คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มือสังหาร (10.5%)
“โว้ย อะไรจะเยอะแยะขนาดนี้ ตกงาน เงินก็หมด เจ้าหนี้ก็ตามทวง” เด็กชายผู้มีผมสีเขียวเหมือนหญ้ากล้าสนามบอลและดวงตาสีน้ำตาลเข้มเสมือนดิน เดินเตะกระป๋องโชคร้ายที่อยู่ข้างทางให้กระเด็นออกไป
เขาผู้มีนามว่า ริว หรือ รลิน รุ่งไพศาล อายุ 15 ปี อาศัยอยู่ตามลำพังในบ้านที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มีคนทิ้งไว้ให้ ตั้งแต่เด็ก เขาเป็นอัจฉริยะจอมห่วยแตก ที่ดีเด่นอยู่เรื่องเดียวนั่นก็คือการเดินเหม่อลอย!!! ช่างเป็นความสามารถที่สุดยอดมากในโรงเรียน และเขาก็เรียนจบก่อนเด็กรุ่นเดียวกันด้วยคะแนนอันห่วยแตกแต่ก็จบ ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
เขาไม่มีครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่ไหนนอกกจากตัวเอง และก็ไม่คิดตามหา เพราะถึงแม้ตอนนี้ ระบบการค้นข้อมูลจะทันสมัยก้าวล้ำมากแล้วก็ตาม
ตอนนี้รัฐบาลได้สั่งปฏิรูปการศึกษาใหม่ ให้ใครก็ตามที่เรียนดี สามารถเรียนข้ามชั้นกันได้ตามลำดับความสามารถและให้ทุกคนเรียนฟรีจนจบแต่มีข้อแม้จะต้องทำงานชดใช้คืนด้วยการให้เงินกับรัฐบาล ยี่สิบปอร์เซ็นต์ของรายได้มั้งหมดเท่านั้นเอง
ตอนนี้ ไอสิ่งที่เรียกว่าหนังสือนั้นได้หายสาบสูญไปตลอดกาลเสียแล้ว อาชีพบรรณารักษ์กลายเป็น อดีตที่บันทึกอยู่ในแฟ้มข้อมูลออนไลน์ว่า “อาชีพเมื่อวันวาน” เฮ้อ ช่างน่าเวทนายิ่งนักแต่ทว่าตอนนี้อาชีพใหม่ๆก็ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดหรือเชื้อราที่ลามไปตามอาหารเพาะเลี้ยง เช่น อาชีพคนรับจ้างที่เมื่อก่อนนับว่ารายได้ต่ำ แต่ตอนนี้กลับเป็นอาชีพที่ใครๆต่างก็อยากทำ แต่มันยากมากๆที่จะได้ทำ ถ้าหากคุณไม่ใช่คนสารพัดประโยชน์ล่ะก็รับรองได้ว่าตกงานแน่
แต่พระเอกของเรื่องก้ไม่ได้ทำอาชีพนั้นหรอก เขาห่วยเกินไป อาชีพที่เขาทำอยู่คือ พนักงานทำความสะอาด ช่างเป็นงานที่ง่ายมากใช่มั้ยในสายตาคนอื่น แต่มันยากมากสำหรับตัวห่วยอย่างเขา มันเป็นอาชีพที่จะรับล้างทำความสะอาดทุกชนิด ย้ำว่าทุกชนิด แม้กระทั่งจะให้ถอด ชิ้นส่วย แทป(ความสามารถเหมือนกับ ไอแพดในปัจจุบัน แต่สามารถหักงอม้วน และบางรเหมือนกับแผ่นฟิล์ม) ออกมาล้างก็ต้องทำหากลูกค้าต้องการ แล้วตอนนี้ พวกนักวิทยาการ ก็ได้คิดค้นอุปกรณ์ที่สามารถใช้แทนมือคนได้มา ไอ่บริษัทเขาก็เลยเลิกจ้างคนันซะเลย จะไปประท้วงก็ไม่ได้ซะด้วยเพราะถือว่า เป็นการทำให้ “ชาติบ้านเมืองล้าหลัง” ล้าหลังยังไงน่ะเหรอ ก็แค่รถติดเอามาก ข่าวออกประจารทั่วโลก อับอายขายหน้าสุดๆ เพราะฉะนั้นจึงมีกฎหมายห้ามประท้วงอย่างเด็ดขาดผู้กระทำจะได้รับโทษอย่างทรมานหัวใจ
