ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♥ Short Stories by False hope ♥

    ลำดับตอนที่ #2 : Fic :: GOD :: ห้วงคำนึง [Dan] 1

    • อัปเดตล่าสุด 10 มี.ค. 55






              สิ่งแรกที่ตรึงสายตาข้าจากเจ้านั้นคืออะไรนะ แน่นอน... ข้าให้คําตอบกับตนเองเรียบร้อย

     
              มันคือแววตาอําพันที่ทอประกายอ่อนโยนของเจ้ายังไงล่ะ...
     
              ความรู้สึกที่เจ็บแปล๊บขึ้นมาในอกในครั้งนั้น ข้ารับรู้โดยสัญชาตญาณว่ามันหมายถึงอะไร มันคือสิ่งที่บ่งบอกกับข้า... ว่าเจ้าพิเศษกว่าและเหนือใครๆ
              ไม่เคยรู้สึกสมเพชตัวเองมาก่อน ก่อนที่จะได้พบกับเจ้านั้นข้าเพียงคิดที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบ ทํางานให้สมาคมไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย แวะเวียนไปเยี่ยมท่านอาบ้างเป็นบางครั้ง จากนั้นก็พักผ่อนให้หายจากความเหนื่อยล้า จะเหงาบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะข้ารู้ดีว่าการอยู่'กึ่งกลาง'นั้นจะไม่สามารถเข้าไปรวมกับด้านใดด้านหนึ่งอยู่แล้ว แต่เมื่อวินาทีนั้น.. วินาทีที่ข้าเห็นมีดที่คมกริบค่อยๆปาดลึกเข้าไปในเนื้อของเจ้าอย่างช้าๆ ในครานั้นจิตใจข้าวิ่งวุ่นวนสับสนไปหมด อยากพุ่งเข้าไปช่วยแต่ไม่สามารถทําได้อย่างใจนึก มันเพราะข้าไม่มีเวทเคลื่อนย้ายพริบตาแบบท่านอาใช่หรือไม่?เพราะข้าอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องเจ้าสินะ ข้าจึงทําได้เพียงเฝ้ามองร่างของเจ้าที่ถูกมือเล็กๆนั่นลากไปอย่างไร้เรี่ยวแรง จากไปจากสายตาข้าโดยมิอาจรั้งเอาไว้ได้เลย
     
