คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
เสียงไซเรนตำรวจดังแข่งกับเสียงหวีดร้องตื่นตกใจของเหล่านักท่องราตรี ความโกลาหลจากหย่อมเล็กแผ่ขยายเป็นวงกว้าง เมื่อแทบจะทุกคนในสถานบันเทิงครบวงจรแห่งนี้รับรู้ถึงการมาเยือนโดยไม่ได้บอกกล่าวของบรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งในและนอกเครื่องแบบเกือบสามสิบนาย
เหล่าผีเสื้อราตรีน้อยใหญ่รวมไปถึงชายหนุ่มนักรักนักล่าไม่ว่าจะเป็นวัยฉกรรจ์หรือวัยกลางคนต่างพากันวิ่งเปลือยกายโทงเทงออกจากห้องพักวีไอพี
มีเพียงไม่กี่คนที่พอจะมีสติหลงเหลืออยู่บ้างรีบหาผ้าผ่อนผืนเล็กเท่าที่สามารถฉกฉวยได้ทันมาปกปิดร่างกายส่วนล่างกลางลำตัวเอาไว้ไม่ให้ผู้อื่นเห็นภาพอุจาดตาจนเกินไป
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดล้อม ‘โอลิมปัส’ ไว้หมดแล้ว ทั้งด้านใน และด้านนอก
หากเราตรวจสอบแล้วพบว่าพวกคุณมิได้กระทำความผิดใดก็จะได้รับการปล่อยตัว ฉะนั้น! อย่าขัดขืนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอันขาด”
ผู้กอง ‘นฤเบศ’ นายตำรวจหนุ่มไฟแรงจากหน่วยงานสอบสวนสืบสวนพิเศษประกาศก้องด้วยพลังเสียงทรงอำนาจ
น้ำเสียงของเขาสามารถสะกดกลุ่มคนที่กำลังวิ่งพล่านไปทั่วให้หยุดการกระทำดังกล่าวลงและยืนสงบอยู่กับที่ได้ในทันทีทันใด
ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชานำกำลังที่เหลือเข้าปิดล้อมและควบคุมนักท่องราตรีทั้งหมดในสถานบันเทิงแห่งนี้ไว้แล้วทยอยพาตัวไปสอบสวนสืบหาความผิดต่อที่สถานีตำรวจในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
หลังจากได้รับการแจ้งเบาะแสคำร้องขอความช่วยเหลือจากเหยื่อค้ามนุษย์
ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและศูนย์ให้ความช่วยเหลือสังคมที่ ‘ภัทรศยา’ เพื่อนของเขาทำงานอยู่ร่วมกันเก็บรวบรวบข้อมูลหาหลักฐานการกระทำความผิดเพื่อสาวถึงตัวการใหญ่และขอหมายค้นเข้าตรวจสอบหาหลักผ่านพร้อมจับกุมในวันนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะจับได้แค่พวกปลาซิวปลาสร้อย เพราะบอสใหญ่ของพวกมันไม่ได้อยู่ที่แห่งนี้ด้วยตามคำกล่าวอ้างของสายตำรวจที่ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัวตน และไม่รู้ว่าสามารถเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ไม่แน่ว่าอาจจะกลับลำทันทีเมื่อมีผลประโยชน์วางอยู่ตรงหน้าเสมือนนกสองหัวเอาตัวรอดไหลลื่นเก่งเสียยิ่งกว่าปลาไหล
นฤเบศเปิดประตูทางลับลงบันไดไปยังห้องใต้ดินเพื่อสำรวจตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งมาว่าเป็นจุดที่เหยื่อค้ามนุษย์เกือบร้อยชีวิตถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวเอาไว้
เมื่อลงมาถึงเขาก็เผลอสบถคำหยาบออกมาสองสามคำก่อนจะตวาดเสียงดังใส่หญิงสาวที่ยืนลับๆ ล่องๆ
อยู่ตรงมุมมืด
“ปั้นหยา!”