แต่ว่าสิ่งที่ลูกจ้างได้รับการตอบแทนก็คือการที่ชื่อทุกคนไปอยู่แฟ้ม คนว่างงานอย่างอัตโนมัติ โดยมีข้อการันตีว่าผู้ที่มีชื่อนั้นจะได้รับงานแน่นอน
“เฮ้อ น่าเบื่อชะมัด” ริวร้อนใจอย่างมากตอนนี้เขาไปจ่ายหนี้ค่าน้ำกับไฟแล้ว แต่เขาห่วยเกินกว่าจะคำนวณให้พอดี เขาจึงใช้เงินที่มีอยู่น้อยนิดไปหมดกับการจ่ายแค่สองอย่างแล้วเขาก็ไม่ข้าวจะกินจนต้องไปขอข้าวกินฟรีที่ทางกองสวัสดิการของรัฐจัดให้กับ ผู้ “ยากจน” ไม่มีอันจะกินอย่างน่าละอายนัก
ตอนนี้ ริวก็เดินมาจนถึงบ้านในที่สุด ทั้งๆที่เขารู้สึกเหมือนเดินมานนานครึ่งชาติ บ้านเขาเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นกว้างใหญ่และหรูหราดูดีมีระดับ เป็นบ้านที่น่าประหลาดยิ่งนัก เพราะมักจะมีอะไรให้แปลกใจเสมอ โดยเฉพาะความสะอาดที่ราวกับมีคนทำให้ทุกครั้งที่ใจต้องการอย่างสุดชีวิต
เขาเดินเอากระเป๋าไปวางไว้บนโซฟาชุดสีขาวตัดกับพื้นบ้านที่เป็นสีดำสนิทแต่มีลวดลายบางอย่างที่เขาก็ไม่รู้เรื่อง แล้วเขาเดินไปยังห้องสมุดที่ดูเหมือนจะว่างเปล่าโล่งโจ้งไปแล้วเพราะรัฐบาลส่งรถมาขนหนังสือไปหมด เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในอนาคต
ที่นี่เป็นที่เดียวที่เขาชอบมาก ไม่ว่าจะเบื่อแค่ไหนเมื่อมาอยู่ห้องนี้ก็สบายใจมากขึ้น เหมือนมีใครมาคอยปลอบใจเสมอ
ที่ห้องนี้มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่บ้านหนึ่งและมันเป็นห้องที่อยู่บนชั้นสอง หน้าต่างนั้นเขาไม่เคยคิดจะปิดมันด้วยผ้าม่านเลยแต่มักจะเปิดเอาไว้รับลมที่พัดเอื่อยๆเข้ามามันช่างน่านอนเสยจริงให้ตายสิ
เขาหลับไปนานเท่าไหร่ไม่มีใครทราบแต่พอรู้สึกตัวอีกที พระจันทร์ดวงโตก็ปรากฏอยู่บนหน้าต่างแล้ว และวันนี้ดวงจัทร์มันก็แปลกๆ เหมือนมีอะไรดำๆใหญ่ๆอยู่ต้องกลาง เอ๊ะมันเปลี่ยนลายหรือไงกันนะ
แต่มันไม่ใช่ลายอย่างที่คิด จู่ๆ เด็กผู้หยิงผมยาว ยาวมาก ยาวจริงๆ มาปรากฏอยู่ตรงหน้า สร้างความตกใจเป็นอย่างมาก
และไวกว่าแสง หน้าต่างและผ้าม่านก็ถูกปิด ไม่นะ! เขากำลังถูกปล้นเหรอ จะบ้ารึเปล่าตอนนี้เขามีตังค์อยู่ไม่ถึงสลึงด้วยซ้ำ ไม่นะ ไม่!!!!
“นายเป็นใคร?”หลังจากที่ห้องตกอยู่ในความมืดไม่นานัก เจ้าหล่อนก็ทำอะไรซักอย่างทำให้ไฟติดสว่างขึ้นมา เฮือก ทำได้ไง
แต่ไอ่ คำถามที่หล่อนถามเขาเนี่ยมันต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ต้องถาม!!!!!!!
