ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Tsundere Boy รักนี้ต้องง้าง(ปาก) {BaekDo}{ChanKai}

    ลำดับตอนที่ #1 : [c h a p t e r . 01] - - - - 1 0 0 %

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


     
     





                  "ฮยอง...ฮยองจ้องผมให้ตาหลุดออกจากเบ้างานมันก็ไม่ลดลงนะ" เจ้าของเสียงทุ้มเอียงคอจ้องคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกลับหลังจากถูกเขม่นด้วยสายตาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อตั้งแต่เมื่อกี้ อันที่จริงคุณพี่แกก็ไม่ได้โกรธอะไรเขาหรอก แต่ที่มองแบบนั้นเพราะสิ่งที่เขากำลังหอบอยู่เต็มรักเนี่ยแหละ

     

                    ปาร์คชานยอล ส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายเดินไปวางอภิมหากองแฟ้มงานลงบนโต๊ะทำงานของเจ้านายคนสนิท   ดวงตากลมโตมองลูกน้องด้วยน้ำตาคลอหน่วย

     

                    "จ้างหมื่นใช้ล้าน"

     

                    "เอาน่าฮยอง แค่ช่วงนี้เท่านั้นแหละ ฮยองก็เลิกดองงานไว้จนปลายเดือนแบบนี้ซะทีสิ สู้ไว้ลู่ฮยอง" ให้กำลังใจเจ้านายที่เพิ่งรับตำแหน่งได้ไม่ถึงห้าเดือนเต็ม ขายาวก้าวออกจากห้องทำงานของเจ้านาย เดินไปกดลิฟท์เพื่อกลับไปยังโต๊ะทำงาน

     

                    ชั้น 12 ครึ่งชั้นเป็นโซนโต๊ะทำงานของแผนกเขา เต็มไปด้วยโต๊ะทำงานของแต่ละคนรกไม่รกขึ้นอยู่กับนิสัยดั้งเดิมเจ้าของโต๊ะ ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ ดวงตาเรียวปิดลงเพื่อคลายความเมื่อยล้า

     

                    "มาพอดี ผมจะไปชงกาแฟเอาด้วยไหม?" เสียงจากข้างหลังทำให้ชานยอลขานรับกลับไป ไม่นาน เพื่อนร่วมงานที่ปกติเวลาทำงานจะนั่งหันหลังให้กันก็กลับมาพร้อมกาแฟหอมกรุ่นสองแก้วในมือ

     

                    "แต๊งค์กิ้ว คยอง"

                   

                    "เหนื่อยจังเนอะช่วงนี้"

                   

                    "แต่เท่านี้ก็จวนเรียบร้อยแล้วเนอะ เหลือแค่บางส่วนเอง" หลังจากแอบให้กำลังใจเพื่อนตัวเล็ก ก็ได้รอยยิ้มกว้างรูปหัวใจกลับมากจนชานยอลที่ยิ้มอยู่แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่คยองซูกลับทำท่าหอบแฟ้มบนโต๊ะเหมือนจะไปไหนสักแห่ง

     

                    "ส่วนของนายทั้งหมดนั่นเสร็จแล้วเหรอ?"

                   

                    "อื้ม พึ่งเสร็จเมื่อกี้ ยกไปให้ลู่ฮยองก่อนนะ บาย" ชานยอลยิ้มส่งเพื่อนที่เดินหายไปจากส่วนออฟฟิสพลางแอบคิดว่าคยองซูจะคงได้โดนเจ้านายหน้าสวยงอแงใส่เอาแน่นอน

     

     

     

     

     

     

                    "...นี่ผมทำอะไรผิดรึเปล่า" คยองซูตีหน้ามึนใส่เจ้านายที่ทำหน้าเหมือนคนกำลังคลอดลูกจ้องแฟ้มรวมเบ็จเสร็จสี่แฟ้มในมือเขา

     

                    ปึงปังกับลู่หานได้สักพักคยองซูก็ผละตัวออกมาจนได้ คนตัวเล็กถอนหายใจแต่เมื่อถึงโต๊ะทำงาน ก็กลับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่จำหน้าเรียวที่กรีดอายไลน์เนอร์หนากว่าผู้หญิงบางคนในฝ่ายก็อดรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

     

                    "พวกฝ่ายขายมาทำอะไรแถวนี้ ว่างเหรอ?" ถ้าเป็นคนอื่นคยองซูคงไม่หาเรื่องใส่แบบนี้หรอก

     

                    "ที่นี่ไม่มีกฎข้อไหนห้ามนี่ ฉันว่างก็มาหาชานยอล มีปัญหาอะไร" ดวงตาเรียวเหลือบมองคนที่ยืนค้ำหัวอยู่เล็กน้อยเหมือนไม่ใส่ใจ

     

                    "มีแน่ นี่มันโต๊ะของผม ลุกเดี๋ยวนี้"

     

                    "ขอร้องดีๆไม่เป็นเหรอ"

     

                    "พยอนแบคฮยอน นี่มันโต๊ะฉัน จะขอร้องทำไมไม่ทราบ"

     

                    "น่าๆ เอาน่า ใจเย็นๆ แบคมึงกลับไปก่อน" ชานยอลเข้ามาห้ามมวยเมื่อทั้งคู่เริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวได้ทะเลาะกันใหญ่โตเหมือนคราวที่แล้วอีก เจอกันทีไรทะเลาะกันตลอด เรื่องไร้สาระด้วยนะ อย่างคราวก่อนก็แย่งกันกดลิฟท์ ทะเลาะกันจนมินซอกฮยองต้องลงมาเคลียร์เอง

                   
      หลังจากสะบัดหน้าใส่คู่กรณีที่เดินเชิดออกไป คยองซูทิ้งตัวเองลงกับเก้าอี้อย่างหงุดหงิด พลางพ่นลมหายใจฮึดฮัด

