ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บุษบาพ่ายใจรัก

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 ผู้บุกรุก [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 843
      4
      15 พ.ค. 62


    ตอนที่ 6 ผู้บุกรุก

    (อัพครั้งแรก พ.ย.58)

    (แก้ไขคำผิด+ปรับเนื้อหาบางส่วนล่าสุด [1] 19/01/62)

    (แก้ไขคำผิด+ปรับเนื้อหาบางส่วนล่าสุด [2] 07/05/62)




                        “อย่าให้เจออีกนะ จะเอาคืนให้สาสมกับที่มาจับเปาน้อยของฉัน ไอ้หมอเฟสบุ๊คจอมโรคจิต”                    

                   เสียงกำปั้นทุบระรัวติดกันหลายต่อหลายครั้งทำเอาคุณหมอจอมกวนร้องลั่นอีกตามเคยเพราะเพื่อนรักทั้งสองพากันรุมสกรัมเขา 

                        “โอ๊ยพอก่อนเฮียรบ นายรัมย์ จะเอากันให้ถึงตายเลยรึยังไง ผมเป็นเพื่อนพวกคุณนะครับ” 

                        ทั้งคู่ก็ยังคงทุบตีเขาไม่หยุดมือแบบไม่ปรานีปราศรัยกันบ้างเลย

                   “ป้าว่าพอก่อนเถอะพ่อคุณ แค่โดนหลานสาวตัวดีของป้าเอาคืนเมื่อครู่ หมอรามก็คงช้ำไม่ใช่น้อยถ้ายังไม่หยุดทุบมีหวังวันพรุ่งนี้คงได้ระบมนอนหยอดน้ำข้าวต้มกันแน่” ผู้สูงวัยหัวเราะ

                   “พี่เห็นด้วยนะเจ้า พอก่อนเถอะเจ้าคุณๆ” 

                        พี่แสงคำเดินถือกะละมังใบเล็กใส่น้ำแข็งเป็นใบที่สองของวันนี้พร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลที่มียาจำพวกแก้ฟกช้ำดำเขียวเท่าที่จะหาได้ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องใช่อะไรก่อนอะไรหลัง แต่เอามาก่อนก็แล้วกันเผื่อคุณหมอจะได้เลือกใช้เอง

                   “แกนี่มันจริงๆ เลยนะเจ้าราม สะเพร่าไม่พอแถมยังลามกไม่มีใครเกิน” 

                        นักรบรามือโดยการวาดฝ่ามืออรหันต์แรงๆ ให้หนึ่งทีเป็นการปิดท้าย ในขณะที่รังสฤษฏ์เองก็หยุดทำร้ายร่างกายคนโรคจิตตามคำขอของป้าบัวและพี่แสงคำแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้หินอ่อนด้วยความรู้สึกไม่พอใจไอ้หมอโรคจิตอย่างมากเช่นกัน

                   “โถ่เฮียรบ...” 

                        รามิลนั่งตัวลีบลูบเนื้อลูบตัวของตนให้คลายอาการระบมจากแรงทุบหนักๆ ของศาลเตี้ยทั้งสองคน  

                        “ผมจำได้แล้ว... ก็ตอนนั้นดูชาร์ตคนไข้ที่พยาบาลถือมาบอกว่าคนไข้มาตรวจหามะเร็งเต้านม ก็เลยตรวจตามวิธีพื้นฐานปกติก่อนคือคลำหาก้อนเนื้อแล้วค่อยส่งอัลตราซาวด์ดูอีกที ใครจะไปรู้เล่าว่าผิดเคสก็ในประวัติคนไข้ไม่ได้มีรูปคนไข้แปะอยู่เหมือนโรงพยาบาลเอกชนนี่น่า” 

                        รามิลยังคงเอาสีข้างเข้าถู

                   “แต่นายก็น่าจะถามชื่อคนไข้ก่อน เรื่องแบบนี้คนเป็นหมอไม่น่าพลาด ไม่โดนฟ้องข้อหากระทำอนาจารคนไข้ก็บุญแล้ว ตอนนั้นโดนตบหน้าทีหนึ่งยังน้อยไป” 

                        รังสฤษฏ์แสดงออกชัดเจนจนเห็นได้ว่าเขากำลังโกรธเคืองแทนยัยตัวเปี๊ยกจนพระรามคนดีรับรู้ได้ 

                        ดูท่านายรัมย์คงจะหวง คนนี้คงเล่นด้วยไม่ได้แล้ว ไอ้รามเอ้ย! มีหวังได้โดนทั้งนายรัมย์ทั้งเฮียรบจับนั่งยางแน่ๆ  

                   “นั่นสิ ถ้าเป็นน้องสาวฉันโดนแบบนี้บ้าง ฉันจะไปกระทืบแกถึงโรงพยาบาลเลยไอ้หมอ”

                        นักรบชูกำปั้นขึ้นทำท่าจะชกเฉียดแก้มซ้ายไปจนรามิลต้องรีบกระถดตัวถอยหลังให้ห่างไกลรังสีอำมหิต

                   “ป้าบัวครับ พี่คำครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ” รังสฤษฏ์ผลุดลงขึ้นกล่าวลาผู้ใหญ่

                   “นายจะไปไหนรัมย์” 

                        รามิลร้องถามด้วยสีหน้าเว้าวอน ตอนมาก็มาด้วยกันแล้วตอนขากลับเพื่อนรักจะทิ้งเขาไว้คนเดียวหรือ ไม่ได้นะเว้ยพาคนหล่อกลับด้วย

                   “จะกลับไปเก็บของแล้วย้ายเข้ามาวันนี้เลย” แม้ว่ารังสฤษฏ์จะเดินตรงไปที่รถอย่างรวดเร็วแล้วก็ตามแต่ยังมิวายมีคนเจ้าปัญหาตะโกนร้องเรียก 

                        “เฮ้ย ฉันมากับนายนะ นายกลับไปเก็บของแล้วฉันจะกลับยังไง บ้านพักแพทย์มันอยู่ตั้งไกลนะรัมย์”

                   “นายก็ให้เฮียรบไปส่งสิ”

                   “ไม่เว้ย ฉันเหนื่อย ผมขอตัวก่อนนะครับป้าบัว พี่คำ” นักรบรีบลุกขึ้นต่างคนต่างแยกย้าย เขาเบื่อที่จะรับมือกับรามิลแล้วปล่อยมันไว้อย่างนี้ก่อนหายปวดหัวเมื่อไหร่ค่อยมาจัดการทีหลัง

                   “เฮียไม่มีใครไปส่งผม งั้นวันนี้ผมก็จะนอนกับเฮียที่นี่ล่ะ” 

                        รามิลรีบเกาะแขนนักรบ เขารู้ทันหรอกว่าเพื่อนรุ่นพี่ตั้งใจจะชิ่งทิ้งเขาไว้เช่นกัน กับรังสฤษฏ์เขาไม่แคลงใจเพราะดูท่าทางพ่อไก่อ่อนคงหลงแม่บาร์บี้เอลซ่าจอมโหดเข้าเต็มเปาแล้วถึงได้แสดงท่าทางไม่พอใจที่รู้ว่าเขาไปล่วงเกิน นะ...เอ่อนั่นล่ะ ของเธอเข้า ช่วยไม่ได้นี่หว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

                        ขอโทษแล้วกันว่ะรัมย์ แต่เฮียรบนี่สิออกอาการเหม็นเบื่อเขาซะอย่างนั้น 

                        ไม่มีทางหรอกเฮีย ผมไม่ยอมให้เฮียสงบสุขแน่นอน นับจากนี้ถ้าไม่สนุกสุขสันต์ครื้นเครงทุกวันรับรองว่าไม่ใช่รามิลตัวจริงเสียงจริง 

                        คิดแล้วเขาก็หลุดหัวเราะเสียงดังจนพี่แสงคำมองมาด้วยความสงสัย แต่นักรบนั้นมองเขาด้วยสายตาของนายตำรวจที่กำลังสอบปากคำผู้ร้าย

                   “ผมไม่ใช่นักโทษนะเฮีย จ้องกันแบบนี้พาผมไปทัวร์ฮ่องกงเลยไหม” แล้วก็กระโดดขึ้นไปเกาะหลังสารวัตรหนุ่มยึดไว้เหนียวแน่น

                “ปล่อยฉันเจ้าราม ไม่อย่างนั้นแกจะโดนมิใช่น้อย” 

                        นักรบทั้งดึง ทั้งทึ้ง ทั้งแงะ หาสารพัดวิธีมาแกะปลาหมึกยักษ์ตัวโตที่เกาะเกี่ยวนัวเนียตัวเขาออกแต่ก็ไม่สำเร็จจนต้องกระเตงมันกลับเข้าบ้านไปด้วย โดยไม่ลืมขอบคุณพี่แสงคำและป้าบัวบงกชที่แบ่งขนุนหวานกรอบมาให้จนเต็มกล่องทัพเพอร์แวร์

                   “แม่คำ ฉันว่าต่อจากนี้บ้านเราคงครึกครื้นกันใหญ่แล้วล่ะ” 

                   ป้าบัวบงกชเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้ดวงตาของท่านจะไม่สามารถมองเห็นได้เช่นวันวานที่ผ่านมาว่าท้องฟ้าในวันนี้ปลอดโปร่งทอแสงสีครามสวยงามมากแค่ไหน แต่ท่านก็สัมผัสได้ว่าวันนี้เป็นวันดีวันหนึ่ง สายลมเย็นสบายที่พัดมาเอื่อยๆ เสียงของนกตัวน้อยที่พากันร้องเพลงขับขานเจื้อยแจ้วทำให้จิตใจผ่อนคลาย

                   ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านรู้ตัวดีว่าร่างกายของตนอ่อนแอลงเรื่อยๆ และก็ไม่รู้ว่าสังขารโรยราจะสลายสิ้นไปตามอายุขัยเมื่อไหร่ สิ่งที่กังวลและเป็นห่วงมากที่สุดคือกลัวว่าหากวันใดวันหนึ่งท่านจากไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัวและสั่งเสีย หลานสาวคนเดียวที่ยังไม่มีใครคอยอยู่เคียงข้างดูแลกันจะถูกทิ้งให้เผชิญชีวิตเพียงลำพังแล้วท่านจะทำอย่างไร จะจากไปอย่างสงบโดยไม่ห่วงหาได้หรือ

                   ในวันนี้มีชายหนุ่มถึงสามคนก้าวเข้ามาผัวพันในวงจรชีวิตของชมพูพิมพ์ ท่านหวังว่าขอให้เป็นคนหนึ่งคนใดก็ได้ คนที่พรหมลิขิตนำพาให้มาพบกับของหลานสาวอันเป็นที่รัก

                   “คำก็ว่าท่าจะเป๋นจะอั้น[1]เหมือนกันเจ้า” 

                        แสงคำเข้าใจความหมายจากคำพูดเป็นนัยของป้าบัวบงกชดี เธอเองก็หวังเช่นนั้นเหมือนกัน หากน้องพิมพ์ได้พบคนดีๆ มีคู่ครองที่ดี มีชีวิตที่สุขสมหวังพี่สาวคนนี้เองก็คงหมดห่วงเช่นกัน

     

                   แสงอาทิตย์แรกของวันทอประกายลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างทำให้คนตื่นเช้าเป็นประจำอย่างรังสฤษฏ์ลุกขึ้นนั่งยืดเส้นยืดสาย เขาหันไปมองคนที่นอนด้านข้างบนเตียงขนาดคิงไซส์ในท่านอนหงายกอดอกเหมือนเตรียมพร้อมออกรบทุกสถานการณ์ของนักรบก็อดขำไม่ได้ก่อนย่องลงจากเตียงอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะทำให้คนหูไวตื่น

                   ไม่ทันจะก้าวพ้นจากเตียงรังสฤษฏ์ก็แทบหน้าคะมำลงกับพื้นห้องจนต้องร้องอุทานออกมากเพราะดันไปสะดุดคนขี้เซาที่ปูที่นอนกอดหมอนข้างอยู่ข้างเตียงอย่างรามิล

                   “เจ้ารามมันโดนเหยียบเข้าเต็มเปาขนาดนั้นแล้วยังไม่ตื่นอีกฉันล่ะเชื่อมันเลย” 

                        รังสฤษฏ์หันมาพบว่านักรบกำลังนั่งอยู่บนเตียงพร้อมกับใช้มือจับท้ายทอยบีบนวดหมุนคอยืดเส้นสายคลายความปวดเมื่อย

                   “นายรามเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา สิบกว่าปีก่อนเป็นยังไงเดี๋ยวนี้ก็ยังเหมือนเดิม”

                   “ฉันว่ามันไม่พัฒนาตัวเองมากกว่า”

                   “ผมทำเฮียรบตื่นรึเปล่าครับ วันนี้วันอาทิตย์เฮียน่าจะนอนพักต่ออีกสักหน่อย”

                   “ไม่ล่ะ ฉันตาสว่างแล้ว นายรัมย์ออกไปวิ่งไหม เช้าๆ อย่างนี้แถวท่าเรืออากาศดีมาก ไปออกกำลังกายสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกัน”

                   “ไปสิครับ เดี๋ยวกลับมาผมว่าจะเข้าไปในตัวจังหวัดหน่อยพอดีเพื่อนที่เรียนจบสาขาเดียวกันแต่งงานแล้วย้ายมาทำธุรกิจเปิดร้านขายเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่เชียงราย ผมเลยกะว่าจะแวะไปหาแล้วก็อุดหนุนเฟอร์นิเจอร์เขาสักหน่อย เฮียรบไปด้วยกันไหมครับ” 

                        รังสฤษฏ์เอ่ยชวนขณะที่นักรบใช้เท้าเขี่ยรามิลเพื่อปลุกคนนอนขี้เซาหลับลึกไม่รู้เรื่องรู้ราวก่อนส่ายหน้ายอมแพ้

                   “ฉันละเชื่อมันเลย นายรามตื่นโว้ย” ก่อนยอมแพ้เขาเตะเข้าที่ก้นคนนอนหลับอุตุน้ำลายยืด

                        “ไม่ล่ะ วันนี้เฮียว่าจะเข้าไปดูคดีที่ทำค้างอยู่ที่โรงพักหน่อย นายไปเถอะ แนะนำนะว่าไม่ต้องพาไอ้ตัวยุ่งนี่ไปด้วย ให้มันเฝ้าบ้านดีที่สุด ถ้าจะให้ดีจริงๆ บอกให้มันทำความสะอาดไอ้ที่มันนั่งดื่มนั่งกินเมื่อคืนด้วย"

                        นักรบเดินเข้ามาตบบ่ารังสฤษฏ์แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้หน้าที่ปลุกรามิลเป็นของเขาอีกเช่นเคย

     

