ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Tsundere Boy รักนี้ต้องง้าง(ปาก) {BaekDo}{ChanKai}

    ลำดับตอนที่ #6 : [c h a p t e r . 06] - - - - 1 0 0 %

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


     


     









                  ในวันเดียวกันนั้น

     

    เวลาตีห้าห้าสิบ ชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีพีชอ่อนผูกไทด์กับกางเกงขากระบอกสีเข้ม เป็นชุดเตรียมไปทำงานเรียบร้อย หิ้วถุงวัตถุดิบขนจนมาถึงห้องเช่าเล็กๆถูกๆ จนถึงหน้าห้องในสุดจึงกดกริ่งเรียก

     

    “คร้าบ~ เสียงยานคางของเจ้าของห้องจากข้างในทำให้ชานยอลกระชับถุงมั่น เมื่อประตูเปิดแง้มออก ก็พบคนผิวแทนหน้าง่วงที่ตอนนี้ดูง่วงกว่าเวลาปกติสองเท่าโผล่ออกมาจากซอกประตู จงอินที่ดูยังไงก็เพิ่งตื่นใส่เสื้อสีแดงซีดพอดีตัวกับกางเกงบ๊อกเซอร์ยานจนย้วยสีน้ำเงินสด ผมเพ้ายุ่งไม่เป็นทรงชะงักเมื่อเห็น่วาเป็นใครที่มากดออดปลุกแต่เช้า

     

    “อรุณสะ..

    ปัง!!

     

    ชานยอลนิ่งค้างเมื่อจู่ๆก็ถูกปิดประตู่ใส่หน้า พลันได้ยินเสียงโครมครามแปลกๆผ่านประตูออกมา สมองประมวลผลยังไม่ทันเสร็จประตูก็เปิดออกพร้อมกับจงอินคนเดิมที่รอบนี้เปลี่ยนเป็นใส่เสื้อเชิ้ตขาวกางเกงทรงกระบอกสีดำของนักศึกษาฝึกงานพร้อมกับจัดทรงผมอย่างเรียบร้อย

     

    ชานยอลยิ้มให้จงอินที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นก่อนจะขยับตัวออกให้ชานยอลแทรกตัวเข้าไปในห้อง

     

    “อ้าว ฮยองมาทำไรอ่ะ” เซฮุนเดินเกาพุงออกมาจากห้องครัวในสภาพไม่ต่างจากจงอินเมื่อครู่เท่าไหร่ ตาคมเหล่มองเพื่อนสนิทที่ไปเปิดประตูแล้ววิ่งปึงปังเข้ามาแต่งตัวเมื่อกี้ด้วยความขำ

     

    “มาทำข้าวกล่องไง” ชานยอลพูดพร้อมชูถุงของสดขึ้นมาระดับเอว

     

    “อ้าว มาจริงเหรอ พวกผมสองคนนึงว่าฮยองแค่พูดให้แบคฮยอนฮยองซะอีก ดีเลย ลาภปากละทีนี้” เซฮุนเอามือถูกันเลียปากแผลบๆ เพราะหลังจากลองชิมข้าวกล่องของชานยอลอยู่หลายครั้งก็พบว่ามันอร่อยใช้ได้เลย

     

    “เราสองคนไปอาบน้ำแต่งตัวไป แล้วค่อยมาช่วยฮยองในครัว” ชานยอลลงมือล้างผักทำข้าวยำ เพราะเห็นว่าสารอาหารมันครบถ้วนดี ใครๆก็กินได้

     

    “ไอ้จงอินมันไม่ชอบผักนะฮยอง ใส่น้อยๆหน่อยล่ะ ถ้าจะให้ดีทำไก่ผัดซอสใส่ลงไปด้วย” เซฮุนตะโกนออกมาจากหน้าห้องน้ำ (อาบน้ำพร้อมกันเพื่อความรวดเร็วและประหยัดน้ำ) ชานยอลเริ่มหุงข้าว หม้อนี่ก็จะโบราณไปไหน เล็กก็เล็ก แล้วเริ่มลวกผัก ผัดไก่ บลาๆ จนเสร็จ เหลือแต่จัดใส่กล่องเท่านั้น

     

    “โคตรไวเลยฮยอง” เซฮุนเดินเข้าห้องครัวมาตาโต

     

    “มาช่วยฮยองจัดใส่กล่องมา”

     

    “ใส่ๆลงไปเลย ผมสองคนเขย่ากันอยู่แล้ว” ชานยอลถอนหายใจแล้วส่ายหัวให้มุมเด็กน้อยของทั้งสองคน ก่อนจะเริ่มจัดกล่องข้าวทั้งสามกล่องเสร็จในเวลารวดเร็ว

     

    “ทำไมฮยองทำกับข้าวเก่งจัง” เซฮุนที่ยืนมองชานยอลจัดข้าวกล่องถามอึ่งๆอย่างไม่เชื่อสายตา

     

    “บ้านฮยองเป็นร้านอาหาร เชฟก็มีฮยองกับแม่ฮยองเนี่ยแหละ แต่ปิดไปนานแล้วล่ะ โดนไล่ที่”

     

    “โห แล้วฮยองไม่คิดจะเปิดร้านใหม่เหรอ” ชานยอลยักไหล่

     

    “ไม่มีเงินพอขนาดนั้นหรอก แม่ฮยองก็อายุมากแล้ว เลยกลับไปอยู่กับญาติๆที่ต่างจังหวัด ส่วนฮยองก็มาเป็นพนักงานเงินเดือน มีเงินพออยู่ได้ก็พอแล้ว”

