ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Tsundere Boy รักนี้ต้องง้าง(ปาก) {BaekDo}{ChanKai}

    ลำดับตอนที่ #5 : [c h a p t e r . 05] - - - - 1 0 0 %

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


     


     






     

                    “ก็อยากจะเข้าใจนะ แต่เอาตรงๆสมเพชว่ะ” จงแดที่เดินอ้อมมาดูหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเพื่อนพูดขึ้น

     

                    “ฉันว่าป่านนี้ไม่ทันแล้วมั้ง”

     

                    “หุบปาก” แบคฮยอนเบ้หน้าหงุดหงิดให้คนที่ไม่เข้าใจจิตใจของเขาเลย โดยยังไม่ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เน็ต พิมพ์ลงในกูเกิ้ลหราๆเลยว่า วิธีเพิ่มส่วนสูง

     

                    “ไม่ชอบกินนมก็เงี้ย”

     

                    “พูดอย่างกับมึงสูงตาย” จงแดที่ถูกแขวะเดินอ้อมกลับไปนั่งกับโต๊ะของตัวเองทั้งยิ้มๆ

     

                    แบคฮยอน กดหาข้อมูลตามเว็บไซต์ที่โผล่ขึ้นมาเรื่อย มีวิธีง่ายๆทั่วไปอย่างทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เน้นเนื้อนมไข่ แล้วออกกำลังกาย ไปจนถึงวิธีหลอกเด็กอย่างพวกยาแบรนด์เน็ตสรรพคุณครอบจักรวาลที่อ้างว่าสูงวันสูงคืนราวกับโคฟเว่อเป็นต้นไม้

     

                    “เอายาเพิ่มขนาดน้องชายป้ะ ประมาณว่าถึงจะเตี้ยแต่ก็ทำให้เพลียได้ สโลแกนนี้เลย” มือผอมแห้งจากไหนไม่รู้ชี้ไปยังกล่องโฆษณาเล็กๆข้างเว็บ

     

                    “ปัญญาอ่อนละ ของกูก็อันเท่าแขนอยู่แล้ว อย่าให้โชว์เดี๋ยวเฮียคริสร้องไห้” แบคฮยอนไล่อ่านสรรพคุณยาแบรนด์เน็ตพลางนึกถึงเพื่อนรุ่นพี่คนสนิทที่รู้จักกันสมัยเรียน(สมัยมัถยมคริส ชานยอล แบคฮยอนเรียนโรงเรียนเดียวกัน) เคยแก้ผ้าเปลี่ยนเสื้อด้วยกันครั้งนึงตอนพากันไปเที่ยวค้างคืน ไอ้ชานก็ไซส์ปกติอยู่หรอก แต่ไอ้คุณคริสฮยองเนี่ยสิ ไม่ได้แปรผกผันกับส่วนสูงเลย..

     

                    “ไหนพิสูจน์” มือผอมแห้งเลื่อนจากจอคอมฯไปยังเข็มขัดกางเกงของคนที่นั่งอยู่จนแบคฮยอนสะดุ้งปัดมือออกอ้าปากเตรียมจะด่าแต่ก็ต้องชะงักค้างไปซะอย่างนั้น

     

                    เจ้าของมือผอมจัดยืนยิ้มพิมพ์ใจค้ำหัวแบคฮยอนจนเจ้าตัวหน้าซีด

     

                    “สวัสดีตอนเที่ยงครับหัวหน้า”

     

                    “อื้ม หวัดดี แต่ว่านะ.. จางอี้ชิงก้มตัวลงมาจนหน้าชิดกับกับใบหน้าของลูกน้อง แต่อารมณ์นี้ไม่สยิวแล้วนี่สยองจนขาสั่น

     

                    “เอาเวลาทำงานมาใช้ทำงานจะดีกว่า..มั้ง?

     

                    “ขอโทษครับ” แบคฮยอนค้อมหัวลงจนหน้าผากแทบติดเข่า อี้ชิงยืดหลังกลับมายืนตรงๆเหมือนเดิมแล้วเดินไปตรวจดูทางอื่น แบคฮยอนจึงต้องหันหน้ากลับเข้าโต๊ะแล้วเริ่มทำงานต่อ จงแดซึ่งดูเหตุการณ์อยู่แอบคิดขึ้นมาบ้างไม่ได้ว่าอิจฉาพวกชานยอล ก็ดูอี้ชิงกับลู่หานสิ คนละขั้วเลย

     

                   

     

     

                    “เฮ้ย อย่างนั้น! อย่างนั้น! เตะเลย! โว้ยยยย! เสียงหวานจ๋อยโห่ลั่นชัดเด่นออกมาจากเสียงโห่ระงมของพนักงานการบัญชีสิบชีวิตเศษๆซึ่งมานั่งดูแมตช์บอลย้อนหลังกันผ่านคอมพิวเตอร์ประจำโต๊ะของทงเฮ จนคยองซูที่นั่งทำงานอยู่ต้องหันไปดูเป็นระยะๆเพราะแอบรำคานเสียงโหวกเหวกนั่นเหลือเกิน

     

    ข้างๆมีจื่อเทาที่นั่งโต๊ะติดกับทงเฮแต่ไม่ชอบดูบอลจึงลี้ภัยมา กับเซฮุนอีกคนที่ไม่ชอบ แต่ดันมีเพื่อนสนิทบ้าบอลเข้าไปร่วมวงเชียร์บอลอย่างฮาร์ดคอร์กับเค้าด้วย เลยหลบมาทางนี้เพราะไม่มีเพื่อน  และกำลังจ้องชานยอลที่ไม่ได้บ้าบอลอะไรขนาดนั้นแต่เข้าไปเนียนโอบนียนกอดเพื่อนจงอินอยู่กลางวง

     

    “เสียงดังจังเลย” จื่อเทาบ่นงุบงิบหมุนเก้าอี้ของคนที่นั่งโต๊ะติดกับคยองซู(เจ้าของโต๊ะบ้าบอล)จนเบื่อ จึงควักโทรศัพท์มือถืออกมากดเล่น เซฮุนซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ของชานยอลจึงแอบโผล่หน้าดูจอจากข้างหลัง

     