                   เสียงทุ่มเถียงของสามหนุ่มดังมาแต่ไกลจนได้ยินมาถึงถนนหน้าบ้านที่ตอนนี้ป้าบัวบงกชและพี่แสงคำกำลังตั้งโต๊ะรอพระมาบิณฑบาต คนที่ยืนมองยืนฟังอยู่รวมทั้งคนเดินผ่านไปผ่านมาอดหัวเราะขำขันอย่างเสียไม่ได้

                   “ดูเหมือนจะครื้นเครงกันแต่เช้าเลยนะแม่คำ” ป้าบัวบงกชหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

                   “ล่ะอ่อนป้อจาย[2]รวมกลุ่มกันก็ดูเหมือนจะเฮโลกันแบบนี้นะเจ้า แม่ยิง[3]อย่างเฮา[4]บางเตื่อ[5]ยังสู้บ่อได้เลยเจ้า” พูดแล้วพี่แสงคำก็หัวเราะตาม

                   “ว่าแต่เจ้าของวันเกิดอยู่ไหนล่ะแม่คำ ยายพิมพ์ยังไม่ออกมาอีกเหรอ เดี๋ยวก็ไม่ทันพระท่านมาบิณฑบาตพอดี”

                   “เมื่อตะกี้น้องพิมพ์ออกมาแล้วเจ้า แต่วิ่งกลับเข้าไปเอาของเห็นว่าลืมใบนัดหมอน่ะเจ้า” ป้าบัวบงกชพยักหน้า “เห็นน้องพิมพ์บอกว่าใส่บาตรเสร็จแล้วจะไปขึ้นรถเมล์เลยเจ้า กลัวไปบ่อทันหมอนัดตรวจเจ้า”

                   “มาแล้วค่ะ” ชมพูพิมพ์วิ่งออกมาหน้าตาตื่นด้วยความรีบร้อน “หลวงพ่อมารึยังค่ะ” 

                        เธอชะโงกมองออกไปยังถนนหน้าบ้านก่อนเดินมายืนกอดเอวหอมแก้มป้าบัวกชและพี่แสงคำ การกระทำของเธอทำให้ใครคนหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากออกกำลังกายยามเช้าถึงกับอมยิ้มในความน่ารักช่างออดอ้อนของเธอจนเผลอคิดไปว่าหากเธอทำแบบนี้กับเขาบ้างคงจะดีไม่น้อย นึกแล้วเขาก็ส่ายหน้ากับความคิดเรื่อยเปื่อยของตัวเอง

                   “ยังไม่มาจ๊ะลูก” ป้าบัวบงกชยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรกับหลานสาวต่อก็มีเสียงทักทายของคนร่าเริงอย่างรามิลดังมาแต่ไกล

                   “อรุณสวัสดิ์ครับป้าบัว อรุณสวัสดิ์ครับพี่คำ อรุณสะ...สวัสดิ์ครับคุณพิมพ์” 

                        ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะหันมากล่าวคำทักทายเธอจบประโยคชมพูพิมพ์ก็สะบัดบ๊อบให้รามิลทันทีทำเอาชายหนุ่มถึงกับเหวอ 

                        “เตรียมของใส่บาตรกันเหรอครับ จัดชุดใหญ่หลายชุดเลยเชียว” 

                        รามิลมองอาหารหลากหลายอย่างที่เตรียมไว้ใส่บาตรบนโต๊ะกลิ่นของมันทำให้ท้องของเขาร้องออกมาเสียงดังจนทุกคนพากันขำ

                   “สงสัยเมื่อคืนผมจะดื่มเยอะไปน่ะครับ เช้ามาพอได้ออกแรงหน่อยก็เลยหิวเร็ว” เขาหัวเราะเอามือลูบท้องแก้เก้อเขิน

                   ป้าบัวบงกชยิ้มอย่างอ่อนโยน “ป้าเตรียมของใส่บาตรไว้เยอะเพราะวันนี้เป็นวันเกิดยายพิมพ์ปกติเราจะไปบุญถวายสังฆทานกันที่วัด แต่วันนี้ยายพิมพ์มีธุระต้องเข้าไปในตัวจังหวัดก็เลยใส่บาตรแทน”

                   “คุณๆ สนใจทำบุญใส่บาตรด้วยกันไหมเจ้า” พี่แสงคำเอ่ยชวนคนรุ่นใหม่ที่ดูแล้วคงไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าวัดทำบุญกันบ่อยนัก

                   “พี่คำไปชวนพวกเขาทำไม วันนี้วันเกิดพิมพ์นะคะ” 

                        ชมพูพิมพ์กระซิบข้างหูพี่เลี้ยงสาวไม่วายคนหูดีอย่างป้าบัวของเธอได้ยินเข้าจึงโดนหยิกให้ทีหนึ่งก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ให้ได้ยินกันเพียงแค่สามคน

                   “ทำบุญใส่บาตรใครเขาก็มีสิทธิ์ใส่ได้พิมพ์ พระท่านมาบิณฑบาตเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสทำทาน เราไม่มีสิทธิ์ไปห้ามคนอื่นไม่ให้ใส่ด้วยหรือกะเกณฑ์ไว้เป็นสิทธิ์ส่วนตัวทำได้แค่คนเดียว” ทำเอาคนถูกดุถึงกับหน้าม่อย

                   “มาทำบุญด้วยกันสิจ๊ะหนุ่มๆ ไหนๆ ก็อยู่ชายคาเดียวกันแล้ว ป้าถือว่าทุกคนเป็นลูกเป็นหลาน เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว มาเร็ว” ป้าบัวบงกชกวักมือเรียกไวๆ

                   “ถ้าอย่างนั้นผมขอฝากนายรัมย์ใส่บาตรด้วยคนนะครับ ส่วนผมกันนายรามขอตัวก่อน พอดีเจ้ารามมันเป็นพวกกลัวพระน่ะครับ” 

                        นักรบหัวเราะ เขาผลักรังสฤษฏ์ไปข้างหน้าก่อนคว้าคอเสื้อรามิลถอยมาด้านหลังพยายามกึ่งลากกึ่งจูงเข้าบ้าน

                   “เดี๋ยวก่อนเฮียรบ ผมกลัวพระตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่เห็นจะรู้ตัวเลย” 

                        รามิลพยายามขืนตัวไว้อย่างงุนงง ทำไมถึงให้นายรัมย์ใส่บาตรพร้อมยายตัวเปี๊ยก เฮียรบคิดจะให้นายรัมย์ทำบุญร่วมชาติ ตักบาตรร่วมขันกับยายโหดนี่รึไง เขาหันมามองรังสฤษฏ์ ไอ้เจ้านี่ก็เหมือนกันยิ้มแบบนี้มันต้องคิดอะไรกับยัยบาร์บี้เอลซ่าแน่นอนพระรามคนดีขอฟันธง!

                   “อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้วลงมาทานข้าวเช้าด้วยกันนะสารวัตร คุณหมอ ป้ากับแม่คำทำกับข้าวไว้หลายอย่าง ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับสมาชิกใหม่อีกสองคนด้วย”

                   “ขอบคุณครับป้าบัว พวกผมไม่ปฏิเสธแน่นอนครับ กับข้าวของป้าบัวกับพี่คำอร่อยทุกอย่างเลย ผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อน ฝากนายรัมย์ทำบุญด้วยคนนะครับ รายนี้เพิ่งพ้นทุกข์หมดเคราะห์หมดโศกมาหมาดๆ เลยอยากให้สร้างกรรมดีคุ้มครองตัวเอาไว้บ้าง” 

                        ว่าแล้วนักรบก็ลากรามิลที่ยิ้มแฉ่งโค้งขอบคุณป้าบัวบงกชและพี่แสงคำออกมาทิ้งให้รังสฤษฏ์ได้มีโอกาสทำบุญร่วมขันกับคนหน้าหวาน

                   “วันนี้วันเกิดคุณพิมพ์เหรอครับ” รังสฤษฏ์ยิ้มให้พี่แสงคำแล้วเดินค้อมหลังผ่านหน้าป้าบัวบงกชมายืนอยู่ข้างๆ เธอ

                   ชมพูพิมพ์เบือนหน้าหนีพ่อเจ้าพระยาอมยิ้ม เธอก้มหน้าลงรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้ม 

                        “ค่ะ”

                   “สุขสันต์วันเกิดนะครับ” เขาก้มลงมากระซิบข้างๆ หูของเธอทำเอาคนตัวเล็กแก้มแดงระเรื่อเลยทีเดียว

                   “พระมาแล้วเจ้าน้องพิมพ์” พี่แสงคำสะกิดเบาๆ พร้อมรอยยิ้มเปี่ยมสุข 

                        ถ้าคุณรัมย์คนนี้เป็นคนดี ไม่มีพันธะ ชอบน้องพิมพ์จริง รักจริงหวังแต่งไม่คิดหลอกลวงคงดีไม่น้อยถ้าน้องพิมพ์ได้เขาเป็นคู่ครอง'

                “นิมนต์จ๊ะหลวงพ่อ” 

                        คนทั้งสี่ถอดรองเท้าใส่บาตรพระจนครบทุกรูปก่อนนั่งลงรับศีลรับพรจากท่าน

                   เมื่อสิ้นสุดบทสวดให้พร พระผู้ใหญ่ที่อยู่หัวแถวท่านก็หันมาให้พรกับชมพูพิมพ์ 

                        “ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีๆ นะโยม แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตราย การงานเจริญรุ่งเรือง พรหมลิขิตเมื่อมาแล้วก็ไม่อาจหลีกหนีได้ จงใช้ชีวิตอย่างมีสติอยู่เสมอนะโยม” 

                        รังสฤษฏ์เห็นว่าหลวงพ่อท่านให้พรวันเกิดและยิ้มให้ชมพูพิมพ์ด้วยความเมตตาดูๆไปแล้วใบหน้าของเธอก็มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับท่านอยู่มาก

                   “หลวงพ่อสบายดีไหมค่ะ” ชมพูพิมพ์พนมมือพูดคุยถามไถ่ท่านด้วยความสุภาพ

                   “อาตมาสบายดีตามอัตภาพของสงฆ์ สุขสงบตามพระธรรมคำสอน อาตมามีความสุขดี โยมก็ดูแลตัวเองและโยมป้าดีๆ รักษาสุขภาพด้วย” 

                        พูดแล้วท่านก็เดินออกรับบิณฑบาตจากบ้านอื่นต่อ รังสฤษฏ์หันมองคนด้านข้างที่ยิ้มรับดวงตาวาววับไปด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอจวนจะไหลรินลงมา เธอก้มหน้าลงซับน้ำตาก่อนลุกขึ้นยืนแล้วยิ้มให้พี่แสงคำและป้าบัวบงกช

                   “เดี๋ยวพิมพ์ไปก่อนนะคะ ป้าบัว พี่คำ พิมพ์จะรีบทำธุระให้เสร็จแล้วกลับให้ทันรถเที่ยวสุดท้ายตอนห้าโมงเย็น

                   “ทานข้าวทานปลาก่อนสิลูก” ป้าบัวร้องท้วงด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าหลานสาวตัวน้อยจะไม่มีแรงเป็นลมล้มพับไป

                   “นั่นสิเจ้าเดียวบ่อมีแฮง[6] เป๋นลมไปแล้วจะยุ่งนะเจ้า”

                   “คุณพิมพ์จะไปทำธุระที่ไหนครับ” 

                        รังสฤษฏ์ถามเผื่อว่าหากจุดหมายปลายทางคือที่เดียวกัน เขาจะได้มีโอกาสใกล้ชิดพูดคุยและดูแลเธอระหว่างเดินทาง

                   “ยายพิมพ์จะเข้าตัวจังหวัดน่ะจ๊ะ” ป้าบัวตอบแทนคนที่เอาแต่อมพะนำไม่ยอมตอบคำถามชายหนุ่มเสียที

                   “ดีเลยครับ ผมเองก็จะเข้าไปทำธุระที่เชียงรายเหมือนกัน คุณพิมพ์ไปพร้อมกันกับผมเลยดีไหมครับจะได้ไม่ต้องนั่งรถประจำทาง แล้วก็เป็นไกด์ให้ผมด้วยเพราะผมยังไม่ค่อยรู้จักถนนหนทางดีสักเท่าไหร่” รังสฤษฏ์รู้สึกหัวใจพองโตดีใจอย่างบอกไม่ถูก

                   “แต่...” ชมพูพิมพ์ยังไม่ได้ทันที่จะได้พูดอะไร

                   “ป้าว่าก็ดีนะ ป้าจะได้ไม่ห่วง นั่งรถเมล์ไปมีทั้งฝุ่นทั้งควัน เดี๋ยวกลับมาหนูก็ไม่สบายอีก ไหนๆ คุณรัมย์เขาก็จะไปทางนั้นอยู่แล้วเราติดรถคุณเขาไปประหยัดพลังงานประหยัดเงินในกระเป๋าเข้าสโลแกนคนขี้งกอย่างพิมพ์นะลูก ทางเดียวกันไปด้วยกันไม่ดีรึ” พูดแล้วป้าก็หัวเราะน้อยๆ เย้าหลานสาว 

                        ชมพูพิมพ์รู้สึกว่าป้าของเธอจะเชียร์เขาออกหน้าเหลือเกิน ท่านไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลานสาวคนนี้แล้วเหรอ ทั้งที่ท่านเพิ่งเจอเขาได้ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ ทำไมท่านถึงไว้วางใจให้เธอไปกับเขาสองต่อสองนะ หญิงสาวออกอาการหน้าง้ำหน้างอ

                   “พี่เห็นด้วยนะเจ้า” พี่แสงคำก็อีกคน

                   “แต่พิมพ์ต้องไปทำธุระหลายที่นะคะ เกรงใจคุณรัมย์เขา” 

                        เธออยากจะปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก แต่คนยิ้มหวานปานสายไหมก็ทำให้จำต้องตอบตกลงไปด้วยตอนไหนซึ่งเธอเองก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ รู้อีกทีก็นั่งสัปหงกอยู่บนรถของเขาแล้ว อาการเก่าของเธอกำเริบ ทั้งๆ ที่พยายามขืนฝืนหนังตาตัวเองไม่ให้ปิดลงแต่ก็ทนไม่ไหวจะให้เธอหาเรื่องคุยกับเขาแก้ง่วงก็ไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไรดี

                   รังสฤษฏ์หันมองคนตัวเล็กกำลังนั่งสัปหงก หัวเอนซ้ายทีขวาที เขากลัวเหลือเกินว่าคอสวยๆของเธอจะหักพับตึงเคล็ดเอาได้ 

                        “คุณพิมพ์ครับ ถ้าง่วงก็เอน...” ยังพูดไม่ทันจบเมื่อเขาละสายตาจากถนนมามองคนข้างๆก็พบว่าหัวของเธอเอนไปพิงกับขอบกระจกหลับไปแล้ว เขาชะลอความเร็วจอดรถริมข้างทาง ปรับเอนเบาะนั่งให้เธอได้หลับสบายขึ้น