     

    “ดีเลย ไอ้จงอินทำกับข้าวอะไรไม่เป็นซ๊ากกกอย่าง ทอดไข่ยังไม่เป็นแผ่นอ่ะคิดดู” เซฮุนถูกเพื่อนที่ยืนเงยบอยู่ข้างๆมานานสองนานทุบหลังอั๊กๆไปตามระเบียบ จนชานยอลได้เดินไปลูบหัวเบาๆถึงสงบลงได้

    “ถ้าจงอินยอมเดี๋ยวฮยองทำกับข้าวให้กินสามมื้อทุกวันเลย”

     

     

    “ขอแต่งงานเนียนๆเลยนี่หว่า” เซฮุนยกมือขึ้นไฮไฟว์กับรุ่นพี่ตัวสูง จึงเป็นผลให้ตัวเองกลายเป็นที่รองรับอารมณ์ของจนอินอีกรอบ  ชานยอลหัวเราะลั่นห้องดูเด็กสองคนที่วิ่งไล่เตะกันสนุกสนาน

     

     

     

     

     

     

    “แล้วนายก็โดนมีดบาดเนี่ยนะ โอ๊ย เพื่อนใครโง๊โง่” จงแดกระโดดเหยงหลบหน้าแข้งเพื่อน แต่ดันเป็นจังหวะเดียวกับที่คยองซูเปิดประตูออกมาจากห้องพอดี พวกเขาซึ่งมายืนรอคนไหล่แคบนิสัยเจ้าระเบียบเรี่ยราดเช็คความเรียบร้อยในห้องเป็นครั้งสุดท้าย เป็นผลให้แบคฮยอนฟาดแข้งใส่ขอบประตูเต็มๆจนล้มตึงไปทั้งอย่างนั้น

     

    “แบคฮยอน! O_O

     

    “เฮ้ย!” ทั้งสองคนวิ่งเข้าไปดูคนที่นอนกลิ้งกุมขาอยู่กับพื้น นี่เจ็บมาก เจ็บน้ำตาเล็ด เจ็บจนร้องไม่ออก

     

    “ขอโทษๆๆๆๆ”

     

    “ทำบ้าอะไรของนายวะ!! แบคฮยอนตะคอกใส่คยองซูจนอีกคนหน้าจ๋อยค่อยขยับตัวออกห่างปล่อยให้จงแดพยุงขึ้นมาแทน

     

    “กดลิฟท์ให้หน่อยสิคยองซู” เจ้าของชื่อพยักหน้าก่อนจะวิ่งไปกดลิฟท์ จงแดหันกลับมาดูเพื่อนสนิทที่หน้าบิดเบี้ยวเพราะความแถมยังไม่สามารถกลับมายืนตรงๆได้ เมื่อกี้คงโดนไปแรงเลยทีเดียวเลยจริงๆ เพราะปกติแบคฮยอนเป็นพวกไม่ชอบทำตัวอ่อนแอให้ใครเห็นอยู่แล้ว

     

    “นายโอเคป้ะเนี่ย”

     

    “เออ ไม่เป็นไร”

     

    “คยองซูไม่ผิดนะเว้ย มันเป็นอุบัติเหตุ”

     

    “รู้ กูรู้จงแด แต่ขอแป๊บนึง” แป๊บนึงในที่นี้คือขอเวลาอารมณ์ไม่ดีแป๊บนึง คนเราพอเจ็บตัวก็มักจะหงุดหงิดอยู่แล้ว ยิ่งคนอารมณ์ร้อนเป็นไฟอย่างนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ถึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ก็ยากจะควบคุมอารมณ์ให้ปกติอยู่ดี

     

    จงแดพาแบคฮยอนที่ดูทุเลาลงแล้วไปยังลิฟท์ซึ่งคยองซูเปิดรอไว้ ทั้งสามลงลิฟท์ภายใต้ความเงียบสนิท แบคฮยอนเวลาอารมณ์ไม่ดีจะเผลอทำตาขวางและไม่พูดไม่จา ซึ่งจงแดรู้ดี เมื่อเพื่อนบอกว่าแป๊บนึงคือต้องรอ รอให้อีกคนอารมณ์เย็นลงก่อนค่อยชวนคุยปปกติ แต่คนที่เงียบไปเพราะรู้สึกผิดคือคยองซู

     

    จนลงมาถึงชั้นหนึ่ง พวกเขาทั้งสามขึ้นรถเมล์ที่ป้ายๆหน้าคอนโดฯ ช่วงเวลาเร่งด่วนคนเยอะเป็นธรรมดา ทั้งสามคนไม่สามารถเดินเกาะกลุ่มกันได้ จึงอยู่โหนราวติดกันแบบเรียงหน้ากระดาน

     

    “ไอ้แบคมันก็ขี้วีนขี้เหวี่ยงไปงั้นแหละไม่มีอะไรหรอก” จงแดกระซิบบอกคยองซูที่อยู่ด้านขวา คนตาโตจึงเหลือบมองผ่านหัวจงแดไป ก็เห็นแบคฮยอนยืนโหนดูวิวนอกหน้าต่าง ถึงจะไม่ได้ชักสีหน้าหรือทำตาขวางแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยิ้มหรือดูร่าเริงเหมือนปกติ คยองซูหันกลับมาส่ายหน้าดุ๊กดิ๊กกับจงแดประมาณว่าสู้ไม่ไหวหรอกก่อนจะหันหลังไปอีกทาง