    “อ้าว เดี๋ยวนี้ไม่กลัวคริสฮยองแล้วเหรอ คุยกันมุ้งมิ้งเชียว” เซฮุนเอ่ยถามเพื่อนที่ถูกจีบมาร่วมสองเดือนหน้าตายจนจื่อเทาชักมือกลับแล้วล็อกหน้าจอไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะย้ายที่ไปให้ห่างจากเซฮุนที่สุดเพื่อเอามาเล่นต่อ

     

    จนเซฮุนเกิดความคิดว่าเขาควรจะหาแฟนมาสักคน ไม่งั้นได้นั่งเป็นหมาหัวเน่ากลางวงโชว์สวีตวี้ดวิ้วของไอ้พวกติ๊งต๊องพวกนี้แน่

     

    “คริสฮยองจะมาล่ะ” จื่อเทายิ้มหวานเจี๊ยบทั้งที่ตายังจ้องโทรศัพท์อยู่เหมือนเดิม จนคยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆเอื้อมมือมาขยี้หัวด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าจะผ่านมานานขนาดไหนก็ยังเป็นคนน่าเอ็นดูเสมอต้นเสมอปลาย สมัยตอนเป็นแฟนกันก็ชอบทำตัวน่ารักใส่เขาเสมอจนบางครั้งก็สงสัยว่าตกลงใครรุกใครรับ

     

    ผ่านไปห้านาที

     

    “นี่มันอะไรเนี่ย?” คริสวางช่อดอกไม้สีฟ้าลงบนตักจื่อเทาแล้วบุ้ยหน้าไปทางกองเชียร์บอลที่ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งเอะอะโวยวายหนักขึ้น

     

    “เชียร์บอลกันไงฮยอง” เซฮุนตอบหน้าเจื่อยขณะที่คนเป็นพี่ขมวดคิ้วหมุ่น

     

    “ไม่ทำการทำงานกันรึไง แล้วนี่ยังพาทำให้คนอื่นทำงานไม่ได้อีก” เซฮุนอยากสวนเหลือเกินว่าแล้วทีตัวเองล่ะ ลงมาจื่อเทาแทบทุกวัน แต่อีกคนก็ลุกออกไปแล้ว

     

    “เฮ้! พวกนาย กลับไปทำงานกันได้แล้ว” คริสตะโกนแข่งกับเสียงเชียร์ แต่เมื่อเห็นว่าเสียงของคนๆเดียวคงสู้เสียงคนเป็นสิบไม่ได้จึงใช้วิธีเดินอ้อมไปกระชากปลั๊กคอมพิวเตอร์ออก

     

    “เหี้ย! ทำอะไรของมึงว่ะ ..ชะอุ่ย ลู่หานเผลอสบทหยาบคายแต่ทันทีที่เห็นหน้าคนชักปลั๊ก ปากก็หุบฉับลงหน้าเจื่อย

     

    “ลู่หาน นายเป็นหัวหน้าแล้วลงมาทำแบบนี้ได้ยังไง นายควรจะร็และเตือนพวกเค้าว่านี่มันเวลาทำงาน” คริสเอ็ดลู่หานที่นั่งหน้าจ๋อยอยู่กลางวง ถึงทงเฮจะเข้ามาปรามว่าเขาเป็นคนชวนเองแต่เพราะเป็นหัวหน้า ลู่หานก็ต้องถูกดุอยู่ดี หลังคริสไล่วงเชียร์บอลกระเจิงไปคนละทิศแล้วก็จัดการลากคอเสื้อลู่หานกลับขึ้นลิฟท์ไปห้องทำงานเพื่อบ่นต่อ

     

    “ไง กลับมาแล้วเหรอ” เซฮุนเงยหน้าถามเพื่อนที่เดินมาหาทั้งหน้าแดงก่ำเพราะตะโกนมากเกินไป ไม่นานเจ้าของส่วนสูงร้อยแปดสิบห้าก็เข้ามาประกบหลังจัดการรวบเอวจงอินให้เข้าไปหาแล้วเนียนคุยกับคยองซู ไอ้คนโดนลวนลามนี่ก็ปัดไปเหอะ

     

    เราก็นึกว่าหลังจากมันทำใจกล้าง้อชานยอลฮยองไปแล้ววันนั้นแล้วจะพัฒนาความสัมพันธ์ ที่ไหนได้ เหมือนเดิมเป๊ะ ซึนยังไงก็ซึนอย่างนั้น ชานยอลฮยองเนียนยังไงก็ยังเนียนอย่างนั้น ชีวิตสนุกสนานดีนะสองคนนี้

     

                    เออ แต่เปลี่ยนไปนิดหน่อย ตอนแรกจากแค่เนียนๆโอบไหล่บ้าง อย่างมากก็ลูบนิดลูบหน่อยแต่เดี๋ยวนี้เริ่มหนักกว่าเดิม เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจับนู่นจับนี่ สรุปคือไอ้จงอินเปลืองตัวขึ้นกว่าเดิมสี่สิบเปอร์เซ็น แต่ผมรู้เห็นมันทำเป็นแกะมือออกทำเป็นหลบในใจมันชอบ ปล่อยไป แต่ถ้าพูดถึง จงอินก็เพ้อหนักขึ้นนะเวลาอยู่ที่บ้าน บางครั้งก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์นิ่งๆหน้าแดงๆ เรียกก็ไม่หัน

     

                    เอ๊อ รักกันเข้าไป อย่าให้มีแฟนบ้างนะ -_-

     

     

     

                    หมูสามชั้นทอดชิ้นโตถูกยัดใส่ปากโดยเจ้าตัว ตามด้วยข้าวอีกจำนวนหนึ่ง รวมปริมาณเบ็จเสร็จคือแก้มตุ่ยจนแทบเคี้ยวไม่ได้

     

                    “กินคำเล็กๆหน่อยสิ” คนตาโตหันมาเอ็ดแบคฮยอนที่ป้อนข้าวใส่ปากตัวเองทีก็ตาเหลือกที แต่อีกฝ่ายกลับทำแค่ยักไหล่น้อยๆกลับไปเหมือนไม่สนใจ แต่ก็กินข้าวคำเล็กลงนิดหน่อยจริงๆ

     

