ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อินคาทัส มหาสงครามศักดิ์สิทธิ์แห่งปฐพี

    ลำดับตอนที่ #1 : เมื่อชะตาบรรดาลลิขิต

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ย. 49


     

    บทที่ 1 เมื่อชะตาบันดาลลิขิต

    ดวงสุรียาแต่งแต้มสาดนภา                       ดวงดารา ลอยสง่าเปล่งราศี

    ไร้จุดจบจุดสิ้นสุดอันราคี                                     ดังชีวีมีชีวิตบนโลกา

    หมดลมชีพมิใช่จุดสิ้นสุด                          หากคือหยุดพักให้หายเมื่อยกายา

    จุดเริ่มต้นเป็นเพียงสิ่งชักพา                                 ให้ชะตามาบรรจบเป็นวงกลม

    ******************************


                    
       ช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกบางอย่างมากมายจนกระทั่งรับไว้ไม่ไหว....มักจะมีแรงจูงใจชักพาให้ทำสิ่งที่มิน่าปรากฎขึ้นได้เป็นไปได้เสมอ หรือที่เราให้คำกำกับนิยามนั้นว่า..
    ' ปาฏิหาริย์ '... และ ปาฏิหาริย์นั่นเองคือสิ่งที่บรรดาลให้ชะตา เกิดความผกผันจนกลายเป็นลิขิตที่มิมีคนหยั่งรู้ได้...


                   
    ...ชะตา อาจเป็นหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง...แต่ความจริงที่ทุกคนต้องยอมรับให้เป็นนิยามของชะตา คือ...เส้นทางของ
    ลิขิตที่จะเกิด ปาฏิหาริย์ขึ้นมาเมื่อใด ก็มิอาจรู้ได้...


     

         ************
              

                    "ท่านตา  ความมืดคือที่ที่อับแสง ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือของท่าน มหาปราชญ์ฟิลโลลัส จริงๆหรือคะ " สาวน้อย วัยห้าขวบปี ส่งสายตาแห่งความฉงน ให้แก่ผู้เป็นทุกอย่างในชีวิตที่มีความทรงจำของเธอ


                   
    " แน่นอน สาวน้อย " แววตาอ่อนโยนฉายชัดในดวงตาสีเทาจาง เมื่อตอบคำถามหลานสาวเพียงคนเดียวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ


                   
    ถึงแม้ สาวน้อยจะเงียบไป เพราะคำตอบของคุณตา แต่ความคิดของเธอไม่หยุดดั่งคำพูดที่มิได้หลุดออกจากปาก...เธอไม่คิดว่าความมืดจะเป็นที่ที่อับแสงจริงๆหรอก...


                   
    เอโรร่า  ลีไลน์เนอร์ อาศัยอยู่กับ ตาของเธอหลังจากที่เสีย บิดาและมารดาไป  หมู่บ้านซาฮัล มณฑลคิวปิดแห่งอาณาจักร เพิร์ล-ทีมิส คือ "บ้าน" ของเธอ  ผู้คนที่นี่ต่างมีจิตใจดีและเอื้ออารี 


                      เธอเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอม เส้นผมสีน้ำตาลทองที่ปกคลุมศีรษะเล็ก หยิกเป็นลอนราวกับตุ๊กตา  แต่ที่น่าสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นที่สุดก็คงไม่พ้นดวงตา..ดวงตาที่มีสีอันแปลกประหลาดของเธอ..สีชมพู ประกายเงิน..


                    ...นัยน์ตาของผู้ใช้เวทมนตร์มักมีสีประหลาดเสมอ เพราะ จอมเวทย์ทั้งหลายต่าง เชื่อกันว่าดวงตา คือสิ่งที่แสดงออกทางอารมณ์ได้ดีที่สุด  ยังมีจอมเวทผู้ที่ สามารถอ่านความคิดของผู้คนได้จากดวงตา ถือเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ หรือที่เรียกว่าพลังอาลาย์น ...ซึ่งเอโรร่าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตาของผู้ใช้เวทย์ส่วนใหญ่จะเกิดจากสีตาของมนุษย์หลายๆสีรวมกัน แต่เอโรร่ากลับมีนัยน์ตาสีที่ มิมีผู้ใดเหมือน

                    เอโรร่า ไม่เคยมีเพื่อน เธอเติบโตขึ้นมากับหนังสือ โดยมีเพียงคุณตาของเธอเท่านั้นที่พยายามจะทำหน้าที่เป็นทุกอย่างให้เธอ..ส่วนเหตุผล อาจเป็นเพราะความประหลาดในตัวเธอ ที่มีมากกว่าสีตาก็เป็นได้