              อีกครั้งที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ ข้าจําความรู้สึกนั้นได้ ร่างเปรอะเลือดของเจ้านั้นทำให้ข้าแทบขาดใจ เมื่อเจ้าหันคมดาบใส่ข้า ข้ารู้ดี... ว่าเจ้าถูกเจ้าศิลาตะกละควบคุมอยู่ เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เพราะข้าเข้าใจว่าเจ้านั้นไม่ได้เจตนาที่จะทำแบบนี้ ลึกๆในใจข้ารู้สึกดีด้วยซ้ำที่เจ้าแสดงออกมาว่าเป็นห่วงข้า...
              ปากข้าลั่นไปว่าจะปกป้องดูแลเจ้า แต่เมื่อยามคับขันกลับช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย ไม่คิดว่ามันน่าสมเพชหรือ? สุดท้าย... การต่อสู้ในครั้งนั้นก็จบด้วยการที่เจ้าระเบิดพลังทั้งหมดออกมา โดยที่ข้าทำได้เพียงนอนนิ่งๆบนผืนหญ้าเท่านั้น
              ข้าอยากแบ่งเบาภาระในจิตใจของเจ้าบ้าง เจ้าเด็กลูเซียนั้นช่างน่าแค้นและน่าอิจฉาในคราวเดียวกัน ข้าเเค้นที่เด็กแสบนั่นชอบหาเรื่องให้เจ้าปวดหัวได้ทุกวี่ทุกวัน แต่ข้าก็รู้สึกอิจฉาในสัมพันธ์ของพวกเจ้าเหลือเกิน ถึงแม้บางครั้งจะก่อเรื่องมากมายให้ต้องตามเช็ดแต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เจ้าได้ยิ้มอย่าง'เบิกบาน'โดยแท้จริง มันคงจะเป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจทำได้สินะ?
              อาณาจักรปีกขาวที่อยู่ในภาวะสงคราม นี่คงเป็นทางที่ข้าจะทำให้เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าสินะ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ยินดีที่จะกระโดดเข้าไปในไฟสงครามอย่างไม่ลังเล ข้ารู้อยู่แล้วล่ะว่าสงครามมันไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะยืดเยื้อ แต่ภาพที่เจ้าแสดงสีหน้าต่างๆให้ข้าเห็นระหว่างที่เรามาประชุมนั้นก็ทำให้ข้าอดคิดไม่ได้จริงๆว่าสงครามนั้นช่างเป็นอะไรที่ดีซะเหลือเกิน ข้ายังจําสัมผัสอุ่นๆของตัวเจ้าได้ในวันที่เจ้าล้าจากการรบรากับลูเซียอย่างหนัก แต่ก็ยังดันทุรังมาช่วยข้าวางกลยุกต์แผนการรบต่อ เจ้าคงเหนื่อยมากและหลับไปโดยไม่รู้ตัว ปล่อยให้ข้าสบโอกาสจ้องมองเจ้านานแสนนาน ข้านี่มันแย่จริงๆ รู้ทั้งรู้ว่ากลางคืนอากาศจะเย็นกว่าเวลาปกติแต่ยังไม่รีบพาเจ้าไปนอนในฟูกอุ่นๆอีก มัวแต่จ้องจนไหล่ของเจ้าสั่นนั่นแหละจึงจะรู้ตัว
                "ข้าขอโทษ"
              รู้ทั้งรู้ว่าเจ้าไม่ได้ยินแต่ก็อยากจะพูดไว้ก่อน สัมผัสได้ว่าหน้าของข้าจะร้อนฉ่าตอนที่ช้อนร่างของเจ้ามาแนบอก มันช่างเป็นอะไรที่ตื่นเต้นมากสำหรับข้า เสียงหัวใจเต้นระรัวดังก้องอยู่ในอก มันจะรบกวนเจ้าจนตื่นรึเปล่า? ในใจข้าวนเวียนไปกับคำถามนี้ตลอดเวลาที่ได้ก้าวย่างไปตามทางเดิน จวบจนกระทั่งถึงหน้าประตูไม้สลัก ...ข้ารู้สึกไม่อยากปล่อยมือจากเจ้าเลยจริงๆ จึงยืนหยุดนิ่งหน้าประตูอย่างเหม่อลอย แต่มันไม่มีเวลาให้ข้าได้ลังเลมากนัก เพราะเสื้อผ้าและมือของเจ้าเริ่มเย็นเฉียบเสียแล้ว ต้องขอโทษจริงๆนะที่ปล่อยให้เจ้าต้องตากลมเย็นซะนาน มันเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของข้าที่อยากจะเก็บตวงเวลาและความรู้สึกนี้ไว้ น่าละอายแก่ใจจริงๆ
    คงเป็นเวลาที่เนิ่นนานกว่าข้าจะยอมละสายตาจากร่างบางๆของเจ้าที่อยู่บนเตียง จากที่ข้าได้(แอบ)สังเกตเจ้าทั้งคืน เจ้านี่ช่างเป็นเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ แม้กระทั่งเตียงก็ยังทำราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าเกรงใจจนไม่กล้าขยับตัวให้มันเกิดรอยยับ ฟ้าคงใกล้สางแล้ว คงต้องไปวางกลยุกต์ต่อซะแล้วสิ เสียดายจริงๆที่ไม่สามารถอยู่เฝ้าเจ้าต่อได้ แต่เพียงเท่านี้ข้าก็พอใจแล้วล่ะ ขอแค่ได้เฝ้ามองเจ้าอย่างเต็มตาซักครั้ง ข้าก็รู้สึกอิ่มเอิบในใจ ไม่คิดจะละโมบไปมากกว่านั้น
              สงครามปะทุขึ้นแล้ว สถานการณ์เครียดกว่าที่คาดไว้ ข้าพยายามคิดหาทางออกเพื่อชัยชนะที่ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คาด สมาคมการค้าไฟซ์ทุ่มเทมากกับการศึกครั้งนี้ ประเด็นที่ก่อขึ้นบนโต๊ะอาหารคือเจ้าเด็กแสบลูเซียหายไปไหน ราชาปีกขาวแห่งคามาเอลนั่นโดนหลอกแล้วล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่านิสัยตะกละไม่หายนั่นไม่มีทางอดข้าวเย็นเป็นแน่ ข้าได้แต่ถอนหายใจกับนิสัยน่ารังเกียจเล็กๆที่เอาแต่แกล้งคนอื่นแบบนั้น แต่จะมามัวเสียเวลากับอาหารเย็นไม่ได้ การรบราในสงครามครั้งนี้ยังต้องทำเนินต่อไป