“ชั้นชื่อริวน่ะ ว่าแต่เธอนั่นแหละเป็นใคร” ตอนนี้เขาลุกขึ้นจากโชฟาตัวยาวที่นั่งอยู่และมองเห็นเธอได้ชัดขึ้น เธอมีร่องรอยที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างแน่นอนถึงแม้ว่านายริวจะไม่เคย ต่อสู้ถึงขั้นเรียกลือด แต่เด็กอนุบาลดูก็คงรู้ เพราะเธอมีบาดแผลเป็นทางยาวจากของมีคมแน่ๆที่กลางหลังและมันน่าหวาดเสียวซะด้วย
ตามเนื้อตัวที่ขาวผ่องก็มีริ้วรอย เลือดซิบๆออกมากมาย แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจกับบาดแผลเหล่านั้นเท่าไหร่
“ชั้นเป็นใคร ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ชั้นขอ พักที่นี่ซักสามสี่วันก่อนแล้วกันนะ ขอบใจ” แล้วสาวเจ้าก็พลอยหลับไป โดยทิ้งร่างเล็กและบอบบางเอนมาทางเขาทันที พอสุดเสียง
“เฮ้ อย่างน้อยช่วยบอกชื่อก็ดีนะ” แต่ไม่ทันแล้วล่ะ เธอเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
ริวอุ้มเด็กปริศนาไปนอนบนโซฟาหลังจากปฐมพยาบาลแผลที่กลางหลังให้เรียบร้อยแล้ว และช่วยทายาตามรอยแผลเล็กๆน้อยๆ ตามตัวให้เรียบร้อย
“นี่เธอ...” เขาตั้งใจจะปลุกอยู่นานสองนานแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พอเห็นสีหน้าอดนอนและอิดโรยก็ปลุกไม่ได้ซะทุกที สุดท้ายทำอะไรไม่ได้เขาจึงลุกขึ้น ไปอาบน้ำแล้วเข้านอนบนพื้นบ้านตัวเอง เพื่อเฝ้าเธอที่เป็นแผลไปทั่วตัว
เช้าวันต่อมา
วันนี้เป็นวันที่เขาต้องไปดูงานว่าได้งานรึเปล่า แต่ทว่า เมื่อตื่นมาก็เจอเข้ากับ ดวงตาสีไพลินเข้ม
“เฮ้ เธอตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ ฮะ” เขาทำเป็นใจกล้า ทำตัวให้สมกับที่เป็นเจ้าของบ้าน
“ก็ก่อนนายจะตื่น ยินดีที่รู้จักนะ จำได้ลางๆว่านายชื่อริว แล้วก็แผลต่างๆนายเป็นคนช่วยดูแลให้ใช่มั้ย ขอบใจ” เธอเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆ แต่มันขัดตรงที่จำชื่อเขาได้ลางๆ แล้วก็เธอไม่วี้ดว้ายที่เขาช่วยทำแผล เอ่อ ที่มันอยู่กลางหลังเธอเหมือนกับที่คิดแหะ
“ว่าแต่ เธอชื่ออะไรน่ะ” ริวเอ่ยถามต่อจาเมื่อคืนที่ติดเอาไว้
“ไพลิน เรียกชั้นว่าอย่างนั้นแหละ” เด็กสาวปริศนามีนามว่า ไพลินนี่เอง
“แผลเธอเป็นยังไงบ้าง” แล้วถามทำไมล่ะเนี่ย ในเมื่อตอนนี้ ไพลิน ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายซะเฉย ไม่ได้ออกอาการเจ็บหรือรู้สึกเลยซักนิด เธอบิดไปบิดมา หักนิ้วมือด้วย เหมือนกับจะไปชกใครงั้นแหละ
“ถ้ารู้สึกเจ็บ แสดงว่าขี้เกียจ ไม่ยอมตื่นตัว ถ้าคิดว่าเป็นแผลอยู่ก็คือคนอ่อนแอที่รอให้คนอื่นยื่นมือมาช่วยทั้งๆที่ไม่ได้พิการ” ไพลินเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา เหมือนกับว่าเป็น อาจารย์ที่สอนวิชาการต่อสู้ให้กับนักเรียนที่เอ๋อๆ เพราะนายริวอึ้งจนเอ๋อตั้งแต่คำแรกแล้ว
“เธอน่ะ บอกว่าจะมาอยู่ที่นี่ สามสี่วันหมายความว่าไงเหรอ” ริวเปลี่ยนเรื่อง
“ชั้นถูกตามล่าอยู่น่ะ” ไพลินหันหลังตอบ แล้วชั่วแวบนั้นเอง เธอก็เอามีดคู่โบราณสองเล่มออกมาจากที่ไหนสักแห่ง
“เอ่อ ตามล่า หมายความว่าไงล่ะเนี่ย เธอเป็นใครกันแน่เหรอ” ริวงงกับคำบอก ใช่สินะ เขามันตัวห่วยเบอร์หนึ่ง
