คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : สวัสดี คุณเนื้อคู่ 10.
10
“อืม...”
คริสนั่งมองคุณหมอหนุ่มร่างเล็กอย่างลุ้นระทึก ที่กำลังตรวจเช็กอาการของร่างโปร่งที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง หลังจากที่เพิ่งออกมาจากห้องไอซียูได้ซักพัก
“ตอนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากแล้วล่ะครับ... ก็ขาข้างขวาหัก ข้างเดียว ใส่เฝือกซักสองเดือนก็น่าจะหาย” คุณหมอหนุ่มพูดแล้วระบายรอยยิ้มอ่อน พลางจดอะไรยุกยิกๆลงกระดาษอีกนิดหน่อย
“ไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วใช่ไหมคะคุณหมอ ชานยอลไม่ได้เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ... ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แค่รอให้ฟื้นซักพักเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะครับ”
ร่างสูงนั่งฟังคุณหมอหนุ่มพูดออกมาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก นิ้วเรียวไล้ไปตามพวงแก้มนุ่มของคนตัวเล็กกว่าแผ่วเบา อยากจะก้มลงไปหอมแก้มนุ่มนิ่มซักฟอด แต่ติดตรงที่ว่าคนตรงหน้ายังไม่ฟื้น แถมยังมีพ่อแม่แท้ๆนั่งอยู่ข้างๆอีกต่างหาก
ตอนนี้อาการของชานยอลดีขึ้นมากแล้ว เพียงแต่ขาหักไปข้างหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงซักเท่าไหร่ ยังดีที่ว่าตอนชนไม่โดนอะไรที่สำคัญ มันก็เลยไม่ค่อยจะร้ายแรงอะไรเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ทำให้คุณนายคุณชายปาร์ค และคริสโล่งอกได้อย่างมาก
“คริส... ไปพักซักหน่อยก็ได้นะลูก อาว่าคริสดูเพลียๆยังไงก็ไม่รู้ เฝ้าน้องมาทั้งคืนแล้ว” คุณนายปาร์คพูดยิ้มๆ พลางใช้มือลูบหลังหลานชายตัวสูงของตัวเองที่่นั่งทำหน้าหงอยอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับอา ผมไหว อาโซรามีธุระต้องไปทำไม่ใช่หรือครับ” คริสพูดหน้านิ่ง ก่อนจะโดนคุณอาคนสวยตีไปที่แขนหนึ่งที
“เจ้าหลานคนนี้หนิ่ จะดีหรอ”
“ดีสิครับ ผมดูแลชานยอลได้ คุณอาไม่ต้องห่วงหรอกครับ”
“คริสกับชานยอลนี่ดื้อพอกันเลยนะ... เอาเถอะ อาฝากดูแลน้องด้วยนะคริส เดี๊ยวอาไปทำธุระแป๊ปเดียวเดี๊ยวก็มาแล้ว ไปขอลางานซะหน่อย... อ่อแล้วก็...”
“ครับ?”
“คำว่ารักน่ะ มันพูดได้ไม่ยากหรอกนะ เชื่ออาสิ”
คริสมองหน้าคนเป็นอาที่ยืนยิ้มแฉ่งอย่างงงๆ มือหนาเลื่อนขึ้นไปเกาเท้าทอย แล้วทำหน้าเชิงถามว่าหมายถึงอะไร
“อาไม่หวงลูกชายหรอกนะ”
โซรายักไหล่อย่างไม่หยี่ระ ก่อนจะเดินจูงมือสามีของตัวเองออกจากห้องพยาบาลออกไป ทิ้งให้ลูกชายของเพื่อนนั่งงงอยู่คนเดียวกับประโยคที่พึ่งพูดออกไป
คริสส่ายหน้า ก่อรจะหันมาสนใจกับเด็กตัวโย่งที่นอนหลับไหลอยู่บนเตียงต่อ มือหนาเกลี่ยแก้มนุ่มเบาๆ พลางประทับจูบลงบนริมฝีปากสีหวานนุ่มนิ่มอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยๆลากริมฝีปากไปที่หน้าผากมน
มันก็จริงอย่างที่โซราพูด คำว่ารักมันไม่ได้พูดยาก ที่ผ่านมามันก็คงมีแต่เค้าคนเดียวที่คิดเองเออเอง คิดว่าตัวเองรักเค้าฝ่ายเดียว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ถามอีกคนว่ารู้สึกยังไง แต่ถ้าจะให้พูดตอนนี้มันก็คงไม่ไหว เค้าทำร้ายจิตใจชานยอลขนาดนั้น เจ้าเด็กโย่งยังจะฟังเค้าพูดอะไรอีกหรือเปล่า ก็แค่นั้นที่คริสกลัว
เค้าอยากจะพูดว่าเค้าไม่ได้ตั้งใจกับสิ่งที่ทำลงไป มันอาจจะดูไร้ความรับผิดชอบไปหน่อย ก็เค้าห้ามตัวเองไม่ได้... ใครใช้ให้ชานยอลน่ารักกัน อีกอย่า... ชานยอลชอบทำให้เค้าคลั่งตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ๆ ทำให้บ้าได้เสมอ ไม่ว่าชานยอลจะทำอะไรกับใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เค้าอยากจะเข้าไปบีบคอไอเจ้าพวกนั้นอยู่ตลอเวลาที่เห็น...
