โปรยปรายเหมือนเป็นตัวแทนเสียงร่ำร้องในใจเธอตอนนี้
"ปะป๊าเคยพูดไว้ว่าทุกคนไม่ว่าใครต่างมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันขอเพียงแค่หาจุดเริ่มของเราให้เจอ จากนั้นทุกอย่างถึงจะเป็นการเริ่มต้นที่แท้จริง"
รอยยิ้มที่ดูเงียบเหงาของเธอกลับมาอีกคราพร้อมกับมือที่ยื่นมาให้กับเขาหลังจากที่หญิงสาวพลันลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวสำหรับอาหารมื้อเย็นที่รอคอยอยู่ท่ามกลางเสียงของสายฝน
"ที่นี่ไม่ใช่ที่ของฉันและก็ไม่ใช่ที่ของนายด้วย สักวันหนึ่งนายเองคงต้องแต่งงานกับใครสักคนและทำให้คนคนนั้นมีความสุขกับชีวิตครอบครัวของนาย บางทีพวกเราอาจจะได้เจอกันอีกหรือวันนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะยังได้คุยกันก็ตาม แต่อนาคตที่มองไม่เห็นมันก็เป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่ใช่รึไง? หรือว่าไม่ใช่กันล่ะพ่อลูกแหง่"
นัยน์ตาสีม่วงครามมองเขาอย่างท้าทายกับคำพูดที่มักจะอ้างเหตุผลให้เขายอมจำนนได้ซะทุกครั้งไป ถึงจะรู้ ถึงจะเข้าใจ ว่าทุกอย่างที่เธอบอกกับเขาเพียงแค่ต้องการให้ตัวเขานั้นตัดใจและเลิกที่จะเฝ้ารอคอยเธอก็ตามเพราะว่ามันเป็นอนาคตที่มองไม่เห็นงั้นสินะ . . .
รูบี้ถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปคว้ามือเล็กๆ ของเธอเอาไว้แล้วจึงพยุงตัวให้ลุกตามเธอขึ้นมา
"คุณนี่ยังชอบพูดเอาแต่ใจเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ"
"แน่ล่ะ เพราะฉันเป็นซากินี่ แล้วนายเองยังพูดอ้อนฉันเมื่อกี้อยู่เลยนะอย่าลืมสิ" ท่าทางยียวนที่เอานิ้วชี้ขึ้นแตะบนริมฝีปากของเธอมันชวนให้เขานึกอยากจับแม่ตัวยุ่งมากอดซะให้เข็ดแต่ติดที่ว่านี่ไม่ใช่บ้านของเขาและไม่ใช่ที่ที่พวกเขาจะอยู่กันตามลำพัง ตอนนี้จึงจำต้องตัดใจจากเรื่องนั้นไปก่อนไม่งั้นเขาเองคงจะวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเซนซังเป็นแน่ มือที่อยากจะคว้าเธอเอาไว้จำต้องหยุดลงก่อนที่มันจะเผลอทำอะไรตามใจเหมือนอย่างเคย
"ไปกินข้าวกัน! ป่านนี้ชูร่าคงบ่นให้ได้ยินจนหูชาแล้วล่ะ หะๆ " ซากิเดินนำออกจากห้องก่อนพลางนึกถึงสีหน้าแต่ละคนเวลาที่ต้องรอทานข้าวให้พร้อมกัน โดยเฉพาะชูร่าที่มักจะชอบพูดแขวะเธอบ่อยครั้งแต่นั่นเป็นความน่ารักของพ่อน้องชายตัวดีที่เธอชอบใช้เขาเป็นเครื่องแก้เครียดได้เสมอ
แม้ว่ารูบี้จะเดินตามเธอออกมาทีหลังแต่ตัวเขายังอดที่จะเหลียวมองกลับไปยังฟูกนอนที่พึ่งจะลุกกันออกมาด้วยความคิดบางอย่างที่ฉุดรั้งเขาให้มองหันหลังกลับมา มันเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม คล้ายกับมีบางอย่างที่มันทำให้เขาเหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างที่เคยเป็น บางอย่างที่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นผู้หญิงคนนี้
บรรยากาศภายในห้องกินข้าวที่วันนี้ย้ายจากโต๊ะกินข้าวใหญ่ในห้องครัวมาเปลี่ยนบรรยากาศเป็นโต๊ะเล็กในห้องญี่ปุ่นแทน ถึงแม้ว่าปกติแล้วจะไม่ค่อยได้มากินกันในห้องนี้มากเท่าไรเพราะโดยมากมันจะถูกใช้เป็นห้องนั่งเล่นกับห้องรับรองแขกภายในบ้านที่นานๆ ครั้งถึงจะมีมาให้พวกเขาได้ใช้งานมันก็ตาม
โต๊ะโคทัตสึถูกนำออกมาวางอย่างง่ายๆ ภายในห้องขนาด 6 เสื่อ ซึ่งไม่ใหญ่มากนัก ชายหนุ่มทั้งสามต่างนั่งประจำตำแหน่งของตนโดยมีคุณพ่อนั่งอยู่ตำแหน่งหัวโต๊ะ ส่วนชูร่า กับนานาเสะ นั่งด้วยกันทางด้านขวามือเหลือที่ว่างอีกสองที่ไว้รอลูกสาวของเขาพร้อมทั้งแขกของเธอ ช่วงเวลาการรอคอยที่ยาวนานเกือบสิบนาทีดูจะมีแต่เพียงชูร่าที่ออกปากบ่นเหมือนหมีกินผึ้งทุกครั้งที่ต้องเป็นฝ่ายรอใครสักคนเสมอ
"ให้ตายสิ! ยัยนั่นจะปล่อยให้รอไปถึงเมื่อไรกันแน่เนี่ย!? " ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ออกปากบ่นไม่หยุดตั้งแต่ที่เขาเข้ามานั่งเพื่อรอจะทานอาหารฝีมือของตนที่พึ่งจะเคยหัดทำกับพี่ชายของเขาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ทันจะได้เริ่มกินกลับต้องมานั่งรอคนที่มาถึงช้าอยู่แบบนี้แทนความอดทนที่จุดเดือดต่ำของเขาเลยพาลเดือดปุดขึ้นจนแทบจะนั่งไม่ติดราวกับว่าอาหารมื้อนี้เป็นมื้อสำคัญอะไรบางอย่างไม่มีผิดทั้งที่จริงมันเป็นเพียงแค่อาหารมื้อหนึ่งเหมือนทุกวันแท้ๆ
"ถ้านายหิวก็กินก่อนซะสิ ปกติใครจะกินก่อนกินหลังปะป๊าเขาไม่เคยห้ามสักคำแล้วนายจะมานั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งแบบนี้ไปทำไม?" นานาเสะที่เริ่มจะเบื่อหน่ายกับการต้องมานั่งทนฟังน้องชายเขาพูดคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมายังกับเครื่องกรอเทปอย่างงี้มาไม่ต่ำกว่าสิบรอบจึงออกปากขัดขึ้นมา
"ฉันไม่ได้บ่นซะหน่อย ก็มันเรื่องจริงนี่! "
"เรื่องจริงอะไรไม่ทราบ พูดจาให้มันเข้าหูหน่อยสิ" ซากิเลื่อนประตูกระดาษเข้ามาพร้อมกับคุณชายบ้านซาโต้ที่เดินตามมาข้างๆ ถึงจะได้ยินไม่คบทุกประโยคแต่เธอพอจะจับใจความได้ว่าพ่อน้องชายที่น่ารักคงกำลังบ่นกะปอดปะแปดเรื่องเธอเหมือนเคย
หน้าตาที่ไม่ยี่หระซ้ำยังเหยียดยิ้มให้ขณะที่เดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับชูร่าแล้วเว้นที่ข้างๆ ติดกับปะป๊าไว้ให้คุณชายนั่งอยู่ข้างเธอ หรือจะพูดให้ถูกมันเป็นเพียงตัวเลือกไม่กี่ตัวเท่านั้นว่าจะให้เขานั่งข้างใครมากกว่ากันระหว่างนั่งแทรกกลางระหว่างปะป๊าของเธอกับตัวเธอเอง หรือจะให้เธอไปนั่งที่ตรงนั้นแทน แต่เพราะเขาขยับตัวช้ากว่าจึงถูกเลือกที่นั่งให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวที่นั่งระหว่างเธอกับปะป๊าของเธอเท่านั้น
มันเป็นเรื่องที่ตัวเขาค่อนข้างจะลำบากใจนิดหน่อยกับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและการต้อนรับที่ดูจะให้ความเป็นกันเองและสนิทสนมเหมือนว่าเขาไม่ใช่แขกแต่เป็นคนในครอบครัวมากกว่า จนบางครั้งแม้แต่ตัวของรูบี้เองยังอดนึกในใจไม่ได้ว่าที่บ้านนี้พวกเขาปฎิบัติแบบนี้กับแขกทุกคนเลยอย่างงั้นหรือ?