     

                    "น่ารำคานชะมัด จะมาอะไรบ่อยนักหนา งานการไม่มีทำรึไง?" ปากนุ่มนิ่มบ่นกระปอดกระแปดพลางเริ่มทำงานต่อ

     

                    "ใจเย็นน่าคยองไอ้แบคมันก็เป็นแบบเนี้ยแหละ...เห้ย เดี๋ยวมา เด็กมีปัญหา" ว่าจบร่างสูงโปร่งก็ผุดลุกจากเก้าอี้ตรงไปยังเครื่องถ่ายเอกสาร

     

                    ชายหนุ่มผิวคล้ำในชุดนักศึกษากำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสารรุ่นโบราณล้านปีด้วยท่าทีหลุกหลิก ชานยอลเห็นดังนั้นจึงเข้าไปประกบหลังทันทีจนอีกฝ่ายสะดุ้ง

     

                    "น้องจงอิน เครื่องมีปัญหาเหรอครับ" เจ้าของชื่อพยักหน้ารัวๆพลางเบนหัวหนีใบหน้าของชานยอลที่เข้ามาใกล้เกินไป

     

                    "ก็ไม่แปลกหรอกครับ กระดาษหมดไม่ใช่เหรอมานี่ พี่ทำให้" ชานยอลหยิบกระดาษปึกนึงจากในลังกระดาษเอสี่ใกล้ๆขึ้นมาใส่ตรงช่องรับกระดาษ แล้วเริ่มกดปุ่มถ่าย หน้าจอที่ขึ้นแจ้งเตืนสีแดงก็หายไปและเริ่มกระบวนการทำงาน

     

                    ข้อมูลเดิมที่ป้อนค้างไว้คือสามสิบแผ่น จึงต้องใช้เวลาสักพักระหว่างที่รอคนตัวสูงกว่าก็รีบกอบโกยกำไรทำเป็นยืนเท้าเครื่องถ่ายเอกสาร เอาคางเกยไหล่เด็กฝึกงานผิวแทนไว้ โดยไม่สนสีหน้ารำคานใจของอีกคนเลย

     

                    "พี่หยิบให้" เมื่อถึงแผ่นที่สามสิบจงอินที่กำลังจะก้มไปหยิบก็ถูกชานยอลห้ามไว้ ร่างสูงกว่าแอบแต๊ะอั๋งเล็กน้อยตอนยื่นให้จงอินรับเอกสาร

     

                    "ขอบคุณครับ" จงอินกล่าวเรียบๆก่อนจะหมุนตัวกลับไป

     

     

                    "เต๊าะเด็กแต่หัววันเลย" คยองซูที่ดูอารมณ์ดีขึ้นหันกลับมายิ้มแซวเมื่อชานยอลกลับมาถึงโต๊ะ

     

                    "ก็เด็กมันน่ารัก" ชานยอลยิ้มเพ้อๆพลางพยามยามมองข้ามหัวเพื่อนร่วมงานหลายสิบชีวิตไปยังโซนโต๊ะทำงานชั่วคราวของนักศึกษาฝึกงาน

     

     

     

     

     

                    "มีอะไร" เสียงเข้มเอ่ยถามเพื่อนที่นั่งกอดอดจ้องเขาอย่างไม่ลดละเป็นการต้อนรับทันทีที่ถึงโต๊ะ

     

                    "คิมจงอิน กูรู้ว่ามึงไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่าเครื่องถ่ายเอกสารมันไม่มีกระดาษ"

     

                    "..." ถึงใบหน้าจะยังคงความเย็นชาไว้แต่ใบหูของจงอินกลับขึ้นสีระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่มีทางพ้นสายตาเพื่อนสนิทที่คบกันมาเป็นสิบปีได้หรอก

     

                    "ที่วันนี้มึงลุกไปถ่ายเอกสารเป็นสิบๆรอบก็เพื่ออย่างนี้ใช่มะ"

     

                    "ทำงานไป ให้มันเสร็จ" จงอินเดินอ้อมกลับไปนั่งประจำเก้าอี้ตัวเอง โต๊ะของพนักงานฝึกหัดไม่ใช่โต๊ะแยกเดี่ยวมีที่กั้นเหมือนอย่างพวกพนักงานประจำ โต๊ะพวกเขาเป็นแค่โต๊ะเปล่าๆธรรมดา นั่งตัวละสี่คน แต่เพราะปีนี้มีเด็กฝึกงานแค่หกคน พวกเขาจึงนั่งโต๊ะตัวนี้กันอยู่สองคน

     

                    "ไม่ต้องมาเก็กหน้านิ่ง กูรู้มึงจงใจ มึงใช้ร่างกายเปลือง มึงทอดสะพานให้พี่เค้า" เซฮุนหมุนเก้าอี้มาประจันหน้ากับเพื่อนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม

     

                    "แม็กกูอยู่ไหน?"

     

                    "พี่เค้ามองหามึงอยู่แหน่ะ"

     

                    "หยิบแฟ้มอันนั้นให้กูหน่อย"

     

                    "อ้าว หวัดดีครับชานยอลฮยอง มาทำอะไรแถวนี้" ต้นคอของจงอินเกร็งขึ้นมาแว่บนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

                    "เลิกเก๊กได้ละ เมื่อกี้กูล้อเล่น ชานยอลฮยองตัวจริงนั่งคอยาวอยู่นู่น"

     

                    "เกี่ยวอะไรกับกู" จงอินตาขวางจ้องเพื่อนสนิทอย่างเอาเรื่อง ทำเอาเซฮุนปล่อยก๊ากออกมาลั่น

     

                   

     

     