แต่ไม่ว่าจะยังไง... ตอนนี้ชานยอลเป็นของเค้า และสิ่งเดียวในสมองของคริสในตอนนี้ รับรู้ได้อย่างเดียว คือเค้ารักชานยอลคนเดียว...
“ชานยอลล่า... ถ้าพี่พูดว่าพี่รักนาย นายจะฟังพี่หรือเปล่า”
.
.
.
.
“น้ำ...”
ร่างสูงของคริสค่อยๆลืมตาตื่นจากนิทรา... ก่อนจะเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก เมื่อร่างบางบนเตียงเริ่มขยับตัว มือหนาเอื้อมไปหยิบชวดน้ำบนหัวเตียงแล้วเทรินลงไปที่แก้วใส พลางประครองตัวของร่างบางให้อยู่ในท่านั่ง แล้วป้อนน้ำเปล่าในแก้วให้
แขนยาวยังคงประครองไหล่บางไว้ไม่ยอมปล่อย ชานยอลเงยหน้าขึ้นมามองร่างสูงด้วยสายตาหวั่นๆ ตากลมดูตื่นตระหนก มันยิ่งทำให้คริสรู้สึกหัวใจหล่นวูบ...
“ปละ... ปล่อย” เสียงแหบห้าวเอ่ยออกมาติดๆขัดๆ พยายามดันตัวของร่างสูงให้ออกห่างจากตัวเอง คริสปล่อยมือออกจากไหล่บาง แล้วลงมายืนอยู่ข้างๆแทน
“ชานยอล...”
“...”
“ชานยอล...”
“...”
“ชะ...”
“อะ... ออกไป... ออกไป”
“...”
“ไปไกลๆตีนได้ป้ะ...”
“จะไปไหนก็ไป”
“ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่”
“...”
“ผมเกลียดพี่”
“แต่พี่รักนาย...”
“....”
“มันก็เรื่องของพี่สิ”
“รู้แค่ว่าผมเกลียดพี่ เกลียดพี่ที่สุด เกลียดมากๆ เกลียดจนแม่ งไม่รู้จะเกลียดยังไงแล้ว เกลียดจนจะตาย ขยะแขยงบอกไม่ถูก ไม่อยากมองหน้า เห็นหน้าแล้วจะอ้วก ตอนพี่เอามือมาจับผมแล้วมันเอียนๆ อยากให้เอามือไปไกลๆ ไม่อยากจะให้จับ...” ชานยอลเสหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกขอบตาร้อนผ่าน ฟันขาวกัดเม้มที่ริมฝีปากเพื่อกลั้นน้ำตา
คริสยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม มือหนากำแน่น น้ำใสๆเริ่มคลอหน่วยอยู่ที่ตา ก่อนจะแค่นยิ้มให้ร่างโปร่งที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงคนไข้ มือหนาเลื่อนขึ้นไปเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วหัวเราะออกมา
“ออกไป จะยืนขำอยู่เพื่ออะไร”
“เข้าใจมั้ยว่าไม่อยากเห็นหน้าแล้ว”
“เข้าใจมั้ย...”