                    ตอนนี้พวกเขาหกคน คยองซู ชานยอล จงอิน เซฮุน แบคฮยอนและจงแด ลากเก้าอี้มานั่งทานข้าวกล่องทำเองจากบ้านในห้องฝ่ายขายซึ่งตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นไปจะไม่มีคนอยู่เว้นแบคฮยอนกับจงแด ช่วงนี้พวกเขาเริ่มร็สึกว่าไปหาข้าวกินตามร้านอาหารข้างล่างมันแพง มีให้เลือกก็น้อย เลยตัดสินใจต่างคนต่างทำมาจากบ้านแล้วนั่งล้อมวงเอาเนี่ยแหละ (จื่อเทามีเสี่ยเลี้ยง)

     

                    “ทำไมเอาแต่ทานหมูสามชั้นทอดกับข้าวเปล่าล่ะ มันไม่ดีต่อร่างกายไม่ใช่เหรอ” ตามประสาคนขี้เป็นห่วงคนอื่นเรี่ยราด คยองซูตักผักจากกล่องตัวเองใส่กล่องของแบคฮยอนข้างๆ

     

                    “คิดว่าฉันทำอย่างอื่นเป็นรึไง” แบคฮยอนตีสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย ก่อนจะรีบตักผักของคยองซูใส่ปากถึงแม้จะไม่ชอบเลยก็ตาม

     

                    “ก็ทีจงอินกับเซฮุนก็ทำไม่เป็น อย่างน้อยสองคนนั้นก็ทอดไข่เจียวกับกิมจิมา มีประโยชน์กว่าอีก” เพราะอันที่จริงแบคฮยอนเองก็ไม่ได้อะไรเรื่องข้าวมากนักและไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย แต่มานั่งอยู่นี่ด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือเพราะคยองซู

     

                    “งั้นเอางี้ป้ะล่ะ ตอนเช้าเดี๋ยวฉันไปทำกับนายที่ห้องเลย” จงแดเสนอไอเดียขึ้นมา แต่แบคฮยอนก็ทำท่าจะปฎิเสธเพราะไม่ชอบความยุ่งยาก ทำคนเดียวแค่หุงข้าวกับทอดหมูสามชั้นแป๊บเดียวก็เสร็จแต่ยังไม่ทันพูดอะไร เพื่อนสนิทก็ดันสวนขึ้นมาก่อน

     

                    “นายก็มากับฉันสิคยองซู เห็นบ่นเคยบ่นว่าซุปเปอร์ข้างคอนโดไอ้แบคของสดดีแต่ไม่ได้ซื้อเพราะมันไกลบ้าน นายก็มาซื้อของที่นี่เลยทำที่นี่เลย เป็นไง” คยองซูนิ่งไปสักพักก่อนจะพยักหน้าช้าๆเป็นเชิงก็ดีเหมือนกัน มินซอกจะได้เข้าบริษัทเช้าบ้าง เพราะพี่ชายขี้กังวลของเขาจะไม่ยอมเข้าบริษัทพร้อมกัน แต่มักจะให้เขาเข้าไปก่อนซักพักจึงทำเป็นพึ่งมาถึงแล้วตามเข้าไป ถ้าทำแบบนี้ก็สลับกันบ้าง มินซอกเข้าเช้า ส่วนเขาก็สายๆหน่อย

     

                    แบคฮยอนที่หุบปากเรียกร้อยแอบเห็นจงแดแอบยักคิ้วให้ ประมาณว่า ยังไงฉันก็จะหาจังหวะให้นายสองคนอยู่ด้วยกันอยู่แล้วไม่ต้องห่วงมาให้

     

                    จงแด ดีวีดีกัปตันเมกาฯที่ยืมไปวันก่อนมึงไม่ต้องคืนแล้วนะ เอาไปเลย อยากได้ไอรอนแมนสามภาคด้วยไหม? กูแถมให้

     

                    “สองคนนี้ก็มาด้วยสิ จะได้มีกับข้าวดีๆกว่านี้กิน” คยองซูหันมาชวนจงอินกับเซฮุนที่นั่งอยู่ตรงข้าม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังทำให้คนอายุน้อยกว่าทั้งคู่ถูกแบคฮยอนข่มขู่ทางสายตาเงียบๆจากด้านหลัง

     

                    “เอ่อ..

     

                    “ไม่ต้องๆ ครัวไอ้แบคเล็กจะตาย เดี๋ยวไปเบียดกันเปล่าๆ เดี๋ยวสองคนนี้ฉันไปจัดการเองก็ได้” ชานยอลพูดแทรกเซฮุนที่เหมือนไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไร เป็นการฟันกำไรให้ตัวเองด้วย จะได้เนียนไปบ้านจงอินซะหน่อย

     

                    “งั้นเหรอ” คยองซูพยักหน้ารับ พลางนึกถึงเมนูอาหารที่จะเริ่มทำพรุ่งนี้

     

     

     

     

     

                    “จะมาทำไมไม่บอกกันสักคำล่ะครับ ท่านประธานจะได้อยู่รอพบ” มินซอกกุลีกุจอส่งแขกนั่งลงกับโซฟาแล้วหันไปสั่งเลขาฯให้นำกาแฟมาเสิร์ฟ

     

                    “ไม่เป็นไรหรอก แค่แวะมาคุยเล่นๆไม่ต้องเป็นทางการอะไรขนาดนั้นก็ได้” ประธานบริษัทอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์ประเภทต่างๆ สำหรับงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งนี้เอนตัวลงกับโซฟาเอื่อยๆ

     

                    “เพิ่งได้กำไรมหาศาลไปนี่ ได้เซ็นสัญญากับบริษัทยักษ์รายใหม่เลยเห็นว่า”

     

                    “ครับ”

     

                    “บริษัทนั้นฉันก็กลัวว่าจะเป็นคู่แข่งของฉันเหมือนกันนะเนี่ย แต่ช่างเถอะ” คนศักดิ์สูงกว่ายกกาแฟขึ้นมาจิบอย่างคนไม่คิดมากพลางชวนมินซอกคุยไปเรื่อย ต่อมาไม่นานประตูห้องรับรองแขกก็เปิดออก เป็นชายอายุไล่เลี่ยกับเขา และใช่ ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกัน

     

                    “แต่งตัวบ้าอะไรของนายเนี่ย” คนที่นั่งรออยู่ก่อนตีหน้าเบ้สุดชีวิตจนคนที่เพิ่งเดินเข้ามาอยากพุ่งเข้าไปตบให้หัวหลุด

     

                    “จู่ๆก็โผล่มาไม่คิดจะบอกล่วงหน้าซักนิดรึไง”

     

                    “ก็แค่มาคุยเล่นๆ ไม่เห็นเป็นไรเลย”   

     

    โกหก ชายร่างสูงกว่าเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก ดวงตาคมกริบจ้องเพื่อนเอาเป็นเอาตายจนอีกฝ่ายชักกระดาก

     

    “อะไรของนายเนี่ย”

     

    “นี่นายโอเครึเปล่าเนี่ย จุนมยอน” เจ้าของชื่อเอียงคอนิดๆก่อนจะเอ่ยถาม

     

    “ก็โอเค ปกติ อะไรของนายเนี่ย ใจคอจะไม่ให้แวะมาหากันบ้างเลยเหรอ เพื่อนรักทั้งที”

     

    “หรา”

     

    “สาบานต่อพระเจ้าว่าถ้าไม่ได้อยู่ในเวลาราชการฉันจะกระโดดเตะนาย” จุนมยอนชี้นิ้วใส่หน้าเพื่อน ซึ่งสำหรับอีกคนมันไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

     

    “ว่าแต่นายเหอะ อะไรเนี่ย เครียดจนเปลี่ยนบรรยากาศไปอยู่ฝ่ายบุคคลเหรอ แล้วนี่ใครบริหารเนี่ย มินซอกรึไง” จุนมยองชี้ป้ายชื่อที่ห้อยไว้ตรงอกของเพื่อนสลับกับรองประธานที่ยืนอยู่ข้างโซฟา

     

    “มีเหตุผลน่า ก็ทำงานผ่านมินซอกไง”

     

    “ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างนายจะเป็นหนึ่งในบริษัทที่เขาว่ากุมทิศทางของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ไว้ ถ้าคนอื่นรู้ว่าประธานบริษัทมันทำตัวแปลกๆแบบนี้นี่ไปหมดเลยภาพลักษณ์” จุนมยองไม่สนสายตาเชือดเฉือนจากเพื่อน ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือราคาแพง

     

    “ฉันต้องไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะไอ้คริส” คนตัวขาวโบกมือลาแล้วเดินชิวออกจากห้องรับรองแขกท่ามกลางสายตาสองคู่ที่มองตาม

     

    “ไปเช็คมาได้ไหม? มินซอก” คริสที่หันกลับมาทางเดิมพยักเพยิดหน้าไปทางประตูซึ่งจุนมยอนเพิ่งจะเดินออกไป

     

    “ครับ” รับคำเสร็จรองประธานก็ค้อมตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้อง ลับหลังลูกน้อง คริสเท้าแขนทั้งสองข้างลงกับเข่าของตัวเองมือทั้งสองข้างกุมกันจรดริมฝีปากอย่างไม่สบายใจ

     

                    จุนมยอนดูแปลกไป.. จริงๆ และเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเพราะอะไร   

     

     

     

                   

                    ว่าแต่เหมือนจะลืมถามว่าทำไมต้องปลอมตัวเป็นพนักงานฝ่ายบุคคลในบริษัทของตัวเอง จุนมยอนลูบคางอย่างครุ่นคิดในลิฟท์คนเดียว

     

                    คงเพราะคริสมักชอบการทำงานที่บ้าน เข้าบริษัททีก็เข้าเช้ากว่าคนอื่นแล้วก็ขลุกอยู่ในนั้นทั้งวัน จนกระทั่งดึกถึงจะกลับบ้าน คนที่รู้ว่าเขาเป็นประธานบริษัทก็จะมีแต่คนตำแหน่งสูงๆหรือพวกที่ทำงานมานานแล้ว อันที่จริงถ้าจะให้นับ ไม่รวมชานยอลกับแบคฮยอนที่ตอนมัถยมเรียนโรงเรียนเดียวกัน คนที่รู้ก็ไม่ถึงสี่สิบคนจากทั้งบริษัท

     

                    จุนมยองโทรตามคนขับรถให้มารับ แต่กว่าจะมาถึงก็คงสักพักเพราะถนนแถวนี้กำลังจะมีการตัดใหม่ การจลาจรจึงติดขัด ก็เลยถือโอกาสเดินเล่นในบริษัทของเพื่อนสมัยเด็กซะหน่อย จะว่าไปแล้ว ยังอยู่ที่ชั้น 12 เหมือนเดิมรึเปล่าน้า~

     

                    จุนมยองกดปุ่มเลข 12 ซึ่งไม่ทันเพียงเสี้ยววินาทีเดียวลิฟท์ก็เลยชั้นที่ต้องการลงไปแล้ว จึงเสียเวลาลงไปถึงชั้นหนึ่งและกลับขึ้นมาใหม่

     

                    เพราะไม่ได้มาซะนานจึงจำไม่ได้ว่าฝั่งไหนเป็นฝั่งไหนเลยเลือกฝั่งขวาตามที่ตนเองถนัด เมื่อเปิดประตูเข้าไปจึงเริ่มมองหาคนคุ้นหน้าทันที

     

                    “เฮ้ย!! จุนม่า! เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์เรียกให้จุนมยองสะบัดหน้ากลับไปดูก็พบเพื่อนรุ่นน้องส่วนสูงเกินหน้าเกินตากระโดดกอดใส่จนเซไปหลายก้าว

     

                    “ชานยอล.. ฮยองจะตายแล้ว” จะตายในทีนี้คือจะตายจริงเพราะไอ้คนกอดนี่ก็แรงเยอะจนเขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจิ้งจกถูกบานประตูทับ

     

                    “จุนม่ามาไงอ่ะ”

     

                    “ก็ว่างๆเลยมาหาคริส”

     

                    “เออ คริสฮยองอยู่ฝ่ายบุคคลนะครับ รู้แค่ผม แบค กับพี่นะ” ไอ้นี่ก็รู้เห็นเป็นใจด้วยเรอะ