                    อีกฝากหนึ่งของชั้นสิบสอง เป็นโต๊ะทำงานของพนักงานฝ่ายขายซึ่งหน้าตารูปแบบห้องและโต๊ะดูเหมือนฝ่ายบัญชีที่อยู่ตรงข้ามอีกฝากของชั้นเป๊ะๆ

     

                    ไอ้บริษัทนี้ก็แปลก จัดให้พนักงานอยู่ชั้นเดียวกับพนักงาน หัวหน้าฝ่ายอยู่ชั้นเดียวกับหัวหน้าฝ่ายด้วยกันแทนที่จะชั้นละฝ่ายเหมือนที่อื่นส่วนใหญ่เค้า

     

                    พยอนแบคฮยอนนั่งนิ่งอยู่หลังโต๊ะประจำตัวอย่างผิดวิสัย เพื่อนสนิทที่เพิ่งกลับมาจากเครื่องถ่ายเอกสารก็ร้องทักขึ้น

     

                    "เป็นอะไรของนายเนี่ย" ตาเรียวเหลือบมองเพื่อนแว่บหนึ่งก่อนจะเสตากลับมาจ้องกระป๋องใส่ปากกาบนโต๊ะเหมือนเดิม

     

                    "แน่ะ มีเมิน มีเมิน" เสียงแหลมเอ่ยแซวแต่ก็ไม่ว่าอะไรเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของเพื่อนคนนี้ไปซะแล้วถึงปกติจะชอบทำตัวเอะอะมะเทิ่งแต่พอถึงเวลาที่เจ้าตัวจริงจังนี่ก็ขรึมเป็นหนุ่มใหญ่เชียว คิดได้ดังนั้นก็อ้อมมานั่งเก้าอี้ที่โต๊ะของตัวเองซึ่งอยู่ข้างหน้าแบคฮยอนบ้าง

     

                    "จงแด"

     

                    "เหอ?" เจ้าของชื่อยืดตัวให้ผ่านที่กันเพื่อสบตากับเพื่อนรุ่นเดียวกัน

     

                    "กูรักมึง"

     

                    "เหรอ แต่ฉันเกลียดนายว่ะ"

     

                    "เนี่ย! แค่เนี้ย! แค่สามพยางค์ เป็นเหี้ยไรนักหนาวะ พูดไม่ได้" แบคฮยอนตบโต๊ะดังปังจนหลายคนแถวนั้นสะดุ้ง

     

                    "ทะเลาะกับคยองซูมาล่ะสิ" จงแดยิ้มเหมือนพ่อมองลูกชายกำลังฝึกตั้งไข่ให้แบคฮยอนที่นั่งเขม่นเขี้ยวอยู่คนเดียว ไม่ได้ด่าใครหรอก มันด่าตัวเองทั้งนั้นแหละ

     

                    "ก็ไอ้เตี้ยตาเหลือกนั่นน่ะมาเรื่องก่อน"

     

                    "ไม่เชื่อ" น้ำเสียงจริงจังพุ่งเข้าปักหน้าผากแบคฮยอนดังฉึก ซึ่งเจ้าตัวก็ได้แต่ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอไปตามประสา ก่อนจะพึมพำเหมือนคุยกับตัวเอง

     

                    "ก็หยากหาเรื่องให้มาคุยด้วย แต่ไอ้เด็กโง่นั่นดันเอาแต่ชวนทะเลาะทุกรอบ" พึมพำไปได้ซักพัก จากสีหน้าหงุดหงิดก็กลายเป็นหนักใจ จากหนักใจก็กลายเป็นหงอย

     

                    "นายก็เอาแต่เข้าหาเค้าแบบเนี้ย ชาติหน้าจะจีบติดป่าวเหอะ"

     

                    "วันเกิด วันวาเลนไทน์ วันคริสต์มาส วันบลาๆๆ ฉันก็ฝากไอ้ชานยอลเอาของขวัญไปวางไว้ทุกครั้งนะโว้ย"

     

                    "แล้วคยองซูรู้ไหมว่านายให้"

     

                    แบคฮยอนโขกหัวลงกับโต๊ะแทนคำตอบ

     

                    เฮ้อ เพื่อนผมมันปากแข็ง

     

     

     

     

                    เมื่อเข็มนาฬิกาขยับมาถึงเลขห้า พนักงานกินเงินเดือนทุกคนรวมถึงเด็กฝึกงานก็ลุกพรึ่งเหมือนกดสวิตช์แต่ไม่ทันไร เสียงประตูลิฟท์ก็เปิดพร้อมๆกับเสียงวิ่งปึงปัง

     

                    "ทุกคน กินเนื้อย่างกัน!" เสียงหวานทุ้มตามด้วยเจ้าของเสียงตะโกนทั่วแผนกทำให้หลายคนตาวาว

     

                    "ลู่ฮยองเลี้ยงเหรอครับ?" ชานยอลตะโกนถามกลับไป

     

                    "ไม่เลี้ยงโว้ย!" แล้วก็หัวเราะลั่นแข่งกับเสียงโห่ของลูกน้องในแผนกทั้งหลาย ทำเอาหลายๆคนยิ้มตามไปด้วย

     

                    "ฉันไม่ได้เลี้ยงรองประธานนู่น รองประธานเลี้ยง ฝ่ายเรากับฝ่ายการตลาด"

     

                    "ไปกินเนื้อย่างกันคยองซู" ชานยอลเอ่ยชวนเพื่อนสนิทในแผนก ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบตกลงอย่างว่าง่าย

     

                    "เฮ้ย! งานนี้ไม่ไปไม่ได้นะโว้ย เหมาร้านเค้าไว้ล่วงหน้าแล้ว! เด็กฝึกงานด้วย มาให้หมด" ลู่หานในสภาพเสื้อเชิ้ตขาวหลุดลุ่ยออกนอกกางชี้มาทางกลุ่มเด็กฝึกงาน

     