ชายหนุ่มส่งสายตาวาวโรจน์ไปที่หญิงสาว และเพื่อนร่วมงานของเธอ ที่ยืนประกบด้านซ้ายขวาของเธออีกสองคน ดูเหมือนพวกเธอกำลังใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเปิดประตูห้องขังช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ด้านใน
นายตำรวจหนุ่มเดินตรงไปหาภัทรศยาแล้วลากแขนเธอออกห่างประตูห้องขังอย่างหัวเสีย
นี่พวกเธอไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัวอันตรายกันบ้างเลยหรืออย่างไร
“ปั้นหยา มาทำอะไรที่นี่ ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย ถ้าเจอพวกคนร้ายขัดขืน หรือมีปืน มันยิงเธอไส้แตกตายขึ้นมาจะทำยังไง ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าให้รอฟังข่าวอยู่ที่ศูนย์ฯ ทำไมไม่เชื่อฟังกันบ้างเลย”
นฤเบศต่อว่าหญิงสาวท่าทางราวกับผู้ใหญ่กำลังดุด่าว่ากล่าวเด็กน้อย
“หยาขอโทษ แต่หยาเป็นห่วงเด็กกับพวกผู้หญิงด้านใน ก็เลยเข้ามาช่วยหาทางหนีทีไร่ และพยายามช่วยเหลือกันก่อนเท่าที่จะทำได้
หยากลัวเบลล์ลงมาช้าเกินไปเพราะมัววุ่นๆ กับพวกที่ชุลมุนอยู่ด้านบน แล้วก็กลัวว่าคนร้ายจะไหวตัวทันพาเหยื่อหนีไปจนหมด
กลัวว่าจะช่วยทุกคนไม่ทัน”
ภัทรศยายิ้มแหยให้นายผู้กองหนุ่มอย่างรู้สึกผิด
อันทีจริงเธอรู้ดีว่าตนเองทำเกินกว่าเหตุ และก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ
แต่เธออยากช่วยจริงๆ
หลังได้รับโทรศัพท์ร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงร่ำไห้ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเด็กสาวคนหนึ่งในวันนั้นก็ทำเอาเธอนอนหลับไม่สนิทมาจนถึงวันนี้
เธอสัญญากับตัวเองไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะต้องช่วยเด็กสาวเหล่านั้นออกมาให้ได้
ไม่เช่นนั้นเธอคงรู้สึกผิด และไม่สบายใจเหมือนกำลังติดค้างบางอย่างกับบางคนอยู่
“กลับออกไปได้เดี๋ยวนี้เลยนะปั้นหยา
หยากับคนของศูนย์ฯ ไม่ควรมายืนอยู่ตรงนี้ แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วง เรากับตำรวจนายอื่นๆ
จะจัดการทุกอย่างเอง”
นฤเบศทำหน้าดุดันใส่เพื่อนสาว
พอเห็นว่าเพื่อนอ้าปากทำท่าจะเถียงก็พูดขัดขึ้นมาเสียงเข้มกว่าเดิม
“หรือว่าหยาไม่เชื่อในความสามารถของตำรวจอย่างเรา”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะเบลล์
โอเคๆ หยาขอโทษละกัน คราวหน้าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ถ้าอย่างนั้น... หยากลับไปรอฟังข่าวที่ศูนย์ฯ ก็ได้”
ภัทรศยายกมือยอมแพ้แล้วพาเพื่อนร่วมงานเดินหูลู่คอตกตามนายตำรวจชั้นประทวนท่านหนึ่งที่เดินนำทางพวกเธอออกจากชั้นใต้ดินของสถานบันเทิงแห่งนี้
