ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Tsundere Boy รักนี้ต้องง้าง(ปาก) {BaekDo}{ChanKai}

    ลำดับตอนที่ #4 : [c h a p t e r . 04] - - - - 1 0 0 %

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


                     





    ตอนบ่ายในวันเสาร์

     

                    จงอินนั่งตัวเกร็งอยู่บนเตียง เอาแต่จ้องพื้นห้องมาตั้งแต่เมื่อกี้จนเพื่อนสนิทเดินเข้ามาดู

     

                    “จะเครียดไปไหนวะเนี่ย พี่เขานัดเที่ยวไม่ได้จะลากเข้าโรงแรมซะหน่อย”  ก็นั่นแหละสิ่งที่กูกลัว

     

                    “กูไม่เป็นไร กูเตรียมแผนไว้แล้ว”  ไม่เป็นไรแต่หน้ามึงเสียทรงมากเลยอ่ะจงอิน

     

                    เสียงโทรศัพท์มือถือทำให้จงอินละล่ำละลักเอามาดู ปรากฏหน้าจอเป็นรูปของใครบางคนกำลังยิ้มยิงฟันมาให้ เว้นจังหวะไว้ซักพักเพื่อให้ดูเหมือนไม่ได้กำลังรอสายอยู่นิ้วเรียวก็กดรับ

     

                    ฮยองอยู่หน้าห้องแล้ว ออกมาเลย จงอินไม่ตอบแต่กดวางแล้วออกไปเปิดประตูห้องแทน ชานยอลในชุดเสื้อยืดสีดำลายกราฟฟิคกับกางเกงสกินนี่ยีนส์ยืนรออยู่  ไม่อยากยอมรับว่าหล่อจนแทบจะปิดประตูแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับตัวเองสักสิบยี่สิบวิฯ แต่นั่นมันก็ออกจะสาวแตกเกินไปหน่อย

     

                    “ไปดิมึง มายืนค้างให้ยุงเข้าหาพระแสงด้ามง้าวอะไรล่ะ” เซฮุนเดินมาเอาเท้าเขี่ยตูดเพื่อนพุ่งถลาออกจากห้องแล้วปิดประตูอย่างรวดเร็วกันการถูกเขี่ยกลับ จงอินเลยได้แต่มองค้อนให้กับประตูอันว่างเปล่า

     

                    “จงอินกินข้าวเที่ยงรึยังครับ” ชานยอลเดินมาโอบไหล่คนตัวเล็กกว่าพลางดึงให้เข้ามาชิดอก

     

                    “ยัง” เด็กหนุ่มผิวแทนสะบัดหน้าหนี พยายามทำทุกส่วนในร่างกายให้อยู่ในอาการสงบที่สุดเท่าที่จะสามารถ แต่มือหนาก็ย้ายที่จากไหล่มาเป็นเอวคอดๆแทน

     

                    จงอินเม้มปากพลางแกะมือปลาหมึกของคนเป็นพี่ แต่ก็อย่างว่าถึงจะผอมสูงแต่กล้ามก็ขึ้นเป็นมัดๆขนาดนี้ สุดท้ายจงอินก็ไม่สามารถสู้แรงของชานยอลได้จนต้องปล่อยไปทั้งอย่างนั้น

     

                    ใจเย็น วันนี้เตรียมตัวช่วยมาแล้ว ใจเย็นดิวะจงอิน

                   

     

                   

                    “จงอิน ชานยอลฮยอง สวัสดีครับ” หน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ชานยอลหรี่ตามองเด็กผิวแทนอีกคนที่ค้อมหัวให้

     

                    “มาทำอะไรแถวนี้” จงอินหันไปคุยกับจื่อเทาที่บังเอิญเดินเข้ามาทักพอดี

     

                    “มาดูหนังครับ”

     

                    “เออ พอดีเลย นี่ก็จะไปดูหนังอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันเลยไหม?”

     

                    “ไปครับไป”

     

                    ทำไมบทพูดมันดูเตี๊ยมๆชอบกลวะ -*- ชานยอลมองคนในอ้อมแขนสลับกับจื่อเทา อย่างที่คิด ไม่นานจงอินก็ขอผละออกจากเขาด้วยขออ้างต้องเดินกับจื่อเทา เพราะจื่อเทาเป็นคนจีน อาจจะยังไม่คุ้นกับวัฒนธรรมเกาหลี ทำเอาร่างสูงที่เดินตามข้างหลังต้อยๆรู้สึกตะหงิดใจ

     

                    หรือจงอินอยากจะลองดีเอ่ย คิดได้ดังนั้น ระหว่างที่พวกเขากำลังนั่งทานอาหารเที่ยงกันในร้านอาหารฟาสฟู้ดง่ายๆ ชานยอลก็ขอตัวมาเข้าห้องน้ำ

     

                    “ฮยอง”

                    อะไรครับ

                    “มาหาที่ห้าง XXX หน่อยดิ๊ อยู่ที่ร้าน XX

                    จบคำชานยอลก็ได้ยินเสียงถอนหายใจตามมา

                    ฮยองยุ่งอยู่ นายก็น่าจะรู้นี่

                    “ครับ แต่ถ้าฮยองไม่มา ผมเกรงว่าจื่อเทากับจงอินแม่งจะได้กันเองแล้วนะครับ” ชานยอลว่าเกินจริงไว้เล็กน้อยด้วยอารมณ์หงุดหงิด แอบมองเข้าไปผ่านกระจกร้านทั้งสองคนก็แค่นั่งคุยกันดีๆปกติเท่านั้นเอง แต่ก็..