                    เด็กฝึกงานทั้งหกคนถึงกับทำหน้าเหรอหราเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกชวนอะไรแบบนี้

     

                    "เอาน่าเรื่องปกติของแผนกบัญชี ปลายเดือนทีเหมือนเทศกาลปล่อยผี" พนักงานคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกับกลุ่มเด็กฝึกงานอธิบายให้ฟัง

     

                    "ร้านเดิมหกโมง" ลู่หานตะโกนปิดท้ายก่อนจะวิ่งกลับขึ้นลิฟท์เพื่อเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน

     

                    พนักงานบัญชีทั้งหลายจึงเริ่มเก็บของเตรียมกลับบ้านบ้าง และเริ่มพูดคุยถึงประเด็นร้านเนื้อย่างในคืนนี้จนเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด

     

                    "มึงจะไปป้ะจงอิน"

     

                    "ไปดิ ก็ว่างอยู่นี่ แถมกินฟรีอีกต่างหาก"

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    "..."

                   

                    "น่านะคยอง" เสียงทุ้มถูกเจ้าตัวบีบจนเล็กเพื่อนใช้ในยามออดอ้อนโดยเฉพาะ

     

                    "ถ้าไม่พอใจนักก็ไปนั่งที่อื่น" ชานยอลกับจงแดสะบัดหน้าไปทางต้นเสียงพร้อมกัน แทบจะตบกะโหลกเพื่อนปากหมาที่นั่งหน้าบูดกอดอกอยู่เก้าอี้ตัวใน

     

                    "มันไม่เหลือที่แล้วน่า นั่งด้วยกันเถอะนะ" คราวนี้เป็นจงแดที่ช่วยอ้อน ตอนนี้คือทั้งชานยอลทั้งจงแดแทบจะกราบคยองซูให้นั่งโต๊ะเดียวกับพวกเขา

     

                    ร้านเนื้อย่างที่รองประธานเหมาไว้ ชั้นบนส่วนใหญ่เป็นพวกฝ่ายขาย ชั้นล่างเป็นของพวกฝ่ายบัญชี ถึงะมีสลับกันมั่วซั่วบ้างสำหรับบางคนที่มีเพื่อนต่างแผนก อย่างเช่นจงแดกับแบคฮยอนที่ลงมามั่วนิ่มอยู่ชั้นล่างเป็นต้น

     

                    "ฉันรอนั่งกับจงอินกับเซฮุนก็ได้ ยังไม่มาเลยนี่สองคนนั้น"

     

                    "โธ่คยองอ่า..."

     

                    "อ้าว คยองซู มาถึงตั้งนานไม่นั่งล่ะ ต้องรีบกินก่อนไอ้สามตัวนี้จะเขมือบหมดนะ" น้ำหนักของฝ่ามือบนไหล่ทำให้เจ้าของไหล่แคบๆหันไปมอง ก็ปรากฏเป็นผู้ชายร่างเล็ก ผิวขาวนวล ยืนตาแป๋วอยู่

     

                    "กำลังจะนั่งครับท่านรอง ขอบคุณครับ" คยองซูยิ้มอย่างนอบน้อม แต่คนตำแหน่งใหญ่กว่ากลับส่ายหัวพัลวันพลางทำหน้าขัดใจ

     

                    "บอกกี่รอบแล้วว่านอกเวลาราชการเรียกมินซอกฮยองก็พอ เอ้า กินเยอะๆ โตไวๆ เดี๋ยวขึ้นไปดูพวกฝ่ายขายก่อน" มินซอกตบบ่าคยองซูปับๆแล้วโบกมือลา คยองซูจึงจำใจต้องนั่งลงข้างๆชานยอล

     

                    เมื้อจานของสดถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ตะเกียบสี่คู่ก็จัดแจงลงเตาย่างทันที

     

                    "จงแด! นั่นมันยังไม่สุกนะ!" O_O

     

                    "มีเดียมแรร์ไงคยองซู"

     

                    "เดี๋ยวพยาธิจะแดกไส้เอาน่ะสิ" แบคฮยอนช่วยเสริม แต่ตัวเองก็ยัดไส้หมูที่ยังไม่สุกดีใส่ปากเช่นกัน

     

                    "แบคฮยอน! นั่นยังไม่สุกนะ!" O_O

     

                    พรวด! ไม่ทัน กว่าคยองซูจะพูดออกมาได้ เจ้าของอายไลน์เนอร์เฉี่ยวเกินผู้หญิงก็เคี้ยวหงุบๆไปหลายคำแล้ว

     

                    "มิน่ารสชาติอย่างกับยาง"

     

                    "ไอ้สองเตี้ยนี่ก็รีบจัง หิวมาก? ซุปไหม? เดี๋ยวสั่งให้" ชานยอลที่นั่งกลับเนื้ออยู่เงยหน้าขึ้นมาจ้องเพื่อนสนิททั้งสองคน ปนหมั่นไส้ไปที่เพื่อนตรงข้ามเล็กน้อย เพราะเพื่อนกันเห็นเลยว่ามันกำลังนั่งหูแดงกลั้นยิ้มอยู่

     

                    บอกแล้วไงจะเข้าหาก็คุยดีๆเดี๋ยวก็ได้ ฟินป้ะละ

     

                   

     

     

                    "ช้า" เจ้าของหน้าง่วงกระชากเสียงบ่นเพื่อนที่เอาแต่แต่งตัวอยู่หน้ากระจก

     

                    "เสร็จแล้วน่า ป่ะ" จงอินกับเซฮุนเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยประถม มัถยมต้น มัถยมปลาย ก็ได้อยู่โรงเรียนเดียวกันตลอด พอเริ่มเบื่อก็เลยต่างคนต่างสอบเข้ามหาลัยแต่ดวงสัมพันธ์คงตัดไม่ขาด ขนาดไม่ได้ตั้งใจยังสอบเข้ามหาลัยฯเดียวกันคณะเดียวกันเฉย ไหนๆก็ไหนๆเลยหุ้นห้องเช่าเล็กๆอยู่ด้วยกันให้เบื้อขี้หน้าตายไปข้าง