                        “ทำไมคุณถึงได้น่ารักแบบนี้นะครับคุณพิมพ์” 

                        รังสฤษฏ์มองดวงหน้าเล็กแก้มใสๆ อมชมพูของเธอทำให้ลืมตัวขยับเข้าไปใกล้เธอเรื่อยๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะสัมผัสถูกแก้มนวลของเธอเข้า หากไม่เพราะมือของเขาบังเอิญไปสัมผัสถูกกับมือเย็นๆ ของเธอเสียก่อนเขาคงกลายเป็นผู้ชายฉวยโอกาสขโมยจูบเธอไปแล้ว เมื่อได้สติเขาถอยตัวออกห่างเธอเอี้ยวตัวไปหยิบแจ็กเก็ตที่วางอยู่เบาะหลังมาคลุมให้หญิงสาวแล้วลดอุณหภูมิแอร์รถยนต์ เขาเป็นพวกขี้ร้อนจึงปรับระดับแอร์เย็นฉ่ำไว้เป็นปกติโดยลืมคิดไปว่าวันนี้มีตุ๊กตาน่ารักนั่งรถมาด้วย เธอคงจะเป็นคนขี้หนาวก็ดูสิตัวเล็กนิดเดียวแบบนี้

                   “คิดจะทำอะไรของนายกันรัมย์ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย” 

                        เขาหงุดหงิดตัวเองที่ยังไม่ละสายตาจากพวงแก้มของเธอ หัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุด ไอ้ความรู้สึกที่ปกติเคยหักห้ามเคยยับยั้งได้ทำไมกับเธอคนนี้ถึงห้ามได้ยากเย็นนักนะ ตอนนี้รู้อย่างเดียวแค่ว่าอยากจับเธอมากอดมาหอมแก้มราวกับอยากเธอเป็นของเขาเพียงผู้เดียว เขาพยายามไล่ความคิดนี้ออกไปแต่ก็อดยิ้มขำกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้เลยเปิดเพลงคลอเบาๆ เพื่อเบี่ยงเบนความคิดฟุ้งซ่านแล้วขับรถต่อไปยังจุดหมายที่เธอต้องไปทำธุระเป็นที่แรก

     

                   ชมพูพิมพ์ได้ยินเสียงเรียกและสัมผัสเบาๆ ที่ต้นแขนจากคนนั่งด้านข้างปลุกเธอให้ตื่น เขายิ้มให้เธออย่างนุ่มนวลจนเธอเผลอคิดไปว่าคงดีไม่น้อยถ้าตื่นขึ้นมาเจอรอยยิ้มแบบนี้ทุกวัน

                        คิดอะไรกันพิมพ์ บ้าไปแล้ว

                   “ถึงแล้วครับคุณพิมพ์” ยิ้มอีกแล้ว ถ้ารอยยิ้มของคุณขายได้ฉันคงรวยเละ

                   “เอ่อ...คะ” เธอไม่รู้จะพูดอะไรให้ยาวกว่านี้ เธอเผลอหลับในรถของผู้ชายที่ไม่คุ้นเคย เพียงเพราะเขาหน้าตาท่าทางดูดีนั่นไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลให้เธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวได้นะชมพูพิมพ์

                   “คุณพิมพ์แวะมาโรงพยาบาลไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ” รังสฤษฏ์ถามด้วยสีหน้าที่ห่วงกังวล

                   “เอ่อ...เปล่าหรอกค่ะ แค่มาพบหมอขอยาไปเผื่อไว้ตอนมีอาการน่ะค่ะ เพราะยาที่ฉันใช้โรงพยาบาลที่โน่นไม่มี” เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดตะกุกตะกักพิลึก ทำไมต้องรู้สึกเขินด้วยนะพิมพ์

                   “คุณรัมย์ส่งฉันที่นี่แล้วไปทำธุระของคุณก่อนได้นะคะจะได้ไม่เสียเวลา ถ้าคุณทำธุระเสร็จแล้วโทรก็หาฉันนะคะ ฉันจะไปหาคุณตรงจุดนัดพบที่คุณสะดวก คุณจะได้ไม่ต้องย้อนมารับฉันที่นี่อีก” 

                        เขาส่ายหน้าให้เธอพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างห่วงใยจนเธอแทบจะละลาย

                   “ไม่ได้หรอกครับ ผมพาคุณพิมพ์มาก็ต้องดูแลอย่างดี เกิดคุณพิมพ์ไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วเป็นอะไรไปผมจะทำยังไง วันนี้ผมเป็นสารถีให้คุณพิมพ์ คุณพิมพ์อยากไปไหนทำอะไรบอกผมมาได้เลยนะครับ ส่วนธุระของผมไม่สำคัญมากหรอกครับ แค่จะไปดูเฟอร์นิเจอร์นิดหน่อย เราแวะไปทีหลังก็ได้ เผื่อมีเวลาเหลือเยอะผมอยากให้คุณพิมพ์ช่วยผมเลือกด้วยครับ” 

                        ชมพูพิมพ์มองเขาตาปริบๆ รังสฤษฏ์เองก็แปลกใจเหมือนกันที่เขาพูดอะไรแบบนี้กับเธอ ราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดและการกระทำนั้นไม่ใช่แค่การทำตัวเป็นสุภาพบุรุษทั่วไป แต่มันแฝงไม่ด้วยความรู้สึกรุกเพื่อสร้างความประทับใจให้หญิงสาวเพื่อต้องการสานสัมพันธ์ต่อกับเธอ

                   “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันลงไปพบหมอก่อนนะคะ โรงพยาบาลเอกชนคงใช้เวลาไม่นานมาก” 

                        เธอหลบตาเขาแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยและเพิ่งสังเกตว่ามีเสื้อแจ็กเก็ตตัวใหญ่กลิ่นหอมละมุนคลุมร่างตัวเองอยู่ “ขอบคุณค่ะ” เธอยื่นมันกลับคืนให้เขากลิ่นกายของเขายังทำให้รู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอ เธอเงยหน้ามองเขาหลังที่ก้มหน้าไม่กล้าสบตาอยู่นาน

                   “ยินดีครับ” 

                        มากกว่าเสื้อตัวนี้ผมก็ให้คุณพิมพ์ได้ รังสฤษฏ์อยากจะบอกกับเธอแบบนี้เหลือเกิน

                   “ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่าค่ะ” ว่าแล้วเธอก็เปิดประตูลงจากรถโดยไม่รอให้เขาบริการ

                   “คุณพิมพ์ต้องยื่นบัตรพบหมอโซนไหนครับ” รังสฤษฏ์ถามเธอเมื่อเดินเข้ามายังด้านในของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้

                   อยู่ๆ ก็มีเสียงร้องทักเธอจากชายหนุ่มคนหนึ่งดังมาแต่ไกลพร้อมกับเจ้าของเสียงที่ท่าทางเหมือนพร้อมจะกระโจนเข้ามาหาเธออย่างไรอย่างนั้น

                   “พิมพ์ พิมพ์จริงๆ ด้วย” น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูตื่นเต้นดีใจเอามากๆ

                   “เฟิร์ส” 

                        ชมพูพิมพ์อดแปลกใจไม่ได้เมื่อเจอกับหนึ่งกมลอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบกันมานานราวๆเกือบแปดปี

                   “อืม เราเอง พิมพ์ยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ เห็นแวบเดียวเราก็จำได้เลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาจนรังสฤษฏ์รู้สึกได้

                   “เฟิร์สก็ยังดูดีเหมือนเดิมนะ สบายดีไหม” เธอทักทายเขาตามมารยาทอย่างเสียไม่ได้

                   “ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็ชมพูพิมพ์นี่เอง” 

                        เสียงผู้หญิงอีกคนกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาบ่งบอกสำเนียงส่อความไม่พอใจจนรังสฤษฏ์ถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปจนแทบสลดลงของผู้ชายที่ชื่อเฟิร์ส

                   “หวัดดีคีย์ สบายดีนะ” ชมพูพิมพ์ทักทายหญิงสาวตามมารยาทอีกครั้งทั้งที่อันที่จริงแล้วแทบไม่อยากจะเสวนากับสองคนนี้สักเท่าไหร่เลย

                   “สบายดี สบายมากๆ เลยล่ะ เฟิร์สดูแลฉันแล้วก็... ลูกในท้องเป็นอย่างดี” 

                        ชมพูพิมพ์เพิ่งสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตั้งท้องเมื่อเธอใช้มือสัมผัสลูบที่หน้าท้องของตนที่นูนกลมขยายใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย

                   “ยินดีด้วยนะ” ชมพูพิมพ์แสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ด้วยความจริงใจ

                   “ขอบคุณ จะว่าไปแล้วถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือของเธอพวกเราก็คงไม่มีวันนี้หรอก” 

                        คำพูดของหญิงสาวเหมือนจะแสดงความขอบคุณ แต่คนที่ได้ฟังทั้งสามรู้ดีกว่ามันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะทีเดียว

                   “คุณคณิสรา ประเสริฐสว่างกุล เชิญรับยาช่องสี่ค่ะ การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงชั่วคราวเมื่อมีเสียงเรียกจากเภสัชกรห้องยา

                   “เฟิร์ส ไปรับยาให้คีย์หน่อย” เธอหันไปบอกสามี

                   “ได้ เดี๋ยวเฟิร์สมาคุยด้วยนะพิมพ์ อย่างเพิ่งไปไหนนะ” ชายหนุ่มหันมาบอกชมพูพิมพ์กลัวว่าเพื่อนเก่าจะชิ่งหนีเพราะภรรยาของเขาไปเสียก่อน เขายังอยากพูดคุยกับเธอให้นานกว่านี้

                   “พิมพ์ ฉันหวังว่าเธอจะไม่ทำให้เฟิร์สเขาสับสนนะ” เมื่อคล้อยหลังสามีเธอก็แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ

                   ชมพูพิมพ์งงกับคำพูดของเพื่อนเก่า คณิสรายังคงไม่เลิกระแวงอีกหรือทั้งที่ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานหลายปี และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะสมหวังในสิ่งที่ตนต้องการแล้ว ทำไมยังกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่อีก

                   “อย่าคิดมากเลยคีย์ เลิกระแวงและกังวลได้แล้ว ถ้าเรารู้ว่าการที่เราทำหน้าที่ส่งจดหมายรักให้เฟิร์สตามคำขอของคีย์เมื่อก่อนจะทำให้เราเสียเพื่อนสนิทไป เราคงไม่ใจอ่อนทำมันเด็ดขาดเผื่อว่าวันนี้เรากับคีย์อาจจะมีมิตรภาพที่ดีหลงเหลืออยู่บ้าง”

                   “คีย์ เรียบร้อยแล้วนี่ยาบำรุง” หนึ่งกมลชูถุงยายื่นมันให้ภรรยาดู “พิมพ์รีบไปไหนรึเปล่า มาหาหมอตรวจเสร็จรึยัง ไปทานข้าวกันไหม พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งนานคงมีเรื่องคุยกันกับคีย์เยอะแยะเลยใช่ไหม ไปหาอะไรทานที่ร้านกาแฟใกล้ๆ โรงพยาบาลก็ได้”

                   “ไว้วันหลังนะเฟิร์ส วันนี้เรายังไม่ได้พบหมอ”

                   “คุณชมพูพิมพ์เชิญนั่งรอหน้าห้องตรวจเบอร์สองนะคะ” เสียงพยาบาลประจำเคาน์เตอร์ทำให้ความอึดอัดที่ใกล้จะปะทุของเธอคลายลงได้เวลาแยกย้ายกันสักที

                   “เราไปก่อนนะ ถ้ามีโอกาสเจอกันอีกค่อยไปหาอะไรทานกัน” ชมพูพิมพ์บอกกับหนึ่งกมลแล้วหันไปยังเพื่อนสนิทที่ตอนนี้กลายเป็นอดีตเพื่อนเก่า “โชคดีนะคีย์ ตอนนี้เธอก็ได้ในสิ่งที่ต้องการแล้วอย่าเก็บเอาเรื่องเก่าในอดีตมาคิดให้ปวดหัวเลย” ก่อนจะเดินผละออกจากวงสนทนามาทันที

                   “เดี๋ยวพิมพ์” หนึ่งกมลร้องตามแต่ภรรยาคว้าแขนเขาเอาไว้ “อะไรกันคีย์ เรายังไม่ได้ขอเบอร์ติดต่อพิมพ์เลยนะ คีย์ก็เหมือนกันเป็นเพื่อนสนิทกันแท้ๆ ทำไมถึงไม่มีเบอร์ติดต่อพิมพ์”

                   “เอาน่าเฟิร์สเดี๋ยวเราถามเอากับเพื่อนคนอื่นก็ได้ เฟิร์สไม่เห็นเหรอว่าพิมพ์เขามีผู้ชายรูปหล่อมาด้วย เขาคงไม่อยากคุยกับเรานานสักเท่าไหร่ ไม่แน่ว่าวันนี้เขาอาจจะมาตรวจครรภ์เพราะกำลังมีเจ้าตัวเล็กเหมือนเราก็ได้นะ” 

                        คณิสราลงแรงบีบที่แขนของสามีมากขึ้นเมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีสลดและเสียดายเหลือเกิน 

                        พิมพ์ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ในใจของเฟิร์สฉันก็ยังสำคัญต่อเขาน้อยกว่าเธออยู่ดี คนที่เป็นรักแรกของเขาอย่างเธอเมื่อไหร่จะหายไปจากชีวิตเราสองคนสักทีนะ

     

                   “คุณพิมพ์ครับ” 

                        รังสฤษฏ์มองชมพูพิมพ์ด้วยความเป็นห่วงและเธอก็สามารถรับรู้มันได้

                   “ฉันไม่เป็นไรค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างสดใส “ก็แค่อดีตเพื่อนสนิท คุณรัมย์เองก็คงมีใช่ไหมค่ะเพื่อนเก่าที่ไม่ค่อยอยากเจอสักเท่าไหร่น่ะค่ะ” พูดแล้วเธอก็หัวเราะเสียงใสจนคนฟังหัวเราะตาม

                   หลังจากที่เขาพาเธอตะเวนทำธุระจนเสร็จ ชมพูพิมพ์ก็พาเขาไปทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารพื้นเมืองชื่อดังก่อนแวะไปชมความงดงามอลังการของวัดร่องขุนและถ่ายภาพสวยๆ ชิมของว่างอร่อยๆ ที่ไร่ชาฉุยฟงตามคำขอของโชเฟอร์จำเป็นแล้วกลับเข้ามาในตัวเมืองอีกครั้งเพื่อทำธุระของเขาบ้าง