     

    คนตรงกลางผละตัวออกจากคยองซูหันไปหาเพื่อนที่อยู่อีกด้าน จงแดซึ่งเห็นว่าอีกคนดูอารมณ์ปกติแล้วจึงเหยียบเท้าไปทีนึง พออีกคนหันมาทำท่าจะแยกเขี้ยวใส่ก็เจอกับสายตาจริงจังแทน จงแดพยักเพยิดหน้าไปด้านหลังซึ่งคยองซูยืนหันไปทางอื่นอยู่

     

    จงแดจัดการสลับที่ให้แบคอยอนมาอยู่ตรงกลางแทน คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยแขนเอื้อมไปเกี่ยวเอวคยองซูให้ขยับเข้ามาใกล้ๆ คนไหล่แคบสะดุ้งหันตามแรงดึงด้วยสีหน้างงๆ แบคฮยอนไม่พูดอะไรจับมือขึ้นมากุมห่วงที่ห้อยลงมาไว้ให้คนจับทรงตัวแทนที่ที่มือของตัวเอง เพราะตรงคยองซูมันไม่มีห่วงห้อย ข้างหลังก็มีเด็กนักเรียนมัถยมปลายคนหนึ่งจองไว้แล้ว

     

    “หะ..หายโกรธแล้วเหรอ”

     

    “ไม่ได้โกรธซะหน่อย” แค่หงุดหงิดเอง

     

    “แล้วนี่นายจะจับอะไรอ่ะ” คยองซูมองแบคฮยอนซึ่งยืนเฉยแล้วใช้เท้าสองข้างทรงตัวแทน เพราะจะให้จับราวด้านบนที่ใช้ห้อยห่วงก็ไม่อยาก ไม่ใช่ว่าไม่ถึงนะ ถึงแต่แบบมันต้องยืดแขนเกือบสุดแขนเลยซึ่งไม่เท่อย่างรุ่นแรง ขอยืนเก๊กเฉยๆแบบนี้ละกัน

     

    และแน่นอน เมื่อรถเมล์เบรกกะทันหันไอ้คนที่ยืนเฉยๆไม่จับอะไรหันหลังให้ฝั่งคนขับก็ถึงกับหงายหลังลงไปกองกับพื้น เพราะไม่เจ็บมากจึงรีบลุกขึ้นมายืนให้ปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คราวนี้ไม่เจ็บ..แต่อาย

     

    วันนี้แม่งวันเจ็บตัวแห่งชาติรึไงวะ

     

    คยองซูที่เห็นอีกคนเริ่มตาขวางขึ้นมาอีกรอบก็คว้ามือแบคฮยอนขึ้นมาจับห่วงของตัวเองแทนส่วนตัวคยองซูเองเบียดเข้าไปเกาะแขนแบคฮยอนแทน

     

    “ทำแบบนี้ดีกว่า”

     

    แบคฮยอนพูดไม่ออก รู้แค่ว่าตัวเองกำลังจิกห่วงที่จับไว้อย่างแรงจนจะน่าจะเป็นรอยอยู่แล้ว พลางพยายามบังคับปากตัวเองไม่ให้ยิ้มออกมา

     

    “ทำไมนายตัวสั่นอ่ะ ไม่สบายเหรอ” O_O

     

    ก็ดี เพื่อนมีความสุขก็ดีใจด้วย แต่เหมือนพวกนายจะลืมไปแล้วยังไงก็ไม่รู้ว่าฉันมาด้วย นี่ยังอยู่นะเนี่ย ยังไม่ตาย หายตัวไม่ได้ด้วย พวกนายยังจำฉันได้อยู่ไหม?  จงแดกระพริบตาปริบๆมองทั้งคู่















     

    12:04PM

     

    ทั้งหกคนกลับมานั่งล้อมวงกันที่เก่าเวลาเดิม และกำลังพากันเขย่าข้าวกล่องอย่างเมามันส์

     

    “เซฮุนอา เอาใส่เครื่องปั่นไหม? จะได้เละถูกใจนาย” แบคฮยอนแซวรุ่นน้องตัวสูงที่ยังเขย่ากล่องข้าวเป็นบ้าเป็นหลังทั้งที่ทุกคนเริ่มเปิดกินไปแล้ว เห็นเหตุให้อีกฝ่ายฉุนเล็กน้อย พุ่งเข้ามาตักข้าวคำใหญ่ใส่ปากตัวเองเคี้ยวตุ้ยๆก่อนจะรีบกลับมานั่งที่เดิม

     

    “เฮ้ย! ไอ้เด็กเวร”

     

    “แบคฮยอนอา เซฮุนอา อย่าออกกำลังกายก่อนกินข้าวสิ” เสียงแหลมแปลกๆของจงแดปรามเพื่อนที่กำลังวิ่งไล่เตะก้นเซฮุนอยู่

     

    “อร่อยไหมจงอิน” เด็กหนุ่มผิวแทนพยักหน้ารับแทนคำตอบให้ชานยอลด้วนสายตาวิบวับ พลางตั้งหน้าตั้งตากินต่อไป ตั้งใจจนข้างๆชานยอลกลัวข้าวจะลงไปจุกหลอดลมอีกคนตาย

     