               ทั้งสองคนเดินไม่นานก็ถึงเพราะร้านอยู่ใกล้กับห้องเช่าของพวกเขามาก บางครั้งก็มานั่งกินกันสองคนบ้าง เวลาจะฉลองอะไร 


     

                    "เออ..เอาไงดีล่ะ" เซฮุนทำสายตาล่อกแล่กอยู่หน้าร้านเนื้อย่างสถานที่นัด เพราะตอนนี้ทุกโต๊ะทุกคนเริ่มทานกันไปแล้ว พวกเขาพึ่งมาเป็นนักศึกษาฝึกงานได้แค่ไม่ถึงเดือน จึงรู้สึกเก้ๆกังๆว่าควรจะเอาก้นไปวางไว้ตรงไหนดี

     

                    "น้องจงอิน ไอ้ฮุน ทางนี้" ชานยอลโบกไม้โบกมือเรียกทั้งสองคน

     

                    "มันให้นั่งโต๊ะละสี่คนไม่ใช่เหรอวะ" จงแดเคี้ยวเนื้อไปถามไป

     

                    "น่า ไม่เห็นเป็นไรเลย จงแด แบคฮยอน คยองซูตัวเล็กจะตาย" ว่าจบโต๊ะเขาก็เป็นโต๊เดียวที่นั่งก็หกคน เนื้อ ตะ เกียบและจานถูกสั่งมาเพิ่มเรียบร้อย

     

                    "น้องจงอินทำไมมาช้าจังครับ" ทันทีที่จงอินนั่งลงข้างคยองซูก็เริ่มถูกเต๊าะทันที

     

                    "ไอ้ฮุนมันจัดคอนเสิร์ตอยู่"

     

                    "สัด" เสียงหัวเราะดังขึ้นทั้งโต๊ะยกเว้นเซฮุนที่นั่งแยกเขี้ยวใส่เพื่อน

     

                    "พึ่งเคยเห็นน้องจงอินใส่ชุดไปรเวทนะครับเนี่ย เสื้อยี่ห้ออะไรเผื่อพี่จะได้ซื้อบ้าง" ชานยอลพูดพลางจ้องเสื้อเชิ้ตสีดำที่จงอินใส่อยู่ ดูเหมือนจ้องเสื้อแต่อันที่จริงจ้องผ่านร่องกระดุมเข้าไปในเสื้อมากกว่า

     

                    "แบรนด์ XXX แม่ซื้อให้"

     

                    "เหรอครับ ขอดูเนื้อผ้าหน่อย" ว่าจบก็เอื้อมมือข้ามหลังคยองซูไปบีบๆนวดๆต้นแขนคนผิวแทน

     

                    "เอ่อ...ชานยอล เปลี่ยนที่กันไหม?" คยองซูที่รู้สึกว่าถูกคุยข้ามหัวไปมากระซิบ และก็ได้รับการตกลงอย่างว่าง่าย คยองซูจังขยับไปเก้าอี้ใน ให้ชานยอลนั่งตรงกลางแทน จะได้ลวนลามเด็กถนัดๆ

     

                    "แบคฮยอนทานอย่าทานแต่เนื้อสิ ทานผักด้วย" คยองซูเอ็ดคู่ปรับ(ในความคอดของตัวเอง)ที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน

     

                    "เรื่องของฉันป้ะ" อีกตรั้งที่จงแดซึ่งนั่งอยู่ข้างๆอยากตบบ้องหูเพื่อนหมาเหลือเกินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

     

                    "โอ๊ะ นายนี่" คนตัวเล็กค้อนขวับแล้วคีบเนื้อใส่จานตัวเอง

     

                    แบคฮยอนเหลือกตาไปหาจงแดข้างๆประมาณว่าจะทำยังไงดี ซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่ส่ายหน้าเพลียๆกลับมา

     

                    "เอ้า" เนื้อห่อผักชิ้นหนึ่งถูกวางลงบนจานแบคฮยอน เจ้าของจานใบนั้นจ้องมันอึ้งๆสักพักก่อนจะค่อยๆช้อนตาขึ้นมามองคนตรงข้าม

     

                    "กินซะ จะได้กินผักด้วย" แล้วก็ส่งยิ้มรูปหัวใจตามสไตล์มาให้ โดยไม่รู้ตัวเลยมันเป็นอันตรายต่ออัตราการเต้นของหัวใจใครบางคนมากเกินไปแล้ว แบคฮยอนรู้ตัวเลยว่าตอนนี้หน้าเขาคงแดกเถือกไปหมดแล้ว โชคดีที่ร้านนี้เปิดไปสีเหลืองคยองซูไม่น่าจะเห็น

     

                    "ถ้ามีผักไม่ป้อนใส่ปากมันไม่กินหรอก" จงแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆทั้งที่ไม่ใช่ความจริงและไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่นั่นทำให้คยองซูพยักหน้าเข้าใจ จึงจัดแจงเอื้อมไปหยิบเนื้อห่อผักในจานของคนตรงข้ามจิ้มซอสแล้วจ่อที่ปากของแบคฮยอน

     

                    "อ้ะ อ้าปากสิ อย่าทำสำออยมาก ผักแค่นี้กินแล้วไม่ตายหรอก"

     

                    จะตายเพราะโดนป้อนเนี่ยแหละ

     

                    แต่คงเพราะแบคฮยอนไม่ยอมทานเข้าไปสักทีเนื้อห่อผักจึงหลุดลื่นจากตะเกียบใส่แบคฮยอนและไหลไปจบลงบนพื้นทำเอาเปื้อนเป็นแนวยาว ยิ่งเป็นเสื้อสีขาวอีกต่างหาก