     

              มือเย็นเฉียบของท่านอาวางอยู่บนไหล่ข้าโดยไม่ทันตั้งตัว... เฮ้อ ท่านนี่ช่างดูคดเคี้ยวไม่อยู่นิ่ง ..ไม่เสมอต้นเสมอปลายแบบเจ้าเอาซะเลย ข้ารู้จุดประสงค์ของท่านอาดี แต่ข้ายังไปจากที่นี่ไม่ได้ด้วยเหตุผลที่ว่าไฟแห่งสงครามเพิ่งจะลุกโชนขึ้นมาเท่านั้น อีกอย่าง ข้ายังอยากที่จะอยู่'เคียงข้าง'เจ้า

     

              "เวทสั่งตาย" เสียงกระซิบดังขึ้นมาในหูข้า เข้าใจแล้ว... เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกังวลสินะว่าจะไม่ชนะในสงคราม ข้ายอมไปกับท่านอาก็ได้ เราคงต้องจากกันเท่านี้แล้วล่ะ ไว้ถ้ามีโอกาสข้าจะหมั่นแวะเวียนมาหาเจ้าอีกนะ

              จะว่าไปเจ้าเด็กแสบลูเซียก็อยู่ในทัพฝั่งนั้นนี่ ถ้าพวกเราร่ายเวทนี่จบจะต้องไม่มีใครเหลือรอดเป็นแน่แท้ แต่ถ้าเด็กนั่นตายเจ้าจะต้องเกลียดข้าแน่ๆ ...วูบนึงในความคิด ข้ารู้สึกว่าการกลับมาแดนปิศาจนั้นเป็นเรื่องผิด แต่จะห้ามท่านอาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เอาเป็นว่าลาก่อนละกันลูเซีย ข้าคิดในใจด้วยอารมณ์นิ่งสนิท


              แต่คิดไปคิดมาอีกทีถ้าเจ้าเด็กแสบลูเซียตายเจ้าก็คงจะไม่มีที่พึ่ง มันอาจจะเป็นโอกสที่ข้าจะได้ใกล้ชิดกับเจ้ามากขึ้นก็ได้นี่นะ ข้าเฝ้าครุ่นคิดในใจระหว่างกำลังตักมื้อเย็นเข้าปาก เจ้าอาจจะยอมมาอยู่ข้างกายข้าก็ได้ คิดได้ดังนั้นข้าก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ...หลังจากนี้ข้าก็คงไม่ต้องนั่งมองเก้าอี้ตรงข้ามที่ว่างเปล่าแล้วสินะ






              "แดน ข้ามีข่าวมาบอกกับเจ้า"ใบหน้าที่มีเสน่ห์ยั่วยวนตามฉบับปืศาจของท่านอายื่นเข้ามาใกล้ใบหน้าของข้า อดสังหรณ์ใจนิดๆไม่ได้ว่ามันอาจจะเป็นข่าวร้าย สังเกตจากสีหน้าของท่านอาที่ดูเหมือนจะซีดขาวเล็กน้อย
              "ลูเซียและมนุษย์บางคนที่อยู่ในกองทัพนั้นยังไม่ตาย ดูเหมือนว่าจะใช้พลังของศิลาเวททำให้รอดออกมาจากเวทสั่งตายของข้าได้"