                    ‘ห้างอะไรนะครับไอ้น้อง

     

                    “อ้าว เราสองคน” เสียงแหลมใสเป็นเอกลักษณ์จากบนหัวทำให้ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมอง

     

                    “จงแดฮยอง! นั่งเลยครับนั่งเลย” จงอินลุกขึ้นฉุดเพื่อนรุ่นพี่ที่ค่อนข้างสนิทลงนั่งข้างเขาซึ่งเป็นอดีตที่นั่งของชานยอลทันทีโดยอีกฝ่ายก็ได้แต่ทำหน้างงๆ

     

                    “จงแดฮยองนี่จื่อเทา พนักงานใหม่ของฝ่ายผม จื่อเทานี่จงแดฮยองฝ่ายขาย” จื่อเทาลุกขึ้นแล้วค้อมตัวอย่างมีมารยาท จนจบการแนะนำตัวทั้งสามคนก็นั่งคุยกันอย่างออกรส จนกระทั่ง

     

                    ชานยอลกลับมา

     

                    “ มองขนาดนั้นไปวิ่งหามีดมาเสียบท้องให้ตายไปข้างเลยดีกว่า จงแดที่สบตากับชานยอลอยู่เหงื่อนแตกซิก สมองเริ่มประมวลผลทันที จะว่าไปชานยอลก็พึ่งบอกเขาสองสามวันก่อนว่าวันเสาร์นัดจงอินมาเที่ยว ไอ้เราก็ลืม แล้วยิ่งเห็นจงอินนั่งอยู่กับจื่อเทาสองคนก็ยิ่งลืมกันเข้าไปใหญ่ ว่าแต่นัดเที่ยวกันแค่สองคนแล้วจื่อเทามาไงเนี่ย ทั้งโต๊ะเงียบสนิทเมื่อชานยอลมายืนค้ำหัวทั้งโต๊ะ ถึงปากจะยิ้ม แต่แววตากลมโตซึ่งปกติจะฉายแววขี้เล่นกลับต่างไปจากเดิมจนแม้แต่จื่อเทาก็รู้สึกได้

     

     

     

     

                    ยี่สิบนาทีผ่านไป จงอินมองตามจื่อเทาที่เบะปากเหมือนอยากร้องให้ขณะถูกคริสลากไปทางอื่น

     

                    “เอ่อ ชานยอล กูไปธุระนะ บายๆ” โบกมือก่อนจะรีบชิ่งทั้งที่ไม่ได้มีธุระอะไรเลย แต่เพราะสายตาคุกคามจากเพื่อนสนิทที่ร้อยวันพันปีจะมีให้เห็น คบกันมาจะห้าปีเคยเห็นช่ชานยอลฟิวส์ขาดอยู่รอบเดียวเองมั้ง ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่เคยอยากเห็นอีกเป็นครั้งที่สอง จึงต้องรีบใส่เกียร์ถอยแล้วเหยียบร้อยยี่

     

                    ทิ้งจงอินไว้กับคนอารมณ์กรุ่นๆเพียงคนเดียว

     

                    จงอินก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนข้างๆเลยสักนิดใจหนึ่งเพราะกลัว อีกใจก็รู้สึกผิด

     

                    “นายรู้รึเปล่าว่าทำแบบนี้มันโคตรแย่เลย” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้จงอินใจหล่นวูบ ยิ่งน้ำเสียงกระชั้นกระชากนี่อีก

     

                    “อย่าว่าแต่ฉันเลย เป็นใครก็ต้องรู้สึกแย่วะ” มือหนากระชากต้นแขนคนเป็นน้องเข้ามาแล้วกระเสียงเข้มที่หูของจงอิน ก่อนจะสะบัดออกเบาๆ แล้วเดินหนีอย่างไร้เยื่อใย หมดอารมณ์ดูหนังแล้ววันนี้ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกถึงแรงดึงจากข้างหลัง

     

                    หันกลับไปก็พบจงอินยืดก้มหน้าจับชายเสื้อยืดของเขาอยู่  จึงหันกลับไปกอดอกยืนประจันหน้าเป็นเชิงว่ามีอะไร แค่คนเด็กกว่ากลับเอาแต่ทำปากขมุบขมิบอยู่คนเดียวชานยอลจึงถอนหายใจแล้วดึงมือจงอินออกจากชายเสื้อแล้วทำท่าจะเดินหนีไปอีก

     

                    เพราะกลัวจากก้นบึ้งหัวใจว่าอีกคนจะไม่เดินกลับมาแล้ว จงอินจึงตัดสินใจทำสิ่งที่คิดว่านี่เป็นความกล้าที่สุดในชีวิตแขนบางเอื้อมคว้าเอวหนาไว้แล้วซุกหน้าลงกับแผ่นหลังของชานยอล จงอินใจชื้นขึ้นเมื่ออีกฝ่ายหยุดเดินยืนนิ่งๆอยู่แบบนั้น

     

     

     

                    “ฮยอง..จะพาไปไหนอ่ะ” เสียงงุ้งงิ้งขึ้นจมูกร้องถามคนที่ตามจีบตัวเองมาร่วมอาทิตย์ จนคริสต้องลากเข้าไปนั่งในร้านกาแฟญี่ห้อดังและแพงสุดหูรูดแทน

     

                    คริสจ้องหน้าเด็กผิวคล้ำซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม พลางคิดได้ว่าจื่อเทานี่มันที่สุดของตัวปัญหาชีวิตคู่คนอื่นเขา อยู่กับใครเขาได้มีเรื่องกับแฟนเขาทุกรอบ วันก่อนพากลับบ้าน ไอ้นี่ก็ไปทำทำตัวมุมิใส่แม่เขาจนพ่อเข้าใจผิดทะเลาะกันใหญ่โต ถึงแม้สุดท้ายจะจบลงที่เลิฟซีนสูงอายุก็เถอะ

     

                    “คริสฮยองพาผมออกมาทำไม” จื่อเทาว่าพลางยกชาเขียวปั่นขึ้นมาดูดอึ้กๆ

     

                    “ก็ทำแบบนั้นมันก็แย่น่ะสิ เหมือนไปสะกิดแผลเก่ายังไงอย่างนั้น”

     

                    “ครับ?” คริสถอนหายใจกับท่าทางใสซื่อของจื่อเทา แต่ก็ยอมเล่าให้ฟัง

     

                    “สมัยเรียนน่ะชานยอลมีแฟนอยู่คนนึง ชานยอลตามจีบอยู่ประมาณเกือบสามปี มันรักผู้หญิงคนนั้นมาก รักแบบรักจริงหวังแต่ง” จื่อเทาพยักหน้ารับเป็นเชิงให้เล่าต่อ