                   

                    "...ฉันขอ"

     

                    "ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!" แบคฮยอนว้ากลั่นขึ้น ก้มลงเหมือนดูเสื้อ แต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้คนขี้วีนนี่ไม่ได้สนใจเสื้อเลย ที่โวยวายขึ้นมานี่เพราะอดกินของที่คยองซูอุตสาห์ทำให้แถมยังป้อนอีกต่างหาก

     

                    "กะ..ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษ เดี๋ยวซื้อใช้ให้"

     

                    "รู้ไหมว่ามันสำคัญขนาดไหน" แบคฮยอนพูดเสียงเหี้ยม ใช่ อาหารนี่เป็นชิ้นแรกที่คยองซูป้อน

     

                    "ฉะ..ฉันไม่รู้กับนายหรอก ก็ไม่ยอมกินเข้าไปเอง" ทีนี้คยองซูเริ่มขึ้นเสียงบ้าง จนโต๊ะอื่นเริ่มจ้องมายังพวกเขา

     

                    "ไม่ได้ขอสักหน่อย" ถึงได้สำคัญไง

     

                    "เออๆ ผมผิดเอง ผมขอโทษ พอใจรึยัง" ยัง จนกว่าจะห่อเนื้ออีกชิ้นให้แล้วป้อนอีกที

     

                    ...แล้วประโยคหลังนี่จะเก็บไว้ในใจทำส้น...

     

                    "น่าๆๆนะ ทั้งสองคน วันนี้มาสนุก ดื่มเบียร์เย็นๆนะ" จงแดยัดแก้วเบียร์ใส่มือทั้งสองคนที่นั่งจ้องหน้าหาเรื่องกันอยู่
     
                     ยังไงก็บรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว ยิ่งมีแต่ผู้ชายด้วย ให้ใสๆไร้แอลกอร์ฮอล์นี่ไม่มีทางเป็นไปได้

     

     

     

                    หมดแก้วแรกงั้นๆ แก้วที่สองพอไหว แล้วที่สามแทบบรรลัย แก้วที่สี่... มันสลบไสลไปแล้วพี่น้องครับ

     

                    ทั้งโต๊ะชนแก้วที่ห้ากันอย่างร่าเริง ยกเว้นหมาตัวนึงแถวๆนั้น เพราะทั้งโต๊ะนอกจากแบคฮยอนเหมือนจะเป็นจุดรวมของพวกคอทองแดง

     

                    เซฮุนเองก็ดูเมาได้ที่ แต่จงอิน จงแด ชานยอลเพียงแค่แก้มแดงๆกรึ่มๆกันเท่านั้น

     

                    "คยองซูดูเฉยมากเลยนะเนี่ย" จงแดว่าตาโต เพราะไม่คิดว่าคนที่ดูเรียบร้อย ใสๆ ตั้งใจทำงานจะคอแข็งได้ขนาดนี้ ดูอย่างไอ้แบค เที่ยวทุกคืนศุกร์เสาร์ ไม่เกินสี่แก้วเมาปลิ้นเป็นหมา

     

                    "ไม่ค่อยได้กินบ่อยแต่รู้ตัวอยู่ว่าคอแข็งน่ะ"

     

                    "ดวลป้ะคยอง" ชานยอลที่กรึ่มนิดๆเริ่มขึ้น ชูขวดเบียร์สองขวด

     

                    "จัดมา"

     

                    หลังผ่านขวดที่สองโดยมีเสียงเชียร์จากรอบโต๊ะ

     

                    "ฮยอง ฮยอง! ฮยอง!!" จงอินระดมปัดมือปลาหมึกของรุ่นพี่ตัวสูงที่เมาแอ๋เป็นหมาไปอีกคน

     

                     ร่างสูงกว่าโถมตัวใส่คนผิวแทนซุกหน้าลงกับซอกคอแแล้วเริ่มพรมจูบไปทั่ว ทั่วจนใบหน้าคล้ำแดดขึ้นสีแดงเถือกตั้งแต่คอยันปลายจมูก

     

                    "เซฮุน ช่วยกูหน่อย"

     

                    "ม่าย~ กูรู้มึงชอบ อึ๊ก"

     

                    "ฉันไม่แบกชานยอลกลับแน่ๆ" จงแดส่ายหน้ายิ้มๆ เพราะหลังแก้วที่แปดก็เริ่มมึนตึ๊บ  

     

                    "จะกลับบ้านกันยังไงล่ะสองคนนี้" คยองซูที่แก้มแดงขึ้นมาบ้างด้วยฤทธิ์แอลกอร์ฮอล แต่โดยรวมสติยังดูครบถ้วนดีมองแบคฮยอนสลับกับชานยอลไปมา

     

                    คนที่ไม่เป็นไรมากก็คงมีเขาที่ดูจะคอแข็งที่สุดกับจงอินที่ดื่มไปไม่กี่แก้ว จงแดกับเซฮุนดูอ้อแอ้แต่ก็ยังพอช่วยเหลือตัวเองได้ แต่อีกสองคนเนี่ยสิ ชี้นกเป็นไม้ชี้ไม้เป็นนกแล้วมั้ง

     

                    "คยองช่วยไปส่งแบคฮยอนที่บ้านทีนะ ฉันคงต้องช่วยจงอินหิ้วไอ้ชานยอลอ่ะ" คยองซูพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนจะพยายามปลุกแบคฮยอนขึ้นมา

     