     

                    “เออ รู้แล้ว เป็นไงบ้าง สบายดีไหม ?แบคฮยอนล่ะ”

     

                    “อยู่ฝั่งนู้น ฝ่ายขายนู่น ฮยองมานี่ก่อนมา” ชานยอลลากคนตัวขาวให้มาตามแรงดึง เพื่อไปยังกลุ่มที่ตอนแรกยืนคุยกับอยู่

     

                    “เฮ้ๆทุกคน นี่จุนมยอนฮยอง เพื่อสนิทคริสฮยองสมัยมัถยม เอ้า ลูบหัวซะ” ว่าจบชานยอลก็เด้งตัวหนีเพื่อนรุ่นพี่คนสนิททันทีก่อนจะเดินกลับมาร่วมวงสนทนาต่อ

     

    “นี่คนนี้ตัวเล็กๆตาโตๆชื่อคยองซู ถัดไปจงอินคนนี้พี่ห้ามจีบนะครับ ถัดไปเซฮุน แล้วนี่จื่อเทา” หลังจากคุยทำความรู้จักกันไปพักใหญ่ๆ ชานยอลก็ลากรุ่นพี่ตัวขาวเหมือนหมาคาบตุ๊กตาไปฝ่ายขายทันทีจนคนมองตามอดรู้สึกสงสารไม่ได้

     

    “มึงอย่าไปหึงไม่เข้าเรื่องล่ะ เขาอาจจะแค่สนิทกันก็ได้” เซฮุนเอาศอกถุงสีข้างเพื่อนที่มองตามทั้งคู่ออกไปนิ่ง

     

    “กูจะหึงทำไม” คนผิวแทนทำหน้าง่วงพลางยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจซึ่งถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทก็คงดูไม่ออกว่ามันแอบงอนหน่อยๆเรียบร้อย แต่รอบนี้คงไม่นาน เพราะดูจากวิธีการง้อของชานยอลฮยองแล้วก็ไม่น่างอนจริงๆนั่นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

    “มาคอนโดฉันถูกใช่ไหม?”

     

    “อื้ม ก็เคยไปแล้วนี่”

     

    ทั้งสองคนคุยกันทั้งที่ยังนั่งหันหลังให้กัน ในบรรยากาศรอบข้างที่มืดสนิท มีเพียงไฟดวงเดียวบนหัวพวกเขากับตรงหน้าประตูฝ่าย

     

    “พรุ่งนี้อยากกินอะไรล่ะ”

     

    “หืม? อะไร?” แบคฮยอนหมุนเก้าอี้กลับไปหาอีกคนอย่างไม่เชื่อหู

     

    “พรุ่งนี้อยากกินอะไร จะได้ซื้อวัตถุดิบขึ้นไป”

     

    “กะ..ไก่ตุ๋นโสม..

     

    “บ้านนายสิ! ทำข้าวกล่องไก่ตุ๋นโสม!  คยองซูหมุนเก้าอี้กลับมาประจันหน้า

     

    “เอ๊า! ก็ถามว่าอยากกินอะไร ก็ฉันอยากกินอ่ะ คราวหน้าก็บอกดิว่าหมายถึงข้าวกล่อง!” แบคฮยอนตะคอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทั้งสองคนจ้องตากันเหมือนแมวที่กำลังจะกัดกัน

     

    “ให้ตายสินายสองคนเนี่ย” -*- จงแดซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้างๆแบคฮยอนต้องเสียสละเอาตัวผ่ากลางเพื่อห้ามมวย

     

    วันนี้เขากับแบคฮยอนอยู่ทำโอทีกันเพราะอี้ชิงกำลังจะทำโปรเจ็คใหญ่จึงถูกขอร้องให้ช่วย ทำไปทำมาพอทุ่มครึ่ง คยองซูก็โผล่เข้ามาตัวสั่นบอกว่ายามไม่รู้ว่าเขายังอยู่เลยปิดไฟ ซึ่งคยองซูก็กลัวความมืดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาเลยชวนแบคฮยอนไปนั่งทำโอทีที่ฝ่ายบัญชีเป็นเพื่อนคยองซูซะเลย

     

                    แบคฮยอนโล่งใจเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะยังไม่มีใครรู้ว่าขาหาเรื่องมาอยู่ดึกกับคยองซูทุกครั้งจนชิน และนั่นก็เป็นสาเหตุที่คยองซูตัดสินใจเดินมาฝ่ายชายแทนทีจะวิ่งลงลิฟท์กลับบ้าน

     

                    เพราะชินแล้วกับความรู้สึกว่าตอนนี้ไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วจะต้องมีแบคฮยอนอยู่ข้างๆทุกครั้ง ซึ่งก็น่าแปลกที่ไม่เคยผิดหวังเลย (แค่คราวนี้มีจงแดแถมมาหนึ่งคน)

     

                    จนกระทั่งดึกมากแล้ว ทั้งสามพากันหยุดทำงานแล้วเดินปิดไฟ ซึ่งเป็นความบัดซบของแบคฮยอนมาก เมื่อคยองซูที่ควรจะกลัวความมืดจนเข้ามาเบียดเขา ดันไปเบียดไอ้จงแดแทน รอลิฟท์นี่ก็มางุ้งงิ้งๆกันอยู่ข้างๆเนี่ย

     

                    คืนกัปตันเมกาฯกูมาเดี๋ยวนี้เลย ไอร่อนมงไอร่อนแมนก็ไม่ต้องเอาและ ไอ้เพื่อนเลว

     

                    แบคฮยอนฮึกฮัดในใจจนกระทั่งลิฟท์จอดตรงชั้นหนึ่ง จงแดซึ่งเสียวสันหลังวูบเพราะสายตาอาฆาตจากเพื่อนสนิทมาตั้งแต่ชั้นสิบสองยันชั้นหนึ่งจึงทำเป็นบอกว่าต้องกลับอีกทางก่อนจะปล่อยให้แบคฮยอนพาคยองซูกลับบ้านกันไปสองคน

     

                    แบคฮยอนกับคยองซูตัดสินใจซื้อมื้อดึกเบาๆแก้หิวกันที่ร้านสะดวกซื้อข้างทางก่อน

     