"นี่นายมานั่งนี่สิ เดี๋ยวกับข้าวก็เย็นหมดหรอก" ครั้นเห็นว่าฝ่ายรูบี้เอาแต่ยืนเก้กังเหมือนลังเลใจไม่ยอมนั่งเสียที ซากิจึงกวักมือเรียกให้เขาเข้ามานั่งใกล้ๆ จึงได้ยอมหย่อนตัวลงนั่งข้างเธอโดยไม่ปริปากบ่นอะไรแต่อย่างใด ซึ่งมันทำให้คนอื่นค่อนข้างจะนึกแปลกใจกับความว่าง่ายอย่างนั้นของรูบี้จนอดนึกไม่ได้ว่านี่เขาไปโดนยาสั่งของเธอเข้าหรือจะเป็นเพราะมารยาทที่อบรมมาให้เป็นคนว่าง่ายอยู่แล้วกันแน่
"มีอะไรรึเปล่าครับ?" รูบี้ที่กำลังนั่งลงบนเบาะนุ่มๆ ที่ถูกวางเตรียมไว้ให้นั้นอดสังเกตมองเห็นสีหน้าท่าทางของแต่ละคนที่กำลังมองมาทางเขาเป็นสายตาเดียวเหมือนว่าอยากจะถามอะไรบางอย่าง
"อ้อ เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก นั่งสิ เชิญ เชิญ! อาหารอร่อยนะ หะๆ" นานาเสะที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับเขาพยายามอยากจะพูดให้เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะอย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าอาหารที่เขาทำไม่เคยมีใครบ่นว่าไม่ถูกปากเลยสักครั้งยกเว้นแต่ครั้งนี้เท่านั้น เพียงครู่เดียวจากสีหน้าที่เคยยิ้มแย้มกลับหน้าซีดเซียวลงทันตาเห็นก่อนที่จะเบือนหน้าเฉไฉหันไปทิศทางอื่นพลางถอนหายใจเหมือนว่ากับข้าวมื้อนี้เป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจสำหรับเขาไม่ปาน
"ทำหน้ายังกับปลาตายไปได้ กะอิแค่กับข้าวแค่นี้อย่าทำมาเป็นเรื่องมากกับเรื่องรสชาติไปหน่อยเลยน่า" ชูร่ารู้ตัวดีว่าเรื่องรสชาติกับข้าวอย่างอื่นนอกจากแกงกะหรี่แล้วเขาไม่เคยมั่นใจเลยแต่จะให้มาเสียหน้ากับเรื่องอาหารได้ยังไงกัน ซ้ำยังต่อหน้ายัยแม่มดนี่อีกถ้าไม่ติดว่าเขาไปติเรื่องอาหารของเธอเอาไว้เยอะคงไม่ต้องมานั่งลุ้นจะออกหัวออกก้อยว่ารสชาติตอนปรุงแล้วกับตอนที่ตักใส่ถ้วยมันจะเปลี่ยนไปไหมอย่างนี้หรอก
ถึงคนที่รับบทบาทในการทำอาหารของวันนี้จะรู้สึกตื่นกลัวกับรสชาติแปลกใหม่ของตัวเองกันจนไม่อยากแตะเป็นคนแรกสักเท่าไร ถ้าไม่กลัวว่าสายตาที่สุดแสนจะเย็นชาของหญิงสาวที่นั่งฝั่งตรงข้ามของพวกเขาจะมองมาอย่างยิ้มเยาะที่คราวนี้แม้แต่พี่นานาเสะเองยังต้องมือตกเรื่องการจะสอนใครเรื่องทำอาหารเป็นกับเขาเหมือนกัน
มื้ออาหารที่ดูจะเป็นการนั่งจ้องหน้ากับข้าวที่ไม่มีใครกล้าแตะมันก่อนทุกคนแทบจะถือตะเกียบค้างไว้ในมือพร้อมกับชามข้าว อาหารที่ถูกเตรียมจัดแยกไว้เป็นชุดส่วนตัวแต่ละคนถึงปลาย่างจะเป็นฝีมือของนานาเสะที่พอจะวางใจได้ว่ารสชาติมันคงไม่มีปัญหาอะไร แต่นอกเหนือจากนี้ล่ะ!? ทั้งน้ำซอสข้นๆ เหนียวๆ เหมือนยางอะไรสักอย่างสีเขียวที่อยู่ในถ้วยเล็กๆ ที่พอจะสังเกตเห็นชิ้นส่วนบางอย่างที่พอจะเดาได้ว่าเมื่อชาติก่อนมันคงจะเป็นแตงกวา(?) ผสมลงอยู่ด้วย
ส่วนในถ้วยซุปมิโซะที่ปกติควรจะมีแค่เห็ด เต้าหู้ กับสาหร่าย แต่วันนี้สิ่งที่มันลอยอืดอยู่ในถ้วยนั่นมันเหมือนยางพลาสติกที่ยืดเหนียวแถมยังใช้ตะเกียบคีบไม่ติดอีกต่างหาก เพียงแค่คีบมันขึ้นมาจากของเหลวสีน้ำตาลเข้มขุ่นคั่กจนมองไม่ออกแล้วว่านี่มันซุปมิโซะหรือว่าซุปซีอิ๋วกันแน่มันก็ลื่นหลุดลงในน้ำปริศนานั่นดัง จ๋อม ก่อนจะเห็นเพียงแค่คลื่นวงน้ำกระจายตัวอยู่นิ่งๆ
ที่ร้ายกว่านั้นเห็นจะเป็นสิ่งที่น่าจะเรียกว่า "ก้อนฟอสซิลปริศนาของสะเก็ดอุกกาบาต" คงจะไม่ผิดอะไร เพราะทุกคนต่างพร้อมใจลงความเห็นอยู่ในใจว่ามันไม่น่าจะใช่ของที่กินได้แน่ . . . อะไรสักอย่างที่ถูกนำไปทอดจนแห้งกรอบแทบดำจนไหม้เกรียมไปจนหมด ขนาดเอาตะเกียบจิ้มแล้วจิ้มอีกมันยังจิ้มไม่ลงจะเรียกว่าไม่รู้สึกถึงความนิ่มที่มาจากน้ำในเนื้อเลยสักนิด เพราะคาดว่ามันคงจะแห้งผากจนหมดไปนานแล้ว ดูจากขนาดชิ้นเนื้อที่ใหญ่เท่าฝ่ามือกลับไม่มีรอยตัดเป็นชิ้นพอดีคำนั่นหมายความว่าขนาดมีดยังตัดมันไม่เข้าแล้วแบบนี้ขืนเอาเข้าปากไปมีหวังฟันคงหลุดเป็นแถบแหงๆ
"เอ่อ . . อันนี้มันอะไรหรือครับ?" รูบี้จิ้มตะเกียบไปทางสิ่งที่เขาไม่รู้ว่าจะเรียกมันเป็นอาหารที่กินได้ หรือว่าอาหารเทรนใหม่กันดี ความรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ว่าหากเขาไม่แตะอะไรกินเลยมันคงจะเป็นการเสียมารยาทแน่ แต่การจะทดลองหยิบชิ้นไหนเข้าปากก่อนมันดูไม่ต่างจากการเลือกว่าจะกินยาพิษตัวไหนก่อนหลังเท่านั้นเอง
ขณะที่เขากำลังลังเลใจอยู่นั้นมือของคนที่นั่งข้างเขาเลื่อนไปคีบเนื้อปลาซัมมะที่ย่างพอได้ที่และรสชาติสดใหม่ขึ้นมากินอย่างไม่รอช้า มีเพียงเธอกับชูร่าที่เริ่มลงมือกินอาหารพวกนั้นเข้าไปทีละอย่างเหมือนว่ามันเป็นอาหารปกติที่กินได้อย่างไม่รู้สึกอะไร มีเพียงแค่ปะป๊าเซนกับนานาเสะเท่านั้นที่ก้มหน้าก้มตาเลือกกินแต่ปลาย่างเพื่อรักษาชีวิตรอดพ้นจากอาหารมื้อนี้ไปได้
"เป็นอะไร? ไม่รีบกินเดี๋ยวจะไม่อร่อยนะ" พอเห็นว่าเขาเอาแต่มองดูเวลาที่เธอกินเพียงอย่างเดียวโดยไม่ยอมขยับมือเลยแบบนี้ ซากิเลยทักเขาออกไปด้วยความสงสัย
"อ้อ อืมนั่นสินะ ถ้าไม่กินคงจะ. . . " พอถูกเธอท้วงเข้าเขาจึงนึกได้ว่าคงต้องเริ่มลงมือทานข้าวบ้างแล้ว แต่พอเหลือบมองดูอาหารบนโต๊ะยังไงซะจะให้ทำใจยอมรับมันตอนนี้มีแต่จะกลืนน้ำลายลงคอยังลำบาก มือที่สั่นเล็กน้อยเลื่อนตะเกียบลงเหนือจากของก้อนวัตถุสีดำๆ ที่เดาว่าคงจะเป็นเนื้ออะไรสักอย่างชุบแป้งทอด(?) แต่ไม่ทันที่ตะเกียบของเขาจะได้สัมผัสมันจานนั้นกลับถูกยกสลับกับจานของปลาย่างที่คนนั่งข้างๆ เขาพึ่งจะชิมมันไปได้แค่คำเดียวเท่านั้น