                    จงแดเรียกแท็กซี่มาสองคัน หลังจากบอกที่อยู่ของเพื่อนหมาให้โชเฟอร์และส่งคยองซูกับแบคฮยองขึ้นรถ ไป ก็ต้องทุลักทุเลยัดคนตัวโย่งอย่างปาร์คชานยอลอัดเข้าไปอีก จงอินกับเซฮุนก็ตัวเล็กๆที่ไหนล่ะ ร้อยแปดสิบขึ้นกันซะทุกคน

     

                    จงแดสบโอกาสนั่งตักชานยอลเป็นเบาะนุ่มๆไป ควักโทรศัพท์ออกมาไลน์ชั้นกับเลขที่ห้องของคอนโดแบคฮยอนให้คยองซูเป็นอันจบ

     

                    "พวกฮยองจะกลับกันยังไงเนี่ย" เซฮุนที่ดูมีสติขึ้นหันมามองผมกับชานยอลปะหล่ำปะเหลือก

     

                    "ถ้าบอกว่าขอไปนอนบ้านพวกนายนี่จะว่าไง" เพราะลักษณะจะไม่ไหว ชานยอลก็ซดไปสองขวดเพียวๆ เขาเองก็เกือบสิบแก้ว ถึงไม่ขนาดเมาเละเทะแต่ก็เห็นโลกเบี้ยว

     

                    "ก็คงไม่เป็นไรเนอะ ผู้ชายด้วยกันเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ท้องหรอก" เซฮุนตอบจงแด แต่ตากลับจ้องเพื่อนสนิทที่นั่งเหม่อไปนอกหน้าต่างรถ

     

                   

                    ชั้น 10 หน้าห้อง 1005

     

                    "แบคฮยอน กุญแจอยู่ไหนเนี่ย" ดวงตาเรียวที่ปกติจะคมกริบเงยหน้าขึ้นฟ้าอย่างเหม่อลอยราวกับฝากกุญแจห้องไว้กับยานแม่ โอเค๊ หาเองก็ได้

     

                    ล้วงกระเป๋ากางเกงไปซักพักก็ควักพวกกุญแจออกมาและไขไปจน ทันทีที่ไขประตูเข้าไปก็ได้พบกับ...ลานทิ้งขยะที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ...ไม่ใช่

     

                    "วันๆนายอยู่ไปได้ยังไงเนี่ย" คยองซูหันไปถามคนที่ถูกหิ้วปีกอย่างอึ้งๆ ก่อนจะปิดประตู ทิ้งแบคฮยอนลงกับพื้นแล้วเริ่มทำความสะอาดห้องครั้งใหญ่อย่างคล่องตัว คงคึกนิดๆเพราะฤทธิ์แอลกอร์ฮอล์

     

                    ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทิ้งไว้กับพื้นท่าไหนก็ค้างอยู่ท่านั้นเหมือนตาย คยองซูที่เหงื่อไหลท่วมยืนเท้าสะเอวกดตาลงมอง ในที่สุดก็ตัดสินใจลากคนเมาไปยังเตียงนอนขนาดกลางๆ ทุ่มลงไปบนที่นอนแล้วจับถอดเสื้อ

     

                    แค่จะซักเสื้อให้อย่าเพิ่งคิด

     

                    คยองซูเดินไปยังเครื่องซักผ้าขนาดเล็กเท่าถึงขยะเอาไว้ซักกางเกงใน ก็ยังดีที่อุตสาห์มีของแบบนี้ติดห้อง คยองซู มองหาผงซักฟอกกะจะเอาไปขยี้ตรงซิงค์ล้างจานก่อนค่อยเอาลงเครื่อง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบจึงเดินวนกลับมาหาคนที่นอนอ้าซ่าอยู่บนเตียง

     

                    "แบค แบคฮยอนตื่น ผงซักฟอกอยู่ไหน"

     

                    "ฮื้อ ก็ไอ้น้ำใวๆเหลืองใส่ขวดพาสติกไว้ไง" คนเทาบ่นงึมงัมแล้วนอนต่อ

     

                    อ๋อ ใช้สูตรน้ำ ดีเลย ขจัดคราบง่าย

     

                    คยองซูเดินกลับมายังเครื่องซักผ้าที่อยู่ติดกับครัว และก็เจอจริงๆ ขวดพลาสติกใสบรรจุน้ำหนืดๆสีชมพูใส ก็บรรจงเทลงบนจุดที่เลอะซอส แต่ได้กลิ่นสตรอเบอรี่เลยรู้สึกแปลก จึงลองแตะๆดู

     

                    "ไอ้แบค!! ที่ผ่านมานายใช้น้ำยาล้างจากซักกางเกงในเร๊อะ!!" คยองซูตะโกนลั่นจนแบคฮยอนพลิกตัวไปอีกฝาก

     

                    "เออ ก็ได้ ไม่รู้ด้วยแล้ว" คยองซูขยี้ๆผ้าเล็กน้อยแล้วโยนใส่ถึงซักผ้า ก่อนจะเท...น้ำยาล้างจานตามลงไป

     

                    "ใส่แล้วคันเป็นหมาขี้เรื่อนก็ไม่รู้ด้วยแล้วนะ" คยองซูพึมพัมกับถังซักผ้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกคนยังนอนเปลือยอกตามลมอยู่เลย ด้วยนิสัยขี้เป็นห่วงคนถึงแม้จะไม่ได้ชอบหน้ามากนัก แต่คยองซูก็ไปคุ้ยเสื้อมาใส่ให้กันเป็นหวัด

     

                    "ว่าง่ายงี้ค่อยน่ารักหน่อย" ประโยคโคตรเมะเอ่ยมาจากปากคยองซู เมื่อแบคฮยอนให้ความร่วมมือในการใส่เสื้อเป็นอย่างดี เสร็จก็ทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม ขณะที่คยองซูกำลังคิดว่าจะกลับแท็กซี่ดีหรือจะเดินไปอีกนิดเพื่อขึ้นรถเมล์ดี ไอ้คนที่ล้มตัวนอนก็ลุกขึ้นมาเหมือนซอมบี้

     

                    "คยอง"

     

                    "ว่าไง?"