                    เบามากคยองซูจ้องตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยห่อขนมต่างๆนาสลับกับหน้าของคนที่ขนของใส่ตะกร้าราวกับจะไปอยู่หลุมหลบภัยสักเดือน

     

                    “อ้วน”

     

                    “เฉยเหอะ”

     

                    ทั้งคู่พากันไปยังเคาน์เตอร์คิดเงิน กับตะกร้าของแบคฮยอนและซาลาเปาลูกเล็กๆหนึ่งลูกของคยองซู ขณะที่พนักงานกำลังคิดเงินอยู่ก็ทำให้แบคฮยอนหงุดหงิดปานกลางถึงมาก เมื่อผู้หญิงอายุประมาณนักศึกษามหาลัยปีหนึ่งปีสองเอาแต่จ้องคยองซูตาเยิ้ม สิงได้คงสิงไปแล้ว

     

                    “โอปป้าสองคนมีแฟนรึยังคะ” นั่นไง นั่นไงครับ มันถามสองคนแต่ไม่มองกูเลย

     

                    “ยั..” ไม่ทันจบคำแขนอวบๆของแบคฮยอนก็ตวัดมาโอบไหล่แคบไว้แล้วรั้งเข้าหาตัว

     

                    “แบบเรียบหรือขรุขระดีครับวันนี้” คยองซูนิ่งไปซักพัก เมื่ออีกคนชี้ไปทางโซนขายถุงยางอนามัยที่อยู่ข้างๆ คนตัวเล็กกว่ามองตามมือก่อนจะย้อนกลับมามองหน้าของคนที่โอบไหล่เขาไว้ ทำไมก็ไม่รู้เห็นสีหน้าของแบคฮยอนตอนนี้แล้วคยองซูก็เกิดพูดอะไรไม่ออกขึ้นมา

     

                    “งั้นขรุขระละกัน อันนี้ด้วยนะครับ” แบคฮยอนยิ้มเรียบให้กับพนักงานสาวที่หน้าเสียไปแล้วก่อนจะคิดเงินแล้วพากันเดินออกมา

     

                    บนถนนซึ่งมีเสาไฟตั้งอยู่ตลอดทาง อากาศอุ่นๆของหน้าร้อน บรรยากาศมืดๆ บอกได้เลยว่า ..เงียบ

     

                    แบคฮยอนได้แต่กรีดร้องดิ้นเร่าๆอยู่ในใจว่าเมื่อกี้ทำอะไรลงไปวะ จะแถอะไรดีตอนนี้ คยองซูก็ดันเงียบไปซะงั้น ช่วยเหวี่ยงใส่วีนใส่ ถามสักหน่อยก็ได้ว่าทำแบบนั้นทำไม ต่อยได้เตะได้เลยยิ่งดี อย่าเงียบไปแบบนี้สิ

     

                    แล้วประเด็นคือเพราะบรรยากาศมันมืดนิดหน่อยถึงจะไม่เท่าตอนอยู่บนตึก แต่ปกติคยองซูจะเข้ามาเดินใกล้ๆระยะห่างไม่เกินหนึ่งก้าว แต่นี่คือเบ็จเสร็จสามก้าวเป๊ะๆ คืออะร๊าย!

     

                    อีกคนที่เอาแต่สับสนจนไม่ทันสังเกตว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยไม่แคร์โลกของคนข้างๆ ข้างในคือแทบจะทรุดลงกับพื้นแล้ว

     

                    “เฮ้”

     

                    “?”

     

                    “อย่ามามองฉันอย่างนั้นนะ ไอ้ชานยอลมันมาเล่าให้ฟังว่าเด็กร้านนั้นเป็นเด็กล่าแต้มฟันผู้ชาย ฉันก็แค่นึกสงสารไม่อยากให้นายไปติดกกับคนพรรค์นั้นเฉยๆน่า” ขอโทษนะน้องที่ใส่ร้าย เดี๋ยวต่อจากนี้พี่จะไปซื้อนมกินวันละสองกล่องเลย

     

                    “อ๋อ งั้นเองเหรอ” จะดีใจหรือเสียใจดีที่คยองซูดูผ่อนคลายขึ้นแถมขยับเข้ามาเดินใกล้ๆเหมือนเดิมแล้ว

     

                    “งั้นขอบใจ” คยองซูอมยิ้มน้อยๆขณะแหงนหน้ามองคนที่สูงกว่าตัวเองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอาสอดแขนเข้าไปเกี่ยวกับแขนอวบแล้วบดแก้มลงกับไหล่ของแบคฮยอน แล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี

     

                    นั่นสิ สรุปจะดีใจดีหรือเสียใจดี ตอนนี้คือถ้าคยองซูไม่ลากก็ก้าวขาไม่ออกกันเลยทีเดียว แบคฮยอนกัดฟันแน่นเพื่อป้องกันเสียงกรี๊ดเล็ดรอดออกมา

     

                   

                   

     

     

     

     

     

                    “กลับมาแล้วครับ” คยองซูบอกคนรับใช้ที่มายืนรอรับหลังจากเปิดประตูเข้าบ้าน

     

                    “มินซอกฮยองนอนแล้วเหรอครับ?”

     

                    “อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ เห็นบอกว่าทำงานอยู่ เมื่อกี้ป้าเดินผ่านหน้าห้องยังมีไฟลอดออกมาจากประตูห้องคุณหนูมินซอกอยู่เลยค่ะ” ป้าหัวหน้าแม่บ้านซึ่งอยู่เป็นคนรับใช้คนบ้านหลังนี้มากว่ายี่สิบปีเอ่ยตแบ

     

                    “ขอบคุณครับ” คยองซูตัดสินใจฝากกระเป๋าสีดำของตรเองให้คนรับใช้คนหนึ่งเอาขึ้นไปเก็บบนห้อง ก่อนจะเข้าครัวไปทำโกโก้ร้อนให้พี่ชาย เพราะอีกคนคงทำงานดึกจนลืมเวลาอีกแล้ว

     