“ก็เคยบอกแล้วไง... อยากได้อะไรก็จะหามาให้ ไม่ว่าจะยังไง อยากขออะไร อยากได้อะไรพี่ทำให้ได้หมดนั่นแหละ... อยากขอให้พี่ไปไกลๆตีนชานยอลพี่ก็จะทำให้ เพราะพี่... พี่รักชานยอล” คริสพูดเสียงสั่น ร่างโปร่งพยายามหันหน้าหนี มือบางกำจิกผ้าห่มผืนสีขาวสะอาดเอาไว้แน่น พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ปล่อยโฮออกมา
“ไม่อยากเห็นหน้าพี่... พี่ก็จะไปให้เอง”
“...”
“พี่รักชานยอลนะ”
เอ่ยจบ ร่างสูงหมุนตัวเองไปอีกทาง ขายาวพาตัวเองให้เดินออกมาจากห้อง ตาคมปิดพริ้มลงอย่างเหนื่อยอ่อน ก้อนเนื้อในหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ เหงื่อมากมายพรุดพรายมาจากหัว... บวกกับน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลออกมามากมายไม่หยุด...
บ้าจริง... ร้องไห้ทำไม
ทั้งๆที่คิดมาเสมอว่า...
ไม่ว่าชานยอลจะรู้สึกยังไงกับตัวเอง ก็จะรับได้เสมอ...
แต่ทำไมกลับเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ...
ชานยอลมองตามแผ่นหลังกว้างที่ค่อยๆเดินหายออกไปจากห้อง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงปิดประตู ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แล้วจึงปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก มือบางทุบตีไปตามร่างกายตัวเอง ก่อนจะกอดเข่าแล้วสะอื้นร้องไห้จนตัวโยนอย่างน่าสงสาร
น้ำตามากมายที่ไหลรินออกมา เหมือนกำลังตอกย้ำการกระที่แสนโง่งี่เง่าของตัวเอง... ที่พูดออกไปโดยไม่ยอมคิด...
“ฮึก... อะไรกัน”
“ไล่เค้าไปแท้ๆ... ทำไมมันรู้สึกเจ็บอย่างนี้กันล่ะ”
.
.
.
.
.
.
.
“ชานยอลเดินดีๆสิ แม่จะช่วยพยุงก็ไม่ให้ช่วย เอไอลูกคนนี้นิ่”
เสียงหวานจากปากคนเป็นแม่ เอ่ยบ่นกระปอดแปดใส่ลูกชายตัวโย่งของตน มือเรียวสวยจัดการฟาดไปที่ไหล่บางของลูกชายอย่างแรง จนคนที่กำลังเดินเหม่อลอยตีหน้ามุ่ย หันไปบ่นอุบอิบคนเดียวอีกทาง ไม่ให้แม่ของตนได้ยิน
หลังจากที่ฟื้นตัวได้สองอาทิตย์ คุณหมอก็อณุญาติให้ร่างโปร่งสามารถกลับมาพักผ่อนที่บ้านได้ แต่ว่าห้ามออกไปไหนเด็ดขาด เพราะกระดูกยังไม่ค่อยเข้าที่ดี เค้าก็เลยต้องอยู่เฉยๆให้แม่ทำนู่นทำนี่ให้ จะทำอะไรเองก็ไม่ได้ จะเดินเองก็ไม่ได้ จะทำอาหารเองก็ไม่ได้ เป็นต้องโดนคุณแม่คนสวยดุทุกที
ตากลมมองซ้ายขวาเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง คุณแม่คนสวยที่ดูเหมือนจะรู้ใจเหลือเกิน ก็เลยพูดออกมายิ้มๆ
“พี่คริสเค้าไม่อยู่หรอก เห็นบอกว่าจะไปนอนบ้านเพื่อน”
“ผมไม่ได้จะถามถึงเค้าซักหน่อย” เค้าปดออกไป ใช่... จริงๆแล้วเค้าก็หาเจ้าของบ้านตัวสูงคนนั้นนั่นแหละ... คนที่เค้าไล่ออกไป
ก็แค่อยากจะรู้... ว่าเป็นเจ้าของบ้านแท้ๆ ทำไมไม่กลับมานอนบ้าน...