“รีบหาทางเปิดประตูเร็วหมวด”
นฤเบศหันไปสั่งผู้หมวดภูมินทร์คู่หูหลังยืนมองภัทรศยาเดินลับหายขึ้นไปด้านบนแล้ว
เสียงครางแว่วหวานบ่งบอกความสุขสมว่าคนทั่งคู่ใกล้เหยียบย่างสู่สรวงสวรรค์ ชายหญิงพากันเร่งจังหวะเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะได้ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไปพร้อมกันก็มีอันให้จังหวะรักเร่าร้อนล่มลงกลางคันเพราะเสียงโทรศัพท์นั้นดังขึ้นมาไม่หยุดหย่อน
“อย่ารับเลยพี่พนธ์ รีบทำต่อเถอะนะ รุจีใกล้เสร็จแล้วอีกนิดเดียวเองนะคะ”
หญิงสาวออดอ้อนเสียงหวานกระเส่าด้วยความกำหนัด
“ไม่ได้หรอกรุจี สงสัยว่าที่คลับจะมีเรื่องด่วน”
ชายหนุ่มผละจากหญิงสาว เขาถอดถอนกายอย่างเสียดายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับอย่างหัวเสีย
“ว่าไงไอ้ย้ง” เขาตวาดใส่ลูกน้องในสาย
“หา! แกว่าไงนะ ตำรวจบุกค้นคลับ แถมยังช่วยอีตัวไปได้หมดอย่างนั้นเหรอ
ไอ้พวกโง่! บรรลัยแล้วไหมล่ะ
พวกมึงมัวทำอะไรกันอยู่ถึงได้ชักช้าปล่อยให้ตำรวจมันช่วยคนออกไปหมด
รีบไสหัวไปหาที่กบดานเลยนะมึง อย่าให้ตำรวจจับได้
บอกไอ้พวกปลาซิวปลาสร้อยด้วยว่าอย่าปากมาก ไม่งั้นกูส่งคนไปเก็บพวกมันในคุกแน่
แม่งเอ๊ย! กูจ่ายส่วยไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ทำไมพวกมันไม่เคลียร์ทางหรือกระซิบให้กูไหวตัวทันสักนิดวะ”
เขากดวางสายแล้วเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียงสบถคำหยาบคายไม่หยุดปากพร้อมกับคว้าเสื้อและกางเกงที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมอย่างรีบร้อน
“รีบลุกขึ้นมาแต่งตัวเร็วรุจี
เราต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนตำรวจมันจะสาวมาถึงตัวเรา”
หญิงสาวเห็นเขาร้อนรนก็ใจเสีย “นี่มันเรื่องอะไรกันพี่พนธ์”
ชีวิตของเธอเพิ่งจะเริ่มดีขึ้นมาแล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาหนีหัวซุกหัวซุนอีกเหรอ
“ตำรวจทลายคลับเรา ธุรกิจค้าเนื้อสดของเราล่มไม่เป็นท่า พี่ว่าเราคงต้องหลบไปอยู่มาเลฯ สักพัก
ไว้เรื่องเงียบค่อยหาช่องทางทำธุรกิจใหม่ พี่มีพรรคพวกอยู่มาเลฯ
เงินของเราพี่ก็ยักย้ายถ่ายเทไปไว้ที่โน่นไม่น้อย
รับรองพี่ไม่ทำให้รุจีลำบากแน่นอน รีบแต่งตัวเร็วเข้า”
เขาหยิบชุดเดรสสีดำขนาดพอดีกับรูปลักษณ์อรชรของเธอบนพื้นขึ้นมาแล้วยัดใส่มือหญิงสาวเร่งให้หล่อนรีบแต่งตัว เพื่อจะได้พากันหลบหนีโดยเร็วในขณะที่หญิงคนรักปัดมือเขาทิ้งแล้วกรีดร้องเสียงดังอย่างขัดใจ
“บัดซบ บัดซบที่สุด กรี๊ดดดดด นังเด็กสารเลว
เพราะแก ทุกอย่างมันเป็นเพราะแก ชีวิตฉันถึงได้พังไม่เป็นท่าแบบนี้!”