              ศิลาเวท... นั่นสินะ ข้าลืมไปได้ไงว่ามันยังมีพลังนี้อยู่

              "หลังจากนี้เป็นต้นไปข้าอยากให้เจ้าอยู่แต่ในปราสาทของข้า อยู่ในสายตาของข้าเอาไว้ อย่าออกไปเพ่นพ่านมาก เพราะลูซัสและโฮมินกำลังเพ่งเล็งเจ้า จะถือว่าข้าขอร้องก็ได้ แต่ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปไหนเลย เชื่อข้าเถอะ" มีเย็นเฉียบของท่านอาเอื้อมมาจับข้าไว้ แววตาที่แสดงออกถึงความร้อนรนและกังวลใจทำให้ข้าไม่กล้าที่จะปฏิเสธคำพูดนั้น ข้าเข้าใจความรู้สึกนั้นของท่านอาดี เพราะข้าก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน... ด้วยเหตุนี้ข้าจึงทำได้แค่พยักหน้าลงอย่างเงียบงันเท่านั้นเอง

              แต่ถ้าข้าไม่สามารถออกไปไหนได้ ก็เท่ากับว่าไม่สามารถออกไปพบเจ้าได้สินะ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่.. เจ้าจะคิดถึงข้าบ้างมั้ยนะ จะมีใครมาลอบทำร้ายเจ้ารึเปล่า เจ้าเด็กแสบลูเซียจะก่อเรื่องน่าปวดหัวให้เจ้าหรือไม่ หรือเจ้าจะถูกมังกรตามจับไปอีก.. ข้าได้แต่กระวนกระวายใจอยู่ภายในปราสาท การที่ท่านอาไม่ค่อยกลับมาบอกข่าวเกี่ยวกับเจ้านั้นทำให้ข้าเริ่มกังวลหนักข้อยิ่งขึ้น ...อยากออกไปพบเจ้าจริงๆ
     

              ไอเวทของท่านอาเข้มข้นขึ้นบ่อยเหลือเกิน ดูเหมือนว่าท่านอากำลังฝึกการใช้เวทมนตร์อยุ่ทุกวันเช้าเย็นมิได้ขาดสาย ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องทำเช่นนั้น แต่จากที่ข้าสังเกตมาดูเหมือนว่าท่านจะฝึกเวทเคลื่ยนย้ายพริบตาบ่อยที่สุด...