                   “อันที่จริงที่เชียงของก็มีร้านเฟอร์นิเจอร์อยู่หลายร้านนะคะ คุณเลือกซื้อที่นั่นเอาก็ได้ไม่เห็นจำเป็นต้องเข้ามาซื้อในตัวเมืองเลย ต้องเสียค่าขนส่งอีก อีกอย่าง... คุณเองก็คงเช่าบ้านฉันอยู่ไม่นานไม่ใช่เหรอคะทำไมต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงๆ และก็ไม่จำเป็นต้องตกแต่งอะไรให้มากมายด้วย” 

                        เธอสงสัยเมื่อเขาจอดรถหน้าร้านเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสินค้าครบครันพร้อมรับงานออกแบบและติดตั้งรวมไปถึงงานก่อสร้างเลยทีเดียว

                   “เจ้าของร้านนี้เป็นเพื่อนผมเองครับ พอดีเขาแต่งงานแล้วก็หนีตามภรรยามาปักหลักลงทุนทำธุรกิจอยู่ที่เชียงราย เราไม่ได้เจอกันนานผมเลยกะว่าจะแวะเข้ามาทักทายแล้วก็อุดหนุนกิจการเขาสักหน่อย” รังสฤษฏ์ให้เหตุผลในขณะที่เธอพยักหน้ามองเขาอย่างเข้าใจ 

                        “นั่นไงครับเพื่อนผม ออกมายืนรอต้อนรับอยู่หน้าร้านเลย” เขาชี้ให้เธอดูชายหนุ่มที่ยืนเคียงข้างภรรยาคนสวยรอเพื่อนรัก

                   “สวัสดีค่ะคุณรัมย์” ภาวิตรีภรรยาของน่านนทีเพื่อนของเขากล่าวทักทาย

                   “สวัสดีครับคุณภา หวัดดีนายที นี่คุณพิมพ์ครับ” รังสฤษฏ์ทักทายเพื่อนและภรรยาโดยไม่ลืมที่จะแนะนำชมพูพิมพ์ให้เพื่อนได้รู้จัก

                   “สวัสดีค่ะ” ชมพูพิมพ์กล่าวทักทายเพื่อนๆ ของเขาพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจดังชื่อที่คนได้เห็นแล้วถูกตาต้องใจเป็นเสน่ห์ที่เขาอยากเก็บไว้ให้เธอยิ้มให้เขาดูคนเดียวเสียจริง

                   “เชิญข้างในดีกว่านะคะ” ภาวิตรีเชิญทั้งคู่เข้าไปสนทนาต่อห้องรับรองแขกต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี

                   หลังจากสนทนาตามประสาเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันมานาน ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รังสฤษฏ์ก็ชวนชมพูพิมพ์ออกมาช่วยเขาเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เพื่อนรักสัญญาว่าจะบริการส่งให้ถึงที่ด้วยตัวเอง

                   “พี่ที ภาว่าสายตาที่คุณรัมย์เพื่อนพี่ทีมองคุณพิมพ์มันลึกซึ้งเป็นพิเศษนะ”

                   “แล้วไม่ดีเหรอ พี่จะได้ตั้งสมาคมคนมีสาวเหนือเป็นเมียไง” น่านนทีสวมกอดภรรยาจากด้านหลัง

                   “บ้า พี่ทีสมาคมที่ไหนมีกันแค่สองคน” ภาวิตรีตีแขนสามีเบาๆ

                   “ไว้พี่จะหาคนเข้าร่วมเยอะๆ เพื่อนพี่ที่ยังโสดก็มีอีกตั้งหลายคน ภาก็หาเพื่อนๆ ที่ยังโสดไว้แนะนำให้เพื่อนๆ พี่รู้จักสิ พี่จะได้ตั้งสมาคมได้” เขากอดภรรยาแน่นขึ้นแล้วหอมแก้มเธอทีหนึ่ง

                   “พอแล้วพี่ที ลูกน้องเห็นเข้าเสียการปกครองหมด ดูโน่นดีกว่า” ภาวิตรีชี้ให้สามีมองดูคู่ลุ้นคู่จิ้นที่พวกเขาอยากให้รักกันจริงๆ เพราะดูแล้วเหมาะสมกันเหลือเกิน

     

                   “คุณรัมย์นอนคนเดียวหรือว่ามีคนนอนด้วยคะ” 

                        รังสฤษฏ์ถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินคำถามของเธอเมื่อเขาขอให้เธอช่วยเลือกเตียงนอน ฟูก และเครื่องนอน

                   เขากระแอมไอเล็กน้อยก่อนตอบ “ผมนอนคนเดียวครับ” ใจจริงอยากจะบอกเธอต่อว่าผมยังไม่มีใครหรือว่าเอาที่คุณพิมพ์ชอบก็ได้ครับจะได้เผื่อเอาไว้

                   “คุณนอนดิ้นรึเปล่าค่ะ” เขามองคนที่ถามด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ไม่คิดอะไรแต่ทำไมเขากลับรู้สึกอายหรือเป็นเพราะเขารู้สึกพิเศษกับเธอใช่ไหมแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้หัวใจเต้นแรงได้

                   “ผม...ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เธอพยักหน้าให้เขาอย่างเข้าใจขณะก้มลงสัมผัสกดๆ ดูความยืดหยุ่นของที่นอน

                   “จริงสินะคะ เวลาเราหลับเราจะไปรู้ได้ยังไงว่าตัวเองนอนดิ้นรึเปล่า” เธอพูดแล้วก็หัวเราะ “คุณรัมย์ชอบนอนฟูกแบบไหนค่ะ นิ่มๆ เด้งๆ หรือว่าแข็งหน่อย”

                   “เอ่อ...” 

                        เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติที่บ้านพ่อกับแม่ก็เป็นคนเตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกๆ ทั้งสามคน เขาเองเรียนจบสถาปนิกมาออกแบบอะไรมาหลายต่อหลายอย่าง แต่ทำไมวันนี้กับแค่เลือกเตียงนอนกับเธอถึงได้กลายเป็นเรื่องยากไปซะถนัดตา

                   “ถ้าอย่างนั้นต้องลองนอนดูค่ะ คุณทีบอกว่าลองได้ คุณรัมย์ลองดูสิคะ ลองนอนดูแล้วก็ลองพลิกตัวกลับไปกลับมาดูสิว่ารู้สึกสบายตัวไหม” เธอนั่งลงบนเตียงตัวอย่างแล้วตบมันเบาให้เขานั่งลงข้างๆ

                   “โลกกลมจริงๆ” 

                        เมื่อนั่งลงรังสฤษฏ์ก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ ที่เหมือนเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้และก็ใช่จริงๆ

                   ชมพูพิมพ์ยืนขึ้นก้าวห่างจากเตียงเล็กน้อยเมื่อเห็นคนทั้งคู่ที่ไม่อยากจะเจออีกเป็นครั้งที่สองของวันมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง วันนี้วันเกิดเธอแท้ๆ ทำไมถึงได้เจอพวกจิต... ถึงสองครั้งสองครานะ สงสัยฤกษ์ไม่ดีตอนจะออกจากบ้าน

                   “ใช่ๆ เจอกันอีกแล้วนะพิมพ์ เราดีใจจัง พิมพ์มาซื้อเฟอร์นิเจอร์เหรอ ไหนๆ ก็เจอกันอีกครั้งเมื่อกี้เราลืมขอเบอร์โทรพิมพ์ไว้ เราขอเลยละกันนะ จะได้ติดต่อกันได้สะดวกไง” 

                        หนึ่งกมลรีบล้วงเอาโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้ชมพูพิมพ์ แต่คณิสราคว้ามันมาถือไว้เองก่อนที่มันจะถึงมือของเธอ

                   “พิมพ์มาซื้ออะไรเหรอ ฉันกับเฟิร์สมาเลือกซื้อเตียงใหม่น่ะ เตียงเก่ามันแข็งไปกลัวว่านอนแล้วจะเสียสุขภาพ เฟิร์สเขาเป็นห่วงเรากับลูก อีกอย่างเราเองก็กลัวว่ามันจะหักเพราะมีพวก... ปลวกมากัดกินด้วย” 

                        คณิสราเน้นคำว่าปลวกเป็นพิเศษเหมือนจงใจจะพูดกระทบเปรียบเปรยว่าเธอเป็นพวกมือที่สามที่จ้องจะหั่นขาเตียงเจ้าหล่อนเสียอย่างนั้น 

                        คิดมากไปทำไมนะคีย์ ไม่มีใครเขาคิดจะทำร้ายเธอสักหน่อย ฉันสงสารสุขภาพจิตเด็กในท้องเธอจริงๆ'

                   ยังไม่ทันที่ชมพูพิมพ์จะตอบคำถามของคณิสรา เธอก็ถูกกระตุกแขนเบาๆ แล้วเอวบางก็ถูกมือแกร่งรั้งให้นั่งลงบนตักของเขาพร้อมโอบกอดเธอไว้จากด้านหลัง เขาเกยคางกับไหล่ของเธอเล่นเอาเธอขนลุกไปทั้งตัวหัวใจดวงน้อยเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา

                   “คุณพิมพ์ครับ ผมชอบเตียงตัวนี้จัง ทั้งใหญ่ ทั้งนุ่ม เด้งดีด้วย เราลองนอนดูกันไหมครับ"

                   “คุณรัมย์” 

                        เสียงของเธอแผ่วเบาจนกลายเป็นเสียงกระซิบที่ได้ยินกันแค่สองคน ให้มันได้แบบนี้สิหัวใจของเธอเต้นแรงและเร็วขึ้นยิ่งเสียกว่าจังหวะรัวกลองของเพลงร็อคมันส์ๆ ซะอีก

                   “คุณจะทำอะไรคะ” 

                        เมื่อตั้งสติได้แม้ไม่เต็มร้อย เธอก็พยายามออกจากอ้อมกอดของเขาแต่เขากลับใช้อ้อมแขนที่อบอุ่นนี้กระชับกอดให้แน่นขึ้น กลิ่นกายหอมๆ บวกกับการกระทำของเขาทำให้สมองของเธอมึนงง

                   “ผมชอบเตียงตัวนี้ครับ ฟูกนุ่มดี ส่วนเครื่องนอนจำพวกหมอน ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ผมตามใจคุณพิมพ์นะครับ อยากได้แบบไหน สีไหนก็เลือกได้เลย ส่วนหมอนข้างผมไม่เอานะ"

                        เขาหัวเราะเล็กน้อยอย่างคนเจ้าเล่ห์จนเธออดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อเทพบุตรมีนิสัยแบบนี้ซุกซ่อนอยู่ด้วยหรือ ดูจากการกระทำของแล้วเขาเธอไม่ควรประมาทคนมือไวใจเร็ว               

                        “เพราะผมไม่อยากให้คุณพิมพ์กอดหมอนข้างมากกว่าผม ไม่มีน่ะดีที่สุดคุณพิมพ์จะได้กอดผมคนเดียว” 

                        รังสฤษฏ์พูดจาออดอ้อนเธอและทำทีราวกับว่าตรงนี้มีแค่สองเรา ส่วนสามีภรรยาตรงหน้าไม่มีตัวตนเป็นเพียงมวลอากาศที่ลอยอยู่ทั่วไป หรือไม่ก็เป็นอะไรสักอย่างที่ขัดจังหวะการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ของคู่รักข้าวใหม่ปลามัน

                   เขาชวนเธอพูดคุยเรื่องที่นอนหมอนมุ้งไปเรื่อยโดยไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กได้หันไปต่อบทสนทนากับสองสามีภรรยาอยู่นานสองนาน แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่ไปไหนจนเขาต้องกระเถิบถอยหลังไปบนเตียงเอนตัวลงนอนบนที่นอนนิ่มๆ โดยที่มีคนตัวเล็กอยู่บนร่าง เขาตะแคงซ้ายวางเธอลงกับเตียงแต่ก็ยังไม่ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน

                   “คุณรัมย์” 

                        แก้มของชมพูพิมพ์กลายเป็นสีชมพูน่ามอง ดวงตากลมคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนหลบตาเขาอย่างเขินอาย

                   “ครับคุณพิมพ์” 

                        เขาเข้าใจคำว่าเวลาหยุดอยู่ที่สองเราอย่างถ่องแท้แล้วจริงๆ รังสฤษฏ์มองคนที่กำลังเขินอายก้มหน้าหลบตาซุกอกของเขาอยู่ ตอนนี้เขารู้สึกดีจริงๆ ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ มันไม่ใช่ความรู้สึกดีที่เกิดจากการฉวยโอกาสทำรุ่มร่ามกับเธอ แต่มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าเราได้เจออะไรบางอย่างที่หายไป

                   “เลือกได้รึยังรัมย์ว่าจะเอาแบบไหน” 

                        เสียงของน่านนทีทำให้ชมพูพิมพ์ผละออกจากอ้อมกอดของรังสฤษฏ์ราวกับถูกของร้อน แต่ที่ร้อนมากกว่าตอนนี้เห็นทีจะเป็นหน้าของเธอ

                   ชมพูพิมพ์รีบผุดนั่งทันที เธอรู้สึกอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ร้านเฟอร์นิเจอร์ของเพื่อนเขาใช่ว่าจะเล็กเสียเมื่อไหร่ มีคนตั้งมากมายเดินผ่านไปเดินผ่านมาเพื่อเลือกซื้อสินค้า ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเห็นแล้วจะพากันคิดไปต่างๆ นานาอย่างไรกันบ้าง

                   รังสฤษฏ์ลุกขึ้นนั่งข้างๆ เธอ “สองคนนั้นไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลยเนอะ” เขาพูดไปยิ้มไปชมพูพิมพ์คงคิดว่าเขากำลังล้อเลียนเธออยู่หากไม่เห็นหน้าแดงๆ ของเขา

                   “อายเป็นด้วยเหรอคะ” 

                        เธอลุกขึ้นก้าวขาลงจากเตียงแต่ด้วยความนุ่มนิ่มของมันทำให้เสียหลักเซไปชนเขา แก้มใสๆเฉียดโดนริมฝีปากของเขาเข้า เธอตกใจจนรีบตะกายลงจากเตียงแทบไม่ทันก่อนขอตัวไปเข้าห้องน้ำหลังจากถามทางกับเพื่อนของเขา

                   “ว่าไง ตกลงเลือกได้รึยังนายรัมย์” น่านนทีขำกับท่าทางของเพื่อนที่ทำตัวราวกับเป็นหนุ่มน้อยแรกรักหน้าแดงนั่งนิ่งสตั้นเป็นรูปปั้น

                   “เอาเตียงตัวนี้ล่ะ” คนใจเต้นแรงตอบอย่างอายๆ

                   “คนนี้ตัวจริงรึเปล่าวะ” น่านนทีนั่งลงกอดคอเพื่อน

                   “ก็อยากให้เป็นตัวจริงอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะอยากเป็นไหม”

                   “มีด้วยเหรอคนที่เห็นนายแล้วไม่ชอบ” น่านนทีย่นคิ้วอย่างแปลกใจ

                   “ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษนะที นายทำเหมือนกับว่าฉันเป็นที่หมายปองของสาวๆ อย่างนั้นล่ะ”