แค่นั้นเองนะ... จริงๆ
“ชานยอล... ชานยอลเป็นลูกแม่นะ ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าลูกกำลังคิดอะไรอยู่กัน”
“...”
“มี๊ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเรื่องก่อนที่ลูกจะโดนรถชนน่ะ มันเกิดอะไรขึ้น แต่มี๊พอจะเดาออก ว่าต้องทะเลาะกันแน่ๆ... ใช่มั้ย”
“เปล่าซะหน่อย”
“อย่าโกหก” โซราพูดแล้วล้มตัวลงมานั่งข้างๆลูกชาย แขนบางเอื้อมไปดึงลูกชายมากอดไว้แนบอก มือบางลูบหัวลูกชายตัวเองอย่างเอ็นดู
“ตอนแรกน่ะ... พ่อกับมี๊เกือบจะไม่ได้แต่งงานกันอยู่แล้วนะ”
เอ่ยออกมาแล้วยิ้มให้ลูกชาย ชานยอลมองหน้าพลางขมวดคิ้วอย่างสงสัยเหมือนเด้กกำลังอยากรู้ จนคนเป็นแม่ที่กำลังมองหน้าลูกชายได้แค่ขำออกมาอย่างเอ็นดู พลางหยิกไปที่แก้มกลมๆของลูกชาย
“ทำไมล่ะฮะ”
“ก็เพราะป๊าจองซูของลูกนั่นแหละ... เอาแต่ปากแข็ง บอกว่าเกลียดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเอาเข้าจริง ป๊าก็รักมี๊จะตาย แต่ทำเป็นแอ๊บบอกว่าเกลียด” คุณแม่พูดแล้วย่นจมูกนิดๆอย่างหมั่นไส้... แหม... ยิ่งคิดถึงเรื่องในอดีต แล้วยิ่งหมั่นไส้สามีตัวดีของตนเหลือเกิน LOL
“พ่อบอกว่าพ่อไม่อยากเห็นหน้ามี๊ ไล่มี๊ให้ไปให้พ้น มี๊น้อยใจมาก คิดจะหนีไปเรียนต่ออเมริกา จองตั๋ว ทำพาสปอร์ต ติดต่ออะไรเรียบร้อยแล้วนะ แล้วกะว่าจะไปอยู่ตลอดชีวิตเลย แต่ดันไม่ได้ไป เพราะป๊าของลูกมานั่งคุกเข่า กอดเข่าร้องไห้ต่อหน้าคนทั้งสนามบินน่ะ ฮ่าๆ” ชานยอลยิ้มจนตาปิด เมื่อฟังเรื่องของแม่และพ่อตนเอง ก่อนจะต้องหุบยิ้มลงอย่างอัติโนมัติ เมื่อได้ฟังคำถามของแม่ตัวเอง
“ชานยอลรักพี่คริสหรือเปล่า”
“เปล่านี่ฮะ... พี่น้อง...”
“หลอกตัวเองมันสนุกตรงไหนหืม ?” มือบางเขกหัวูกชายไปหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว ร่างโปร่งส่ายหัวไปมาแทนคำตอบแล้วเลื่อนมือไปลูบป้อยๆตรงจุดที่ถูกเขกเมื่อกี้
นั่นสิ... ?
ตัวเค้ารู้สึกยังไงกับพี่คริสกันแน่นะ...
เกลียดหรอ... ไม่เลย ในหัวสมองไม่มีคำว่าเกลียดอยู่ในนั้น แม้แต่คำว่าไม่ชอบก็ไม่มี
รู้แค่ว่าอยู่ใกล้แล้วเขินมาก... เวลาโดนกอดแล้วอบอุ่นมาก... เวลาโดน... จูบ มันละมุนไปถึงในหัวใจ เวลาเห็นหน้า มันมีความสุขทุกครั้ง... เวลาที่ได้ฟังมุขเลี่ยนๆ ถึงปากจะพูดว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็อยากได้ยินบ่อยๆ...