    คือปกติเขากินติดแก้มกันเม็ดสองเม็ดหรือปากเปื้อนซอสนิดหน่อย เอาให้เมะมาเลียปากเลียแก้มให้ใจเต้นเล่น แต่ลักษณะถ้าเป็นคนนี้คงต้องแดกหัวเข้าไปทั้งหัว

     

    “จงอินนา ค่อยๆกินนะ..โอเค๊” ชานยอลลูบหลังเด็กที่มูมมามมากเกินไปจนสำลักไอโขลกๆ      

     

    พรุ่งนี้ทำให้สองกล่องดีกว่า

     

     

     

     

     

     

     

    “จะลงไปซื้อกาแฟ ใครจะเอาอะไรรึเปล่า” คยองซูเอ่ยถามพลางลุกขึ้นยืน กลางวงที่กำลังคุยกันออกรสชาติ และก็ได้กลับมาเป็นการแรปจากทั้งวงเป็นภาษาอังกฤษอะไรซักอย่างยาวๆฟังไม่รู้เรื่องเลย จนแบคฮยอนที่เห็นคยองซูยืนทำหน้ามึนตึ๊บมาซักพักต้องลุกขึ้นยืน

     

    “มาๆ ทีละคน ช้าๆล่ะ” เจ้าของเสียงเข้มคว้าประดาษโน้ตแผ่นเล็กๆกับปากกาขึ้นมาจดเมนูเครื่องดื่มยาวเป็นหางว่าว จนเสร็จจึงออกมาจากห้องฝ่ายขายพร้อมกับคยองซู

     

    “บ้ารึเปล่า ลงไปซื้อกาแฟร้านนั้นโดยไม่จดน่ะ ขนาดแค่ของตัวเองบางคนยังจำไม่ค่อยได้เลยว่าจะสั่งยังไงบ้าง” เพราะเป็นร้านกาแฟที่สามารถให้ลูค้าเลือกชนิด ขนาดแก้ว ท็อปปิ้งและต่างๆนาๆด้วยตัวเองได้ตามที่ชอบ การสั่งเมนูยาวเป็นหางว่าวจนบาริสต้าแทบงอกมือที่สามที่สี่ออกมาช่วยจดจึงเป็นเรื่องธรรมดา

     

    “ก็ไม่ค่อยกินกาแฟเลยไม่ได้ไปซื้อบ่อยๆนี่นา แต่วันนี้อยากกินขึ้นมาเฉยๆ” ปกติเวลาซื้อกินก็จะมาซื้อกินกับมินซอกฮยองแล้วให้มินซอกฮยองสั่งให้ เพราะรายนั้นคอกาแฟของแท้ ถึงกับกำหนดคนทำประมาณว่าต้องคนนี้บดเมล็ดกาแฟนะ คนนี้เทฟองนะ ถ้าไม่ใช่รองประธานอีกนิดคงปีนเคาน์เตอร์เข้าไปทำเอง

     

    แต่เห็นงี้ก็มีใบอนุญาตบาริสต้าถูกต้องตามกฎหมายแล้วนา แค่กำลังหาโอกาสอยู่ เพราะมินซอกกะให้คยองซูมั่นคงก่อนค่อยลงมาหาทำเลเปิดร้าน เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่คิดจะออกก็ออก คิดจะทำก็ทำ ตอนนี้คือค่อยๆเป็นค่อยๆไป

     

    และก็นั่นแหละ ตามประสาคนอายุยืน คยองซู แบคฮยอนและมินซอกกำลังยืนจ้องตากันปริบๆอยู่หน้าร้านกาแฟ

     

    คนแก้มป่องดูดกาแฟขากหลอดสีเขียวแกดังซู้ดจนคนทั้งสองได้สติแล้วรีบโค้งทำความเคารพ ก่อนจะเดินหลบคนศักดิ์สูงกว่าเดินออกจากร้าน

     

    “คุณที่ชื่อแบคฮยอนใช่ไหม?” มินซอกที่ทำท่าเหมือนจะเดินจากไปจู่ๆก็หมุนตัวกลับมาชี้หน้าคนตาเรียวเล็ก ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบกลับมา มินซอกไล่มองแบคฮยอนหัวจรดเท้าอย่างพิจารณา

     

    “นั่งกินกาแฟด้วยกันสักแก้วสิ”

     

     

     

     

     

     

    ในโต๊ะตัวเล็กๆของร้านกาแฟราคาแพง

     

    แบคฮยอนยกกาแฟขึ้นมาจิบด้วยสายตาลอกแลก เพราะจู่ๆรองประธานก็มาเลี้ยงกาแฟซะงั้น ทั้งกาแฟที่เขากำลังนั่งจิบอยู่นี่ และกาแฟของพวกที่ฝากซื้อ แก้วนึงก็ไม่ใช่ถูกๆ จึงรู่สึกเกรงใจจนตัวลีบ

     

    “ท่านรอง..ทานกาแฟเยอะแบบนี้จะนอนไม่หลับเอาครับ” คยองซูเอ่ยกับมินซอกที่สั่งกาแฟร้อนมาทานอีกแก้วทั้งที่กาแฟเย็นของตัวเองในตอนแรกนั้นก็ยังกินไม่หมด

     

    “ก็ถ้าพูดถึงนั่งกินชิวๆในร้านมันก็ต้องกาแฟร้อนนี่นา นี่ดีแคฟไม่เป็นไรหรอก” (Decaf – กาแฟคาเฟอีนต่ำ มีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่า 3%)

     

    “เป็นไงบ้าง ชอบไหมลาเต้น่ะ” มินซอกถามแบคฮยอนที่อยู่ตรงข้ามบ้าง

     

    “ครับ” อันที่จริงคือเขาเป็นคนไม่ค่อยสนใจรสชาติกาแฟเท่าไหร่ ปกติกินกันง่วงอย่างเดียว

     

    “พ่อแม่ทำงานอะไรน่ะ”

     

    “ครับ?”