     

                    “แต่จะมีอะไรแปลกๆอยู่นิดหน่อยคือทุกครั้งที่มันนไปเดทกับผู้หญิงคนนั้นก็จะมีผู้ชายที่ไหนไม่รู้ที่ผู้หญิงคนนั้นเรียกว่าเพื่อนมาอยู่ด้วยทุกครั้ง ชานยอลมันก็รักแฟนมันมาก ถึงสมองจะบอกว่าไม่ใช่แต่พอแฟนบอกว่าเป็นแค่เพื่อนมันก็ยอมเชื่อ เวลาเดทกันจึงมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนตลอด จนสุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นก็ทิ้งมันไปเพื่อไปคบกับผู้ชายคนนั้น”

     

                    “หา? ทำไมเค้าอย่างนั้นอ่ะ” จื่อเทาเบ้ปากพลางกัดหลอดสีเขียวแก่จนเละเทะจนคริสต้องดึงออกจากปากก่อนจะเล่าต่อ

     

                    “ก็แค่ผู้หญิงเลวๆที่คบหลอกใช้ให้ทำงานทำการบ้านให้ รู้สึกชานยอลถูกบอกเลิกในเดทครั้งสุดท้ายด้วย หลังจากนั้นก็มันก็มีแฟนอีกสองสามคนบ้างสมัยเข้ามหาลัย แต่ก็ไม่เคยไปเที่ยวกับแฟนเลย จนกระทั่งตอนนี้ที่มันชวนจงอินมาเที่ยวนี่แหละ”

     

     

     

     

                    มือหนาแกะมือที่เกี่ยวเอวของเขาออก แล้วเลือกที่จะเดินไปโดยไม่หันกลับมามองคนข้างหลังอีกเลย

     

                    “ จงอินปล่อยมือลงตามแรงโน้มถ่วง ก่อนที่หยุดน้ำใสๆจะกลิ้งลงมาตามนวลแก้ม

     

     

     

                    ชานยอลตัดสินใจขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน ระหว่างทางนั้น ทั้งชานยอลและคริสต่างไม่รู้เลยว่า ทั้งสองคนที่อยู่ผายใต้ใบหน้าเคร่งเครียดจริงจังทั้งคู่ กลับมีอีกเสียงในหัวที่ตีรัวขึ้นมาเป็นเนื้อความคล้ายๆกันอยู่อีกอย่าง

     

     

                    เอร๊ยยยยยย แกล้งเด็ก/หลอกเด็ก สนุกจังเลย  



                      
    “โห่ยฮยอง ไอ้จงอินมันกลับมานอนร้องไห้ฟูมฟายอย่างกับหมามันตายจนหลับไปแล้วนะ” เซฮุนกระทืบเท้าปึงปังโดยไม่สนว่าอีกสองคนปลายสายจะเห็นหรือไม่

     

                    จะว่าไปไอ้ชานยอลทำจงอินร้องไห้นี่ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย เสียงเข้มของแบคฮยอนตอบกลับมา

     

                    ไม่รู้เป็นความผิดฉันรึเปล่าเนี่ย แฮะๆ จงแดยังคงนั่งอยู่ในห้างเดิมนั่นแหละ แต่อยู่ๆเซฮุนก็โทรมาแถมประชุมสายกับแบคฮยอนอีก ฟังที่น้องมันเล่าก็ตกใจ จงอินกลับมาบ้านด้วยน้ำตานองหน้าพูดไม่รู้เรื่องแล้วเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดจนแบตเตอร์รี่พลังงานหมด

     

                    คงไม่ใช่เพราะเขาบังเอิญเดินไปเจอใช่ไหม แฮะๆๆ

     

                    ไอ้บ้าชานยอลมันไม่น่าจะทำแบบนั้นนะเอาจริงๆ ถ้าเป็นจงอิน แค่ให้น้องมันช้อนตามองตามปกติก็หายโกรธไปแล้วมั้ง แบคฮยอนวิเคราะห์ตามประสาเพื่อนที่รู้จักกันมานาน

     

                    “ก็ไม่รู้อ่ะฮยอง แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”

     

                    เฮ้อ นั่นสินะ เดี๋ยวฉันกับแบคฮยอนจะลองซักดูถ้าเจอ นายก็ดูแลจงอินดีๆละกัน จงแดลุกขึ้นยืดตัวหลังจัดสินใจว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศไปเดินเล่นรอบๆห้างแทนบ้าง รอฟังเสียงน้องเล็กสุดในกลุ่มรับคำและตัดสายไป แต่ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าออกจากร้านที่นั่งอยู่จู่ๆก็ได้ยินเสียงงุ้งงิ้งแว่วๆข้างหู

     

                    “จงแดฮยอง?”

     

                    “เฮ้ย! จื่อเทา” จงแดเบิกตากว้างเมื่อดันบังเอิญป้ะกันเป็นรอบที่สองของวัน แถมยังมีคริสนั่งอยู่ตรงข้ามอีก ด้วยความที่กลัวว่าจะไปขัดจงหวะใครเขาอีกจงแดจึงเตรียมตัวหนีไปให้พ้นๆทันที

     

                    “จงแดฮยอง! เดี๋ยวก่อนครับ! จื่อเทาฉุนจงแดลงกับที่นั่ง ด้วยความต่างของไซส์คนโตกว่าจึงลอยหวือลงกับที่นั่งข้างๆจื่อเทาทันที เด็กหนุ่มไม่เกริ่นอะไรให้ยืดยาวจัดการเล่าเรื่องทุกอย่างจนหมดด้วยเวลาไม่ถึงสามสิบวิแถมเรื่องที่เล่ามานี่ก็เพิ่งจะเคยได้ยิน..

