คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : + แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะเพื่อคนยากจน
แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะเพื่อคนยากจน
รูปของอดัม สมิธ
www.oknation.net/
นักปรัชญาของโลกจำนวนมากให้ความสนใจต่อนโยบายสาธารณะในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม และแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่ถือได้ว่าเป็นบิดาแห่งทุนนิยมเสรี เช่น นายอาดัม สมิธ (Adam Smith: ค.ศ. 1723-1790) ก็ยังเคยกล่าวไว้ว่า “สังคมใดที่คนส่วนใหญ่ยากจนและมีความทุกข์ สังคมนั้นไม่อาจจะเจริญงอกงามและมีความสุขได้” [1]
ในการอธิบายประสิทธิภาพของกลไกตลาดในหนังสือชื่อ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations (ค.ศ.1776)
นาย
อย่างไรก็ตาม การอธิบายดังกล่าวทำให้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า “self interest” ของนายอาดัม สมิธ เป็นความเห็นแก่ตัวที่ปราศจากบริบทของสังคม ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงนั้นก่อนที่นายอาดัม สมิธจะเขียนหนังสือ Wealth of Nations (ค.ศ.1776) เขาได้เขียนหนังสือชื่อ The Theory of Moral Sentiments (ค.ศ.1759) และ ได้อธิบายว่า “ความเห็นอกเห็นใจ” หรือ “sympathy” เป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำไปสู่ประโยชน์สุขโดยรวมของสังคม
แนวคิดทั้งสองด้านของนายอาดัม สมิธดังกล่าวข้างต้น ทำให้นักเศรษฐศาสตร์บางคนเช่น Joseph Schumpeter เห็นว่า นายอาดัม สมิธ มีแนวคิดที่ขัดแย้งกันเอง (contradiction)[2]
แต่เนื่องจากนายอาดัม สมิธได้ทำการปรับปรุงและ ตีพิมพ์ The Theory of Moral Sentiments อีกหลังจากที่ได้เผยแพร่ Wealth of Nations ไปแล้ว โดยที่ยังคงมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่อง “ความเห็นอกเห็นใจ” เช่นเดิม
ดังนั้นนักอ่านจำนวนหนึ่งจึงตีความว่า นายอาดัม สมิธ มิได้มีความขัดแย้งทางความคิด หากแต่นาย
ในหนังสือ The Theory of Moral Sentiments นายอาดัม สมิธ ได้เสนอความเห็นว่า “ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” ของปัจเจกบุคคลนั้นน่าจะมีความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมอยู่ในสำนึกของแต่ละคน
เนื่องจากการกระทำที่สังคมเห็นว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสมนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของบุคคลในฐานะที่เป็นสมาชิกของสังคมด้วย
ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่านายอาดัม สมิธ ผู้ซึ่งเชื่อในมือที่มองไม่เห็นของกลไกตลาด เชื่อด้วยว่า ความรู้สึกทางด้านศีลธรรม (moral sentiments) และความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน (self interest) เป็นเรื่องที่ต้องควบคู่กัน และนายอาดัม สมิธ จึงได้มีความเห็นว่า สังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจกันนั้นไม่น่าจะมีความสุขได้ถ้าคนส่วนใหญ่ยังคนยากจนและมีความทุกข์
นอกจากนายอาดัม สมิธแล้ว ยังมีนักปรัชญาอีกสองท่านที่ให้กำเนิดแนวคิดอรรถประโยชน์นิยม หรือ Utilitarianism ได้แก่นาย เจเรมี เบนแธม (Jeremy Bentham, ค.ศ.1748-1832) และ นาย จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill, ค.ศ.1806-1873)
ภายใต้แนวคิดนี้อรรถประโยชน์ (utility) คือความพอใจที่ปัจเจกบุคคลได้รับจากสถานภาพและ สภาพแวดล้อมของตน เป้าหมายของรัฐบาลควรจะเป็นการแสวงหาอรรถประโยชน์สูงสุดโดยรวมให้แก่ทุกคนในสังคม
และเนื่องจากอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่มมีลักษณะลดน้อยถอยลง (diminishing marginal utility)[3] ดังนั้นการกระจายรายได้จากคนรวยมาสู่คนจนน่าจะทำให้อรรถประโยชน์โดยรวมของสังคมเพิ่มขึ้น