"อื้อ เอาไปสิ" เธอยื่นจานปลามาสลับกับอาหารทุกอย่างตรงหน้าเขาขณะที่ในปากยังคงคาบตะเกียบไม้ค้างเอาไว้อยู่ แต่มือทั้งสองข้างกับสลับตำแหน่งอาหารเป็นระวิงพอๆ กับชูร่าเองที่แลกจานปลาย่างกับ กับข้าวในส่วนของนานาเสะและของปะป๊า พวกเขามักจะทำอย่างนี้เสมอเวลาที่รู้ว่าอาหารอะไรที่ใครจะกินได้หรือกินไม่ได้ถึงบางครั้งจะออกปากบ่นไปบ้างเรื่องรสชาติอาหารที่ถูกตำหนิใส่ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะบังคับให้ใครมานั่งกินกับสิ่งที่อาจจะถูกโยนลงถังทันทีที่มันถูกวางไว้บนโต๊ะ
"อ่ะ! เปลี่ยนทำไมกันครับ!?" รูบี้ท้วงขึ้นเพราะไม่อยากให้เธอรีบเปลี่ยนจานโดยที่เขายังไม่ทันได้ลองชิมมันเลยสักคำ เพราะไม่แน่ว่าบางทีถึงหน้าตามันจะไม่น่าทานเท่าไรแต่รสชาติอาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้เพราะไม่งั้นแล้วพวกเธอสองพี่น้องคงไม่ตั้งหน้าตั้งทานกินโดยไม่รู้สึกอะไรแบบนี้แน่
แต่สิ่งที่มองเขากลับมา กลายเป็นสายตาที่ดูเย็นชาเหมือนไม่อยากเชื่อหูในสิ่งที่ได้ยินเท่าไรแทน
"ห๊า!? แน่ใจเหรอว่านายจะลองท้าทายกับของแบบนี้ดูน่ะ ฉันว่าอย่าดีกว่าเดี๋ยวเกิดนายเข้าโรงพยาบาลหรือเป็นอะไรไปพวกฉันเองไม่อยากวิ่งหาข้อแก้ตัวแทนนายหรอกนะ"
"ท้าทาย?" เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยรึไงนะ? หรือว่ามันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่นี่กันไปแล้ว
"ขอโทษทีนะรูบี้ วันนี้เลยได้กินแค่นี้เองเอาไว้วันหลังลองหาโอกาสมาเที่ยวอีกสิ รับรองเลยว่าคราวหน้าจะเตรียมของกินอร่อยๆ ไว้ให้กินจนเบื่อเลยล่ะ หะๆ " เซนยังคงอารมณ์ดีได้ทุกสถานการณ์เหมือนเช่นเคยจนบางทีเขาเองยังนึกแปลกใจว่าคนคนนี้จะมีบ้างไหมที่จะนึกขุ่นเคืองอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง
"ครับ ถ้ามีโอกาสผมจะลองแวะมาที่นี่ดูนะครับ" รูบี้ตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่ต่างกัน ก่อนจะหยิบจานปลาของเขาเลื่อนไปให้เซนที่นั่งข้างๆ เขาแทนโดยเหลือไว้เพียงแค่จานปลาที่ได้รับมาจากซากิอีกต่อหนึ่ง
"ก่อนจะมาผมทานอะไรไปบ้างแล้วล่ะครับ ตอนนี้เลยไม่หิวเท่าไร" ทั้งที่จริงข้าวเช้าเขาแทบจะไม่ได้กิน ตอนเที่ยงพอเสร็จงานรีบตรงมาบ้านเธอแทบจะทันที แต่จะรับจานกับข้าวมามากอย่างนี้เขาเองคงรู้สึกไม่ดีแน่ ทว่าจานที่เลื่อนให้กลับถูกเลื่อนคืนแทบจะทันทีด้วยเหตุผลที่ไม่ว่าใครในบ้านต่างรู้จักนิสัยของปะป๊าคนนี้เป็นอย่างดี
"ขอบใจนะแต่มื้อเย็นผมคงกินเยอะไม่ได้หรอกครับ"
". . . "
คำพูดที่ชวนให้สงสัยกับคำถามที่อยากถามออกไปแบบเคยตัว แต่คนรอบข้างทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันกับกิจกรรมในบ้านที่มักจะมีขึ้นทุกวันจนเคยชินกันไปแล้ว
"เพราะจะรอมื้อต่อไป"
"มื้อต่อไป?" คำตอบของพวกเขาทำให้รูบี้นึกในใจว่า บ้านนี้เขากินกันกี่มื้อกันแน่นะ
รสชาติอาหารแต่ละคำถึงจะเป็นแค่ปลาย่างกับข้าวเปล่าแต่มันกับให้ความรู้สึกอร่อยจนเหมือนกินอาหารฝีมือเชฟชื่อดังไม่มีผิด ทีแรกเขาเองคิดว่าถ้าเป็นปลาย่างธรรมดารสชาติมันคงไม่ได้แตกต่างกันนักแต่นี่มันไม่ใช่เลย เพราะเนื้อปลายังมีรสชาติความสดใหม่เหมือนพึ่งจับมาไม่มีผิด
"อ. . อร่อยจัง ปลานี่ย่างได้พอดีจนแทบไม่อยากเชื่อเลยครับว่าจะมีคนทำแบบนี้ได้ ทั้งปลาก็สดใหม่แถมข้าวนี่ก็หุงได้ไม่มีที่ติ ข้าวดีปลาอร่อยผมต้องขอบคุณเลยล่ะครับที่วันนี้ช่วยเลี้ยงของดีๆ อย่างนี้กับผม ขอบคุณนะครับ" ชิ้นปลาที่ถูกหยิบขึ้นมาพินิจมองก่อนจะหยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวทีละน้อยเพื่อให้ซึมซับถึงรสชาติความหอมหวานจากน้ำมันที่ไหลซึมออกมา ยิ่งพอได้เคี้ยวพร้อมกับเม็ดข้าวอวบเม็ดโตที่หุงจนนุ่มและหอมน่าทานด้วยแล้วยิ่งเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานนี้จนแทบไม่ต้องมีเครื่องเคียงเลยทีเดียว
"อ้อ ข้าวนั่นหมอนี่เป็นคนหุงน่ะ ใช้ได้เลยใช่ไหม? มีดีแค่นี้แหละนะนอกนั้นก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ" เสียงที่ป่าวประกาศทั้งยังกลั้วหัวเราะอย่างนึกขำเมื่อนึกถึงข้อดีที่พอจะเอามาชมได้ของน้องชายคนเล็ก
"เหอะ! ข้าวแกงกะหรี่ฉันก็อร่อยไม่แพ้ใครเหมือนกันล่ะน่า นี่นาย อยู่ค้างซะสิ! พรุ่งนี้ฉันจะได้สงเคราะห์ทำข้าวแกงกะหรี่ที่อร่อยที่สุดในโลกให้นายกินเองตกลงตามนี้แหละ" กินข้าวไปได้เพียงไม่กี่คำ รูบี้ดูจะถูกคนในบ้านนี้กำหนดกฎเกณฑ์ตามอำเภอใจโดยไม่สนใจว่าตัวเขาจะคิดยังไงจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทั้งพี่ - น้อง คู่นี้นิสัยเหมือนกันยังกับแกะเลยจริงๆ
ชูร่า ที่ดูจะภูมิอกภูมิใจที่ถูกชมเรื่องข้าวถึงกับยืดอกบอกให้อีกฝ่ายค้างคืนที่บ้านเพื่อรอชิมอาหารฝีมือเขาตอนเช้า แต่จู่ๆ จะให้ค้างบ้านคนอื่นโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนแบบนี้เขาเองไม่รู้จะพูดยังไงออกไปเหมือนกัน
"ค้างเหรอครับ? คงไม่ได้หรอกครับขืนทำแบบนั้นรบกวนเซนซังแย่เลย อีกอย่างผมเองยังไม่ได้บอกนันจิซังเขาไว้ด้วยเพราะงั้นคงไม่ได้หรอกครับ" รูบี้รีบเอ่ยปากบอกปัดทันที ถึงแม้ว่าสายตาจะเหลือบมองไปทางร่างบางที่นั่งอยู่ข้างๆ จนเผลอคิดไปว่าถ้าหากเขาได้ค้างแล้วล่ะก็มันแปลว่าเขาจะได้อยู่กับเธอทั้งคืน!?