     

                    คริสถลึงตาใส่จงแดที่ช้อนตาขึ้นมาประมาณว่า เนียนๆไปเลยนะมึง ไม่งั้นพ่อเอาเงิงเฉาะ

     

                    “แฮะๆฮยองก็ไม่รู้เหมือนกัน พึ่งจะมาคบกับชานยอลตอนทำงานแล้วน่ะ” จงแดแก้ต่างไปเป็นการตัดปัญหาให้ตัวเองด้วย

     

     

     

                    “ก็อย่างที่ว่าเนี่ยแหละ” แบคฮยอนกับเซฮุนพยักหน้าหงึกๆหลังจากฟังเรื่องเล่าของจงแด ตอนนี้พวกเขาสามคนนั่งสุมหัวกันอยู่ในฝ่ายขายที่มักจะร้างคนในช่วงเวลานี้พอดี

     

                    “คริสฮยองคืออยากสั่งสอนจื่อเทาที่ชอบเผลอไปทำคนอื่นเขาผิดใจกัน ว่าแต่ชานยอลฮยองล่ะ เมื่อวานวันอาทิตย์จงอินมันกินข้าวไปไม่ถึงห้าคำเลยมั้งเนี่ย” เซฮุนกอดอกแล้วหมุนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปมา

     

                    “งั้นก็มีความเป็นไปไดว่าไอ้ชานอาจจะไม่ได้โกรธจริงๆก็ได้” แบคฮยอนลูบคางอย่างครุ่นคิด

     

                    “เปล่าว่ะ กูโกรธจริง” -0-

     

                    ทั้งสามคนสะดุ้งเฮือกที่จู่ๆคนซึ่งกำลังเป็นประเด็นในวงจู่ๆก็เปิดประตู่ฝ่ายเข้ามา ชานยอลลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งร่วมวงลงข้างเซฮุน

     

                    “ถึงอันที่จริงจะหายโกรธตั้งแต่เด็กมันคว้าชายเสื้อแล้วก็เหอะ แต่ไอ้ก่อนหน้านี้ที่โกรธน่ะของจริง” หลังจากนั้นคือตอแหลว่าโกรธ

     

                    “โห่ฮยอง ดูสภาพไอ้จงอินซะก่อน กินไม่ได้นอนไม่หลับขนาดนั้นน่ะ ฮยองจะไปแกล้งเพื่อนผมทำไม ไอ้เราอุตสาห์ช่วยนะเนี่ย เดี๋ยวปั๊ดใส่ไฟให้จงอินเลิกชอบซะหรอก” เซฮุนขมวดคิ้วหงุดหงิดจนอยากเขี่ยเก้าอี้คนข้างๆให้ล้มกลิ้งลงไปบ้าง

     

                    “ถ้าทำงั้นจริงสาบายว่าฉันฆ่านายแน่เซฮุน”

     

                    “เออ แล้วนายจะไปแกล้งน้องเค้าทำไม?” จงแดเอ่ยถามเพื่อน

     

                    “ก็เค้าทำเหมือนไม่อยากมาเดทกับกู นัดจื่อเทามาอะไรงี้ แค่จื่อเทาว่าขึ้นพอแล้วนะ มาเจอมึงอีกคนนี่เดือดบอกเลย อะไรจะรังเกียจกูขนาดนั้น ก็เลยแกล้งซะเลย” -_-

     

                    “จงอินไม่ได้นัดฉันนา นั่นบังเอิญเจอจริงๆ”

     

                    “แต่ก็ยังติดคดีจื่อเทาอยู่ดีนั่นแหละ”

     

                    “ฮยองก็รู้ว่าจงอินมันแค่ขี้อาย ขี้เขินเฉยๆ ไม่ได้รังเกียจฮยองจริงๆซะหน่อย” เซฮุนกระดิกเท้า เตรียมเขี่ยเก้าอี้ยิกๆ

     

                    “ก็คราวนี้อาจทำให้จงอินเลิกปากแข็งก็ได้มั้ง ถึงมันจะน่ารักดีก็เถอะ..

     

                    สรุปอยากให้เลิกปากแข็งหรือไม่อยากให้เลิก?

     

                    “จุดประสงค์สรุปคือแค่อยากแกล้งว่างั้น?” เซฮุนเลิกคิ้วขึ้น ซึ่งรุ่นพี่ตัวสูงก็พยักหน้ารับอย่าง
    โดยดี นั่นเป็นเหตุให้ขายาวของฮุนเขี่ยเก้าอี้ของชานยอลเต็มแรงจนชานยอลกระเด็นลอยไปนู่น

     

                    “ขอสักทีเหอะ” -*-

     

                    จงแดกับแบคอยอนมองเพื่อนสนิทที่กำลังลากเก้าอี้กลับมานั่งด้วยสายตาเย็นชาเล็กน้อย

     

                   

     

     

     

                    จื่อเทามองเพื่อนที่มานั่งหงอยอยู่ข้างๆโต๊ะของเขาอย่างไม่รู้ว่าควรจะปลอบยังไงดี หลังจากที่เล่าเรื่องอดีตซึ่งฟังมาจากคริส(ยังไม่รู้ตัวว่าโดนหลอก) จากจื่อเทา

     

                    “แล้วจงอินจะเอาไงต่อ”

     

                    “

     

                    “ถ้าจงอินชอบพี่เค้าจงอินก็ต้องไปง้อนะ”

     

                    “บ้า! เปล่าซะหน่อย! เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาแหวแล้วฟาดต้นแขนไปเบาๆทีนึงทำให้จื่อเทาหัวเราะนิดๆให้จงอินที่ขยี้หัวตัวเองอย่างแรงจนเสียทรงไปหมด

     

                    “จื่อเทา มานี่แป๊บนึง” เสียงเข้มจากบนหัวทั้งคู่ทำให้จื่อเทาหน้าซีดเผือด อีกครั้งที่จงอินต้องนั่งมองเพื่อนถูกคริสลากไปที่อื่นตาปริบๆ จนอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าไอ้คริสฮยองนี่วันๆว่างขนาดนี้เลยเหรอ แต่นึกไปนึกมาเมื่อก่อนชานยอลเองก็แว่บมาหาเขาบ่อยกว่าซะอีก เหมือนคนไม่มีการไม่มีงานทำจริงๆนั่นแหละ ไม่เหมือนคยองซูฮยองที่นั่งยุ่งจนหัวฟูทั้งวันจนได้ไอ้แบคฮยอนฮยองเข้ามาชวนทะเลาะกันยกสองยกก่อนจะจากไปพร้อมทิ้งเครื่องดื่มบำรุงกำลังไว้ให้