นั่นสิ... เค้ากำลังรู้สึกยังไง
ถึงแม้เรื่องวันนั้นคริสจะทำให้เค้าโกรธมากขนาดไหน... แต่มันก็ม่ถึงกับเกลียดหรอกนะ... เค้ายินยอมเองซะด้วยซ้ำ.... อ่า... นี่เค้ากำลังทำอะไรลงไปเนี่ย
ตอนที่พูดไล่ให้คริสออกไป ตอนที่พูดว่าเกลียดคริส... มันรู้สึกอยากจะกัดปากตัวเองซักหลายๆครั้งให้ขาดไปเลย... อยากจะเอาค้อนทุบหัวตัวเองให้แบะ จะได้ไม่ต้องมานั่งพูดนั่งคิดอะไรโง่ๆแบบนั้น...
นี่นายพูดทำร้ายจิตใจคนที่รักนายได้ยังไงกันนะ...
“หม่ามี๊รับ พี่คริสบอกหรือเปล่า ว่าไปอยู่กับเพื่อนคนไหน” ชานยอลสะดุ้งโหยงขึ้นมาแล้วเอ่ยถามมารดาอย่างลุกลี้ลุกลน โซราเมื่อเห็นท่าทางของลูกชายก็ตกใจ ตอบไปเสียงตะกุกตะกัก
“อ่ะ... เอ่อ .... อืม... บ้าน... ลู่... อะไรลู่ๆนี่แหละ มี๊ก็จำไม่ได้”
“ลู่หาน!” โพร่งออกมาอย่างตื่นเต้น ร่างโปร่งลุกขึ้นจนเต็มความสูง ก่อนจะวิ่งไปทั่วบ้าน หยิบกระเป๋าเงินใบเล็กยัดลงไปในกางเกงตัวโคร่ง โดยมีสายตาของโซรามองการกระทำที่รวดเร็วของลูกชายตัวเองอยากงงงัน
“จะไปไหน”
ร่างโปร่งรีบวิ่งไปที่ประตูทันทีที่หยิบของสำคัญเรียบร้อย โซราวิ่งตามไปอย่างงุนงง ใจนึงก็เป็นห่วง เพราะขาของชานยอลเองก็ยังไม่หายดี อีกใจนึงก็ยังอยากจะถามนะ ว่าเป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆถึงได้ลุกขึ้นมาวิ่งพล่านยังงี้ได้น่ะ ?
“จะไปหาพี่คริสฮะ” ตอบแม่ของตัวเอง ในมือก็พยายามบัดรองเท้าใส่เท้าตัวเองอย่างร้อนรน แต่ยัดเท่าไหร่ก็ยัดไม่ได้ซักที จนคนเป็นแม่ทนไม่ไหวต้องเข้าไปช่วย
“ทั้งๆที่ขายังเจ็บเนี่ยนะ ?”
“ก็ผมไม่อยากหลอกตัวเองแล้วนี่นา...”
“ผมจะไปหาพี่คริส... ผมจะได้รู้ตัวเองซักที... ว่าผมรักเค้าหรือเปล่า”
พอพูดจบ ใส่รองเท้าเรียบร้อย ก็รีบวิ่งออกไปทันทีทั้งๆที่ขายังเจ็บ โซราเอง... ใจจริงก็อยากจะห้ามลูกชายตัวเองนะ ขายังเจ็บอยู่ กลัวจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ แต่พอได้ฟังลูกชายคนเดียวพูดอย่างนั้นแล้ว ก็อยากจะปล่อยให้ไปยังไงแปลกๆ คำพูดที่กำลังจะห้ามมันถูกกลืนลงคอไปหมด
“เด็กสมัยนี้นี่น้า...”
“พวกปากไม่ตรงกับใจ สงสัยฉันคงต้องสอนลูกใหม่ซะแล้ว พ่อกับลูกเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ~”
-----------------------
จำเรื่องนี้กันได้หรือเปล่าคะ ; w ;
เอามาลงแบบมึนๆ เพราะรู้สึกปล่อยฟิคเรื่องนี้ไว้นานเกินไปเหลือเกิน
ตอนนี้มันมึนๆมั้ยอ่ะ แต่งไปรู้สึกมึนไป ประเด็นคือง่วงนอน 5555555555555555555
รู้สึกว่าฟิคใกล้จะจบแล้วด้วย <33333
ขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ติดตามฟิคกากๆมาจนถึงตอนนี้
แล้วเจอกันพาร์ทหน้านะคะ
ความคิดเห็น