                   รังสฤษฏ์ส่ายหน้า ใช่เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้ดีเลิศหรือประเสริฐกว่าคนอื่นอะไรมากมาย เป็นแค่คนที่อยากเป็นคนดีทำในสิ่งที่คิดว่าดีแต่กลับต้องเจ็บปวดมาครั้งหลายคราวตั้งแต่เริ่มมีความรักเพราะผู้หญิงมักให้เหตุผลว่าเขาดีเกินไป ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดจะปรับปรุงตัวเองให้ดีน้อยลงเพราะเขาเชื่อว่าวันหนึ่งคงมีใครสักคนที่เห็นความดีของเขา

                   “น้อยซะที่ไหนกันเล่า เอาเถอะถ้าชอบจริงคนนี้ฉันเชียร์” น่านนทีหัวเราะชอบอกชอบใจ “เพราะดูแล้วเขาเอานายอยู่ ดูแลนายได้ แถมดูนิสัยเหมือนจะแมนกว่านายเยอะ จะเอาอะไรอีกก็เลือกต่อตามสบายเลยนะเพื่อน” พูดแล้วก็รีบลุกออกห่างเพื่อนอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าจะโดนทำร้ายจากอะไรสักอย่างที่อยู่ใกล้มือรังสฤษฏ์

                   ชมพูพิมพ์ใช้เวลาสงบจิตใจในห้องน้ำเป็นเวลานานพอสมควร หลังเธอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นรังสฤษฏ์ยืนเลือกเฟอร์นิเจอร์อีกสองสามชิ้นที่เข้าชุดกันอยู่ เธอเลยเดินไปนั่งรอเขาตรงโต๊ะรับแขกที่มีไว้สำหรับต้อนรับลูกค้า เมื่อเขาได้ของที่ต้องการครบแล้วก็เดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับน่านนทีและภาวิตรีบอกว่าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยวันพรุ่งนี้น่านนทีจะให้ลูกน้องจัดส่งของถึงบ้าน กว่าทั้งคู่จะได้กล่าวลาเจ้าของร้านและภรรยาคนสวยกลับเชียงของก็ประมาณเกือบห้าโมงเย็นเป็นอันว่าธุระของเธอและเขาเสร็จเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี

                   ตั้งแต่ขึ้นรถออกจากร้านของน่านนทีมาชมพูพิมพ์ก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จายิ่งกว่าตอนขามาเสียอีก รังสฤษฏ์เองก็ไม่รู้จะเปิดประโยคสนทนากับเธออย่างไรดี ดูเหมือนเธอจะระแวดระวังตัวมากขึ้นคงเป็นเพราะเหตุการณ์ในร้านก่อนหน้านี้

                   “คุณพิมพ์โกรธเรื่องที่ผมทำที่ร้านนายทีรึเปล่าครับ” เขาถามอย่างรู้สึกผิด

                   “ฉันไม่ได้โกรธคุณค่ะ” เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ต้องขอบคุณคุณที่กันสองคนนั้นออกไป” แต่สีหน้าของเธอกลับไม่ได้บ่งบอกอย่างนั้น

                   “ผมขอโทษที่ทำเกินกว่าเหตุและไม่เป็นสุภาพบุรุษ” 

                        เขารู้ดีว่ามีอีกหลายวิธีที่จะกันสองคนนั้นออกไปได้ แต่ทำไมสมองของเขากลับคิดได้แค่วิธีนั้น วิธีเดียว การกระทำของเขามันดูเหมือนเป็นการฉวยโอกาสกับเธอมากกว่าให้ความช่วยเหลือ

                   “ไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้นผมถึงคิดได้แค่วิธีนี้ ขอโทษนะครับที่ผมถึงเนื้อถึงตัวคุณพิมพ์”

                   “ช่างมันเถอะค่ะ” เธอบอกปัดนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดประโยคต่อมาแบบไม่สบอารมณ์ 

                        “แต่... คุณรู้ไหมว่าคุณทำให้ฉันกลัวยิ่งกว่าไอ้หมอเฟสบุ๊คจอมโรคจิตเพื่อนคุณอีก”

                   “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณพิมพ์นั่งนิ่งฝืนตัวเองทั้งที่ง่วงมากเพราะกลัวว่าผมจะทำอะไรคุณใช่ไหมครับ” เขาหันมายิ้มให้เธอ

                   “ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะกลัวไม่ใช่เหรอคะ” เธออยากจะบอกเขาว่าคุณทำให้ฉันไม่ไว้ใจแล้วยังจะยิ้มอีกเหรอพ่อคุณ

                   “คุณพิมพ์อย่ากลัวผมเลยนะครับ ถ้าคุณพิมพ์ไม่สบายใจผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”

                   “คุณจะรับผิดชอบยังไงคะ” เธอขมัวคิ้วอย่างสงสัยเขาพูดอย่างกับว่าตัวเองทำอะไรเธอมากกว่าแค่กอด

                   “ทุกอย่าง แม้กระทั่ง ขอคุณพิมพ์ตะ....” 

                        เสียงตูมดังราวกับเสียงระเบิดพร้อมตัวรถที่ส่ายไปมาโชคดีที่รังสฤษฏ์ขับรถไม่เร็วนักบวกกับถนนโล่งไม่มีรถตามหลังมาจึงทำให้เขาสามารถประคองพวงมาลัยจอดรถข้างทางได้อย่างปลอดภัย

                   “คุณพิมพ์ครับ” หน้าของเธอซีดเผือดนั่งนิ่งเกร็งจนเขากังวล 

                        “คุณพิมพ์ครับ” 

                        รังสฤษฏ์เรียกเธออีกครั้งพร้อมจับมือเธอเบาๆ มือของเธอเย็นเฉียบ เขารีบปลดเข็มขัดนิรภัยประคองไหล่ทั้งสองข้างของเธอเขย่าเพื่อเรียกสติ คนตัวเล็กยังอยู่ในอาการช๊อก เธอหันมาหาเขาโผลเข้ากอดแล้วร้องไห้สะอื้นตัวโยนนานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเธอจะตั้งสติได้หายจากอาการตกใจ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเธอถึงได้กลัวมากขนาดนี้คงเป็นเพราะมีเรื่องราวในอดีตบางอย่างที่ฝังใจ        

                “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ” เธอผละออกจากเขา รู้สึกว่าตัวเองคุมสติไม่อยู่และพลาดแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น

                        “รถเป็นอะไรเหรอค่ะ” เพราะไม่อยากให้เขาถามในสิ่งที่ไม่อยากตอบเธอจึงเลี่ยงถามเขาถึงสาเหตุของเสียงระเบิดนั่นแทน

                   “ผมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะยางรถล้อหลังระเบิดน่ะครับ คงเพราะลมยางอ่อนหรือไม่ก็ไปเหยียบตะปูเข้า ตั้งแต่นายชลขับจากกรุงเทพฯ มาจอดทิ้งไว้ให้ ผมเองก็ยังไม่ได้เอารถไปเช็คหรือเข้าศูนย์ฯ เลย ขอโทษด้วยนะครับคุณพิมพ์ที่ทำให้คุณพิมพ์ตกใจและเกือบได้รับอันตราย” 

                        รังสฤษฏ์รู้สึกผิดแล้วก็เสียใจจริงๆ ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นทั้งที่รับปากกับป้าของเธอแล้วว่าจะดูแลเธอ เขาพาเธอมาด้วยก็เพราะไม่ต้องการให้เธอลำบาก แต่ดูเหมือนตอนนี้เขากลับเป็นคนทำให้เธอลำบากซะเอง

                   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น” 

                        พูดแล้วเธอก็อดหวนคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นไม่ได้ เธอเลิกคิดถึงมันโดยการกลำกลืนฝืนเก็บความรู้สึกนี้ลงสู่ห้วงลึกในจิตใจอีกครั้งแล้วหันมาพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มที่เหนื่อยล้าเต็มที

                   “ฉันว่าเราลงไปดูกันดีกว่าไหมคะว่ารถเป็นอะไรมากรึเปล่าจะได้รีบหาทางแก้ไขนี่ฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้วอีกอย่างวันนี้วันอาทิตย์คงหาช่างหรือว่าอู่ที่เปิดอยาก เราควรรีบจัดการให้เสร็จเร็วๆ จะดีกว่า”

                   “คุณพิมพ์รออยู่บนรถนะครับ เดี๋ยวผมลงไปดูเอง” 

                        รังสฤษฏ์เปิดประตูลงจากรถทันที ชมพูพิมพ์เองก็ไม่รอให้เขาต้องจัดการทุกอย่างคนเดียวมาด้วยกันก็ต้องช่วยกันเลยลงจากรถตามเขา

                   “ยางแตกจริงๆ ด้วยครับ”

                   “คุณรัมย์มียางอะไหล่ แม่แรง แล้วก็พวกอุปกรณ์เปลี่ยนยางไหมค่ะ”

                   “น่าจะมีอยู่นะครับเดี๋ยวผมขอดูก่อน” เขาเปิดท้ายรถหาโน่นหานี่อยู่ครู่หนึ่ง 

                        “มีครบทุกอย่างครับ นับว่าเป็นโชคดีของเรา” เขายิ้มอย่างดีใจ 

                        “แต่อาจมีปัญหานิดหน่อยคือผมไม่เคยเปลี่ยนยางเอง” พูดแล้วเขาก็หัวเราะในความอ่อนหัดของตัวเอง

                   “ฉันเข้าใจค่ะ ใช่ว่าผู้ชายทุกคนจะเก่งเรื่องเครื่องยนต์กลไก” 

                        ว่าแล้วเธอและเขาก็ลงมือช่วยกันเปลี่ยนยางอะไหล่รถยนต์แทนยางเส้นที่แตกไป นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้หญิงตัวเล็กกับผู้ชายที่ไม่เคยจับไขควงเลย ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่นานสองนานและก็เหมือนว่าความโชคร้ายในวันนี้ยังไม่หมดไปเมื่อฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว

                   “คุณพิมพ์เข้าไปรออยู่ในรถดีกว่านะครับ ตรงนี้ใกล้จะเสร็จแล้วเหลือแค่ขันน็อตฝาครอบล้อกระทะรถผมจัดการเองครับ เร็วครับเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” 

                        เขารีบเปิดประตูรถดันเธอเข้าไปนั่งข้างในทันทีกลัวว่าคนตัวเล็กจะเปียกปอนไปมากกว่านี้

                   เมื่อจัดการกับล้อรถยนต์และเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าที่เรียบร้อยแล้วรังสฤษฏ์ก็ก้าวขึ้นรถในสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัวจนชมพูพิมพ์ตกใจ ตัวเขาเปียกโชกเธอเองก็รีบกุลีกุจอหาผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในกระเป๋าเช็ดหน้าเช็ดตาให้เขา แต่ผ้าผืนเล็กนิดเดียวไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเธอเลยหยิบทิชชู่ที่มีอยู่บนรถออกมาซับให้เขาจนหมดกล่อง

                   “ไม่เป็นไรครับคุณพิมพ์” เขายิ้มอย่างขอบคุณ 

                        “เดี๋ยวเราแวะปั้มน้ำมันหน่อยนะครับ รู้สึกว่าลมยางอะไหล่จะอ่อน จะได้แวะเติมลมยางแล้วก็หาอะไรให้คุณพิมพ์รองท้องด้วยนี่ก็หัวค่ำแล้ว คุณพิมพ์คงจะหิวแย่ เรายังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่หลังมื้อกลางวัน”

                   “คุณรัมย์ยังจะห่วงคนอื่นอีก คุณเปียกไปหมดทั้งตัวเดี๋ยวก็ไม่สบายเอารีบไปกันเถอะค่ะจะได้หาเสื้อผ้าเปลี่ยนด้วย” 

                        เธอนึกอยากจะตีเขานักดูสิตัวเองเปียกม่อล่อกม่อแลกสั่นเป็นลูกนกตกน้ำแล้วยังเป็นห่วงกลัวว่าเธอจะหิว บนโลกใบนี้ยังจะมีใครแบบเขาอีกไหมพ่อเทพบุตรของเธอ... นี่เธอบอกว่าเขาเป็นของเธอหรือ พิมพ์ เธอคิดอะไรอยู่

                   โชคดีที่ระยะทางจากจุดที่รถยนต์ของเขาจอดเสียอยู่ไม่ห่างจากปั้มน้ำมันมากนักเลยใช้เวลาแค่ครู่เดียวก็ถึงและก็โชคดีอีกที่ปั้มแห่งนี้เป็นปั้มน้ำมันขนาดใหญ่มีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านกาแฟ ร้านของฝาก หรือแม้แต่ร้านเสื้อผ้า เขาจึงได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เปลี่ยนแทนชุดเดิมที่เปียกไปทุกอณูขณะที่คนตัวเล็กขอตัวไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มสำหรับเขาและเธอ รวมถึงโทรบอกคนที่บ้านว่าพวกเขาอาจกลับถึงบ้านดึกเพราะเกิดเหตุสุดวิสัยระหว่างทาง

                   เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยออกจากห้องน้ำมาก็เห็นว่าเธอกำลังเดินเลือกซื้อของในร้านสะดวกซื้อเลยเดินไปที่ร้านกาแฟเพื่อหาอะไรเครื่องดื่มอุ่นๆ ให้คนตัวเล็กขี้หนาวได้ดื่ม เมื่อออกจากร้านกาแฟเขาเห็นเธอกำลังคุยโทรศัพท์จึงเลี่ยงเดินไปรอเธอในรถแทน

                   ชมพูพิมพ์ถือถุงจากร้านสะดวกซื้อสองสามถุงในมือเธอเปิดประตูขึ้นรถโดยไม่ทันได้มองเขา “คุณรัมย์คะ ฉันไม่รู้ว่าคุณชอบทานอะไรก็เลยซื้อมาหลายอย่าง มีข้าวผัด ข้าวผัดกระเพราหมู แล้วก็มีกุ้งอบวุ้น สะ...” เธอหันมาหาเขาเมื่อปิดประตูรถยนต์เรียบร้อย

                   “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ ทู ยู...........สุขสันต์วันเกิดนะครับคุณพิมพ์” 

                        น้ำเสียงของเขานุ่มนวลจนเธอน้ำตาคลอทั้งที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะดีใจที่มีคนเซอร์ไพรส์วันเกิด ซาบซึ้งหรือขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของคนตรงหน้า

                   “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณทั้งที่เพิ่งเป็นคนรู้จักกันแต่เขาก็ยังมีน้ำใจกับเธอ

                   “ขอให้คุณพิมพ์มีความสุขและสมหวังทุกอย่างที่ต้องการนะครับ” 