     

                    แต่จะว่าไป..ถึงแบคฮยอนจะปากร้ายไปหน่อยแต่ก็หาเรื่องมาดูแลคนที่ตัวเองชอบทุกครั้งเลยนี่ โคตรต่างกับเขาเลยที่

     

                   

                   

     

     

                    “ฮยอง~จะพาผมไปไหนอ่ะ งานยังไม่เสร็จเลยนะ” ปากเหมือนแมวยู่ลงเมื่อถูกคนตัวสูงกว่าลากเข้าไปในฝ่ายขาย จื่อเทาเบิกตากว้างเมื่อเห็นทุกคนมานั่งล้อมวงพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่

     

                    “จะทำอะไรกันครับเนี่ย” คริสกดไหล่จื่อเทาให้นั่งลงกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง

     

                    “เดี๋ยวชานยอลจะออกโรงแล้วไง เลยต้องเอานายมาไว้ไกลๆจากสองคนนั้น พวกตัวซวยทำคนอื่นเค้ามีปัญาหากัน” จงแดที่อยู่ใกล้ๆง้างมือขึ้นมาตบกะบาลเพื่อนข้างๆที่ดูเหมือนจะตั้งแง่กับจื่อเทาไม่เลิกสุดแรงเกิด ข้อหาไปปากเสียให้คนอื่นทั้งที่เขาไม่ผิด แถมเล่นกับใครไม่เล่น เล่นกับเด็กเฮียคริส เดี๋ยวก็โดนดี

     

                    “เออ ขอโทษๆ แค่ไม่อยากให้ใครไปกวนสองคนนั้น” แบคฮยอนลูบหัวของตัวเองตรงที่ยังเจ็บแปล๊บๆพลางทำตาขวางใส่เพื่อน

     

                    “ป่านนี้หนีไปสูบบุหรี่แล้วมั้ง” เซฮุนเอ่ยขึ้นด้วยสายตาเหม่อลอยอย่างคนใช้ความคิด ขณะที่ชานยอลลุกเดินออกจากห้องไป

     

                    แต่ผิดแผนนิดหน่อยตรงที่จงอินยังไม่ได้ถึงกับขึ้นไปบนดาดฟ้า แต่กลับเพิ่งเปิดประตูออกจากฝ่ายบัญชีมาพร้อมกันพอดี ทั้งคู่เผลอสบตากัน ชานยอลนึกขอบคุณตัวเองที่ไม่เดินยิ้มออกมาจากห้องไม่งั้นแผนแตก จึงแกล้งขมวดคิ้วปั้นหน้าเครียดไป ขณะมองจงอินที่ก้าวเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ แต่ก็มาหยุดยืนตรงหน้าเขาห่างกันประมาณหนึ่งก้าว

     

                    คนสูงกว่าที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่พูดอะไรซักทีจึงกระตุ้นด้วยการเดินหลบไปทางอื่นและเป็นอีกครั้งที่จงอินหันกลับมาคว้าเสื้อของเขาไว้ปมนึงจนเขาต้องหันกลับไป เพราะยึดชายเสื้อเข้าไปในกางเกงเลยต้องคว้าตรงอื่นแทน ซึ่งสำหรับชานนยอลมันเป็นกระทำที่

     

                    โมเอ้อย่างบัดซบ ตั้งกะคราวก่อนที่ห้างแล้ว อยากดึงเข้ามากอดมาหอมมาฟัดมาขยี้ผมให้หายหมั่นเขี้ยวอย่างสุดพลัง แต่คือตอนนี้ต้องแอ๊บโกรธ

     

                    แน่ะ ยังจะช้อนตา ช้อนตามองอีก  ชานยอลหยิกต้นขาข้างหลังตัวเองจนน้ำตาซึมไม่ให้หลุดยิ้มออกมา

     

                    “ผม..ขอโทษ”

     

                    “พูดอะไรของนาย? ฉันไม่ได้ยิน”

     

                    “ขอโทษ”

     

                    “ไม่ได้ยิน อะไรนะ”

     

                    “ผมขอโทษ! จงอินเร่งเสียงขึ้นจนกลายเป็นตะคอกคงเพราะรู้สึกผิดก็เลยลงไปก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง จึงเป็นโอกาสดีที่ชานยอลจะหลุดยิ้มออกมา แต่ไม่นานเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงกลับไปตีหน้าเข้มเหมือนเดิม

     

                    “แค่นี้เหรอ?” เสียงทุ้มเย็นชาจนเรียกให้น้ำใสคลอเบ้าคนผิวแทนอีกครั้ง ในความเป็นจริงจงอินกับเซฮุนเป็นเพื่อนสนิทที่บ่อน้ำตาตื้นพอๆกันมาเลย เพียงแต่เขาก็แค่ซ่อนน้ำตาเก่งกว่า

     

                    “ฉันโกรธก็ง้อซิ”

     

                    “ก็ง้ออยู่นี่ไง” จงอินพึมพำเสียงแผ่วโดยไม่เงยหน้า

     

                    “ใช่ที่ไหนล่ะ จำไม่ได้เหรอตอนฉันง้อนายฉันง้อยังไง” จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางนึกย้อนไปถึงวันที่ถูกง้อครั้งแรก ไม่นานจึงเหลือกเหลือกตาสะบัดหน้าขึ้นมาสบตากับชานยอลซะจนอีกคนเกือบหลุดเก๊ก

     

                    “หา? ผม?