                    “ฮยอง เข้าไปนะครับ” ประตูไม่ได้ล็อกไว้เมื่อเปิดเข้าไปก็เจอพี่ชายแท้ๆนั่งเอนตัวลงแล้วเอาหนุนพนักเก้าอี้ มือยกขึ้นมาก่ายหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อน แต่เมื่อรู้สึกถึงน้องชายที่ก้าวเข้ามา เขาก็กลับมานั่งดี

     

                    “แต๊งค์กิ้ว คยอง” มินซอกรับแก้วโกโก้ร้อนจากน้องชาย มาเป่าแล้วยกจิบ

     

                    “กลับมากับใครล่ะวันนี้”

     

                    “แบคฮยอนครับ”

     

                    “อืม..อีกแล้วเหรอ นี่เราสองคนสนิทกันเหรอ”

     

                    “ก็..ไม่เชิงนะครับ แต่บังเอิญทำโอทีพร้อมกันบ่อยๆ”

     

                    “ทุกครั้งเลยอันที่จริง เวลาคยองซูกลับดึกน่ะ นานๆทีหนึ่งปีสามหนเองไม่ใช่เหรอจะมีคนอื่นมาส่งหรือกลับคนเดียวไม่ใช่เหรอ” มินซอกแอบอมยิ้มให้สีหน้าครุ่นคิดของคยองซู

     

                    “อันที่จริงก็ใช่นะครับ อืม..งั้นอาจจะสนิทมั้ง”

     

                    บื้อจัง น้องใครเนี่ย

     

                    “คยองไปนอนปะ เดี๋ยวมินซอกฮยองจะทำงานต่ออีกนิดหน่อย” จบคำคนเป็นพี่คยองซูก็หมุนตัวกลับแต่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหมุนตัวกลับมาสรุปครบสามร้อยหกสิบองศา

     

                    “พรุ่งนี้ผมเข้าบริษัทช้านะครับ จะไปทำข้าวเที่ยงที่บ้านเพื่อน”

     

                    “อื้ม งั้นฮยองเข้าก่อนนะ เพื่อนนี่คนไหนเหรอ”

     

                    “แบคฮยอนครับ” มินซอกพยักหน้ารับก่อนจะหันกลับเข้าโต๊ะต่อ คยองซูซึ่งหมดธุระคราวนี้จึงหมุนตัวอีกแต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อจู่ๆพี่ชายที่หันหลังให้อยู่เอ่ยออกมา

                    “รู้จักแล้วใช่ไหม คุณจุนมยอนน่ะ”

     

                    “อื้ม”

     

                    “ห้ามยุ่งกับคนคนนั้นน่ะ”

     

                    “ครับ?”

     

                    “เตือนเพื่อนนายด้วย ทุกคนเลย”

     

                    “ทำไมล่ะครับ?” เพราะเท่าที่ดู ในสายตาคยองซูจุนมยอนก็ดูเป็นคนดี มีภูมิฐาน แถมยังดูเป็นผู้ใหญ่น่าเชื่อถือ ยิ่งเห็นหยอกกันเล่นกับชานยอลดูสนุกสนานดีอีก

     

                    “ไม่รู้จะดีต่อตัวนายมากกว่าอันที่จริง ในช่วงเวลาแบบนี้นายไม่น่าไปรู้จักเขาเลย” คยองซูได้แต่กระพริบตามองแผ่นหลังของพี่ชายที่สุดท้ายก็ไม่ได้รับคำตอบข้อสงสัยอะไรกลับมาเลย





     

    เช้าวันต่อมา

                   

                    ชายคนหนึ่งกำลังเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ในห้องของตัวเอง เพื่อนเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง หลังจากตื่นขึ้นมาจัดห้องตั้งแต่ตีสอง พยอนแบคฮยอนที่ค่อนข้างมั่นใจในความสะอาดของห้องตัวเองแล้ว เหลือบมองนาฬิกา เป็นเวลาตีห้าสี่สิบ คยองซูกับจงแดน่าจะมาถึงราวๆหกโมงตรง คิดได้ดังนั้นจึงพุ่งเข้าห้องอาบน้ำไป

     

                    ผ่านไปกว่าสิบห้านาทีแบคฮยอนเดินตัวแดงออกมาจากห้องอาบน้ำเพราะเพิ่งผ่านกรรมวิธีขัดผิวตัวเองอย่างฮาร์ดคอร์กะว่าหนังหลุดลอกคราบเป็นดักแด้แล้วตัวจะโตขึ้นไรงี้? เดินไปแต่งตัวเป็นชุดนอนอีกรอบเพื่อนตอแหลว่ายังนอนอยู่เพิ่งตื่น คยองซูจะมานี่ไม่ได้ตื่นเต้นเลยนะเนี่ย

     

                    หลังจากนั่งจ้องขู่นาฬิกาอยู่นานสองนานในที่สุดก็ได้ยินเสียงเคาะประตูหน้าห้องและเสียงแหลมๆของเพื่อนสนิท แบคฮยอนขยี้เตียงยับแล้วนับหนึ่งถึงห้าไปเปิดประตู พลางหาวหวอด

     

                    “รีบมากันจัง กูพึ่งตื่นเนี่ย” พูดกับสองคนหน้าห้องก่อนจะหลบทางให้ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้อง

     

                    พึ่งตื่นบ้านนายใส่เยลเซ็ตผมเป๊ะขนาดนั้นเลยเหรอวะ จงแดเหล่มองเพื่อนด้วยหางตาขณะเอาสารพัดถุงไปวางไว้ในห้องครัว

     

                    “ฝากทำของฉันหน่อยนะ โทษที ต้องรีบออกไปส่งยาให้คุณยายที่ต่างจังหวัด โทษทีนะ โทษทีๆ เดี๋ยวจะรีบกลับมา” จงแดรีบขอโทษขอโพยคยองซูแล้ววิ่งออกไปโดยไม่รอให้อีกฝ่ายหายงงก่อน

     

                    ซักพักหลังจากเรียบเรียงเรื่องราวเสร็จคยองซูก็ยักไหล่

     

                    “ไปช่วยฉันทำแทนจงแดละกัน” คยองซูลากต้นแขนแบคฮยอนเข้าไปในครัวขนาดเล็ก ขนาดยืนกันสองคนยังรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย คยองซูจัดการนำเตรียมวัตถุดิบทันที

     

                    “นายจะกินหมูผัดกิมจิใช่ไหม? เขย่าป้ะ?”