                        เขายื่นคัพเค้กก้อนเล็กน่ารักให้เธออธิฐานแล้วก็เป่าเทียนเล่มน้อย

                   ชมพูพิมพ์ขยับเข้าไปใกล้ก่อนเป่าเทียนเธอสังเกตเห็นคัพเค้กก้อนเล็กในมือของเขาที่ตัวเค้กเป็นเค้กช๊อกเกอร์แลตบีบวิปครีมสีขาวข้างบนตกแต่งด้วยตุ๊กตาน้ำตาลปั้นรูปนางฟ้าตัวน้อยน่ารัก แต่ที่มองผ่านเลยไปไม่ได้นั้นคือมือทั้งสองข้างของคนที่ถือมันอยู่ เธอจึงรีบเป่าเทียนแล้วหยิบคัพเค้กวางลงก่อนรวบมือทั้งสองข้างของเขาไว้

                   “คุณรัมย์ ทำไมมือมีแต่แผลถลอกแบบนี้ล่ะคะ” เธอใจหายเมื่อเห็นมือของเขามีแต่แผลนี่คงจะได้มาตอนเปลี่ยนยางรถเมื่อกี้สินะ

                   “นิดหน่อยเองครับคุณพิมพ์ ไม่เจ็บเท่าไหร่ แค่รู้สึกแสบนิดหน่อย” เขาดีใจที่เห็นเธอเป็นห่วงเป็นใย

                   “นิดหน่อยที่ไหนค่ะ ดูสิเป็นแผลตั้งเยอะ ทำไมถึงได้ผิวบางแบบนี้นะ” 

                        นึกแล้วก็หงุดหงิดปกติผู้ชายต้องผิวหยาบกร้านกว่านี้ไม่ใช่เหรอ ทำไมผู้ชายตรงหน้าเธอถึงได้มีมือที่อ่อนนุ่มนิ้วเรียวยาวสวยจนเธอที่เป็นผู้หญิงเธอยังรู้สึกอิจฉา

                   “ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เวลาอยู่กับฉันทีไรคุณเจ็บตัวทุกที และที่น่าแปลกคือทำไมต้องเป็นที่มือทุกครั้งด้วยก็ไม่รู้นะคะ” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่ยังจับมือเขาอยู่

                   “คงเป็นเพราะมือคู่นี้มีไว้สำหรับคุณพิมพ์คนเดียวมั้งครับ” 

                        เธอมองเขาตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์ นี่เธอกำลังมองค้อนเขาอยู่ใช่ไหม ค้อนที่เขาพูดจาไม่ดูเวล่ำเวลา

                   “เดี๋ยวฉันลงไปซื้อยามาใส่แผลให้คุณนะคะ” เธอปล่อยมือเขาจะเปิดประตูรถ “ไม่เป็นไรครับ” เขาคว้ามือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว

                   “แต่แผล...”

                   “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับคุณพิมพ์” เขายิ้มหน้าบานจนเธอถอนใจยกธงยอมแพ้

                   “คุณรัมย์รู้ไหมคะ ว่าคุณเป็นผู้ชายที่มือสวยมากๆ ฉันเป็นผู้หญิงยังรู้สึกอิจฉาเลย ถ้ามีแผลเป็นขึ้นมาน่าเสียดายแย่”

                   “ดีซะอีกครับจะได้ดูเป็นผู้ชายแมนแมน อีกอย่างทุกครั้งที่เห็นรอยแผลเป็นจางๆ ผมจะได้จำเรื่องของเราในวันนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไงครับ”

                   ชมพูพิมพ์อยากจะเอาหัวชนกระจก คำพูดคำจาของเขาแต่ละคำในวันนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านมาถ้าไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปเธอรู้สึกว่าเขากำลังรุกเธออยู่เอะอะมีอ่อยมีหยอดตลอด เธออยากถามเขาว่าพ่อเทพบุตรหลงทางที่แสนจะใสซื่อของเธอในวันแรกพบนั้นหายไปไหนแล้ว ดูสิจนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังจะส่งรอยยิ้มพิฆาตให้เธอไม่ยั้งจนอยากจะบอกว่าน้องนี้แทบแดดิ้นสิ้นชีพวายชีวีตรงหน้าพักตร์พี่เสียกระไร

                   เมื่อเจ้าตัวปฏิเสธเธอก็หมดปัญญานอกจากค้นในกระเป๋ามียาน้ำมันสมานแผลที่ใช้ได้กับแผลสด แผลถลอก แผลพุพอง ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ทามันเลยแล้วกันไม่ต้องมียาฆ่าเชื้อก็ได้

                   เธอจับมือเขาไว้บรรจงทายาอย่างเบามือที่สุดเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาเจ็บพร้อมเป่าเบาๆ ราวแม่มดน้อยร่ายเวทให้แผลสมานเร็วยิ่งขึ้นทำเอาคนที่ได้รับการปฐมพยาบาลใจเต้นเป็นจังหวะร็อคแอนโรลร้อนไปทั้งตัว

                        ความใกล้ชิด ท่าทีห่วงหาอาทรที่เธอมีให้ทำเอาหัวใจพองโตด้วยความตื้นตัน เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังจะทำอะไร เมื่อคนตัวเล็กเงยหน้ามองสบตากันเหมือนสองเราตกอยู่ในภวังค์สองมือสอดประสานขยับเข้าใกล้กันยิ่งขึ้น มือที่ประสานเปลี่ยนเป็นโอบร่างบางเอาไว้ ใบหน้าเคลื่อนเข้าใกล้กันยิ่งขึ้นจนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกัน ริมฝีปากหนาแนบชิดครอบครองริมฝีปากบางมอบความอบอุ่นแผ่ซ่านไปถึงหัวใจส่งผ่านความรู้สึกที่มีให้แก่คนในอ้อมกอด เขาอยากกอดเธอเอาไว้แบบนี้ให้เนิ่นนานนานแสนนาน นานตลอดไปจนกว่าชีวิตจะสูญสิ้น เขาสัญญาว่าจะไม่มีวันทำให้เธอเสียใจ...

                   




                       คุณรัมย์ คุณรัมย์คะ...?” 

                        ชมพูพิมพ์ทายาให้เขาเสร็จก็เงยหน้ามองเขา เธอเรียกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่รังสฤษฏ์ก็ไม่ขานรับสักที แถมยังเอาแต่มองเธอด้วยสายตาแปลกๆ จนรู้สึกไม่ปลอดภัยในสวัสดิภาพของตนเอง

                   “คุณรัมย์ คุณเป็นอะไรรึเปล่า คุณ...อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนี้สิ คุณกำลังทำให้ฉันกลัวนะ”

                   เขายังคงมองเธอตาหวานหยาดเยิ้มเหมือนจะกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัวอย่างไงอย่างนั้น อีกทั้งท่าทางก็ยังเหมือนคนละเมอจิตหลุดไปอยู่บนดาวอังคาร

                   ทำไงดี จะทำยังไงดีนะ 

                        เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอยื่นมือไปเขย่าเขา แต่เขาก็ยังนิ่งเหมือนอยู่ในภวังค์มิติลี้ลับเช่นเดิม

                   ผีเข้ารึเปล่า อย่านะ ขออย่างให้เป็นผีเลย พิมพ์กลัว พุทธโธ ธัมโม สังโม โอ๊ย คาถา คาถาอะไรดีล่ะ เอาแบบนี้แล้วกัน 

                        ชมพูพิมพ์กลัวสิ่งลี้ลับทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม กลัวมากถึงขั้นที่บางครั้งเจอเรื่องเล่าหรือเหตุการณ์น่าสะพึงจนเธอเป็นลมหมดสติไปก็มี ที่เธอกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวกลัวในสิ่งที่หลายคนไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงนั้นเป็นเพราะมีประสบการณ์แย่ๆ 

                        ตอนยังเด็กเธอถูกบรรดาเด็กวัยเดียวกันและเด็กที่โตกว่ารวมไปถึงผู้ใหญ่บางคนกลั่นแกล้งถูกขังให้อยู่ในห้องที่มืดสนิทบ้าง พูดจาเป่าหูเล่าเรื่องราวลึกลับมากมายให้หวาดกลัวจนฝังหัวฝังจิตฝังใจ โดยที่คนพวกนั้นให้เหตุผลกับการกระทำของพวกเขาว่าเพราะเห็นเธอเป็นเด็กน่ารักตัวเล็กน่าแกล้งพวกเขาเอ็นดูเธอถึงได้ทำเช่นนั้น 

                        ไม่มีใครสามารถว่ากล่าวตักเตือนใครได้เพราะแม่ของเธอไม่มีกำลังมากพอ แม่เป็นแค่ลูกคุณหนูที่หยิบจับอะไรยังไม่ถนัดมือ ส่วนพ่อก็ต้องออกไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแทบไม่มีเวลาพัก เรื่องพวกนี้เธอและแม่ตัดสินใจว่าจะไม่เล่าให้พ่อฟัง เพราะกลัวท่านจะเป็นกังวล ห่วงทั้งเธอและแม่ตอนออกไปทำงาน 

                        ในตอนนั้นตอนที่พ่อแม่ของเธอยังไม่เลิกลากัน ครอบครัวของเธอไม่มีทางเลือกมากนักเพราะไม่มีเงินทอง ฐานะก็ยากจนเข้าขั้นลำบากมากเลยจำต้องอาศัยซุกหัวนอนภายในห้องเช่าเล็กๆ ราคาถูกย่านชุมชนแออัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงรับทำแท้งเถื่อนและป่าช้าเด็กตามที่คนแถวนั้นเรียกกันอยู่ในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากมีสิ่งแวดล้อมที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอจำฝังใจและกลัวสิ่งลี้ลับมาจนถึงทุกวันนี้

                        ชมพูพิมพ์เขยิบเข้าหารังสฤษฏ์อีกนิดยื่นมือหมายจะตบแก้มเขาเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะให้กลับคืนมา แต่สองมือของเขาคว้ามือเธอไว้หมับแถมยังจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกชนกัน

                   ป้าบัวจ๋า พี่คำจ๋า พิมพ์กลัวผี ชายหนุ่มยังไม่หยุดแสดงพฤติกรรมที่ส่อไปในทางคุกคามเธอ

                   ผีจะหักคอพิมพ์ไหม อย่านะ อย่าทำอะไรพิมพ์เลย เราไม่รู้จักกันสักหน่อย

                   “โอ๊ย!” 

                        เสียงร้องพร้อมสติที่กลับเข้าร่างของรังสฤษฏ์ดังขึ้นเพราะคนตัวเล็กเอาหัวตัวเองกระแทกหน้าผากเขาเต็มๆ

                   ผีออกรึยังนะ        

                   รังสฤษฏ์สะบัดหัวไล่ความมึนงง เขารู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าผากจึงใช้มือลูบๆ คลึงๆ แล้วเหลือบมองคนตัวเล็กที่กำลังใช้สองมือข้างกุมหน้าผากตัวเองอยู่เหมือนกัน พอเห็นเขามองหน้าเธอก็รีบกระถดถอยหลังชิดประตูรถอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางหวาดๆ แล้วยื่นมือขวามาจิ้มที่แขนเขาฉึกฉึก

                   “ออกรึยัง ไปแล้วใช่ไหม” ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของเธอทำเอาเขาอดขำหลุดหัวเราะออกมา

                   “ยังไม่ออกเหรอ ป้าบัวจ๋า พี่คำจ๋า ช่วยพิมพ์ด้วย นะโม นะโม นะโม ฮื่อๆ นะโมอะไรอ่ะ นะโม...” คนตัวเล็กพนมมือหลับตาปี๋ท่องคาถาไม่เป็นบทเสียงสั่นเครือจวนจะร้องไปเต็มที

                   รังสฤษฏ์ไม่รู้ตัวว่าก่อนหน้าตอนที่เขากลายเป็นผู้ชายขี้มโนไปชั่วขณะได้เผลอทำอะไรให้เธอหวาดกลัวไปหรือไม่ เธอถึงได้สั่นเป็นเจ้าเข้าพนมมือไหว้ปะงกๆ 

                   เขามีความสุขเมื่อได้เห็นท่าทางของบาร์บี้น้อย เธอดูน่ารักไปอีกแบบเห็นแล้วก็อดคิดถึงน้องน่ารักหลานสาวตัวน้อยไม่ได้ ยายหลานเองก็กลัวแสนกลัวสิ่งลี้ลับเป็นที่สุด นึกดูก็อยากแกล้งเธอต่อคงเพราะว่าเด็กมันน่ารักน่าแกล้งขอหมั่นเขี้ยวอีกสักหน่อย แต่ใจหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้ที่เห็นเธอกลัวจนสติแตกแบบนี้

                   เขาขยับเข้าหาเธอจับสองมือที่พนมอยู่เอาไว้ เธอหลับตาปี๋หวีดร้องอย่างความตกใจสะบัดมือเขาออกตีสะเปะสะปะไปทั่ว

                   “คุณพิมพ์ครับนี่ผมเอง” เขาโอบเธอไว้หลวมๆ ลูบหลังเบาๆ ปลอบเธอให้หายจากอาการตื่นกลัว

                   “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาไปนะ อย่าเข้ามาใกล้พิมพ์นะ เดี๋ยวจะทำบุญไปให้ กรี๊ด...” 

                        เธอหลับตาแน่นไม่ยอมลืมตาเพราะกลัวว่าจะเห็นความน่าสะพรึงในแบบที่ไม่อยากเจอ ยิ่งรู้ว่าปีศาจร้ายเข้ามาประชิดตัว เธอก็นึกแต่ว่าจะทำยังไงให้ตัวเองหนีพ้น

                   เธอพยายามคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะหนีผีบ้านี่ได้ วิ่งเธอต้องวิ่ง วิ่งลงโอ่ง ลงไห ลงอะไรก็ได้ หรือไม่ก็ตีมัน ผีมันจะเจ็บรึเปล่าไม่เจ็บก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าต้องตี

                   รังสฤษฏ์หมดปัญญาที่จะปลอบโยนให้เธอสงบลง นอกจากเธอจะไม่ลืมตาขึ้นมามองหรือฟังเสียงเขาแล้วเธอยังทำเหมือนกับเขาเป็นปีศาจรัตติกาลที่พร้อมจะหักคอเธอได้ทุกเมื่อ

                   เธอทั้งทุบทั้งตีมั่วซั่วไปหมด สิ่งของอะไรที่อยู่ใกล้มือเรียกได้ว่าปลิวว่อนไปทั่ว ตอนนี้บนรถของเขาถึงขั้นเละเป็นหย่อมๆ คนเดินผ่านไปผ่านมาข้างนอกพากันมองเข้ามาในรถว่าเกิดอะไรขึ้น อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงร้องของเจ้าหล่อนที่เล็ดลอดออกไป พวกเขาจึงเพียรสังเกตว่าหากมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นก็พร้อมจะทำหน้าที่พลเมืองดีเข้าให้ความช่วยเหลือหญิงสาวทันที  

                   ชมพูพิมพ์พยายามดิ้นให้หลุด เธอหวีดเสียงหลงทั้งทุบทั้งตีไอ้ผีมนุษย์ต่างดาวนี่ก็ยังไม่ปล่อย

                   “กรี๊ด ปล่อยนะ ปล่อย อุ๊บอื้อ...” 