     

    “ผมไม่ชอบพูดซ้ำนะ” มินซอกเอียงคอใส่แบคฮยอนด้วยท่าทางที่คนตาเรียวรู้สึกว่ามันดูคุ้นๆอย่างปะหลาด

     

    “คุณพ่อเป็นอาจารย์สอนดนตรีในโรงเรียนมัถยมที่ยางกูครับ ส่วนแม่ก็เป็นครูคณิตศาสตร์อยู่ที่เดียวกัน”

     

    “ไม่คิดจะเป็นครูเหมือนพ่อกับแม่เหรอ”

     

    “ไม่ครับ ผมไม่ชอบเท่าไหร่..

     

    “แสดงว่าจบครุศาสตร์แล้วลองไปฝึกสอนมาแล้ว?”

     

    “ครับ”

     

    “สาขาอะไร?”

     

    เศรษฐศาสตร์ครับ”

     

    คยองซูเริ่มมองพี่ชายตาปริบๆหลังจากนั่งดูอยู่สักพัก เพราะมินซอกเหมือนจะเอาแต่ซักไซ้แบคฮยอนแปลกๆอย่างกับสัมภาษณ์งาน จะถามอะไรตอนนี้ก็ยังไม่ได้เพราะตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน จึงได้แต่มองคนเป็นพี่กับแบคอยอนที่ทำหน้างงสุดชีวิตสลับกัน

     

    “อ้อ ผลงานนั่นของคุณเองเหรอ ไม่เลวนี่ ปีนี้เอาสักสามขั้นเป็นไง” จนมาถึงคำถามสุดท้าย แบคฮยอนก็ต้องส่ายหน้าปฎิเสธตามมารยาทถึงแม้จะยิ้มแป้นเพราะถูกชม

     

    “อืมๆ” คราวนี้เป็นคยองซูแทนที่ถูกจ้อง คนเป็นน้องแต่เอียงคอกลับอย่างสงสัย แต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้พูดอะไร

     

    “โอเค หมดธุระแล้ว ป่ะ เดี๋ยวกาแฟของเพื่อนพวกคุณมันจะจืดซะก่อน” มินซอกลุกขึ้นยืนเป็นคนแรกตามศักดิ์อาวุโสตามด้วยแบคฮยอนกับคยองซูที่ลุกพร้อมกัน ทั้งสามคนพากันเดินไปหน้าร้าน

     

    “คุณคยองซู กาแฟของเพื่อนพวกคุณผมฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ไปหยิบมาไป” เจ้าของชื่อพยักหน้ารับและเดินย้อนกลับไปยังเคาน์เตอร์ หลังจากไล่คยองซูไปได้แล้ว มินซอกก็บอกลาแล้วเดินออกจากร้านไป

     

    “จะคอยดูแล้วกัน พยอนแบคฮยอน” มินซอกยกกาแฟแก้วที่ 6 ของวันขึ้นมาดูด

     

     

     

     

     

     

    “นายไปทำอะไรให้รองประธานไม่พอใจรึเปล่าเนี่ย?” คยองซูเงยหน้าถามแบคฮยอนที่ตัวเองกำลังคล้องแขนอยู่ ขณะกำลังขึ้นลิฟท์ แบคฮยอนส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงไม่รู้ นึกสงสัยว่าทำไมช่วงนี้คยองซูชอบเข้ามาเดินเบียด เกาะนู่นเกี่ยวนี่บ่อยกว่าแต่ก่อนที่จะต้องแตะตัวกันทีชอบทำหน้าเหมือนเขาเป็นกิ้งดืออะไรเถือกนั้น

     

    เพราะช่วงนี้สนิทกันขึ้นมั้ง

     

    สนิทกันขึ้น

     

    สนิท..

     

    สนิท

     

    อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กนี่ก็เคยคล้องแขนพวกชานยอลมาแล้ว เท่านั้นแหละพยอนแบคฮยอนของขึ้นตาขวางขวับทันที โดยที่อีกคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะเอาแต่จ้องจอมอนิเตอร์บอกชั้น

     

    จนกระทั่งมาถึงห้องฝ่ายขาย แบคฮยอนก็ดันตัวคยองซูออก แล้วกระแทกตัวเองลงกับเก้าอี้ อีกคนถึงจะงงๆกับท่าทางแปลกๆของแบคฮยอนแต่ก็เดินไปแจกแก้วกาแฟให้เพื่อนรอบวงก่อนจึงกลับเข้าไปนั่งที่เดิม

     

    ไอ้แบคเป็นห่าอะไรของมันวะ  จงแดส่งกระแสจิตทางสายตาให้ชานยอลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม ซึ่งอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเหลอหลากลับมา

     

    มันมองกูทำไมอ่ะ คราวนี้ชานยอลถามกลับบ้าง แต่จงแดก็ไม่สามารถให้คำตอบได้เช่นกัน หลังจากจ้องกันอยู่นานสองนานในที่สุดชานยอลจึงตัดสินใจถาม

     

    “ไอ้แบค มึ เสียงทุ้มชะงักกึกเมื่อแบคฮยอนที่ตอนแรกเสไปมองทางอื่นแล้วจิกตาตวัดกลับมาจ้องหน้าเขาประมาณว่า มีเหี้ยอะไร?