                   
    คุณตาของเธอ หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า
    " ท่านผู้เฒ่าการ์ซิลินด์ " เป็นผู้ใช้มนตราที่สามารถหยั่งรู้อนาคตอันใกล้ในระยะ ไม่เกิน สิบปีได้ ซึ่งถือเป็นอีกพรสวรรค์หนึ่งของเหล่าบรรดาจอมเวทนอกจากพลังอาลาน์ย...พลังหยั่งรู้อนาคต..ฟอร์จูนีส แต่ท่านผู้เฒ่าจะไม่ใช้เวทมนตร์เพื่อการทำนายให้แก่พวกชาวบ้านมากนัก เพราะอาจทำให้อนาคตบิดพลิ้วได้ ซึ่งเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ควรจะเกิดอย่างยิ่ง และอาจเป็นด้วยสาเหตุ ที่ จำนวนของผู้ใช้มนตราที่มีพลังฟอร์จูนีสนั้น น้อยถึงหนึ่งในพัน ทำให้ ในที่สุด ชื่อเสียงของการทำนายที่แม่นยำ ของการ์ซิลินด์จึง รู้ถึงกษัตริย์แห่งอาณาจักรอันดาซัส...จักรพรรดิซิลเลนิส



                   
    ดังนั้น เมื่อเอโรร่าอายุได้ 8 ปี เธอจึงย้ายตาม ผู้เป็นตา เข้าไปอยู่ในเขตวังหลวง ของอาณาจักรอันดาซัสในฐานะ..หลานสาวคนเดียวของ ท่านเสนาธิการเอกการ์ซิลินด์



                   
    ดังนั้นเอโรร่า จึงได้เริ่มเรียนหนังสือร่วมกับคนอื่นเป็นครั้งแรก  แต่เธอยังคงเงียบ เธอไม่พูดหากไม่จำเป็น  เธอไม่สนใจกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนหากไม่จำเป็น  ไม่แม้กระทั่งจะ ถาม อะไรกับครูผู้สอน ยกเว้นผู้เป็นครูเรียกถามเท่านั้น  นั่นทำให้เธอไม่มีเพื่อน  เหมือนเช่นเดิมที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ฉลาดกว่าเด็กคนอื่นมาก จนในบางครั้ง ถึงกับทำให้ผู้ถ่ายทอดความรู้อึ้งไป กับสติปัญญาอันไม่น่าจะเชื่อว่าเป็นของเด็กวัย 8ปี



                   
    นอกจากนั้นเธอยังโดนแกล้ง อยู่บ่อยๆ ด้วยหลายๆสาเหตุ  ไม่ว่าจะเป็น สติปัญญาที่แหลมเฉียบหรือหน้าตาที่งดงาม แม้ยังมิโตเต็มวัย

    ...

                    "ยัย แม่มดร้าย " เธอมักถูกเรียกเช่นนี้เสมอ เพราะ ในชั้นเรียนจำนวน 12 คน มีผู้ที่มีเวทมนตร์อยู่เพียง  3คน


                    .....ซึ่งอีกสองคนล้วนแต่เป็นเด็กชาย....



                   
    "ยัยแม่มดร้าย เธอทำกระโปรงของฉันยับ  มาจัดให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ " น้ำเสียงไม่เป็นมิตรของเด็กหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น หลังจากที่ เอโรร่า เดินเฉียดเธอไป



                   เด็กสาวมองตอบด้วยดวงตาสีชมพูประกายเงินอย่าง
    ไร้ความรู้สึก ก่อนที่จะเลิกสนใจและก้มลงเก็บหนังสือที่ เด็กหญิงผู้นั้นปัดตก



                   
    " เอ๊ะ  นี่ฉันพูดไม่ได้ยินหรืออย่างไร " เสียง ของเจ้าหญิง แอนโดรมาคีย์  พระธิดาคนเล็กของจักรพรรดิซิลเลนิส  ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด



                   
    " ไม่เห็นยับเลยนี่ " หากแต่เสียงที่ตอบกลับมา กลับกลายเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย



                   
    " อย่างนี้มันหาเรื่องกันชัดๆเลยนี่ เจ้าหญิง " น้ำเสียงติดจะกวนของเด็กชาย คนเดิม ดังขึ้นอีก ก่อนที่กระโดดลงมาจากราวระเบียงหินที่ตนนั่งอยู่



                   
    " เจ้า เกี่ยวอะไรด้วย " นางยังเถียงอย่างไม่ยอมลดละ ทั้งๆที่เริ่มจะหงุดหงิดที่ มีคนเข้าข้าง นาง!!