                        เรี่ยวแรงของเธอหายหดหายไปในทันที มือไม้อ่อนปวกเปียกตกลงข้างลำตัว ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจ หัวใจเต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้มัน...ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้เองเหรอ? นี่เธอกำลังถูก....

                   ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเป็นไปตามธรรมชาติ เขาไม่รู้ว่าสมองของตัวเองสั่งการให้โน้มตัวลงไปจุมพิตคนตัวเล็กเพื่อยุติความวุ่นวายขนาดย่อมในรถเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ แต่ที่เขามั่นใจได้แน่นอนคือตอนนี้ตนไม่ได้มโนภาพไปเองเหมือนเมื่อครู่

                   ความหอมหวานของน้ำตาลใกล้มดทำให้รู้ว่าคำโบราณนั้นเชื่อได้เสมอเพราะมดตัวนี้ไม่อาจหักห้ามใจไม่ให้ลิ้มลองก้อนน้ำตาลที่อยู่ตรงหน้าได้

                   ทุกอย่างในรถสงบนิ่งมีเพียงเสียงของหัวใจสองดวงที่เต้นตึกตักเป็นจังหวะเดียวกัน เขาค่อยๆถอนริมฝีปากจากริมฝีปากบางอย่างแผ่วเบาแม้จะเสียดายเหลือเกิน แต่เขาไม่อาจฉวยโอกาสทำอะไรกับเธอไปมากกว่าการจุมพิตเบาๆ

                   เขาอยากบอกกับเธอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์พาไป เขารู้สึกว่าเขาอยากทำมันกับเธอ อยากมอบจูบที่อ่อนโยน จูบที่ปลอบประโลม ผู้ชายในวัยสามสิบอย่างเขา ถ้าคิดจะรักแล้วก็รักจริงไม่หลอกลวงเธอแน่นอน 

                        เขาไม่มีเวลาให้เสียไปเพราะการกระทำทีเล่นทีจริง สิ่งที่เขาต้องการเมื่อเจอคนที่ใช่คืออยากสร้างครอบครัวกับเธอ แม้ว่าจะพบเจอกันได้ไม่นาน แต่คนที่ใช่ ก็คือใช่ ไม่ใช่หรือ หากเธอต้องการเขาพร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองที่ล่วงเกินเธอ

                   “ไอ้ผีมนุษย์ต่างดาว ไอ้โรคจิต นายปล้นจูบแรกฉัน ฉันจะไม่ทำบุญไปให้นาย” 

                        คนตัวเล็กมองเขาตาปริบๆ น้ำเสียงเหมือนคนละเมอ เธอทุบหน้าอกเขาสองสามทีแล้วเอนกายซบอกหลับใหลไป

                   รังสฤษฏ์มองคนในอ้อมกอด เธอคงตกใจเพราะคิดว่าตัวเองถูกจุมพิตดูดวิญญาณจากปีศาจร้าย และดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจไม่ผิดหรอกเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเธอวันนี้ บางครั้งเขาก็คิดว่าตัวเองตั้งใจให้มันเกิดขึ้นโดยอยากลืมคำว่าสุภาพบุรุษเสีย

                   เขาอยากจะกลายร่างเป็นราชาปีศาจเจ้าเล่ห์อย่างพี่ชายแทนเทพบุตรผู้แสนดีอย่างที่รังสิมันตุ์พูดประชดประชันหยอกล้อน้องชายคนนี้เป็นประจำ

                   ชมพูพิมพ์เป็นผู้หญิงที่ทำให้เขารู้สึกเลือดร้อนขึ้นมา เธอทำให้เขาอยากเป็นฝ่ายรุกเข้าหาเธอมากกว่าอยู่นิ่งๆ เยือกเย็นดั่งสายน้ำเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิงทั่วไปเช่นทุกครั้ง

                   เธอทำให้เขารู้สึกว่าหากช้าแม้เพียงเสียววินาทีเดียวเธอก็จะหลุดลอยจากเขาไปตลอดกาล นี่เขาเพ้อพบไปคนเดียวหรือเพราะเธอเป็นแม่มดตัวน้อยในคราบนางฟ้าผู้แสนดีร่ายเวทมนต์ปลุกด้านมืดในตัวเขาให้ตื่นขึ้นมาจนยากจะหลบซ่อนมันเอาไว้ได้ และมันก็เป็นแบบนี้กับเธอเพียงผู้เดียว

                   เขาคลายกอดปรับเอนเบาะให้คนตัวเล็กได้พักผ่อนดูเหมือนเธอจะมีไข้ตัวรุมๆ คงเป็นเพราะโดนละอองฝนบวกกับอากาศเย็นจากแอร์ภายในรถ

                   รังสฤษฏ์หยิบเสื้อมาคลุมให้เธอ เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าน่ารักออกให้มองเห็นดวงหน้าของเธอได้ชัดเจนและเขาก็หักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้ ฉวยโอกาสจุ๊บที่หน้าผากเธออย่างอ่อนโยน คนตัวเล็กก็ขมวดคิ้วทันทีเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ 

                        'วันนี้ผมมีความสุขมาก คุณพิมพ์คิดเหมือนผมไหมครับ'

                   “ฝันดีนะครับคุณพิมพ์” เขาลูบผมเธอ เส้นผมของเธออ่อนนุ่มเหมือนผมของน้องน่ารักไม่มีผิด

                   “คุณพิมพ์ครับ ผมขอโทษที่วันนี้ล่วงเกินคุณ ถ้าคุณต้องการผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อรับผิดชอบรอยจูบนี้... เป็นแฟนกันนะ” รังสฤษฏ์หัวเราะตัวเอง 

                        “ทำอะไรของนายกันรัมย์ นายขอคบกับผู้หญิงที่ชอบเป็นแฟนตอนเธอหลับนี่นะ”

                   เขาไม่เคยคิดว่าจะชอบหรือรักใครได้เร็วขนาดนี้ แต่ที่เขามั่นใจที่สุดคือเขาไม่ได้หลงเธอแน่ๆเพราะเขาไม่ได้ต้องการเรื่องความสัมพันธ์ทางกายหรือคิดแค่อยากจะทำเรื่องอย่างว่ากับเธอ

                   เขาคิดกับเธอมากกว่าเรื่องพวกนั้น เขาอยากอยู่ใกล้ๆ เธอ อยากดูแลเธอ อยากเรียนรู้ซึ่งกันและกัน อยากใช้เวลาร่วมกันกับเธอไปนานๆ

                   ชมพูพิมพ์มีอะไรดีมากกว่าที่เห็น เธอน่ารัก สดใส ดูโก๊ะๆ แก่นแก้วในบางครั้ง เธอนิสัยดีเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม้ว่าจะชอบแสดงออกให้ดูเย็นชาหรือแข็งกระด้าง แต่ในบางคราวก็มีมุมอ่อนไหวง่าย อ่อนแอน่าทะนุทนอม เขาเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่อบอุ่นอ่อนโยนที่สุดที่เขาเคยเจอมา และอยากให้เธอคนนี้เป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตเขา

                   มันก็น่าแปลกแต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าคนที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิตเรา คนที่เข้ามามีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต เราเจอกับพวกเขาได้อย่างไรหรือเพราะอะไร เป็นเพราะความบังเอิญ บังเอิญผ่านมาพบกัน บังเอิญได้มีช่วงเวลาดีๆ ร่วมกัน มันอาจไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแต่ยังมีเรื่องของพรหมลิขิตประกอบด้วย

                   เขาเชื่อเชื่อว่าทุกอย่างมันเป็นพรหมลิขิตมากกว่าเรื่องบังเอิญ อย่างเช่นเขากับเธออยู่ห่างกันตั้งไกลยังได้มาเจอกันและรู้สึกถูกชะตาถูกตาต้องใจเหมือนมีอะไรเชื่อมโยงผูกกันเอาไว้

                   “เรารีบกลับบ้านกันดีกว่านะครับ ป่านนี้ป้าบัวกับพี่คำคงเป็นห่วงคุณพิมพ์แย่แล้ว ผมจะรีบไปขอโทษท่านที่พาคุณพิมพ์เถลไถล” เขาบอกกับคนที่นอนหลับใหลอยู่ข้างๆ ก่อนตั้งใจขับรถกลับอย่างระมัดระวังและปลอดภัยที่สุด  

                  

                   เสียงรถยนต์ขับเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าตึกแถวแล้วดับเครื่องยนต์ทำให้นักรบเลิกม่านห้องนอนมองลงมาด้านล่าง สองวันนี้รังสฤษฏ์และรามิลต้องค้างคืนที่ห้องนอนของเขาไปก่อน เพราะห้องพักของพวกเขายังไม่เรียบร้อยดี นักรบจึงต้องถ่างตารอเพื่อเปิดประตูให้รังสฤษฏ์ ในขณะที่รามิลหลับไปไม่รู้กี่ตื่นแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ

                   รังสฤษฏ์รับปากกับผู้ใหญ่ไว้ว่าจะรีบพาหลานสาวของท่านกลับบ้านก่อนหัวค่ำ ระยะทางจากเชียงราย – เชียงของก็ใช่ว่าจะไกลกันมาก ห่างกันแค่ร้อยกว่ากิโลเมตร ขับรถยนต์ส่วนตัวอย่างเร็วก็ชั่วโมงนิดๆ อย่างช้าก็ไม่ถึงสองชั่วโมง แต่นี่พ่อตัวดีพาหลานสาวท่านไปไหนมาถึงได้กลับมาเอาป่านนี้ 'หรือมันจะขับรถ 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงวะ กลับมาซะดึก'


                   “คุณพิมพ์ครับ คุณพิมพ์ ถึงบ้านแล้วครับ” รังสฤษฏ์จับต้นแขนเธอเบาๆ ปลุกคนตัวเล็กให้ตื่นอย่างนุ่มนวล

                   “อือ...”

                   “คุณพิมพ์ครับ ตื่นเถอะครับถึงบ้านแล้ว เร็วครับ ถ้าไม่รีบตื่นระวัง...ผีจะอุ้มไปส่งนะ” 

                        พูดเท่านั้นเองคนที่ได้ยินคำว่า ผี’ ก็ลืมตาโพลงพลันหันซ้ายหันขวาหน้าตาตื่น

                   “ถึงบ้านแล้วครับ”

                   ชมพูพิมพ์มองหน้าชายหนุ่มอย่างครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า มือก็ยกขึ้นลูบริมฝีปากตัวเอง อยากจะถามเขาเหลือเกิน

                   มันเป็นเรื่องจริงหรือว่าความฝันกันนะ

                   “คุณรัมย์ ทำไมคุณหน้าแดง” เธอเอียงคอมองชายหนุ่มอย่างสงสัย

                   หรือว่าเขาจะจูบเราจริงๆ จะถามดีไหม จูบจริงรึเปล่า ยิ่งคิดใจก็ยิ่งเต้นแรง

                   “ที่ปั้มน้ำมัน...คุณ...จะ จูบฉันรึเปล่า?” หน้าชายหนุ่มแดงยิ่งกว่าเดิม หรือว่าเธอจะฝัน... 

                        ถามอะไรออกไปนะพิมพ์ ดูเขาไม่รู้เรื่องสักหน่อย ดีไม่ดีคิดว่าเธอขี้ตู่อยากจูบเขาขึ้นมาจะทำยังไง ชมพูพิมพ์อยากจะเอาหัวม่งกระจกหนีความอับอาย

                   “ผมขอโทษที่ล่วงเกินคุณพิมพ์ ผมขอโทษที่จูบคุณ”

                   ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ที่เขาจูบเธอมันเป็นเรื่องจริงเหรอ

                “ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าทำอะไรให้คุณพิมพ์ตกใจ คุณพิมพ์ดูตื่นกลัวมาก ผมพยายามปลอบแล้ว...แต่คุณพิมพ์ก็ยังไม่สงบ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มจะสงสัยพากันมองเข้ามาในรถ ผมก็เลย...จูบคุณ”

                   คนได้ฟังถึงกับเหวอ 

                        นี่เธอเสียจูบแรกไปเพราะเขาต้องการปิดปากเธอให้สงบลงอย่างนั้นเหรอ หมดกันจูบแรกที่ผู้หญิงเฝ้าฝันว่าจะหวานซึ้งตรึงใจในสถานการณ์ที่แสนโรแมนติกแสดงความรักความปรารถนาของผู้ชายที่เสน่หา

                   ใบหน้าของรังสฤษฏ์ร้อนขึ้นกว่าเดิม เขาไม่กล้าบอกเธอว่าอยากจูบปลอบใจมากกว่าจูบปิดปากเพราะถ้าจะปิดปากยังมีวิธีอื่นอีกเยอะ

                   ชมพูพิมพ์มองคนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง คนที่อายควรเป็นผู้หญิงอย่างเธอไม่ใช่เหรอ เขาเป็นผู้ชายแท้ๆ จะอายทำไมกันเล่า อีกอย่างนั่นก็อาจไม่ใช่จูบแรกของเขา เป็นเธอต่างห่างที่เสียจูบแรก จูบแรกในวันเกิดอายุครบยี่สิบแปดปีบริบูรณ์ นี่มันเป็นวันดี วันครบรอบวันเกิด หรือวันซวยของเธอกันแน่ถึงได้เจอแต่เรื่องดีๆ (ประชด)

                   เธอมองหน้าเขานึกอยากจะโกรธ แต่กลับรู้สึกโกรธไม่ลงแถมยังสงสารเขาด้วยซ้ำที่ต้องสละริมฝีปากมายุติอาการจิตหลุดของเธอ

                   เขาขโมยจูบแรกเธอนะพิมพ์ เธอไม่โกรธเขาเลยรึยังไง ทำไมถึงใจเต้นแรงในท้องก็โหวงๆ เหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยตัวบินวนอยู่ข้างในอย่างนี้นะ

                   “ดึกแล้วฉันเข้าบ้านก่อนนะคะ” พูดจบแล้วเธอก็รีบเปิดประตูลงจากรถทันที

                   “ผมเดินเข้าไปส่งหน้าบ้านนะครับ” เขารีบลงจากรถเดินตามเธอออกมา

                   รังสฤษฏ์และชมพูพิมพ์ไม่ได้พูดคุยกันระหว่างทางจนถึงประตูหน้าบ้านเธอ ต่างคนต่างมีเรื่องให้ครุ่นคิด

                   รังสฤษฏ์ไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรกับเธอดีหลังจากสารภาพไปว่าตนได้ล่วงเกินเธอ เพราะหลังจากพูดมันออกไปเธอก็นิ่งเงียบจนไม่รู้ว่าเธออยู่ในอารมณ์ไหนหรือคิดอะไรอยู่ เธอจะโกรธเขามากรึเปล่า รู้สึกแย่มากไหม เขาเดาใจเธอไม่ออกจริงๆ

                   ก่อนชมพูพิมพ์จะเปิดประตูรั้วเตี้ยเดินเข้าบ้านไป รังสฤษฏ์เรียกเธอเอาไว้พร้อมกับยื่นกล่องของขวัญที่ซ่อนเอาไว้มาให้

                   “สุขสันต์วันเกิดครับคุณพิมพ์” เขายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนดังเช่นทุกครั้ง

                   “อะไรเหรอคะ”

                   “ของขวัญวันเกิดครับ ลองแกะดูสิครับ ผมไม่รู้ว่าคุณพิมพ์จะชอบมันไหม”

                   ชมพูพิมพ์แกะกล่องของขวัญสีหวาน ที่ด้านในมีตุ๊กตาไขลานเซรามิคนางฟ้าในชุดสีขาวบริสุทธิ์สวยงามมันน่ารักมาก

                   แต่...มันไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด

                   “ผมได้มาจากร้านของนายทีครับ ผมคิดว่าตุ๊กตาตัวนี้น่ารักมากเลยอยากให้คุณพิมพ์เป็นของขวัญวันเกิด

                   “เพล้ง!....”