     

    มึงเหวี่ยงซะกูถอยเลย..

     

    คยองซูซึ่งมองพฤติกรรมของแบคฮยอนอยู่ตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินออกจากห้องฝ่ายขายไปที่ไหนก็ไม่รู้

    พลันทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสนิททันที

     

    “แบค นายเป็นไรอ่ะ” หน่อยกล้าตายคิมจงแดสะกิดที่แขนเพื่อน จึงเป็นเหตุให้ถูกจิกตาใส่ไม่ต่างกับชานยอลจนหดมือกลับแทบไม่ทัน

     

    “ไม่มีอะไร กูก็งี่เง่าของกูไปงั้น”

     

                    จะบอกว่านึกภาพคยองซูเกี่ยวแขนชานยอล จงอิน หรือเซฮุนแล้วอารมณ์เสียก็คงไม่ดี งี่เง่าจริงๆแหละ

     

                    ไม่นานคยองซูก็กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลใบเล็ดกว่าที่ห้องแบคฮยอนมาก เพราะคงเป็นสำหรับพกติดตัว คยองซูกลับมานั่งแล้วหยิบมือของแบคฮยอนมาวางบนตักก่อนจะเริ่มเปลี่ยนปาสเตอร์บนนิ้วทันที

     

                    “อะไรของนาย” แบคฮยอนหน้าเหวอให้การกระทำของคยองซู

     

                    “ก็นายดูอารมณ์ไม่ดี ก็เลยนึกว่าเจ็บแผล ไม่ใช่เหรอ?” คยองซูเงยหน้ากลับมาเอียงคอมองอีกคนพลางเปิดขวดเบตาดีน ก่อนจะก้มลงไปใหม่เพื่อเหยาะใส่แผล

     

                    แสบถึงทรวงครับ แสบ คยองซูมึงจะทำแผลได้โหดสัดเกินไปแล้วครับ ปกติเค้าเทใส่สำลีแล้วเอามาซับแผลกันไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่คยองซูนี่กูเตะก้านคอแล้วจริงๆนะครับ

     

    คนอื่นเมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวของแบคฮยอนดูดีขึ้นจึงเริ่มส่งสารผ่านสายตาก่อนจะค่อยๆลุกออกไปจากห้อง ปล่อยให้ทั้งคู่อยู่ตามลำพัง

     

    ซะทีไหน สถานการณ์นี้งานเสือกต้องมา ทั้งสามคนโคฟเวอร์เป็นตุ๊กแกเกาะประตูฝ่ายขายมองลอดกรอบกระจกใสขนาดกลางๆบนประตู เว้นจงอินที่ได้แต่ยืนกอดอกอยู่ห่างๆเพราะเข้าใจหัวอกคนถูกแอบดูดี แถมเขากับแบคฮยอนยังเคยร่วมทุกข์ร่วมมุม(ห้อง)กันมาแล้วเข้าใจกันดี แต่เสียเปรียบอยู่สามต่อหนึ่งจะให้ไปห้ามก็คงไม่ไหว

     

    คยองซูพันพลาสเตอร์ลายโพโรโระแผ่นใหม่ลงไปบนนิ้วของแบคฮยอน ซึ่งฝ่ายผู้บาดเจ็บก็ขมวดคิ้วมองพลาสเตอร์แผ่นนั้นอย่างไม่เข้าใจ

     

    “ถึงได้ขำไง ก็ดันมีลายเดียวกันเลย” คยองซูตอบแทนแบคฮยอนที่คิ้วพันกันยุ่ง นั่นทำให้แบคฮยอนแทบกลับไปเต้นบูชารอบกล่องปฐมพยาบาลที่บ้านซักหน่อย

     

    จนกระทั่งเสร็จเรียบร้อย คยองซูก็ยิ้มแป้นจนปากเป็นรูปหัวใจ ก่อนจะลงมือเก็บอุปกรณ์ปฐมพยาบาลลงกล่องให้เสร็จ

     

    “นายนี่ชอบเป็นห่วงคนอื่นโดยไม่จำเป็นอยู่เรื่อย”

     

    “เหอะ ก็ไม่รู้สินะ บังเอิญเป็นคนดี” คยองซูยักไหล่ เตรียมฟาดปากกันเต็มที่

     

    “เกลียดว่ะ” คยองซูหันไปถลึงตาใส่แบคฮยอนที่เอาแต่จ้องพลาสเตอร์ในมือตัวเอง คนอุตสาห์ช่วย แต่ก่อนจะได้อ้าปากพูดอะไรต่อก็กลับโดนขัดซะก่อน

     

    “เป็นห่วงฉันแค่คนเดี๋ยวไม่ได้รึไง”

     

    เชร้ดดดดดดดดดดดดดดดด ทั้งสามคนหน้าประตูกรีดร้องขั้นมาในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย เซฮุนถึงกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกวิดีโอไว้

     

    ขณะที่คยองซูอึ้งจนค้างเงียบไป แบคฮยอนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาก็แทบจะร้องไห้

     

     