“ตามล่าก็ตามฆ่าไงไ ไพลินหันมาเผชิญหน้ากับเขา “นี่นายคงจะรู้จักแต่การไปเรียนหนังสือ ทำงนเก็บเงิน ในโลกที่ใสสะอาด สีขาวเปล่งประกายนี่สินะ” แล้วริวก็ต้องอ้าปากค้างอีกครา เมื่อบาดแผลตามตัวและตามร่างกายของไพลินนั้น ค่อยๆจางหายไป
“ยังไงก็ตาม บ้านนายน่ะไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่เพราะนายเป้นแค่คนตกงาน เพราะฉะนั้นขอหลบอยู่ที่นี่สักพักแล้วจะไปเอง ขอบใจ”
อะไรนะ! บ้านหลังนี้น่ะเหรอไม่สะดุดตา บ้านเดี่ยวหลังใหญ่อย่างนี้เนี่ยนะไม่สะดุดตา แต่ไอ่ คนตกงานอย่างเขาน่ะ ไม่สะดุดตาก็ยังพอได้อยู่
“เธอ จะอยู่ที่นี่ได้ไง ก็เธอ...” น่ะเป็นผู้หญิง และริวต้องเก็บปากเก็บคำเมื่อ ไพลินหันมาจ้องหน้าเขาอย่างจะบอกว่า ‘นายมีปัญหางั้นเหรอ’
ตอนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบ้านเขาเป้นยังไง เป็นเหมือนเดิมน่ะสิ เปลี่ยนก็แค่ มีไพลิน ที่ท่าทางแปลกๆ แล้วก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบพวกอะไรที่มันทันสมัยเอามากๆ อย่างแทป ที่เธอมีแต่ก็นั่นแหละใครก็ตามที่มีแทปย่อมเป็นคนที่ มีเงินและรวยมากด้วย แต่ดูไพลินแล้วก็อายุๆพอๆกับเขานั่นล่ะ
ไพลิน หยิบ แทป ที่ซ่อนเอาไว้ตรงข้อมือซึ่งถูกพันด้วนผ้าคาดสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ แล้วเปิดเช็คอะไรบางอย่างพร้อมกับทำหน้ามุ่ยไม่พอใจนัก
ริวกำลังทำอาหารเช้า ซึ่งปกติไม่ค่อยได้ทำเพราะจะไปทำงานไม่ทัน แต่ทว่าวันนี้เป็นวันที่ว่างเอามาก เพราะว่าริวตกงานไปเรียบร้อย เขาจึงต้องมาทำตัวเป็นแม่ศรีเรือน ปล่อยให้แขก(?)นั่งสบายรอทานข้าวเช้าอยู่บนโซฟา
“ข้าวเสร็จแล้ว” ริวเรียกพร้อมๆกับที่ไพลิน เดินมานั่งที่โต๊ะ โดยที่สายตายังไม่ละออกจากแทปตรงหน้า
“จะว่าไปแล้ว เธอนี่ก็แปลกจังนะ” ริวเอ่ยขัดความเงียบที่โรยตัวอยู่นาน “ทำไมถึงแต่งตัวแบบนั้นซะล่ะ อีกอย่างเธอน่ะทำไมถึงถูกตามล่าล่ะ” ริวพูดระโยคยาวเหยียด ถามคำถามที่คั่งข้างจากเมื่อคืนออกมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้ ไพลินอารมณ์ดีขึ้นเยอะแล้ว
“ทำไมนายจะต้องรู้ด้วยล่ะเนี่ย” ไพลินกล่าวก่อนจะเอาซ้อม จิ้มไปที่เนื้อหมูซึ่งอยู่ในจานตรงอย่างไร้ปราณ๊ เหมือนที่เด็กๆทำ
“ก็ฉันเป็นเจ้าของบ้าน” ริวมองแล้วเกิดอาการขำกับภาพเด็ก อนุบาลที่ชื่อ ไพลิน
“ก็ได้ นี่ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่นายให้ที่กบดานฉันซักพักนะ” ไพลินวางช้อนซ้อม ลงตามมารยาทหลังทานข้าวแล้วก็นั่งจ้องหน้าริว ด้วยสีน้าเรียบเฉยอันปกติ
“ฉัน เป็น มือ สัง หาร” ไพลินเน้นช้าชัดทีล่ะคำด้วยความน่ากลัว ในน้ำเสียงกับอาชีพที่เธอเพิ่งกล่าวจบไป
“อะ อะ อะไร นะ เธอเป็นมือสังหารเหรอ มืองสังหารที่คอยฆ่าคนน่ะเหรอ” ริวตกใจกับอาชีพ ก็เขาน่ะห่วยมาก จึงไม่ค่อยเข้าไปยุ่งสุงสิงอะไรกับความน่ากลัวในการชกต่อยของลูกผู้ชาย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักความรุนแรงกลัวได้ง่ายๆ
เพราะอาชีพมือสังหารนั้น เป็นอาชีพที่มือต้องเปื้อนเลือดอยู่ตลอดเวลา และการจะทำอาชีพนี้ได้ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ เพราะคู่ต่อสู้จะเข้ามาเด็ดหัวเมื่อไหร่ก็ได้
รอต่อนะค่ะ วันนี้ดึกแล้ว ฝันดีทุกคนค่ะ
ความคิดเห็น