                   
    ก่อนที่จะเกิดเรื่องทะเลาะ ใหญ่โต เอโรร่า ก็เดินเลี่ยงบทสนทนา ออกมาด้วยความรู้สึกรำคาญเป็นทุนอยู่แล้ว ตั้งแต่เห็นหน้าของเจ้าหญิงแอนโดรมาคีย์



                   
    " เฮ้  เดี๋ยวสิ ฉันอุตส่าห์มาช่วยนะ จะไม่ขอบคุณบ้างรึไงกัน " เด็กชายผู้นั้นก็รีบกระวีกระวาด วิ่งตามเอโรร่ามาทันที


                   
    เอโรร่า ส่งสายตาเย็นเยียบเป็นการตอบกลับ



                   
    " แล้วใครต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า " แทนที่เด็กชายผู้นั้นจะโกรธเขากลับมองเอโรร่า ด้วยดวงตา สี น้ำเงินแกมน้ำตาล ที่พราวระยับอย่างขบขัน ก่อนที่จะเสยผมสีน้ำตาลไหม้ให้พ้นจากหน้าผาก ที่กระเซิงตามกระแสลม



                   
    " ฮ่า ๆสรุปแล้วข้า ยุ่งไม่เข้าเรื่องเองสินะ  " แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นเพียงสายตาเย็นชาของเด็กสาว



                   
    " ข้าไม่ได้พูดเช่น นั้น หากข้าเพียงสงสัยว่า ทำไมเจ้ามาช่วยข้า แทนที่จะช่วยเจ้าหญิง.." นัยน์ตาสีสวย ทอประกาย ฉายความรู้สึกเป็นครั้งแรก ..ความรู้สึกแห่งข้อกังขา



                   
    " ว้าว เจ้าพูดประโยคยาวๆ เป็นด้วยนี่  แถมยัง แสดงความรู้สึกออกทางตาได้ด้วย ก่อนหน้านี้ข้านึกว่าเจ้า พิการทางด้านแสดงความรู้สึกเสียอีก  " พูดจบเด็กชายก็หัวเราะ กับความคิดของตนเองยกใหญ่



                   
    " ข้าก็ มีชีวิตนะ " น้ำเสียงเย็นชาออกมาจากปาก แต่ก็ยังไม่สามารถ ปิดบังความโกรธที่พลุ่งพล่านออกมาได้เลย



                   
    " เจ้านี่ก็แปลก เขาเล่นด้วยก็ตั้งท่าจะโกรธอย่างเดียว  ไม่น่าเจ้าถึงไม่มีเพื่อน " เด็กชายผู้นั้นยังพูดด้วยท่าทางสบายๆ เช่นเดิม



                   
    แต่เอโรร่า กลับหันหลังแก่เด็กชาย เดินตรงไปในทิศทางตรงข้ามทันที
    !!



               
    " อ้าว  เอโรร่า " เด็กชายวิ่งตาม เธอมาทันที แล้วจับบ่าของเด็กสาวไว้มั่น



                   
    เอโรร่าสะบัดมือที่เกาะอยู่บนบ่า บอบบางของเธอออก



                   
    " เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า อีก  ไปซะเฟธาน  ข้ามันเป็นแม่มดร้าย !! " เธอ จบประโยคด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ก่อนที่ หยาดน้ำตาหยดหนึ่งจะ หลั่งรินออกมาอย่างสุดจะกลั้น แม้แต่ เด็กชาย ที่เห็นแผ่นหลัง ของเธอสั่น พร้อมกับหยดน้ำที่ล่วงลงสู่พื้นพสุธาก็ยังตกใจ



                   
    " เอโรร่า  ขะ..ขะ...ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ...หากเข้าเป็นแม่มดร้าย ข้าคงเป็นพ่อมดร้ายยิ่งกว่า..เพราะข้าทำเจ้าร้องไห้ใช่ไหมล่ะนี่... " เฟธาน ขอโทษ ด้วยน้ำเสียง ร้อนรน



                   
    เฟธาน  ไวล์วอรัสเป็นหนึ่งใน สามของเด็กที่ใช้เวทมนตร์ได้ 



                   
    " นี่เอางี้สิ  เจ้ามาเป็นเพื่อนกับข้า  เอามั้ยล่ะ " เฟธานเสนอด้วยน้ำเสียง เกรงๆ



                   
    แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เอโรร่า หันหน้ามา ประชันหน้ากับเด็กชาย  พร้อมกับใช้นัยน์ตาสีชมพูประกายเงิน จ้องมองในตาสีประหลาดของเด็กชาย เพื่อคาดคั้นเอาความจริง..นางพบความจริงใจฝากรอยอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้น..