    มือเรียวยกขึ้นมาตบหน้าตัวเองเพี๊ยะจนคนตาโตสะดุ้ง ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนเกาท้ายทอยตัวเองแก้เก้อโดยไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองหน้าคยองซู

     

    “ช่างมันเถอะ นายกลับไปทำงานได้แล้วไป”

     

    หลังจากนิ่งไปซักพักคยองซูก็ลุกแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเปิดประตูฝ่ายขายไปก็พบคนสามคนที่วิ่งหันหน้ามุดกำแพงราวกับเป็นเอ็กซ์เมนเดินทะลุกำแพงได้ กับจงอินซึ่งไม่รู้สถานการณ์เท่าไหร่ยืนกอดอกอยู่ คนไหล่แคบไม่สนใจ เดินข้ามไปฝ่ายบัญชีเลย แล้วพุ่งไปยังโต๊ะทำงานก่อนจะทรุดตัวลงกับเก้าอี้

     

    จะไหวไหมน่ะ จงอินที่มองตามคยองซูยืนกระพริบตาปริบๆใส่ประตูฝ่ายบัญชี

     

    “กลับไปทำงานกันเหอะเรา” ชานยอลเดินเข้ามาประกบหลังแล้วลูบผมจงอิน ก่อนจะบรรจงจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มเบาๆจนอีกคนสะดุ้งผละออก

     

    เราควรอยู่ที่ไหนกันดีฮยอง เซฮุนส่งกระแสจิตไปให้จงแดที่อยู่ข้างๆ

     

    กระโดดตึกกัน นายพาคยองซูกระโดด เดี๋ยวฉันกระโดดกับไอ้แบคเอง แล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทางด้วยความเลี่ยนไอ้คู่ชานไคนี่เหลือเกิน

     

     

     

     

     

     

     

    วันเดียวกันเวลาห้าทุ่มสิบนาที

     

    “อ๊ากกกกกกกกกก!!!!!!!!!! คยองซูกรีดร้องลั่นเมื่อปิดไฟห้องทำงานจนมืดสนิทไปทั้งชั้นแล้ว พอเปิดประตูออกมาก็รู้สึกเหมือนเดินชนอะไรซักอย่าง จึงยันโครมไปด้วยความตกใจ

     

    “เฮ้ย! เฮ้ย! เฮ้ย! ฉันเอง! นี่ฉันโว้ย!” เจ้าของเสียงเข้มที่ล้มกลิ้งไปบนพื้นตะโกนประท้วงขึ้นมาเมื่อเห็นเงาลางๆว่าคนกลัวความมืดง้างท้าวขึ้นมาเตรียมจะกระทืบซ้ำอีกรอบ ซึ่งเท้ามันยกอยู่ก็หยุดไม่ทันแล้วเนอะ

     

    ปึ๊ก!

     

    ในลิฟท์ภายใต้แสงสีเหลืองสว่างจากด้านบน คนสองคนยืนห่างกันชนิดติดผนังลิฟท์คนละฝั่งโดยไม่สบตากันเลย ถ้าสังเกตดีๆคนหนึ่งจะมีรอยลองเท้าพาดหน้าด้านขวาอยู่ด้วย

     

    พยอนแบคฮยอนขยับกรามตัวเองให้เข้าที่ พลางยัดมวนทิชชู่ใส่จมูกกันเลือดกำเดาไหลและเช็ดคราบเลือดรอบๆปาก  

     

    “ขอโทษนะ..

     

    “เออ ไม่เป็นไร”  เจอมาทั้งวันแล้ววันนี้ อีกนิดอีกหน่อยจะเป็นไรไป *ปาดน้ำตา* คือโดนเอาตีนยันหน้าจนเลือดกำเดาไหลนี่เจ็บจนร้องไห้นะเอาตรงๆ

     

    “ขอโทษนะ เจ็บมากรึเปล่า” คนไหล่แคบขอโทษซ้ำแต่ก็ยังไม่ยอมขยับเข้าไปใกล้อยู่ดี จนอีกคนน้ำตาไหลออกมาอีกหยด

     

    พอลงมาถึงชั้นหนึ่งคยองซูก็รีบลากอีกคนไปยังร้านมินิมาร์ตร้านประจำเพื่อซ้อน้ำแข็งจำนวนหนึ่งมาประกบจมูก พนักงานผู้หญิงคนเดิมมองคยองซูสลับกับแบคฮยอนที่มีรอยรองเท้าบนหน้ากับทิชชู่เปื้อนเลือดยัดจมูกอยู่สลับกันพลางหยิบถุงน้ำแข็งแพ็คมาคิดเงินด้วยสีหน้าปั้นยาก

     

    น้องอย่าพูด อย่าพูดอะไรออกมานะ ขอร้อง

     

     

     

     

    “วันนี้มาทำอะไรดึกๆเนี่ย” คยองซูหันไปถามคนที่เดินโปะน้ำแข็งใส่จมูกอยู่ข้างๆ

     

    “ทำโอทีไง”

     

    “ทำไมไม่บอกล่ะ ไปหาที่ห้องก็ไม่อยู่” แบคฮยอนสะดุ้งในใจเล็กน้อย เพราะก็ไม่อยู่จริงๆนั่นแหละ ความจริงคือตอนแรกกะจะไม่รอเพราะสู้หน้าไม่ถูก แต่คิดไปคิดมาก็เป็นห่วงกลัวไม่อยากให้กลับคนเดียว จะฝากคนอื่นก็ไม่เอาหวง สุดท้ายก็ได้กลับมานั่งรอหน้าห้องการบัญชีตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง

     

    “ตอนนายมาฉันไปซื้อของกินข้างล่างมั้ง” คยองซูหันกลับไปมองทางพลางพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ

     

    “ว่าแต่มาหาฉันที่ห้องเหรอ? ทำไม?” คราวนี้เป็นคยองซูที่สะดุ้งเฮือกบ้าง ลองนึกย้อนความคิดของตัวเองที่ตัดสินใจโผล่หน้าไปฝ่ายขายตอนนั้นคือคืออะไรอ่ะ..