แสงแดดยามหกโมงเช้าเริ่มทอประกาย หลังเก็บสัมภาระที่เหลือใส่รถครอบครัวสีขาวรุ่นยอดนิยมยี่ห้อดังจากฝั่งญี่ปุ่นเรียบร้อย อโณทัยก็หันมาถามหนุ่มหน้าทะเล้นที่ตอนนี้ทำหน้างอเป็นม้าหมากรุกตั้งแต่จากคลับเมื่อคืน และดูเหมือนจะมีท่าทางตื่นกลัวเขาไม่หาย เห็นแล้วน่าขันจริงๆ
“นายขนของทั้งหมดขึ้นรถเรียบร้อยแล้วใช่ไหม”
อโณทัยถามคนหน้างอ
ซึ่งเจ้าตัวก็พยักหน้าให้แทนที่จะตอบเป็นคำพูด
“งั้นนายไปนั่งรอในรถก่อน เดี๋ยวฉันจะเอากุญแจไปคืนลุงภารโรงแล้วก็ร่ำลาแกด้วย”
อโณทัยหันหลังเดินออกมาเพื่อเอากุญแจบ้านพักแพทย์ไปคืน บนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มกว้างขำขันกับอาการจิตตกของเพื่อนรักอย่างที่เพื่อนไม่ได้พบเห็นมันมานาน
“ขับกลับแบบสบายๆ ค่อยๆ ขับไปไม่รีบแล้วกันนะ เราออกเช้าน่าจะถึงกรุงเทพฯ เย็นๆ นายอยากแวะระหว่างทางที่ไหนบ้างก็บอกละกัน”
อโณทัยพูดขณะทำหน้าที่เป็นสารถี
ในขณะที่เพื่อนรักยังไม่ยอมเปิดปากพูดเลยสักคำ
‘สงสัยจะเป็นเรื่องใหญ่ล่ะสิ คงได้แตกหักกันแล้วมั้งงานนี้’
หลังแวะทานอาหารมื้อเช้ารวบมื้อกลางวันแล้ว
นนทกรก็ยอมเปิดปากพูดกับอโณทัย โดยบอกว่าเขาจะเป็นคนขับต่อเองในระยะทางที่เหลือจนถึงกรุงเทพฯ
“ฉันขับเอง
อยากจะแวะซื้อของฝากระหว่างทาง”
เพราะคำพูดที่ว่าต้องการซื้อแวะฝาก
นนทกรก็แวะซื้อของฝากจริงๆ เขาแวะแทบทุกร้านดังในทุกจังหวัดที่ขับผ่าน
“นี่นายซื้อไปฝากคนทั่วทั้งกรุงเทพฯ หรือจะซื้อไปถมสระบัวหลังบ้านกัน เห็นรึเปล่าว่าบนรถแทบจะไม่มีทีวางของอยู่แล้ว”
อโณทัยถามคนหน้ามึน และเขาก็ได้คำตอบกวนๆ กลับมาว่า ‘ซื้อแก้เครียด’ ให้ตายสิกว่าจะถึงกรุงเทพฯ บรรยากาศในรถตอนนี้อึดอัดเพราะสงครามประสาทของคนขี้เล่นที่ไม่ยอมเปิดปากพูดจาเล่นหัวเหมือนเดิมเลยสักคำ
ความเงียบปกคลุมเป็นเวลานาน จนในที่สุดก็เป็นนนทกรเองที่เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวพอถึงปทุมธานีเขาก็ร้องโวยวายลั่นรถ
“โอ้ย! ไม่ไหวแล้วโว๊ย เครียด!! นั่งเครียดมาตั้งแต่เมื่อคืนละ
ถามจริงซัน นายเบี่ยงแบนทางเพศรึเปล่าวะ”
นนทกรสีหน้าเครียดจัด บนใบหน้ามีรอยดำคล้ำใต้ตา