                   
    " จะ..จะ.. เจ้าพูดจริงๆหรือ " น้ำเสียงเล็กกังวาลใสของเธอพูดออกมาอย่างมีความสะอื้นอยู่เล็กน้อย



                   
    " อื้อ จริงสิ เจ้าคิดว่าข้าโกหกรึไง ถึงข้าโกหกเจ้าก็รู้อยู่ดี เล่นจ้องตาซะขนาดนั้น ข้าน่ะเป็นพ่อมดนะ กล่าวแล้วไม่คืนคำหรอก "



                   
    " เจ้ารู้!! เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ข้ามีพลัง อาลาย์น " น้ำเสียงตื่นๆ ของเอโรร่า ทำให้เด็กชายขันจนหลุดหัวเราะออกมา



                   
    " ถ้าข้าไม่รู้ก็โง่เต็มทนแล้วล่ะ "



               
    จริงสินะ ก็เขาเป็นพ่อมดเหมือนกันนี่หน่า ...


                   
    " แล้วตกลง เจ้าจะเป็นเพื่อนกับข้ารึเปล่า "



                   
    " อื้อ "คือ คำตอบที่ได้รับ พร้อมกับ รอยยิ้ม ของเอโรร่า....รอยยิ้ม ที่ตราตรึง ในหัวใจของเขา ตลอดมา...

    *******************

                    " เอรี่  " น้ำเสียงสดใส ของ ชายหนุ่ม ที่เรียกเอโรร่า ด้วยชื่อที่คงไม่มีใครกล้าเรียกอีกแล้ว ลอยมากับสายลม แต่ไกล



                   
    เฟธาน หยุดหอบด้วยความเหนื่อยที่วิ่งไป ตะโกนไป ก่อนที่จะมาถึงตัวของหญิงสาว



                   
    " อย่าเรียกข้าแบบนั้น นะ !! "  น้ำเสียง ของเธอเป็นความรู้สึกหยอกล้อมากกว่า โกรธเคือง



                   
    วันเวลา ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนเติบโตขึ้น  ทุกอย่างเปลี่ยนไป  นิสัยของ เอโรร่าก็เปลี่ยนไป เธอพูดมากขึ้น แต่ก็ ไม่ใช่คนช่างพูด เป็นเพราะระยะ เวลาตลอด 6 ปีที่เธอมีเฟธานเป็นเพื่อนสนิท กระมังทำให้เธอเปลี่ยนไป



                      
    เอโรร่าเติบโต ขึ้นเป็นเด็กสาวที่สวย ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ กระทั่งที่ใครเห็นเธอต้องหันกลับมามองอีกรอบ  ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ..ไม่แม้กระทั่ง ความรู้สึกของเฟธานต่อหญิงสาว จากความเป็นเพื่อนพัฒนาเป็น...บางอย่างที่เขาก็มิอาจตอบตัวเองได้เหมือนกัน



                       เฟธานเองก็เช่นกัน  เขาเติบโตขึ้นมาเป็นหนุ่มรูปงาม  เป็นที่หมายปองของสาวๆอยู่บ่อยๆ  เพียงแต่ นิสัยของเขายังคงเดิม...



                " วันนี้เจ้าไม่เข้าเรียนวิชาปกครองหรือเฟธาน " เอโรร่าหันมาถาม



               " อืม ข้าเบื่อน่ะ  สอนอะไรก็ไม่รู้ซ้ำซาก แล้วอีกอย่างเวลาเรียนคนละห้องกับเจ้า กับเบรล์วินด์แล้วมันไม่สนุกอ่ะ  ไม่มีพวก " เมื่อโตขึ้น การรับการศึกษาก็แตกต่างไปจากเดิม เพราะผู้ใช้มนตรา ต้องเรียนศาสตร์ต่างๆมากกว่า เด็กนักเรียนรุ่นเดียวกันถึงเท่าตัว เพื่อจะได้ เป็นข้าราชการ ที่ซื่อสัตย์และมีประสิทธิภาพ ในอนาคต..