     

    คยองซูสะบัดหัวแรงๆหนึ่งทีก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

     

    “ก็เผื่อจะมีใครอยู่บ้างไง ก็รู้นี่ว่าฉันกลัวความมืด”

     

    ..ถ้าอยู่คนเดี๋ยวไม่ได้ก็บอกดิวะ” คยองซูเบิกตากว้างหันไปมองคนข้างๆ แต่เมื่อพบว่าแบคฮยอนกำลังหันหน้าไปอีกทางจนไม่เห็นหน้า ราวกับกำลังคุยกับกำแพงบ้านใครก็ไม่รู้ข้างทาง ซึ่งคยองซูเห็นดังนั้นก็นึกขำจนหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    “หัวเราะอะไรของนาย” แบคฮยอนหันมาเหวี่ยงใส่ แต่คราวนี้สำหรับอีกคนมันไม่ได้ดูน่ากลัวเลยสักนิด

     

    “ตลกละ ดูบทพูดเข้าอย่างกับจะจีบ”

     

    กะ..ก็กูจีบมึงอยู่ไง

     

    “คำพูดคำจาน่ะระวังซะบ้าง เดี๋ยวฉันเกิดคิดเกินเพื่อนขึ้นมาแล้วเดี๋ยวจะหนาว” ว่าจบก็หัวเราะออกมาอีกรอบ แล้วเดินย้ำต๊อกนำหน้าไปเพราะพูดเองก็รู้สึกเขินเองแปลกๆ แต่ไปได้ไม่ไกลก็ถูกฉุนข้อมือไว้จนตัวพลิกกลับไปก็พบกับแบคฮยอนที่ทำหน้าจริงจังปนหวาดหวั่น

     

    “ฉะฉันจะอยู่ข้างๆนายตลอดเวลาที่นายต้องการ..ก็ได้..

     

     

     

     

     

     

     

    “กลับมาแล้วเหรอคยอง~ มินซอกซึ่งนั่งขัดสมาธิดูทีวีอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นหันมาทักทายน้องชายหน้าประตู แต่แทนที่จะถูกทักทายกลับอย่างทุกครั้ง คยองซูดันรีบวิ่งขึ้นบันไดไปซะอย่างนั้นทิ้งไว้ให้คนเป็นพี่มองตามอย่างงงงวย

     

    ทันทีที่ปิดประตูห้องคยองซูก็โยนกระเป๋าสะพายสีดำไปอีกฝากของห้อง ส่วนตัวเองก็พุ่งใส่เตียงเอาผ้าหุ่มคลุมโปงแล้วโขกหัวลงกับที่นอนยกใหญ่จนหมดแรง

     

    “คยองซูเป็นอะไรอ่ะ” มินซอกซึ่งแอบตามขึ้นมาแง้มประตูดูน้องชายก็หันไปกระซิบกับแม่บ้าน

     

    “ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ป้าว่าปล่อยเค้าอยู่คนเดียวดีกว่านะคะ” หญิงชราอมยิ้มขำเมื่อเห็นคุณหนูกัวแก้วหัวแหวนทำพฤติกรรมคล้ายกับเธอสมัยสาวๆเป๊ะ ท่าเอาหัวโขกที่นอนนี่ใช่เลย

     

    คยองซูที่ขดตัวกลมอยู่ใต้ผ้าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบจงแดนัดแนะเรื่องจะไปทำข้าวกล่องกันอีกครั้งผ่านกลุ่มไลน์ซึ่งสมาชิกก็มีพวหเขาหกคน

     

    พรุ่งนี้ไม่ไปไม่ได้เหรอ

     

    อ้าว ทำไมอ่ะคยองซู

     

    ไม่มาฉันฆ่า

     

    คยองซูดูชื่อของคนที่ส่งข้อความล่าสุดตาปริบๆ 









    Talking Time 40%
    เย้ 100 fav. แล้ว TT *จุดพลุ*
    ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
    ขอบคุณที่คนที่เมนท์ เล่นแท็ก และติดตามอ่านมาเรื่อยๆนะคะ
    เดี๋ยวไปปั่นสเปก่อน 5555555


    Talking Time 100%
    ถ้าถามว่าทำไมช่วงนี้มีแต่แบคโด้คือสลับกันค่ะ
    รอบก่อนหนักชานไค อันนี้หนักแบคโด้
    แล้วคือไอ้แท็ก 

    นี่ก็เต็มไทม์ไลน์เล่นเอาสมองวิ้งๆไปด้วยแบคโด้นะคะ
    ล่าสุดนี่งานโฆษณา คือทั้งไทม์ไลน์เต็มไปด้วย
    แขนน้องโด้พาดหรรมพี่แบคเลยนะคะ 555555
    โดยเฉพาะแม่ๆกามไลน์ออนนี่   ไปหมดแล้วค่ะ
    เอาซะกามตาม 5555555555








    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×