     

                    “จะง้อไม่ใช่เหรอ”

     

                    นี่เอาจริงใช่ไหม? ไม่ได้แกล้งกันอยู่ใช่ไหม?  จงอินที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำสีหน้ายังไงอยู่ รู้แค่ว่าอะไรหลายๆอย่างมันกำลังตีรวนอยู่ในหัวจนจะเป็นลม

     

                    “ว่าไง” คนอายุมากกว่าเอามือล้วงกระเป๋ารู้สึกสนุกยังไงชอบกลเมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของจงอิน แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายเขย่งตัวขึ้นมาเอาริมฝีปากแตะกับปากของเขาเบาๆจริงๆ

     

                    ชานยอลอึ้งจนค้างเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะกล้าทำจริงๆ ผิดกับจงอินที่ผละออกมาแล้วเอาหน้าซุกหน้าแดงจัดกับไหล่ของคนสูงกว่าไว้เพราะตอนนี้เขาไม่พร้อมมองหน้าใครทั้งนั้น ถ้าฟังดีๆจะได้ยินเสียงเหมือนอะไรซักอย่างกำลังกรีดร้องลอดออกมาเบาๆด้วย

     

                    และลิฟท์ก็เปิดออก…. เหมือนทั้งคู่จะลืมว่ากำลังยืนอยู่หน้าลิฟท์ พนักงานบัญชีกลุ่มใหญ่ที่กำลังจะก้าวออกจากลิฟท์และฝ่ายอื่นๆที่ต้องการจะไปชั้นที่สูงกว่า หันมามองชานยอลกับจงอินเป็นตาเดียว

     

                    คนนึงน่ะหน้าด้านไม่เป็นไรหรอก แต่อีกคนเนี่ยสิ ชานยอลคว้าตัวประคองคนเป็นน้องไว้ หลังจากที่เผลอเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงลิฟท์และสบตากับพวกพนักงานคนอื่นเข้าแล้วทรุดลงทั้งยืนเพราะความอาย ไม่วายเสียงโห่แซวก็ดังขึ้นจากทุกทิศทางจนชานยอลเริ่มกลัวว่าคนในอ้อมแขนจะระเบิดตัวเองจายซะก่อน จึงพยายามลากคนเป็นน้องกลับเข้าฝ่ายขาย จึงได้เห็น

     

                    ตุ๊กแกห้าตัวแย่งกันเกาะประตูอยู่ในห้องฝ่ายขาย สายตาห้าคู่แย่งกันมองออกมาข้างนอกผ่านกรอบกระจกของประตู  พอเห็นว่าชานยอลกำลังเดินกลับมาถึงได้วงแตกกันใหญ่ วิ่งกลับไปนั่งเก้าอี้ในตำแหน่งเดิมเป๊ะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

                    บีบีครีมไหม? โคตรไม่เนียนเลย

     

                    “เซฮุน! ฉันรู้นะว่านายถ่ายคลิปไว้ แชร์มาซะดีๆ” ชานยอลเดินเข้าไปหาเซฮุนแต่คนในอ้อมแขนกลับขืนตัวออกก่อนจะทันถึงวง เดินไปยังมุมห้องที่ห่างไกลจากทุกคนบนโลกที่สุดแล้วนั่งซุกหันหน้าเข้ามุม

     

                    “ให้เวลามันแป๊บนึง” เซฮุนกระซิบตอบสายตาที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามของทุกคน

     

                    “แต่อันที่จริงพวกเราก็รู้กันตั้งนานแล้วนะ นี่จงอินไม่รู้เหรอ” แบคฮยอนกระซิบถามเซฮุนที่นั่งอยู่ทางซ้าย

     

                    “เดาว่ารู้ แต่มันหลอกตัวเองว่าไม่ บอกแล้วไอ้นี่ขี้อายจะตาย” เซฮุนกระซิบตอบ จนทั้งวงเต็มไปด้วนเสียงซุบซิบที่เบามาก เบาม๊ากมาก นั่งอยู่มุมห้องนี่ไม่ได้ยินเลยนะเนี่ย (เสียงประชดจากก้นบึ้งหัวใจของจงอิน)

     

                    “ไม่มีงานทำเหรอ~? เสียงนือยนาดจากหน้าประตูทำให้ทุกคนสะดุ้ง หันไปก็พบกับจางอี้ชิงที่ยิ้มละมุนละไมเตรียมปล่อยของเต็มที่ จนทุกคนเว้นคริสกับจื่อเทามีคำว่าซวยแล้วแปะอยู่กลางหน้าผาก

     

                    “เอ๋? คุณ?” เมื่อไล่ตามาจนเห็นชายร่างสูงที่นั่งอยู่อี้ชิงก็ชี้นิ้วอย่างงๆแล้วขมวดคิ้วหมุ่นจนคริสเหลือกตาแล้วพุ่งเข้าชาร์ตลากตัวออกไปคุยข้างนอก แต่ไม่นานถึงคู่ก็กลับเข้ามาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คริสเดินกลับมานั่งที่เดิม ส่วนอี้ชิงก็ลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาร่วมวงด้วย

     

                   

     

     

                    “หายไปไหนกันหมดเนี่ย” คยองซูละจากงานพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน หลังจากไม่เห็นทั้งชานยอลทั้งจงอินทั้งเซฮุนทั้งจื่อเทามานานแล้วแม้แต่เขาเองไปๆมาๆก็รู้สึกเหงาเอานิดหน่อยเหมือนกัน เพราะคนที่ร็จักเล่นหายไปยกโขยงแถมอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่เขาเองก็ไม่รู้เลย

     

                    มือขาวยกขึ้นมานวดต้นคอของตัวเองคลายความเมื่อยล้าพลางมองขวดเครื่องดื่มบำรุงเล็กๆที่ได้มาเมื่อช่วงสายแล้วก็พาลไปนึกถึงคนให้ จนรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เพราะตามปรกติทุกครั้งที่คยองซูรู้สึกว่า ณ ตอนนั้นไม่อยากอยู่คนเดียวก็จะมีอีกคนมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆทุกครั้ง

     

                    คยองซูขมวดคิ้วเมื่อจู่ๆก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าจะหงุดหงิดทำไม แถมรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงหน้าประตูห้องฝ่ายขายแล้วอีกต่างหาก พอคิดได้ว่าพวกชานยอลอาจะอยู่ในนี้ก็ได้จึงเปิดประตูเข้าไป