ความรู้สึกวูบไหวชั่วขณะหนึ่งมันทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัวจนแทบพูดไม่ออก ทั้งความคิด รวมไปถึงการจะจับตะเกียบขึ้นมาทานข้าวต่อไปก็ตาม
"เรื่องนันจิไม่ต้องห่วงนะเพราะผมโทรไปบอกให้แล้วล่ะว่ารูบี้จังจะมาทานข้าวด้วย แต่เรื่องค้างยังไงเดี๋ยวค่อยโทรไปอีกรอบก็ได้" เซนตอบออกไปเหมือนเป็นเรื่องที่รูบี้จะตัดสินใจยังไงเขาไม่ขัดข้อง และอีกอย่างรูบี้เองไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่จะต้องหวงว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้เมื่อตัวเขาโตเป็นผู้ใหญ่พอที่จะเรียนรู้การรับผิดชอบชีวิตของตัวเองรวมไปถึงการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ตัวเขาจะต้องเผชิญต่อไปในอนาคต
"โทรไปแล้วรึครับ? อา. . ผมลืมไปซะสนิทเลย" พอรู้ตัวอีกทีเขาเองตกใจไม่น้อยเช่นกัน ทั้งที่ไม่น่าจะลืมเรื่องสำคัญขนาดนี้ทั้งที่เป็นครอบครัวที่เขาเคยให้ความสำคัญมาก่อนเรื่องอื่นแท้ๆ เชียว
"ไม่ต้องทำหน้าสลดขนาดนั้นหรอกน่า นายเนี่ยทำยังกับว่าในชีวิตไม่เคยไปค้างข้างนอกหรือว่ากลับบ้านดึกซะอย่างงั้นแน่ะ พ่อลูกแหง่"
"ซัตจังอย่าไปว่ารูบี้เขาอย่างงั้นสิ บางทีเขาอาจจะมีเหตุผลอะไรก็ได้จริงไหมรูบี้?" เซนที่ไม่อยากเห็นลูกของเขาตั้งแง่ทะเลาะกับใครขึ้นมาจึงเอ่ยปากแก้ตัวแทนลูกชายของเพื่อนแม้ว่าครั้งนี้ใครจะเป็นฝ่ายผิดมากน้อยกว่ากันก็ตาม
". . . "
ชายหนุ่มที่ถูกถามไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เพราะเขานั้นยังคงเอาแต่จ้องมองไปทางคนใกล้ตัวอย่างเคืองๆ เพราะถึงมันจะจริงอย่างเธอว่าแต่เขาไม่ชอบที่ถูกเธอมาเรียกว่าเป็นลูกแหงอยู่แบบนี้ เพราะเขาคิดว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กติดพ่อ - แม่ แบบนั้นซะหน่อย
"แต่จะว่าไปแล้วรูบี้เองก็โตเป็นหนุ่มขนาดนี้ไม่คิดจะแต่งการแต่งงานบ้างหรือครับ? หรือว่าตอนนี้กำลังคบหาดูใจกับใครเป็นพิเศษอยู่รึเปล่านะ?" จู่ๆ ปะป๊าเซนโพล่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำเอาคนที่ถูกเอ่ยถึงแทบจะสำลักข้าวที่พึ่งกินเข้าไปออกมาจนหมด
"แค่ก! แค่ก! พูดเรื่องอะไรกันครับผมน่ะยังไม่คิดเรื่องนี้ เอ่อ. . . คือ ผมน่ะยังไม่มีใครเป็นพิเศษอย่างงั้นหรอกครับเซนซัง" ใบหน้าของรูบี้ยามที่พูดถึงใครสักคนเป็นพิเศษมันกลับฉายแววตาที่กลบเกลื่อนความจริงบางอย่างรวมไปถึงสีหน้าที่แดงระเรื่ออ่อนๆ ของเขาราวกับเด็กน้อยที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่มแล้วถูกพ่อ - แม่ ถามถึงคนรักไม่มีผิด
น้ำเสียงที่สั่นคลอเล็กน้อยกับประโยคที่พูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่เคยมีใครที่พอจะเรียกว่าเป็นคนรักจริงๆ ได้ ทั้งกับเธอ. . . กับซากิแล้ว มันเป็นเหมือนสายสัมพันธ์บางอย่างที่ผูกมัดพวกเขาเอาไว้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะเรียกว่าความรัก ไม่ใช่สิ่งที่เกิดจากความใคร่ หากแต่เป็นความรู้สึกที่มันลึกล้ำมากไปกว่านั้น ความรู้สึกที่เหมือนรากไม้ที่จมดิ่งและฝังรากลึกจนไม่อาจจะถอนตัวไปได้
"ไม่มีจริงๆ เหรอ!?" เสียงที่เค้นถามพลางเลื่อนใบหน้าเข้ามาสบตาสีแดงนั้นอย่างใกล้ชิดเหมือนต้องการจะค้นหาความจริงในดวงตาของเขา เวลาที่เซนซังทำท่าทางจริงจังมองลอดแว่นออกมาแบบนี้แล้ว ความรู้สึกกลัวบางอย่างมันทำให้รูบี้อดที่จะขยับตัวออกห่างไปเองโดยธรรมชาติ
"ไม่มีจริงๆ ครับ" เขาส่ายมือบอกเพื่อยืนยันในความจริงเรื่องนี้ แต่มันดูจะทำให้เซนรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยกับคำตอบของเขา
"เฮ่อ~ งั้นก็น่าเสียดายจังนะ คงจะผิดหวังแย่เลย" เซนถึงกับบ่นอุบอย่างนึกเสียดายที่ไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเอาไว้
ลูกๆ แต่ละคนต่างหยุดชามข้าวในมือไว้แล้วมองดูปะป๊าที่ไม่เคยเห็นแสดงท่าทีผิดหวังแบบนี้นอกจากเรื่องการ์ตูน กับงานเทศกาลขนม ที่กลายมาเป็นงานอดิเรกที่ปะป๊ามักจะไปเสมอถ้าไม่ติดธุระอะไรแล้ว เพราะงั้นในกรณีนี้จึงค่อนข้างจะเป็นจุดสนใจของพวกลูกที่อยากรู้มากว่าอะไรถึงทำให้ปะป๊ารู้สึกท้อแท้ใจได้มากขนาดนี้
"น่าเสียดายอะไรหรือครับ?" ถึงจะยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ เพราะเขาเองพึ่งจะนึกได้ว่าเมื่อครู่เผลอไปนอนอยู่กับซากิอย่างเคยตัว ไม่รู้ว่าเซนซังเขามาเห็นจะคิดยังไงบ้างแต่ว่าดันเผลอหลุดปากถามกลับไปซะแล้ว
ปะป๊าเซน เหลือบสายตามองเหมือนชั่งใจบางอย่างก่อนจะตอบออกไปเหมือนคนเปรยแบบบ่นๆ มากกว่าการตอบคำถามจริงๆ จังๆ
"ก็ถ้าเป็นแบบนั้นจริงนันจิสงสัยคงต้องอดอุ้มหลานแน่น่ะสิปะป๊าถึงได้เสียดายไงล่ะ"
"หลานหรือครับ. . ." คำๆ นี้ดูจะทำให้รูบี้นึกหวั่นใจไม่น้อยกับปฎิกิริยาของเขาเพียงแค่ลองนึกวาดภาพถึงสิ่งที่ผ่านมาเท่านั้นมันแทบจะทำให้เขาหน้าถอดสีได้ไม่ยากเลยทีเดียว ฝ่ามือที่ถูกดึงขึ้นมาปิดริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว เพราะที่ผ่านตัวเขาเองไม่เคยนึกเอะใจถึงเรื่องนี้มาก่อนถ้าหากเป็นอย่างงั้นจริงคงเป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกผิดมากที่สุดในชีวิต