แนวคิดที่เห็นว่านโยบายสาธารณะควรเน้นการช่วยเหลือของรัฐไปสู่คนระดับล่างสุด หรือยากจนที่สุดของสังคม มาจากนักปรัชญาในศตวรรษที่20 ชื่อนายจอห์น รอลส์ (John Rawls, ค.ศ.1921-2002) ศาสตราจารย์ด้านปรัชญาการเมืองที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด นายจอห์น รอลส์ เขียนหนังสือชื่อ ทฤษฎีความเป็นธรรม (A Theroy of Justice, ค.ศ.1972) และเสนอหลักการสำคัญสองข้อของความเป็นธรรม
โดยในหลักการแรกเขาเห็นว่า บุคคลแต่ละคนควรมีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกัน และในหลักการที่สอง เขาเห็นว่าปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคมควรได้รับการแก้ไขโดยมุ่งเน้นไปยังผู้ที่ทุกข์ยากที่สุดหรืออยู่ที่ระดับล่างสุดของสังคมก่อน
นายรอลส์ เสนอว่า สถาบันของสังคม กฎหมาย และนโยบายสาธารณะควรมีความเป็นธรรม แต่เนื่องจากว่าสมาชิกของสังคม อาจมีแนวคิดเรื่อง “ความเป็นธรรม” ที่ต่างกันเพราะสถานภาพทางสังคมของแต่ละคนต่างกัน
นายรอลส์เห็นว่าความเป็นธรรมของสังคม ควรมีลักษณะปลอดจากภาวะอัตตวิสัยของแต่ละบุคคล ดังนั้นจึงเสนอให้เราจินตนาการว่า ก่อนที่ทุกคนจะเกิดมาได้มาประชุมร่วมกันเพื่อออกแบบกฎเกณฑ์ต่างๆของสังคม
โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อออกกฎเกณฑ์ไปแล้วจะเกิดมามีสถานะเช่นไรในสังคม[4] ในเมื่อเราต่างก็ไม่รู้ว่าเมื่อเกิดมาแล้วจะมีสถานะเช่นไรในสังคม (เช่น เป็นคนรวย คนจน ผู้มีอำนาจในการปกครอง หรือผู้อยู่ใต้อำนาจ ฯลฯ) จึงไม่น่าจะมีใครสามารถออกแบบกฎเกณฑ์ หรือนโยบายเพื่อประโยชน์เฉพาะตามภาวะอัตตวิสัยของตนได้
เมื่อเป็นดังนี้สิ่งที่แต่ละคนน่าจะเป็นห่วงก็คือ เมื่อเกิดมาแล้วอาจจะเป็นคนจนในระดับล่างสุด และมีข้อเสียเปรียบที่สุดในสังคม ทุกคนจึงน่าจะตกลงกันได้ในเรื่องนโยบายสาธารณะว่า รัฐควรให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ยากจนและเสียเปรียบที่สุดในสังคมก่อน เพื่อเป็นหลักประกันในกรณีที่ตนเองอาจจะเกิดมาอยู่ในสภาพเช่นนั้น
แนวคิดดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นยุทธวิธีลดความเสี่ยงให้ตนเอง ดังนั้นรัฐควรมีนโยบายสาธารณะด้านการกระจายรายได้โดยมุ่งช่วยเหลือคนที่ยากจนที่สุดและอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบที่สุดในสังคมก่อน
[1] “No society can surely be flourishing and happy, of which by far the greater part of the numbers are poor and miserable.” (Adam Smith, 1776)
[2] Adam Smtih ใน website www.en.wikipedia.org/wiki/Adam_Smith (accessed 5/5/2007)
[3] ตัวอย่างเช่น การรับประทานข้าว จานแรกน่าจะให้ความพอใจมากกว่าจานที่2 และข้าวจานที่2 ก็น่าจะให้ความพอใจมากกว่าข้าวจานที่3 ฯลฯ ดังนั้น ถ้ารัฐนำข้าวจานที่3ของผู้มีอันจะกิน มาให้เป็นข้าวจานที่1ของผู้ไม่มีอะไรจะกิน อรรถประโยชน์ของสังคมโดยรวมก็น่าจะเพิ่มขึ้น แต่แนวคิดนี้ก็มีข้อถกเถียงในประเด็นการเปรียบเทียบอรรประโยชน์ระหว่างบุคคล (inter-personal comparison)
[4] นายจอห์น รอลส์ใช้คำว่า “veil of ignorance” หรือการตกลงกันเรื่องกฎเกณฑ์ของสังคม และนโยบายสาธารณะ ภายใต้”ม่านของความไม่รู้” ว่าตนจะเกิดมามีลักษณะอย่างไรในสังคม ดู Rawls (1972): 136-142
http://gotoknow.org/blog/econ4life/99530
จาก ศ. ดร. ปราณี ทินกร อดีตคณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ม. ธรรมศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของงานของท่านในรายงานวิจัยคณะเศรษฐศาสตร์ เรื่อง "การคลังเพื่อสังคม"
ความคิดเห็น