                     เอโรร่า หัวเราะ กับความอารมณ์ดีของเพื่อนสนิท



                 " แล้ว เบรล์วินด์ไปไหนเสียล่ะ " เอโรร่า ไพล่ถามถึงผู้ใช้มนตราอีกคนหนึ่งหรือคนที่สามในห้องเรียนเก่า



                " ข้าจะไปรู้มันเรอะ  ขลุกอยู่แถวกองหน้าสือใกล้ๆนี้กระมัง" คำตอบทีได้ทำให้เอโรร่า ส่ายศีรษะอย่างระอา

    "อ๊ะ เดินมานั่นแล้ว " เอโรร่าละสายตาจากใบหน้าชายหนุ่มที่คุ้นเคยตรงหน้า แล้วหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่เดินมา ช้าๆ 



                     เบรล์วินด์เป็นชายที่จัดว่าดูดีคนหนึ่ง เขามีดวงตา สีอำพันทอง เส้นผมสีดำสนิท   เป็นคนสุขุมรอบคอบ  มีสติยั้งคิด  และอัธยาศัยดี ใช้ปัญญามากกว่าใช้กำลัง  ผิดกับผู้เป็นเพื่อนรักมาก  ชายหนุ่มกำลังอ่านหนังสือในมือพร้อมๆกับก้าวเดินมาหาเพื่อนทั้งสอง



                   
    " ไง เอโรร่า  เฟธาน " เบรล์วินด์พูดขึ้น แม้สายตาจะยังไม่ได้ละจากหน้ากระดาษสีเหลืองนั้นเลย



                   
    " ก็เรื่อยๆ ไม่ได้บาดเจ็บปางตายอะไร" เฟธานตอบกลับ

                    ทั้งคู่มักทะเลาะกันเสมอ  เพราะเหตุผลหลายๆอย่าง  เช่นนิสัยที่ตรงกันข้ามกันเสียเหลือเกิน หรือจะพุดให้ถูก ความ กวนอารมณ์ของเฟธาน...แต่ก็เท่านั้นทะเลาะก็เหมือนการแสดงถึงความผูกพันของผองเพื่อน....



                   
    " โอ๊ย พวกเจ้าไม่ทะเลาะกันสัก วันได้ไหม  จริงสิ ข้าต้องไปแล้วล่ะ วันนี้คุณตากลับบ้านเร็ว เดี๋ยวท่านถามหาน่ะ  " เอโรร่า พูดพลาง รีบลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ข้างบึงที่ตนนั่งอยู่กับ สองเกลอ



                   
    " อ้อ  ยังไง เจ้าทั้งสองคน ไปบอก ท่านลุงรองต์กาเรียสด้วยนะ  บอกว่าข้าเชิญท่านมาทานอาหารค่ำ  วันนี้ข้าจะทำเองน่ะ "



                   
    รองต์กาเรียส เป็นอีกหนึ่งในเสนาธิการ ชั้นต้นๆ  ซึ่งเป็นบิดาของ เบรล์วินด์และพ่อบุญธรรมของเฟธาน



                   
    " ข้าไปล่ะ " พูดจบนางก็ยิ้มให้ทั้งสองก่อนที่ จะวิ่งออกจากบริเวณนั้นไป..


                   
    " เฮ้ออออออออออออออ" เฟธานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทันทีที่ หญิงสาวไปไกลกว่าระยะสายตา ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน แหงนหน้ามองท้องนภาสีสดใสด้านบน



                   
    " เจ้าชอบนาง สินะ "ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีอำพับทองกล่าวขึ้นพร้อมนั่งลงที่พื้นหญ้า..

                    " เจ้ารู้ได้อย่างไร " ถึงแม้คำถาม จะดูเหมือนตกใจ แต่น้ำเสียงของเขาไม่มีความตกใจเลยแม้แต้น้อย


                   
    " หึ ถ้าข้าไม่รู้ก็ไม่ใช่เบรล์วินด์เพื่อนเจ้าแล้ว "


               
    " เจ้ารู้มานานแค่ไหนแล้ว " เฟธานยังคงมองท้องฟ้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนอะไร

                    " ก็นานพอที่จะรู้ว่า เจ้า เป็นชายหนุ่ม ที่ ซื่อบื้อขนาดไหนก็แล้วกัน "



                   
    " ใครใช้ให้เจ้า ใช้คำพูดแบบข้า "จบคำพูดสองคนก็ตะลุมบอนกันกลางทุ่งหญ้า สายลมเอื่อยๆพัดไปตามท้องทุ่ง  ท้องฟ้าสีแดงอมส้มยามเย็นชวนให้มอง  เสียงนกร้องดังไปตามสายลมที่โบกพัดอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งใด....









        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×