บรรยากาศรอบข้างที่ดูอึมครึมและเงียบงันภายใต้ความรู้สึกที่ตรึงเครียดนั้น เห็นทีจะมีคนหนึ่งที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรซ้ำยังหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุกกับเรื่องบางอย่างเสียด้วยซ้ำ
เธอไม่ได้รู้สึกกังวลถึงเรื่องที่รูบี้จะแต่งงานกับใคร หรือมีลูกสักกี่คน แต่สิ่งที่มันทำให้เธอนึกอดขำไม่ได้คือ ถ้าหากเด็กคนนั้นหน้าตาออกมาเหมือนพ่อของเขาราวกับโขลกพิมพ์เดียวกันมาแล้วมันคงจะน่าขำพิลึกเลย
"อุ๊บ! หะๆ ฮะ ฮ่า ขอโทษทีนะแต่ว่ามันอดไม่ได้น่ะ ลองคิดดูสิถ้าลูกของนายออกมาหน้าเหมือนนายยังกับแกะคงสนุกพิลึกเลยนะมีคนหน้าเหมือนกันตั้งสองคนแต่ต่างไซส์กันเท่านั้นเอง"
"ไม่เห็นจะขำตรงไหนเลย แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้อยากมีลูกชายสักหน่อยถ้าจะมีล่ะก็มันต้องลูกสาวสิ!! เด็กผู้หญิงน่ะตัวก็เล็ก แล้วยังน่ารักกว่าตั้งเยอะยิ่งเวลาที่เรียก . . . เอ่อ . . . . อืม . . เวลาที่เรียกแบบนั้นแล้วมันก็ . . . เอาเป็นว่ายังไงถ้าจะมีลูกของผมก็ต้องเป็นลูกสาวเท่านั้น!!"
ทั้งที่ตัวเขาไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเถียงกับเธอในเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ด้วย แต่รู้ตัวอีกทีดูจะมีเธอนี่แหละที่เป็นผู้หญิงที่เขารู้สึกว่าสามารถคุยได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทั้งยังไม่ต้องคอยเก็บความรู้สึกหรือเก็กสีหน้าท่าทางว่าต้องวางตัวยังไง
ชูร่า กับนานาเสะ เลิกที่จะให้ความสนใจกับคำถามที่ดูน่าเบื่อสำหรับพวกเขาจึงหันไปทานข้าวต่อ เพราะนานาเสะเองมีงานที่ต้องรีบไปทำต่อให้เสร็จจะมัวมานั่งพิรี้พิรัยนั่งกินข้าวต่อแบบนี้คงไม่ได้
"แล้วถ้าเป็นลูกชายล่ะนายจะว่ายังไง?" เพราะแหย่เขาจนเหมือนเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วเลยไม่อยากเป็นฝ่ายหยุดก่อนจึงได้ลองถามแหย่เขาเล่นๆ ดู แม้จะรู้ว่านั่นมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอก็ตาม
"ฮึ่ม! ไว้ถึงตอนนั้นจริงผมค่อยคิดละกัน ว่ายังอยากมีลูกต่ออีกรึเปล่า ถ้าไม่คงต้องหยุดแค่นั้นแล้วถึงจะไม่ใช่ลูกสาวก็เถอะ" ครั้นพอได้ตอบเธอออกไปแบบนั้นแล้วเขาจึงพึงรู้ตัวว่าเผลอพูดเรื่องที่เหมือนกับเป็นเรื่องที่น่าอายมากยังไงยังงั้นไม่มีผิด ใบหน้าของเขาเผยสีแดงระเรื่อบางๆ อาบบนดวงแก้มอย่างเห็นได้ชัด เจ้าของใบหน้านั้นพยายามหลบเลี่ยงหันหน้าไปทางอื่นเพราะคนที่เขาไม่อยากให้เห็นเรื่องน่าอายในเวลานี้ที่สุดกลับเป็นเธอที่คอยเอาแต่จ้องมองเขาตาแบ๋วแบบนั้น ซ้ำยังยิ้มระรื่นได้อีกเห็นแล้วมันช่างน่าเจ็บใจนัก
ใบหน้าของรูบี้ที่กำลังเขินอายอยู่นั้นกลับดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูกหรือจะพูดว่ามันเป็นใบหน้าที่พวกเขาจะได้เห็นเฉพาะตอนที่เด็กหนุ่มคนนี้อยู่กับซากิเท่านั้นหรือ . . .
จะเป็นเพราะความอยากรู้หรือเพราะอยากหยอกเย้า เซนที่เห็นและได้ยินคำพูดที่รูบี้พูดคุยกับซากิ ลูกสาวของเขาแล้วจึงถามขึ้นมา
"ที่ว่าอยากให้ลูกสาวเรียกน่ะหมายถึงให้เรียกว่า คุณพ่อ ใช่ไหม? จะว่าไปแล้วผมเองยังไม่เคยมีใครเรียกอย่างนี้ด้วยสิ ถ้ายังไงรูบี้จังจะลองเรียกผมว่าคุณพ่อบ้างก็ได้นะครับ"
นานาเสะกับชูร่าที่ได้ยินปะป๊าของเขาเอ่ยอย่างงั้นขึ้นมาถึงกับมองตาค้างพลางพูดอะไรไม่ถูก มันเหมือนกับว่าสติพวกเขาแทบจะหลุดลอยออกไปชั่วขณะเลยทีเดียว
" . . . อ่ะ ! . . . . . อืม คงไม่ได้หรอกครับ" รูบี้บอกปัดออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากจะเรียกอย่างนั้นแต่ว่า
"นั่นสินะครับ ผมคงจะขออะไรไม่เข้าท่าจริงๆ หะๆ " พอได้ยินคำพูดแบบนั้นแล้วมันเหมือนกับการถูกปฎิเสธจนปั้นสีหน้าไม่ถูกเหมือนกัน
"ม . . ไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ! แต่ว่า คือผมน่ะ. . แม้แต่นันจิซังเองผมก็ยังไม่เคยเรียกเธอว่า แม่ ด้วยซ้ำ ถ้าจะต้องมาเรียกคนอื่นแบบนั้นแล้วมันก็"
คำตอบที่พยายามจะหาเหตุผลเพื่อถนอมน้ำใจคนอื่นและไม่อยากจะให้ถูกเข้าใจผิดนั้นมันทำให้กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว คำตอบของรูบี้ชัดเจนแล้วว่าเขาเป็นเด็กขี้อายที่ไม่กล้ายอมรับความเปลี่ยนแปลงในหัวใจที่ดื้อรั้นของเขา
เซน โล่งอกกับคำตอบที่ได้ฟังมันเหมือนกับว่าเขาได้มองเห็นหัวใจที่ใสบริสุทธิ์ที่ยังคงความเป็นเด็กแฝงไว้ในตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ข้างในลึกๆ จิตใจของเขา
"ได้ฟังแบบนี้แล้วผมค่อยโล่งใจหน่อยนึกว่าจะถูกรูบี้จังเกลียดซะแล้วสิ ทีแรกผมนึกว่าเพราะไม่ชินซะอีกนะก็นันจิซังเขาไม่เห็นพูดเลยนี่ว่า ฮาจิ เขาจะกลับมาเที่ยวบ้านบ่อยๆ เลยคิดไปเองซะอีกถ้าฮาจิซังเขามาที่บ้านบ่อยล่ะก็รูบี้จังคงจะชินที่จะเรียกคุณพ. ."