ซึ่งเป็นร่องรอยของคนอดหลับอดนอนมาเกือบทั้งคืน
“นายเป็นจิตแพทย์ งั้นนายลองวินิจฉัยดูสิว่าฉันเบี่ยงเบนทางเพศรึเปล่า ถ้าวินิจฉัยไม่ได้ก็แสดงว่านายยังอ่อนด้อยในวิชาชีพ
งานนี้คงต้องให้คุณพ่อจัดคลาสเรียนพิเศษให้นายโดยเฉพาะ หัวข้อบรรยายเกี่ยวกับวิชาจิตเวชและจรรยาบรรณวิชาชีพยาวๆ ไป”
อโณทัยถามกลับจนนนทกรถึงกลับหน้าถอดสี
“ฉัน...โถ่เว้ย ตอบมาตรงๆ สิวะ ว่าเป็นไม่เป็น นายเบี่ยงเบนรึเปล่า นายรู้ไหมว่าถ้านายยังไม่ชัดเจนแบบนี้ เวลาอยู่ใกล้นายฉันเสียวด้านหลังมากแค่ไหน”
พูดแล้วนนทกรยังขนลุกเรื่องเมื่อคืนไม่หาย
“เราโตมาด้วยกัน นายน่าจะรู้นะว่าฉันไม่มีรสนิยมเพศเดียวกัน
ถึงฉันจะห่างหายจากเรื่องผู้หญิงมานานมาก และไม่ได้เจ้าสำราญเหมือนนาย
แต่ฉันก็ไม่นิยมกินถั่วทอง เข้าใจนะ เรื่องเมื่อคืนใครใช้ให้นายกวนตีนฉันก่อน อีกอย่างฉันก็มึนๆ ด้วย ให้ตายสินึกขึ้นมาได้แล้วก็ขนลุกเหมือนกัน
ถ้าไม่เมาสาบานเลยว่าไม่มีวันทำอะไรแบบนั้นลงไปแน่นอน เมื่อคืนพอกลับถึงบ้านฉันแปรงฟันเสร็จก็กลั้วปากด้วยน้ำยาบ้วนปากตั้งหลายรอบจนกระพุงแก้มเปื่อยไปหมด”
ใช่ว่าอโณทัยเองจะไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนซะเมื่อไหร่
“จริงเหรอ เฮ้อ... โล่งอกไปที ไอ้บ้าเอ้ย ต่อไปนายห้ามเอาคืนกันแบบนี้อีกนะ ฉันขอร้อง ยี้ไม่หายเลยวะ”
หลังจากไม่มีเรื่องให้หวาดระแวงวิตกกังวลซึ่งกันและกันก็ถึงเวลาที่ปีศาจจอมก่อกวนความสงบออกอาละวาดอีกครั้ง นนทกรเปิดเพลงเสียงดังแถมยังแหกปากร้องเพลงดังลั่นรถ
‘ให้ตายสิ ดูท่ามันคงเครียดเอามากจริงๆ
เป็นจิตแพทย์ แต่ไม่มีวิธีจัดการกับอารมณ์ของตัวเอง ไอ้หมอจิตเอ้ย!’
“ขับรถดีๆ แล้วก็มองถนนด้วยนนท์
ฉันยังอยากกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย”
อโณทัยเตือนพรางส่ายหน้าเหนื่อยใจไปพร้อมกัน
“รับรองด้วยเกียรติสารถีคนนี้ ว่าข้าจะพาเจ้าชายกลับสู่คฤหาสน์หลังงามอย่างปลอดภัยพะย่ะค่ะ”
นนทกรตอบหันมายิ้มหน้าบานระรื่น
“เฮ้ย! นนท์ระวัง...”
‘เอี๊ยดดดดดดด
โครม!’
***หมอนนท์น่าตีนัก พูดไม่ทันขาดคำได้เรื่องจริงๆ
ความคิดเห็น