              "ท่านอา.. ทำไมช่วงนี้ท่านถึงได้โหมฝึกซ้อมการใช้เวทขนาดนั้น" ระหว่างอาหารเย็นข้าลองถามดูตรงๆ นี่ก็มาหลายวันแล้วที่ท่านอาแทบจะไม่แตะอาหารและฝืนฝึกการใช้พลังตลอ          "เกี่ยวกับลูซัส โฮมิน ลูเซีย.. และ... คู่ปรับของเจ้า" ดูเหมือนว่าท่านอาจะเหนื่อยล้าจากการโหมใช้เวทหนักติดต่อกันมาก จึงพูดจับใจความสั้นๆเท่านั้น ทว่าท้ายเสียงกลับลังเลเล็กน้อยที่จะกล่าวมันออกมา
              "หมายความว่าไง.. หรือว่า.. จะเกิดอันตรายขึ้น!" ข้าลุกพรวดขึ้นแทบไม่ทันหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น
              "ข้าเหนี่อยแล้วแดนที่รัก.. ไว้เมื่อยามรุ่งสางค่อยมาฟังเรื่องทุกอย่างก็แล้วกัน" น้ำเสียงอิดโรย ..ใบหน้าซูบ.. ขอบตาคล้ำ.. และร่างที่โซซัดโซเซไปมาระหว่างเดินนั้นทำให้ข้าไม่กล้าเค้นข้อมูลทุกอย่างในตอนนี้ ..ปล่อยให้ท่านอาพักไปก่อนก็แล้วกัน.. คิดได้ดังนั้นข้าจึงเดินกลับห้องเงียบๆโดยไม่ได้เอ่ยปากอะไรอีก ทว่าภายในใจกลับร้อนรุ่มอย่างหนัก
              ดึกสงัด.. ข้านอนไม่หลับเพราะใจยังว้าวุ่นไปหมด อยากจะรู้ว่ามันได้เกิดอะไรขึ้นบ้างแต่มันก็ยังไม่ใช่เวลาที่ข้าจะได้ถาม เมื่อเป็นเช่นนี้.. สิ่งที่ข้าพอทำได้ในเวลานี้ก็คือการวิเคราะห์เบาะแสทั้งหมดที่รู้ไว้ก่อนสินะ.. เฮ้อ
              การที่ท่านอาจะยื่นมือเข้ามาช่วยและทุ่มเต็มที่กับมัน.. เหตุผลที่พอจะฟังขึ้นก็มีแต่มันจะต้องเกี่ยวข้องกับข้า
              การที่ท่านอาเน้นฝึกเวทเคลื่อนย้ายพริบตา.. เป็นไปได้ว่าเวทนี้จำเป็นที่สุด จึงต้องเน้นฝึกระยะไกลเพื่อความแม่นยำ
              เป็นไปได้บางส่วนว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับทางราชวงศ์
              และ... มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าอย่างแน่นอนงั้นสินะ ท่านอาถึงได้ลังเลก่อนที่จะพูดคำๆสุดท้ายออกมา
              ข้าครุ่นคิดมันอยู่นานแสนนานแต่ก็ยังไม่ใคร่จะเข้าใจเท่าไหร่นัก อะไรที่เกี่ยวกับเจ้านี่ถ้าใช้หลักเหตุผลคิดนี่คงจะเป็นไปไม่ได้สินะ ..ถ้าให้ข้าลองเดาเจ้าต้องเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่จนเกินกว่าที่ข้าจะเอื้อมมือไปช่วยแบ่งเบาจากบ่าเจ้าไหว กลุ่มผจญภัยของเจ้านี่ช่างเป็นกลุ่มที่มักจะเจอแต่เรื่องร้ายๆเสียจริง คราวที่แล้วเจ้าโดนมังกรจับตัวไป คราวนี้คงไม่ใช่ว่าลูเซียโดนจับไปเป็นตัวประกันแทนจนเจ้าต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนไปช่วยนะ.. ข้าคิดเรื่อยเปื่อยขณะยืนรับลมอยู่ริมระเบียง

              ตึงงง!!

              ..เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระแทกลงพื้น

              ข้ารีบพุ่งไปยังห้องที่ได้ลงมนตราป้องกันผู้บุกรุกหนาแน่นโดยเร็วที่สุด ห้องของท่านอามีเสียงกระแทกดังขึ้นมา!
              
              ฟึบบ!

              ..ร่างของข้าผู้ซึ่งมีสายเลือดกึ่งหนึ่งของมนุษย์และปิศาจผ่านม่านมนตราไปอย่างง่ายดาย

              "อา.. แค่กๆ" เสียงครางอย่างแผ่วเบาและอ่อนแรงของท่านอาดังขึ้นมาเบาๆท่ามกลางความเงียบสงัดในคืนนี้ ข้ารีบไปประคองตัวท่านอาขึ้นมาอย่างเร่งด่วนและสำรวจความผิดปกติตามร่างกายอย่างรวดเร็ว ..ไม่พบบาดแผลหรืออาการที่ถูกทำร้าย.. แต่ตัวของท่านอาร้อนราวกับไฟโลกันต์กำลังแผดเผากายเนื้ออยู่!


              
             





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×