     

                    ทั้งวงเงียบสนิทเพราะจู่ๆก็ได้ยินเสียงประตูจึงหันไปมองยังจุดเดียวกันจนคนเปิดแอบประหม่า

     

                    “มีอะไรเหรอครับฮยอง?” น้องเล็กในวงซุบซิบถามคยองซูที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงประตู

     

                    “เปล่า แค่สงสัยเฉยๆว่าหายไปไหนกัน โอเค จะกลับไปทำงานต่อแล้วล่ะ” ว่าจบก็ปิดประตูลงให้สนิทเหมือนเดิมก่อนจะหมุนตัวกลับฝ่ายบัญชี เห็นอยู่กันพร้อมหน้าขนาดนั้นแล้วก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้ว่าทำไมไม่เห็นจะเรียกกันซักนิด จนกระทั่งทิ้งตัวลงกับเก้าอี้แล้วหมุนเล่นไปมาจนพอใครบางคนยืนอยู่

     

                    “มีอะไร?”

     

                    “ แบคฮยอนไม่ตอบเพราะคิดไม่ทันเหมือนกันว่าจะเดินตามมาทำไม ก็แค่เห็นอีกคนทำหน้าเหมือนหมีเหงาแค่นั้น แต่คนอย่างพยอนแบคฮยอนไม่มีทางตอบตรงๆแน่

     

                    “อยู่ในนั้นก็ชักเบื่อ เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” ว่าพลางเนียนนั่งที่ของชานยอล ปล่อยให้คนไหล่แคบมองตาม ทั้งที่ไม่ใช่ความจริงเลย ตอนนี้ในวงอันที่จริงกำลังเผาจงอินกันดุเด็ดเผ็ดมันส์กันสุดๆไปเลยต่างหาก

     

                    “มองหน้าทำไม ทำงานไปสิ” แบคฮยอนจิกตาใส่คยองซู ซึ่งก็ได้ค้อนกลับมาหนึ่งวงก่อนที่อีกคนจะสะบัดหน้ากลับเข้าหาหน้าจอคอมเหมือนเดิม

     

                    “ แบคฮยอนที่จ้องหลังเล็กๆของคยองซูมาสักพักตัดสิบใจถีบพื้นให้เก้าอี้เลื่อนไปอยู่ๆข้างๆคยองซู คนตาโตจึงหันหน้ามามองเขางงๆ

     

                    “ชาร์ตแบตหน่อย ขี้เกียจเปิดคอมฯไอ้ชาน” ว่าพลางคุ้ยโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนกับสายชาร์ตที่เป็นดั่งอวัยวะส่วนที่สามสิบสามสามสิบสี่ขึ้นมาเสียบกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของคยองซู ถึงจะมีเครื่องชาร์ตแบตสำรองเป็นอวัยวะส่วนที่สามสิบห้าอยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ตาม

     

                    “ฉ้อราษฎร์บังหลวง

     

                    “อย่ามาทำเป็นพูดเหมือนไม่เคยทำ” คยองซูยักไหล่ทีนึง แล้วกลับไปทำงานต่อ โดยมีแบคฮยอนนั่งเล่นโทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตกับคอมพิวเตอร์ของเขาอยู่ข้างๆ

     

                    เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกสบายใจปนอบอุ่นอย่างประหลาดค่อยๆก่อตัวขึ้นมาในใจของคยองซู

     

                   

     

                    “ที่แท้แอบมาเก็บแต้มเอาเวลาแบบนี้นี่เอง” อี้ชิงยิ้มขำ คนอื่นๆจึงพยักหน้าตาม เพราะประตูฝ่ายจะมีกรอบกระจกขนาดพอดีๆสามารถมองเห็นภายนอกภายในได้ พวกเขาทั้งหกคนจึงยืนเบียดกันแอบโผล่หน้ามาดูผ่านกระจกประตูของฝ่ายบัญชี (จงอินยังคงสถิตอยู่ตรงมุมห้อง) ก็แหงล่ะ ไอ้คนที่นั่งเมาส์กันมันส์ๆจู่ๆก็เดินตามเขาต้อยๆไม่พูดไม่จาขนาดนั้นไม่ตามเจือกก็คงไม่ได้แล้วล่ะ

     

                    “ไม่ยักรู้ว่าสองคนนั้นจะมีมุมแบบนั้นกันด้วย” จงแดที่แทบขึ้นขี่ชานยอลเอ่ยออกมา

     

                    “วันก่อนฉันกับมาเอาทัมไดรฟ์ที่ลืมไว้กับลู่หานตอนเกือบห้าทุ่มเจอสองคนนั้นกอดกันกลมในลิฟท์ด้วยแหละ”

     

                    “จริงดิ? ปกติเห็นเหม็นขี้หน้ากันกันจะเป็นจะตาย” เซฮุนที่เบียดแก้มอยู่กับจื่อเทาหันไปหาอี้ชิง

     

                    “เค้าเรียกมีซัมติงเว้ย” เป็นชานยอลพูดขึ้นมาบ้างและได้รับการพยักหน้าสนับสนุนอยู่ทุกทิศ

     

                    “พวกนายทำอะไรกันอยู่เนี่ย”  =____= หัวหน้าฝ่ายบัญชีที่เพิ่งลงลิฟท์เพื่อมาดูลูกน้อง(อู้)เป็นระยะๆมามองกลุ่มก้อนกระจุกอะไรซักอย่างหน้าฝ่ายใต้การดูแลด้วยสีหน้าเจื่อยๆ

     

                    “มานี่ลู่หาน แบคฮยอนกับคยองซูไง” อี้ชิงกวักมือเรียกแล้วขยับที่ให้ลู่หานแทรกตัวเข้าไปส่องบ้าง ซึ่งอีกคนก็ตอบรับอย่างกระตือรือล้น โดยไม่สนใจสายตาพนักงานการบัญชีกลุ่มหนึ่งที่ออกจากลิฟท์มาพร้อมตัวเองเลย

     