                   เกิดความเงียบระหว่างเธอกับเขา ใช่ว่าเธอตั้งใจโยนมันลงพื้น แต่เป็นเพราะมือของเธอไร้เรี่ยวแรงที่จะถือตุ๊กตาแสนสวยเอาไว้มันถึงได้ร่วงหล่นลงไป

                   รังสฤษฏ์มองนางฟ้าปีกหักบนพื้น เขาทำให้เธอไม่พอใจรึเปล่า หรือเธอไม่ชอบของขวัญที่เขามอบให้ถึงได้ตัดรอนกันขนาดนี้

                   ชมพูพิมพ์ก้าวเท้าถอยหลังอย่างช้าๆ แล้วผลุนผลันวิ่งเข้าบ้านทันทีโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ ให้คนที่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นก่อนเขาจะก้มลงเก็บตุ๊กตานางฟ้าปีกหักเอาไว้ในมือ

                   รังสฤษฏ์มองของขวัญที่เธอไม่อยากได้ รอยแตกรอยร้าวนี้จะประสานได้ไหม หรือเขาควรจะทิ้งมันไปดี ในเมื่อเธอไม่ต้องการมัน ถ้าไม่ใช่เรื่องของของขวัญ แต่เป็นเรื่องความรู้สึกที่เขามีให้เธอ เธอจะยอมรับมันเอาไว้ได้ไหม หรือเธอเพิกเฉยไม่ใยดีเช่นตุ๊กตาที่น่าสงสารตัวนี้ 

                       'รัมย์ ดูท่านายจะอกหักตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มแล้วล่ะ' เขาควรเลิกคิดไปไกลกว่านี้จะดีไหม

                   ชมพูพิมพ์แหวกม่านแอบมองชายหนุ่มที่เดินคอตกออกไปพร้อมกับเศษตุ๊กตาในมือ ใช่ว่าเธอไม่อยากรับไมตรีจากเขา

                สวยจังเลยค่ะแม่ขา’ เด็กหญิงยืนมองตุ๊กตาไขลานตรงหน้า

                พิมพ์ชอบไหมลูก คนเป็นแม่ลูบหัวลูกน้อยด้วยรักอย่างอ่อนโยน

                ชอบมากเลยค่ะแม่ แม่จะซื้อให้พิมพ์จริงๆ เหรอคะ เด็กน้อยมองตาแป๋วถามคนเป็นแม่อย่างไม่เชื่อว่าเธอจะมีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าของมัน

                ใช่จ๊ะ แม่จะซื้อให้พิมพ์เป็นของขวัญวันเกิดครบหกขวบของหนูไง’ 

                        เมื่อเห็นแม่พยักหน้าตอบทำให้เด็กน้อยมีมั่นใจขึ้น เธอดีใจรีบคว้ามันมาชื่นชมในอ้อมกอดก่อนหมุนลานฟังเสียงดนตรีอันไพเราะแล้ววางลงมองดูนางฟ้าแสนสวยเต้นระบำ

                แต่แม่คะ... เด็กน้อยหุบยิ้มแล้ววางมันไว้ที่เดิมบนชั้นวางสินค้าอย่างตัดใจ

                ว่าไงจ๊ะ ทำไมหนูทำหน้าแบบนั้นล่ะลูก หรือหนูไม่อยากได้แล้วเหรอ

                ‘ไม่ค่ะ พิมพ์อยากได้ พิมพ์ชอบมันมากเลยค่ะ ตุ๊กตาตัวนี้สวยมากจริงๆ แต่แม่คะ... มันแพงมากไหมคะ เราไม่มีเงิน ถ้าแม่ซื้อให้พิมพ์พ่อจะว่าไหม

                ‘วันนี้แม่มีเงินจ๊ะ พิมพ์ชอบตัวนี้ใช่ไหม เดี๋ยวแม่ซื้อให้หนูนะลูก

                แต่ถ้าพ่อรู้...

                ‘ความลับจ๊ะ เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคน' เด็กน้อยพยักหน้าเกี่ยวก้อยยิ้มแฉ่งให้คนเป็นแม่

                      หนูต้องรักษาตุ๊กตาตัวนี้ไว้ดีๆ นะลูก ตุ๊กตาตัวนี้จะเป็นเหมือนกับตัวแทนของแม่ที่คอยอยู่เคียงข้างหนูตลอดไป

                      เด็กน้อยยิ้มตาหยีกอดตุ๊กตาไขลานนางฟ้าแสนสวยในชุดสีขาวบริสุทธิ์ใบหน้างดงามเหมือนดังเจ้าหญิงบนสรวงสวรรค์

     

                “คนโกหก” 

                      ชมพูพิมพ์ทิ้งตัวนอนราบบนเตียงมองตุ๊กตาไขลานที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ เธอไม่อาจห้ามความอ่อนแอในจิตใจของตนเองได้ ทุกครั้งที่น้ำตาไหลรินเธอสัญญากับตัวเองว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่เธอก็ไม่อาจทำได้เลยสักครั้ง และยังคงเสียน้ำตาให้กับเรื่องเดิมๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมเธอถึงไม่ลืมๆ มันไปสักที ลืมเหมือนใครคนหนึ่งที่ตอนนี้คงลืมเลือน และลบเธอออกไปจากชีวิตจนหมดสิ้น คิดแล้วเธอก็อดหัวเราะสมเพชเวทนาตัวเองไม่ได้

                   “คุณรัมย์... ฉันชักจะกลัวคุณแล้วสิ ฉันควรอยู่ห่างคุณ และไม่ควรเข้าใกล้คุณไปมากกว่านี้”

                   ตั้งแต่เธอได้พบกับเขา ผู้ชายคนนี้ก็ก้าวเข้ามามีบทบาทในชีวิตในความรู้สึกนึกคิดของเธอ

                   เขาทำให้เธอเกิดรู้สึกแปลกๆ ขึ้นภายในจิตใจ เขาทำให้เธอหวั่นไหว

                   เขาทำให้เธอคิดถึงเขา เก็บเรื่องของเขามาขบคิด ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่เคยสนใจเรื่องของคนอื่นเลย  

                   เขาทำให้เธออ่อนแอจนบางครั้งก็เผยตัวตนต่อหน้าเขา 

                        เขาทำให้น้ำแข็งที่เธอพยายามห่อหุ้มหัวใจตัวเองเอาไว้มันเริ่มละลายหายไป

                   และที่เธอทนไม่ได้คือเขาบุกรุกพื้นที่ในห้วงลึกสุดของหัวใจ ความทรงจำและรอยแผลที่เธอพยายามปิดตายมันเอาไว้ ใช่เขาทำมัน เธอไม่อยากสนใจอะไรทั้งนั้น แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่รู้ เขาไม่ได้ตั้งใจ หรือทั้งหมดนี้มันไม่เกี่ยวกับเขา แต่ถ้าจะให้หาตัวการ เธอก็จะโทษว่ามันเป็นเพราะเขาอยู่ดี โทษที่เขาเข้ามาใกล้เธอ แต่นับจากนี้ไปเธอจะไม่ให้เขาเข้าใกล้เธอมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่...ไม่ว่าใครก็ตาม

                   ‘โลกใบนี้มันไม่ได้ดีงามอย่างในนิยาย ความงดงามเหล่านั้นล้วนไม่มีอยู่จริง ไม่มีราชาราชินีแสนอ่อนโยน ไม่มีนางฟ้าแม่ทูนหัว ไม่มีเจ้าชาย ไม่มีความรักจบแบบแฮปปี้แอนดิ้ง สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในโลกจินตนาการนั้นมันก็แค่เรื่องเพ้อฝันเอาไว้หลอกเด็กน้อยก่อนเข้านอน นิทานมันจบแล้วพิมพ์ มันจบไปแล้ว จบตั้งแต่วันที่คนคนนั้นทิ้งเธอไปอย่างเลือดเย็น’ 

                        เหนื่อย เธอเหนื่อย เหนื่อยเหลือเกินกับความรู้สึกนี้ เหนื่อยล้าจวนจะหมดแรง

                        “ฉันไม่อยากกลับไปอ่อนแอแบบนั้นอีกแล้ว ขอโทษนะคุณรัมย์ ฉันรับความหวังดีจากคุณไม่ได้จริงๆ” 

     

     


    ท่าจะเป๋นจะอั้น[1] = ท่าจะเป็นอย่างนั้น

    ล่ะอ่อนป้อจาย[2] = เด็กผู้ชาย

    แม่ยิง[3] = ผู้หญิง

    อย่างเฮา[4] = อย่างเรา

    บางเตื่อ[5] = บางครั้ง

    แฮง[6] = แรง


    *********** Talk ********** สิริสุวรรณ

    24/11/2558 01.40 น.

    รู้สึกว่าพระเอกเรื่องนี้จะเป็นคนคิดมากช่างเพ้อ นางเอกก็เป็นพวกจิตหน่อยๆ (นางกลัวผีค่ะ อีกเดี๋ยวได้รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ก็เข้าใจนะคะ รีดเดอร์เคยโดนใครจ้องนานๆไหมค่ะ จ้องแบบไม่วางตา มองเราด้วยสายตาแปลกๆที่เราไม่เคยเจอ มันน่ากลัวจริงๆนะ) 

    พระนางเหมือนจะใกล้กันแต่นับจากนี้นางเริ่มไกลค่ะ ไกลชนิดตายด้านของจริง ??? รึเปล่า (อันนี้คงต้องดูว่าทองน้อยจะรั่วอยู่ไหม) 

    แล้วแบบนี้พี่รัมย์ยังจะอยากกลายร่างเป็นราชาปีศาจอยู่ไหม ถ้าได้ตุ๊กตาน้ำแข็งมาครอบครอง 

    เรื่องจูบ......(ไม่พูดดีกว่า เพราะทองน้อยก็ไม่เข้าใจพี่รัมย์เหมือนกัน 555 พี่รัมย์แกอยู่ในช่วงสับสน ทำไปทำไม???)

    รีดเดอร์ว่างๆ มาช่วยแนะนำวิธีละลายน้ำแข็งกันหน่อยนะคะ ^O^ ทองน้อยจะได้จับหนูพิมพ์ส่งให้คุณรัมย์จัดการ (ตอนนี้ทองน้อยมึนมากไหลไปเรื่อย)

    ฝันดีนะคะ


    22/11/2558 04.45 

    ทำไมอยู่ๆ พี่รัมย์ถึงกลายเป็นคนรุกเก่ง ทองน้อยไม่เข้าใจ หรือว่าพี่รัมย์ศึกษามาจากพี่รัน (พี่ชาย) หรือว่าเรียนรู้มาจากพระรามคนดี หรือว่าพี่รัมย์จะเป็นเสือซ่อนเล็บ (ของหนูพิมพ์คนเดียว) เอะยังไง? ตอนนี้ยังไม่จบจะนะคะ ตอนแรกทองน้อยกะว่าจะปั่นให้จบบท แต่ว่าไม่ไหวจริงๆ ง่วงๆ ตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงสิ้นปีทองน้อยว่างค่ะ มีโครงการว่าจะรื้อหมอซัน+ปั้นหยามารีไรท์ใหม่ อัพคู่พร้อมพี่รัมย์ไปด้วย ยังไงก็ช่วยติดตามกันด้วยนะคะ ^^

    ฝันดีค่ะทุกคน


    19/11/2558 23:10น.

    โอ้ยๆ คุณรัมย์ทำอะไรคะ?????????? 

    เย้ๆ ทองน้อยกลับมาแว้ววว เหนื่อยสายตัวแทบขาดค่ะ แต่เพื่อความอยู่รอดชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไปใช่ไหม กระซิกๆ ลุ้นกันต่อเนอะ 

    พี่รัมย์ๆ สู้ๆ มึนๆ เบลอๆ เรามารอลุ้นกันต่อเนอะว่าพี่รัมย์จะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดหนูพิมพ์กัน ทองน้อยสู้ๆ รักนักอ่านทุกท่าน อย่าทิ้งกันไปไหนนะคะ คุกเข่าอ้อนวอน 555 ^3^

    ฝันดีค่ะทุกคน 


    06/11/2558 00:30น.

    สวัสดีค่ะ ทองน้อยหายไปนานอีกตามเคย ช่วงนี้งานรัดตัวมากๆค่ะ แต่ก็เนอะปีๆหนึ่งช่วงไฮซีซั่นถึงจะเป็นช่วงทำเงินของทองน้อย...ช่วงนี้ก็คงต้องทำงานหลักก่อนเนอะ ขอรีดเดอร์ทั้งหลายก็อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ ที่ช่วงนี้นานๆจะได้มาอัพที ยังไงก็ช่วยติดตามกันด้วยนะ ทองน้อยเองก็อยากมาอัพถี่ๆ เหมือนกัน TOT วันนี้ก็มาปั่นได้นิดเดียว ช่วงนี้ทองน้อยมีงานยาวไปถึงวันที่ 16 พ.ย.เลยยังคงต้องไปเวิ่นเว้ออยู่แถวๆเวียดนามกลาง 

    ถ้ารักคุณรัมย์ ชอบหนูพิมพ์ช่วยสนับสนุนรอติดตามกันต่อด้วยน้าาา อย่างเพิ่งทิ้งทองน้อยไปไหน เสร็จงานจากช่วงนี้แล้วจะมาอัพถี่ๆเรียกคะแนนความรักความชอบให้คุณรัมย์ค่ะ ^^

    ฝันดีนะคะทุกคน จุ๊บๆ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×