     

                    “อื้ม เขย่า” คยองซูพยักหน้ารับแล้วส่งเขียง มีด และผักบางส่วนให้แบคฮยอนจัดการหั่น ส่วนตัวเองก็เตรียมปรุงอาหารอยู่อีกฝั่ง ปล่อยแบคฮยอนให้ยืนมองมีดในมืออยู่ข้างหลัง

     

                    ทำกับข้าวด้วยกันอย่างกับคู่แต่งงานใหม่เลยว่ะ   

     

                    “นะนายจะไม่ฆ่าฉันใช่ไหม?” คยองซูที่หันมาเห็นช็อตแบคฮยอนยิ้มเพราะความฟิน ถ้ายิ้มเฉยๆมันก็ดูละมุนมุ้งมิ้งดีอยู่หรอก แต่ถือมีดแล้วยิ้มให้มีดนี่ดูโรคจิตอย่างแรง แต่ดูเหมือนไอ้อีกคนนั่นจะไม่รู้ตัวเลยหันมามองหน้าคยองซูงงๆ ทั้งสองคนขมวดคิ้วจ้องหน้ากันสักพักเพราะไม่เข้าใจพฤติกรรมของอีกฝ่าย แต่จะยืนอยู่แบบนี้ตลอดเดี๋ยวก็ได้ไปทำงานสาย ต่างคนจึงเริ่มลงมือทำส่วนของตัวเองต่อ

     

                    “อืม..หมูผัดกิมจิเขย่าหนึ่งกล่อง ข้าวยำเขย่หนึ่งกล่อง แล้วก็ข้าวแกงกระหรี่เขย่าหนึ่งกล่อง.. คยองซูพึมพำถึงเมนูของวันนี้ แบคฮยอนที่อยู่ไม่ไกลจึงได้ยินง่ายๆ ตาเรียวจ้องแผ่นหลังเล็กๆบอบบางของคยองซูแล้วเริ่มละเมอเพ้อพก

     

                    คยองซูจะทำมีดบาดนิ้วตัวเองแบบในซีรีย์รึเปล่าน้า.. แต่นั่นมันนางเอก ถ้าทำจริงแล้วเข้าไปเลียนิ้วห้ามเลือดแบบพระเอกนี่จะโดนหมัดสวนรึเปล่าวะ แรงยิ่งเยอะๆอยู่ เคยโดนฟาดแล้วถึงกับม่วงเลย -_- สงสัยต้องปฐมพยาบาลตามปกติ เพื่อความปลอดภัยของชีวิตซะหร่อย

     

                    ฉุบ

     

                    นั่นไง เสียงมีดสับโดนเนื้อ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละครสินะ ทำอาหารเก่งแค่ไหนพออยู่กันสองคนสุดท้ายก็ต้องทำมีดบาดนิ้วตัวเองอยู่เรื่อย แบคฮยอนทรุดตัวนั่งลงพลางยิ้มอย่างผู้ชนะแล้วหัวเราะหึๆในลำคออกมา

     

                    แต่ทำไมคนที่โดนมีดบาดถึงเป็นกูวะ..

     

                    “แบคฮยอน! เป็นอะไรอ่ะ”  O_o

     

                    มีดบาดไงครับที่รัก ไม่เห็นเลือดบนนิ้วกูเหรอ

     

     

     

     

     

                    “แสบๆๆๆๆๆๆ แสบโว้ยยยย”              

     

                    “เป็นผู้ชายก็ทนหน่อยสิ” ในชีวิตจริงมันไม่มีหรอกครับเอาลิ้นเลียแผล แสบโคตรพ่อขนาดนี้เลียมาได้มีสวนให้ ยังไงก็ต้องมาจบที่ห้องเตียงกับกล่องปฐมพยาบาลอยู่ดี (ห้องแคบ ไม่มีโซฟา)

     

                    “แอลกอฮอล์เค้ามีไว้เช็ดรอบแผลไม่ใช่เหรอ ราดมาแบบนี้เป็นใครก็ดิ้น”

     

                    “ก็ไม่เห็นไรเลย สะอาดดีออก” ไม่ใช่คยองซูนี่มึงปากแตกไปแล้วนะครับเอาจริงๆ คนไหล่แคบพันพลาสเตอร์ลายการ์ตูนโพโรโระลงบนนิ้วของแบคฮยอน พลางยิ้มขำเล็กน้อยเพราะไอ้ลายสติ๊กเกอร์นี่มันก็น่ารักแอ๊บแบ๊วซะ.. ตอนซื้อคือไม่ได้คิดอะไรไง หยิบอันไหนได้ก็เอาเลย

     

                    “ยิ้มอะไรมิทราบ” เสียงเข้มถามคยองซูที่จับมืออีกคนขึ้นมาพลิกดูระดับใบหน้าเพื่อเช็คความเรียบร้อย จนไม่ทันรู้ตัวว่านิ้วมือทั้งห้าของทั้งสองคนกำลังประสานกันหลวมๆอยู่

     

                    “ป่ะ ทำต่อ อย่าให้มีดบาดอีกล่ะ คิๆๆ” คยองซูหัวเราะจนตาหยี ปากเป็นรูปหัวใจ แล้วเดินกลับไปห้องครัวโดยไม่รอจนลับหลังไป แบคฮยอนได้โอกาสจึงเอามือข้างที่คยองซูทำแผลให้ขึ้นมาดม

     

                    กะว่าจะไม่ล้างมือแล้วปีนี้

     

     

                   

    Talking Time 70%
    ตอนแรกนั่งคิดอยู่ว่าจะเอารูปไรขึ้นดี
    ในใจแว่บนึงบอกว่า DUREX สิ
    ได้แต่นั่งด่าตัวเองว่าอิบร้า 555555
    แชปนี้มาพร้อม Promote Video นะคะ
    แปะไว้หน้าแรกของบทความเลย
    ใครว่างๆอยู่ไปดูได้นะคะ หรือจิ้มมันตรงนี้เลยก็ได้ 555555 

    SQWEEZ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×