                    เดินเข้าไปหาดีๆกันก็ได้มั้ง =____=

     

     

     

     

     

     

                    “พวกชานยอลเข้าไปทำอะไรกันในนั้น”

     

                    “คุยกันเรื่องจงอินนั่นแหละ น้องมันจะมาง้อ”

     

                    “แล้วหายโกรธยัง ชานยอลอ่ะ”

     

                    “อืม หายแล้ว” อันที่จริงหายนานมากแล้วแหละ แต่แบคฮยอนก็ไม่กล้าพูดออกไป เดี๋ยวโดนเหวี่ยงที่เหมือนไปแกล้งน้องจงอินสุดที่รักอีก

     

                    ดีนะไอ้ชานยอลจ้องสอยไม่งั้นงานนี้ได้มีตายกันไปข้าง

     

                    “ไม่มีงานมีการทำรึไงนายน่ะ”

     

                    “เหอะ ฉันเป็นนักวิเคราะห์การตลาด ท่องอินเตอร์เน็ตเก็บข้อมูลนี่มันงานอยู่แล้ว”

     

                    “แถหน้าด้าน”

     

                    “ไอ้เตี้ยตาเหลือกนี่” แบคฮยอนหันกลับมาทำหน้าเหวี่ยงใส่คยองซูที่แลบลิ้นกลับ แต่คนไหล่แคบที่ไม่ยอมกลับไปสนใจหน้าคอมก็เลื่อนสายตาลงต่ำ

     

                    “ทำไมกระดุมเป็นงั้นล่ะ” คยองซูขมวดคิ้วก่อนจะเอี้ยวตัวไปหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า แบคฮยอนก้มดูเสื้อเชิ้ตสีขาวของตัวเองก็พบว่ากระดุมเม็ดนึงมันกำลังจะหลุด อ๋อ สงสัยตอนเกาะประตูดูจงอินกับชานยอล

     

                    คยองซูหมุนตัวกลับมาพร้อมชุดเข็มเย็บผ้าเล็กแล้วเริ่มต้นสนเข็ทันทีมและก้มลงมาเย็บกระดุมเสื้อของแบคฮยอนอย่างคล่องแคล่ว

     

                    “พกของแบบนี้ด้วยเหรอ” แบคฮยอนถามหน้าตื่นเพราะที่ก้มตัวลงมาเพื่อเย็บกระดุมคือก้มต่ำมาก ต่ำจริงๆจนหวานเสียว

     

                    “ไม่รู้สิ ก็พกประจำอาจจะต้องใช้ก็ได้” ไม่นานกระดุมเม็ดนั้นก็กลับไปติดสนิทกับเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อยซะจนดูไม่ออกว่าเคยหลุดลุ่ยมาขนาดไหน

     

                    “เสร็จแล้ว” คยองซูพูดอย่างร่าเริงหันมาเก็บเข็มให้เรียบร้อยก่อนจะหันกลับมาหาแบคฮยอนที่ทำตัวแปลกๆ นั่งจ้องกระดุมเม็ดนั้นนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน

     

                    “แบคฮยอน?” มือขาวโบกไปมาเช็คสติสตังของอีกฝ่าย จนแบคฮยอนเงยหน้ากลับขึ้นมาแล้วสบตาด้วยแววตาแปลกๆ ก่อนที่มือเรียวจะยกขึ้นมาวางแนบแก้มของคยองซูเบาๆ

     

                    “ ถึงจะเป็นคยองซูแต่เล่นกันแบบนี้ก็ทำเอาพูดไม่ออก ไหนจะสายตาจากพนักงานบัญชีทุกคนที่เริ่มหันมาสนใจเขาสองคนกันแล้ว

     

                    “แบค..ฮยอน …! คนไหล่เล็กสะดุ้งเมื่อจู่ๆเจ้าของชื่อก็ลุกพรวดขึ้นอย่างแรงแล้วเดินจากไปไม่พูดไม่จา

     

                    “เอ๊ะ? หา?”

     

                   

     

                    แบคฮยอนตบหน้าตัวเองเพี๊ยะนึงเรียกสติ หลังจากเห็นคยองซูเย็บกระดุมแล้วดันนึกขึ้นได้ว่าดูเหมือนแม่จังเลย แล้วพาลไปจินตนาการถึงอนาคต ที่มีเขา คยองซู กับลูกสองคน

     

                    ผู้ชายมันจะมีลูกด้วยกันได้ไงละโว้ย ตบหน้าตัวเองอีกหนึ่งที

     

                    หลังจากเปิดประตูออกมาก็พบคนคุ้นหน้าทั้งเจ็ดยืนเก๊กท่าเรียงกันราวกับถ่ายแบบนิตยาสาร

                   

                    ปูนฉาบซักสองกระสอบไหม? โคตรไม่เนียนเลยวะ

     

                    แบคฮยอนไม่มีอารมณ์จะมาโวยวายด้วย เดินหูแดงเข้าห้องฝ่ายขายไปยังมุมห้อง แล้วสะกิดไหล่คนที่อยู่ก่อนแล้ว

     

                    “นั่งด้วยคนดิจงอิน” เด็กหนุ่มผิวคล้ำพยักหน้าเบาๆก่อนจะขยับที่ให้ และทั้งคู่ก็นั่งด้วยกัน เงียบๆ







    Talking Time 40% 
    มีใครอยากตบคริสยอลไหมคะ -_-
    เอาเลย ตบเผื่อจงอินกับจื่อเทาด้วย
    ไม่สว่างไลน์โดนไปเต็มๆค่ะแชปนี้
    เออ เค้าลืมบอกรีดเดอร์ว่านี่มันฟิคโรแมนติคคอเมดี้รึเปล่า
    ดราม่าไม่เกินสองหน้ากระดาษเอสี่เท่านั้นนะคะ 5555555

    Talking Time 100% 
    เย้มีคนเล่นแท็กด้วยดีใจจังเลย 555555
    ใครที่ยังไม่รู้ว่างๆก็เข้าไปเล่นได้นะคะที่

    #ฟิครักต้องง้าง  ขอบคุณค่ะ 5555

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×