     

                    ไม่ตอบแต่เอื้อมมือไปขว้าต้นแขนของคนตัวเล็กกว่า ลากให้เข้ามาซบอกของตัว ท่อนแขนแกร่งโอบรัดคนไหล่เล็กไว้แน่น

     

                    "แบค..แบค" คยองซูได้แต่อ้าปากค้างกับการกระทำของคนตรงหน้า ใบหน้าคมซุกลงไปในกลุ่มผมสีดำขลับ

     

                    "ขอโทษที่ตะโกนใส่"

     

                    "..."

     

                    เมื่อกี้ฉันว่าฉันเมะแล้วนะ

     

                    คิดอะไรไม่ออกนอกจากต้องผลักคนที่เทารึเปล่าก็ไม่รู้ลงกับเตียงเหมือนเดิมแล้ววิ่งออกจากห้อง แล้วลงลิฟท์อย่างรวดเร็ว

     

                    อะไร อะไรอ่ะ เขินทำไม คนตัวเล็กกระพริบตาปริบๆอยู่คนเดียวในลิฟท์ กลิ่นหอมกับกลิ่นเหล้าจากแผ่นอกของแบคฮยอนยังติดอยู่ปลายจมูก ยิ่งนึกถึงยิ่ง...

     

                    ยิ่งอะไร...?

     

                    ติ๊ง คยองซูเงยหน้าดูจอมอนิเตอร์ปรากฎเป็นชั้นห้า ประตูลิฟท์เปิดออก เป็นชายร่างโปร่ง ส่วนสูงพอดีๆไม่เตี้ยไปไม่สูงไป ทันทีที่เห็นคยองซู ชายคนนั้นก็เบิกตาเล็กน้อย

     

                    "อ้าว นายฝ่ายบัญชี มาทำอะไรแถวนี้? นายพักที่นี่เหรอ" คยองซูจำน้ำเสียงและท่าทางใจดีนี่ได้ รู้สึกจะเป็นหัวหน้าฝ่ายขายและการตลาด ชื่อ...อะไรน้า..?

     

                    "อี้ชิงไง จางอี้ชิง"

     

                    "อ่านใจผมได้เหรอ" คยองซูตาโตใส่คนที่กำลังเดินเข้ามาในลิฟท์

     

                    "เปล่า หน้านายมันฟ้อง" แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ "หน้านายแดงๆนะ เป็นอะไรรึเปล่า"

                   

                    "อ๋อ เปล่าครับ ผมตบหน้าตัวเอ๊ง" อี้ชิงพยักหน้าเข้าใจ ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติควรจะเข้าใจง่ายๆ

     

                    "นายพักอยู่คอนโดนี้เหรอ?"

     

                    "เปล่าครับ มาส่งเพื่อน มันเมา"

     

                    "อ้าว เหมือนกันเลย ฉันก็พึ่งหิ้วลู่หานมาส่งห้องเหมือนกัน" แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน คุยกันไปคุยกันมาก็ได้เรื่องว่าบ้านอยู่ทางเดียวกันเลยแชร์ค่าแท็กซี่กันกลับ

     

                    คยองซูเปิดประตูบ้านเข้าไปก็พบกับพี่ชายแท้ๆกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาขนาดใหญ่กลางห้องนั่งเล่น

     

                    "กลับมาแล้วเหรอคยอง" เมื่อเห็นน้องชาย คนเป็นพี่ก็โบกมือหยอยๆทักทาย

     

                    "มินซอกฮยอง ยังไม่นอนอีกเหรอ"

     

                    "ยัง อิ่มเกินจนจุกอ่ะ" แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

     

                    "แล้วนี่กลับมายังไงเนี่ย กลับเองรึเปล่า"

     

                    "เปล่าครับ กลับแท็กซี่มากับอี้ชิงฮยอง" มินซอกพยักหน้าหลังคลายความเป็นห่วง

     

                    เขากับมินซอกเป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่มินซอกใช้นามสกุลแม่ เขาใช้นามสกุลพ่อ เพราะปู่ย่าตายายขอไว้ว่าเป็นลูกผู้ดีตระกูลสูงทั้งคู่ อยากให้มีลูกสองชายสองคน คนหนึ่งสืบสกุลพ่อ คนหนึ่งสืบสกุลแม่

     

                    ทั้งที่คนเกาหลีก็นามสกุลซ้ำกันออกจะเยอะแยะ... แต่ช่างเถอะ ไม่เคยมีใครเข้าใจความคิดคนเฒ่าคนแก่อยู่แล้ว

     

                    ทั้งสองคนปิดเรื่องเป็นพี่น้องกันเป็นความลับจากบริษัทเพราะมินซอกเป็นห่วงน้อง กลัวจะถูกนินทาว่าเป็เด็กเส้นหรืออะไรทำนองนั้น 

     

                    หลังจากอุบัติเหตุเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้คยองซูเป็นครอบครัวคนเดียวที่เหลืออยู่ เป็นธรรมดาที่จะทั้งรักทั้งหวงน้องขนาดนี้ ถึงจะไม่ค่อยแสดงออกก็ตาม

     


     

    Talking  Time 50%
    ขอบคุณสำหรับคนที่กด fav. นะคะ TT
    ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ด้วย ไม่รู้จะทำให้ผิดหวังรึเปล่าแต่จะพยายามเต็มที่นะคะ 


    Talking  Time 100%
    พี่จ๊อกคนหวงน้อง ตอนไคล์แม๊กซ์จะบทเยอะนะคะคนนี้ คึๆๆ
    ขอบคุณที่คอมเมนท์และกด fav. นะคะ ซึ้งใจหลาย


    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×