คำพูดที่ยังค้างคาพูดไปไม่ทันจบกลับถูกขัดขึ้นด้วยเสียงกัดเขี้ยวเล็ดลอดจากไรฟันที่ขบกรามแน่นสนิทด้วยอารมณ์ที่กำลังพรุพร่านขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อของคนคนนั้นขึ้นมา จนแม้แต่มือที่วางอยู่ข้างตัวยังเกร็งจนสั่นไปหมดทั้งตัว ถึงไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติอันน้อยนิดนี้แต่เธอที่คอยมองดูเขามาตลอดมีหรือจะมองข้ามมันไป
"อา. . . งั้นหรือครับ นันจิซังยังพูดถึงคนคนนั้นอีกหรือครับ" น้ำเสียงที่ดังลอดออกมาชวนให้นึกหวั่นใจแก่ผู้ที่ได้ยิน มันทั้งสั่นคลอนและเย็นยะเยือกเหมือนเห็นเกลียวคลื่นความชิงชัง ริษยา โกรธา และเกรี้ยวกราดในเวลาเดียวกัน หากแต่มันเป็นถ้อยคำที่เจ้าตัวนั้นพยายามระงับอารมณ์ไม่ให้พุ่งขึ้นสูงไปมากกว่านี้
"อะไรนะ!? กินข้าวอิ่มแล้วอยากเข้าห้องน้ำงั้นเหรอ? ลุกสิเดี๋ยวฉันจะพาไปเดี๋ยวนี้แหละ! ปะป๊าฝากเก็บจานข้าวด้วยนะ" ก่อนที่ใครต่อใครจะทันได้พูดอะไรออกมา จู่ๆ ซากิก็พรวดพราดฉุดมือคนข้างตัวให้ลุกขึ้นตามมาพร้อมกับอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ในแบบของเธอที่ตอนนั้นพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้เท่านั้น เพราะสิ่งเดียวที่เธอรู้คือต้องพาเขาออกไปจากที่ตรงนี้ก่อนที่เขาจะรู้สึกแย่กับคำพูดที่ปะป๊าเองคงไม่ได้ตั้งใจจะไปสะกิดอะไรเขาเข้าเหมือนกัน
รูบี้ถูกดึงออกมาจากห้องทั้งที่เขาเองไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่อีกครึ่งหนึ่งนึกขอบคุณเธออยู่ในใจที่ช่วยพาเขาออกมาจากที่ตรงนั้นก่อนที่อาจจะเผลอหักตะเกียบไม้ให้แหลกคามือไปแล้วก็ได้
"คุณ! เดี๋ยวสิครับ! ผมยังไม่ได้บอกสักคำว่าอยากเข้าห้องน้ำแล้วคุณจะพาผมออกมาทำไม?" หลังจากโดนฉุดลากมาได้กว่าครึ่งทางชายหนุ่มอดที่จะถามออกไปถึงเหตุผลของการกระทำของเธอเป็นไม่ได้
ซากิ ที่ได้ยินเขาพูดขึ้นมาจึงหยุดฝีเท้าลงก่อนจะปล่อยมือออกจากแขนของเขาแล้วพูดขึ้นมาทั้งที่เธอยังคงหันหลังให้กับเขาอยู่เช่นเคย
"ฉัน. . ไม่ได้ช่วยนายหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากฟังปะป๊าเขาถามต่อเท่านั้นเอง"
"ถามต่อ? อ่า . . . เรื่องนั้นสินะครับ" รูบี้นึกถึงคำพูดที่ถูกถามเข้ามาในหัวของเขา ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นสติและอารมณ์ที่เคยคิดว่ามันสงบและเยือกเย็นกว่าใครๆ กลับเดือดขึ้นมาจนแทบจะคุมสติไว้ไม่อยู่ แล้วนี่ถ้าหากว่าซากิไม่พาเขาเดินหนีออกมาแบบนี้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างตัวเขาเองไม่สามารถจะตอบได้
"ปะป๊าเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก นายเองอย่าไปโกรธป๊าเขาเลยนะ" สีหน้าและแววตาของเธอที่เฝ้ารอคำตอบเขาอย่างกังวลใจ ใบหน้าแบบนี้ทั้งที่เขาเองไม่ได้อยากเห็นเธอในยามที่ดูเศร้าอย่างนี้ แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่าเขาอยากเห็นมันอีก อยากเห็นทุกอย่างที่เป็นเธอ สีหน้าที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้จักมัน
"ผมไม่ได้โกรธปะป๊าของคุณหรอกครับ ผมแค่รู้สึกหงุดหงิดเวลาที่มีใครสักคนเอ่ยชื่อของหมอนั่นขึ้นมาเท่านั้นเอง"
"หมอนั่น? ฮาจิ น่ะเหรอ? "
". . . ครับ " เขาลังเลใจที่จะยอมรับในเรื่องนั้นแม้ว่าจะเป็นความจริงก็ตาม แต่ความสงสัยไม่ถูกกำจัดออกไปจนหมดเพราะไม่ได้รับคำตอบที่แจ่มชัดจากปากของเขา เธอจึงทวงถามถึงเหตุผลที่เขาไม่ยอมพูดออกมาถึงเรื่องราวในอดีตว่าอะไรที่ทำให้เขานึกโกรธคนคนนั้นได้มากถึงเพียงนี้กัน
"นี่แล้วโกรธเรื่องอะไรกันล่ะ? โกรธมาตั้งนานแล้วเหรอ? หรือว่าพึ่งโกรธล่ะ? แล้วใครโกรธใครก่อน? " คำถามที่รัวมาไม่ยั้งซ้ำยังไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้ตอบอะไรเลยสักคำนั้น มันเป็นสิ่งที่ชวนหัวเราะกับหน้าตาและท่าทางที่ดูจริงจังของเธอในเวลาอย่างนี้จนสุดท้ายแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาดูจะกลับคืนมาอีกครั้งแบบไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มขยับรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้านั้นพลางมองดูที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่อนโยนและอยากจะดึงเธอเข้ามากอดให้คลายความกลัดกลุ้มในใจที่ผ่านมาให้สมกับที่ตัวเขาไม่ได้พบเธอมาหลายวัน
รูบี้ ไม่ได้ตอบคำถามของเธอออกไป เขาเพียงแค่ยิ้มแล้วยื่นมือเข้ามากุมมือของเธอเอาไว้เพียงแค่นั้น ก่อนที่จะเอ่ยขอบางอย่างทั้งที่ยังคงยิ้มอยู่แบบนั้น
"จูบผมหน่อยได้ไหมครับซากิ?"
"เอ๋!?"
ร่างบางสบสายตามองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อหูในสิ่งที่ได้ยิน คำเอ่ยขอที่เฝ้ารอคำตอบต่างจากที่ผ่านมา เพราะทุกครั้งที่เขาเอ่ยถามมักจะลงมือทำก่อนที่เธอจะทันได้ให้คำตอบเสียด้วยซ้ำไป แต่ครานี้ชายหนุ่มกลับลดสายตาทอดมองหญิงสาวอย่างใกล้ชิดก่อนยกมือของเธอขึ้นมาวางแนบอกของเขาแล้วจึงเริ่มกักขังเธอด้วยแววตาที่เว้าวอนเหมือนแววตาที่ใสบริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไขใดใดของเด็กเล็กที่ไร้เดียงสา
สายตาที่เพิ่งเคยได้เห็น คำเอ่ยขอที่เพิ่งเคยได้ยิน ทุกสิ่งล้วนแต่สร้างความสับสนและความขวยเขินเล็กๆ แก่เธอได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
"เอ่อ . . . เรื่องแบบนี้น่ะมัน . . ฉ . . ฉัน. . . ฉันไม่" เสียงเล็กที่ขาดห้วงดังตะกุกตะกักบอกถึงความสั่นคลอในจิตใจที่อ่อนไหวจนไม่สามารถจะตอบคำถามใดใดได้อย่างชัดเจนเหมือนเธอคนก่อน
"รังเกียจผมหรือครับ?" ท่าทางของเธอที่ดูเหมือนกับการบอกปัดเพื่อปฎิเสธที่จะทำในสิ่งที่เขาขอ ทั้งยังสายตาที่คอยหลบเลี่ยงเขาไม่ยอมสบตาตรงๆ ยิ่งตอกย้ำเหตุผลในการตีจากเขาไปโดยไม่ยอมแม้จะบอกลาสักคำ
"ม. . ไม่ใช่! ไม่ใช่นะ มันไม่ใช่อย่างงั้นหรอก . ." จะเป็นเพราะเสียงตัดพ้อของเขา หรือเพราะดวงตาที่ดูหม่นหมองของเขากันถึงทำให้เธอไม่อาจปล่อยมือเขาไปได้ จนถึงกับเผลอตัวพลั้งปากพูดความในใจออกไป
แค่เพียงรู้ว่าเธอไม่ได้รังเกียจเขาเพียงแค่นั้น สีหน้าของเขากลับยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
"งั้นเหรอ! ไม่ได้รังเกียจผมสินะครับ"
"เรื่องนั้นน่ะมันไม่เกี่ยวกันซะหน่อยนี่"
มือของเขาทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน ยิ่งเขากุมมือเธอเอาไว้แน่นมากเท่าไรมันกลับยิ่งรู้สึกถึงบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกจนหายใจแทบไม่ออก เวลาที่เขามองมาตอนนี้กลับไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเพราะอะไรถึงไม่สามารถจะมองตอบไปตรงๆ ได้เลย พวงแก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าวราวกับถูกแดดเผาทั้งที่ตอนนี้เป็นตอนเย็นแล้วแท้ๆ เชียว แต่ทำไมถึงได้ทำอะไรไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้ทุกทีเลย
ยิ่งเห็นเธอก้มหลบสายตาเขาอีกครั้งด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ แถมยังขบกัดริมฝีปากล่างไว้แน่นอย่างนั้นแล้วมันเหมือนเป็นการแสดงออกที่เขาจำได้ดีว่ามันคือสัญญาณที่คอยบอกเขาถึงเรื่องหนึ่งมาตลอด เรื่องที่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้
รูบี้ เชยปลายคางของเธอขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเกลี่ยไล้ริมฝีปากที่ขบแน่นให้คลายออก แล้วกระซิบถามอีกครั้ง
"ถ้างั้นให้ผมจูบคุณแทนได้ไหมครับ ซากิ? . . " ทันทีที่พูดจบครั้งนี้เขาไม่รอคำตอบจากเธอเหมือนเช่นในคราแรกอีกแล้ว แต่ยังโน้มตัวลงพร้อมกับยึดกุมใบหน้าของเธอไม่ยอมให้หลบไปไหน ริมฝีปากเล็กสั่นระริกพลางเผยอเปิดออกเล็กน้อยเมื่อครั้นถูกเขาสัมผัสมือที่ข้างแก้มเย็นเฉียบของเธอ
ซากิ ได้แต่เพียงหลับตาแน่นด้วยใจที่สั่นไหวไม่เป็นจังหวะ แม้แต่จะหายใจเข้า - ออก ยังยากเกินกว่าจะขยับตัวได้
ลมหายใจของเขาที่ขยับใกล้จนรู้สึกถึงสายลมอุ่นที่ห่างกันเพียงปลายนิ้วสัมผัส ความคิดที่ถูกบิดเบือนด้วยละอองคลื่นสีขาวโพลนจนเหลือเพียงความว่างเปล่าในห้วงคำนึง ภาพสุดท้ายที่ยังจำได้คือใบหน้าเปื้อนยิ้มของคนตรงหน้าเพียงเท่านั้น
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำในสิ่งที่คิดไว้ เสียงที่ฉุดรั้งพลันเรียกสติของร่างบางให้ผละตัวถอยห่างแทบจะทันที
"เฮ้! พวกนายน่ะ ตกลงว่าจะเอายังไงกัน!?" ชูร่า เดินไล่ตามพวกเขามาเพราะถูกปะป๊าสั่งให้มาถามความจากแขกของเขาว่าจะตัดสินใจค้างที่นี่หรือจะรอจนฝนหยุดตกแล้วถึงจะกลับ เมื่อเดินไล่ตามมาจนทันกลับพบว่าทั้งสองคนนี้เหมือนกำลังทำอะไรลับลมคมในกันตามลำพังแทน ถึงแม้จะเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของรูบี้เท่านั้น หากแต่ชูร่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของทั้งสองคนนี้มากนักเพราะเขาเองไม่ค่อยจะมีโชคเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับใครอื่นมากนักเลยพยายามเลี่ยงตัวให้ถอยห่างจากการเข้าไปยุ่งเรื่องคนอื่นโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแทน
ซากิ ที่ผละตัวถอยห่างออกมาเมื่อได้ยินเสียงของน้องชายเธอ พลันรีบหันหลังเดินหนีออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเห็นใบหน้าที่แดงกร่ำจากพวงแก้มไปจนถึงใบหู เธอไม่ได้สนใจว่าเขาจะเรียกเธอไว้หรือเปล่าเพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ร่างกายของเธอกำลังสั่งการอยู่ในหัวสมองคือ เดิน! เธอจะต้องรีบเดินให้ไกลจากตรงนี้ จะเป็นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น ที่ไหนที่เขาจะไม่เห็นว่าเธอกำลังอายเพียงเพราะแค่เรื่องที่เขาจะจูบเธอเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ว่าเขาจะทำอะไรที่มากกว่านั้นเธอกลับไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายมากเท่ากับตอนที่เขาจูบเธออย่างอ่อนโยนแบบนี้
มือเล็กทั้งสองข้างยกขึ้นทาบบนดวงแก้ม ขาทั้งสองที่ทรุดลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาที่ปิดลงเหมือนยังคงจดจำภาพนั้นอย่างติดตา เสียงของลมหายใจ สัมผัสมือที่โอบกอด มีแต่เขาเท่านั้นที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนี้ได้
"นี่นาย ตกลงจะค้างที่นี่ใช่ไหม? ว่าไงล่ะฉันจะได้ไปเตรียมห้องเอาไว้ให้เลย" ชูร่า เดินตรงมาหยุดห่างจากจุดที่รูบี้ยืนอยู่เพียง สอง - สาม ก้าว เขายกมือขึ้นกอดอกพลางเอียงคอถามเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ
ฝ่ายรูบี้ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ หรือจะบอกว่าเขาเหมือนถูกคนในบ้านนี้มัดมือชกอย่างไม่ยอมเปิดโอกาสให้ได้ปฎิเสธเลยคงไม่ผิดอะไร แต่ถ้าพูดถึงเหตุผลดีๆ สักข้อสำหรับการได้ค้างสักคืนแล้ว เพียงแค่คิดถึงภาพใบหน้ากับท่าทางของซากิที่มีกับเขาเหมือนครู่นั้นอย่างน้อยมันก็พอจะเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนใจจนยากจะบอกปัดได้
"เอ่อ . . ถ้างั้นขอผมโทรไปบอกนันจิซังก่อนนะครับ เพราะผมเองไม่ได้บอกก่อนจะมาด้วยว่าจะมาค้างข้างนอกแบบนี้"
เพียงแค่ได้ยินคำตอบรับจากแขกที่มาเยือนถึงบ้านว่าจะยอมค้างที่นี่สักคืนทำเอาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถึงกับคลี่ยิ้มบนใบหน้าที่ดูบึ้งตึงนั้นออกมาได้ไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย
"หะ หะ . . บอกแล้วไงว่าแกงกะหรี่ฝีมือฉันน่ะอร่อยอย่าบอกใครเลย รับรองว่าพรุ่งนี้เช้านายจะต้องติดใจจนอยากกลับมากินอีกแน่" ชูร่า ที่ยังคงเข้าใจว่าสาเหตุที่รูบี้ตกลงใจจะค้างที่นี่เพราะยังติดใจเรื่องข้าวที่เขาหุงเมื่อตอนมื้อเย็นอยู่ จนเดินเข้ามาตบบ่าของอีกฝ่ายก่อนจะพาเดินไปเลือกห้องนอนแบบที่เขาชอบโดยที่เจ้าตัวยังคงจ้อเรื่องฝีมือทำข้าวแกงกะหรี่ไม่หยุดปากไปตลอดทาง
สายฝนที่กระหน่ำตกลงมาไม่ขาดสายตั้งแต่ช่วงตอนเย็น เมื่อเวลาผ่านไปได้เกือบสองชั่วโมงจึงเริ่มซาลงทีละน้อย จนเห็นเค้าความสงบของยามค่ำคืนที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายจากต้นหญ้าและผิวดินที่พัดโชยความหอมเย็นเข้ามาถึงในตัวบ้านที่เปิดบานประตูจากทางด้านในสวนออกโดยหวังจะให้ได้มีลมพัดถ่ายเทได้ทั่วถึง
แม้ว่าสภาพอากาศด้านนอกจะเบาบางลงจนสามารถขับรถกลับบ้านได้ก็ตามที แต่เขาเองที่ตกปากรับคำเรื่องจะขอนอนค้างที่นี่สักคืนไปแล้วจะมาเปลี่ยนใจเอาตอนนี้คงจะไม่ทัน จนถึงตอนนี้สิ่งเดียวที่ยากที่สุดสำหรับเขาเห็นจะเป็นการหยิบโทรศัพท์ตรงหน้าขึ้นมาแล้วหาเหตุผลดีๆ สำหรับการออกมานอนค้างโดยไม่บอกกับทางบ้านไว้ก่อน
หูโทรศัพท์บ้านถูกยกขึ้นนิ่งค้างไว้พักหนึ่งก่อนที่เขาจะหยิบมันขึ้นมาแนบหูพร้อมทั้งไล่กดหมายเลขทีละตัวอย่างใจเย็น ชูร่าที่เป็นคนพารูบี้ไปเลือกดูห้องนอนก่อนจะมาหยุดที่เครื่องโทรศัพท์ตรงหน้าบ้าน เขาเองพลอยยืนลุ้นจนเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องของตัวเองไม่ปาน
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่คฤหาสน์ซาโต้ ดังอยู่นานเกือบนาทีจึงมีคนรับสาย เสียงกล่าวทักทายจากอีกฟากหนึ่งทำให้รูบี้นึกโล่งใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
"ค่ะ บ้านซาโต้ค่ะ"
"มิมิจังนี่ผมเองนะ"
"พี่รูบี้!" มิโดริเรียกชื่อพี่ชายเธอด้วยความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลที่ทำไมเขาถึงไม่เป็นฝ่ายโทรมาเองในตอนแรก
"ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะค่ะว่าจะค้างที่บ้านนั้น รู้ไหมค่ะว่านันจิซังตกใจมากเลยพอรู้ว่าพี่รูบี้จะไม่กลับบ้านแถมยังไปค้างโดยไม่ยอมบอกกันก่อนอีก" มิโดริคอยรายงานสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ให้ฟังถึงเรื่องที่เซนซังโทรมาบอกว่าพี่ชายของเธอจะทานข้าวเย็นและอยู่ค้างคืนที่นั่นเลย
"ค้าง!? เดี๋ยวนะครับมิมิจังเมื่อกี้บอกว่าเซนซังเป็นคนโทรมางั้นหรือครับ" รูบี้ทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเท่าไร เพราะตอนทานข้าวเขาเพียงแค่มาร่วมโต๊ะเพราะไม่อยากเสียมารยาท แต่เรื่องตกปากรับคำว่าจะค้างมันหลังจากที่เขาทานข้าวแล้วไม่ใช่รึไง? ยิ่งคิดทบทวนเท่าไรเขาได้คำตอบเพียงว่าเรื่องทั้งหมดที่เซนซังพูดลงท้ายเหมือนจงใจจะให้เขาค้างที่นี่ให้ได้
"มีอะไรหรือเปล่าคะพี่รูบี้?"
"ไม่มีอะไรหรอกครับมิมิจัง ถ้ายังไงผมฝากช่วยดูแลนันจิซังแทนผมด้วยนะครับ. . . ครับ ถ้ากลับไปแล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ . . . . เรื่องนั้นไม่ลำบากอะไรหรอกครับ ได้ชูร่าซังเขาพาไปดูห้องนอนแล้วก็ให้ยืมชุดมาด้วยน่ะครับ มิมิจังจะคุยกับชูร่าเขาไหมครับ? ไม่ไกลหรอกครับอยู่ด้วยกันตรงนี้เอง"
รูบี้เล่าถึงเรื่องที่เขาได้รับความช่วยเหลือเรื่องต่างๆ จากชูร่าให้น้องสาวของเขาฟัง ชูร่าที่ยืนอยู่ด้วยไม่ได้ตั้งใจว่าอยากจะแอบฟังการสนทนาของสองพี่น้องแต่อย่างใด เพียงแต่เขาคิดว่าบางทีแขกของเขาคนนี้อาจจะต้องการใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนก็ได้จึงยอมทนแบกหน้ายืนอยู่ด้วยนานกว่าหลายนาที จนเมื่ออีกฝ่ายยื่นหูโทรศัพท์มาให้กับเขาถึงได้รู้สึกว่าตอนนี้เขาเริ่มอยากจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกจากตรงนี้ไป
"ชูร่าซังจะคุยกับมิมิจังหน่อยไหมครับ? ให้อีกฝ่ายถือสายรอนานไม่ดีนะครับ"
"หา? ใครบอกว่าฉันจะคุยกับยัย. . อ่ะ! เอ่อ มิโดริเขากันล่ะ" สุ่มเสียงที่ตะกุกตะกักเวลาจะเรียกชื่อของเธอทีไรมันเหมือนเป็นเรื่องที่ยากเย็นเพราะเขาเองดันไปตั้งชื่อแปลกๆ ให้เธอจนชินปากไปซะแล้ว
"แต่ผมว่าชูร่าซังต้องมีเรื่องอยากคุยกับมิมิจังแน่ครับ ผมน่ะมองออกนะครับว่าเมื่อกี้ชูร่าซังดูสนใจเรื่องที่ผมคุยกับมิมิจังไม่ใช่รึครับ"
รูบี้มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มราวกับว่านี่เป็นการตอบโต้อย่างหนึ่งของเขาที่ถูกริดรอนสิทธิ์ในการตัดสินใจในคราแรกไม่ปาน ในขณะที่ชูร่าคนที่ไม่ค่อยจะสันทัดกับเรื่องการถูกไล่ต้อนในลักษณะแบบนี้สักเท่าไรถึงกับยืนอึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะรับหูโทรศัพท์จากมือของอีกฝ่ายมาถือไว้อย่างเกร็งๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น