ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] Tsundere Boy รักนี้ต้องง้าง(ปาก) {BaekDo}{ChanKai}

    ลำดับตอนที่ #3 : [c h a p t e r . 03] - - - - 1 0 0 %

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 57


     




     

     






     

                    “เฮ้ย แบค อ่านหนังสือบนรถสายตามันจะเสียเอานะ” แบคฮยอนพยักหน้าส่งๆให้เพื่อนทั้งที่ไม่ได้เงยหน้ามอง

     

                    “ว่างๆก็ทบทวนสคริปท์ดิเฮ้ย”

                    “เออ”

                    “ จงแดที่หมดคำจะพูดเหลือบมองเพื่อนสนิทรุ่นเดียวกันที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาสนใจหนังสือ ‘1080 วิธีสร้างความประทับใจ พัฒนาความสัมพันธ์ มาตั้งแต่เมื่อกี้ด้วยหางตา ไอ้ชื่อหนังสือนี่ก็แลดูดีเนอะ แต่จากที่ไปช่วยมันยืนเลือกเมื่อกี้ยังไงในเล่มมันก็แค่หนังสือรวมวิธีจีบสาวธรรมดาล่ะว้า -_-

                   

                    “กับการทำงานนายตั้งใจแบบนี้ป้ะ?”

     

                    “ขับรถไป”

     

                    โอเค๊ ไม่คุยด้วยก็ได้ -_-

     

                    จงแดถอนหายใจ กลับมาตั้งสมาธิกับถนนข้างหน้าต่อ วันนี้พวกเขารับหน้าที่เป็นวิศวกรการขายชั่วคราว หลังจากวิศวกรการขายคนเดิมประสบอุบัติเหตกระทันหัน อุตสาห์นัดวันเวลาไว้อย่างดีแล้วด้วย จางอี้ชิงจึงส่งพวกเขามาแทน เพราะนอกจากจะเป็นพนักงานวิเคราะห์การตลาดที่จัดว่าว่างสุดในฝ่าย เขาสองคนก็ได้รับความไว้วางใจในเรื่องทักษะการพูดและไหวพริบที่ดีเยี่ยม ถึงจะไม่ใช่พนักงานเซลล์ แต่พอมีงานด่วนหรืองานใหญ่พวกเขาก็ถูกเลือกไปรับหน้าทันที

     

                    เป็นคำยืนยันที่ดีว่าทั้งสองคนมีสิทธิ์ได้เลื่อนขึ้นไปทำงานในตำแหน่งใหญ่ๆในอนาคตสูงมาก

     

                    “สรุปจากที่นายเล่า ฉันว่าจื่อเทาก็ยังไม่ดูเหมือนจะจีบคยองซูเลยนี่ ก็เหมือนคนคุยกันธรรมดาๆ”
     

                    “ไม่ ฉันจะไม่วางใจจนกว่าไอ้แผนที่ชายชานยอลบอกว่าได้ผลดีนักหนานั่นจะสำเร็จเป็นรูปธรรมซะก่อน”

     

                    “อย่างน้อยๆนายก็ตั้งใจทำงานหน่อยสิ อนาคตจะได้เลี้ยงคยองซูได้ไง”

     

                    “เหอะ” แบคฮยอนกระแทกหนังสือลงกับตักเหมือนมีเรื่องจะเถียง แต่สุดท้ายก็คุ้ยสคริปท์นำเสนอสินค้าขึ้นมาทบทวนจริงๆ

                   

                    ไอ้นี่ บทจะหลอกง่ายก็หลอกง๊ายง่าย -_-

     

     

     

     

                    “ดอกไม้สำหรับคุณครับ” ช่อดอกไม้ช่อใหญ่โดยมีธีมหลักเป็นสีฟ้าถูกวางบนโต๊ะตรงหน้าเด็กหนุ่มที่กระพริบตาปริบๆ

     

                    “ผมรู้จักคุณเหรอ?”

     

                    “เดี๋ยวก็รู้จักครับ รู้จักกันทั้งชีวิตเลย” ชายร่างสูงในชุดมีสไตล์ราคาแพง ถอดแว่นตาดำที่ใส่มาเพื่อ? อยู่ในอาคารมันไม่มีแดด ก่อนจะเท้าแขนลงกับที่กั้นแล้วขยิบตาให้คนที่เอนตัวขยับหนีจนหลังชิดพนักเก้าอี้

     

                    “ชื่ออะไรครับเราน่ะ”

     

                    “เทา ฮวางจื่อเทา”

     

                    “คนจีนเหรอ ดีจัง ผมก็คนจีน อู๋อี้ฟานครับเรียกคริสก็ได้ อยู่ฝ่ายบุคคลครับ” จื่อเทาพยักหน้าหงึกๆพลางเลื่อนเก้าอี้ถอยหลังเพื่อขยับหนีใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

     

                    “อ่ะ..เอ่อ” อีทงเฮซึ่งกำลังนั่งคุมงานให้เด็กใหม่อ้าปากค้างก่อนจะพูดออกมาอึ้งๆ คริสเหลือบมองก่อนจะขยิบตาให้ แล้วกลับมาจ้องหน้าจื่อเทาที่ถอยจนติดกับโต๊ะของพนักงานอีกคนข้างหลัง เห็นดังนั้นชายร่างสูงจึงเดินอ้อมโต๊ะมาลากเก้าอี้จื่อเทาให้กลับเข้าที่เหมือนเดิมแล้วหมุดเก้าอี้ให้มาประจันหน้ากัน สองแขนเท้ากับที่วางแขนของเก้าอี้ กักตัวคนนั่งไม่ให้ไปไหน ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาพิจารณาใบหน้าของอีกคนอย่างถี่ถ้วน

     

                    “จื่อเทาจะเป็นอะไรรึเปล่าน่ะ คนนั้นใคร ดูน่ากลัวจัง” คยองซูหันมากระซิบกับชานยอล คล้ายๆกับพนักงานคนอื่นซึ่งมองไปยังจุดเกิดเหตุเดียวกันแล้วเริ่มกระซิบกระซาบ

     

                    “ก็นะ คงไม่เป็นไรหรอก” ชานยอลยิ้มแห้งๆหลังจากรุ่นพี่คนสนิทสมัยเรียนตกลงมารุกจื่อเทาเพื่อให้แบคฮยอนสบายใจตามที่ขอ แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่แกจะว่างวันนี้พอดีเล่นมาไม่บอกไม่กล่าวก็ทำเอาตกใจเหมือนกัน

     

     

                    “ จื่อเทาที่ไถลลงเรื่อยๆจนแทบจมหายไปกับเก้าอี้ได้แต่ตาลีตาเหลือกไปทั่ว จะขยับหนีไปไหนก็ไม่ได้ จะถีบหรือผลักออกก็ไม่ได้ทั้งที่ปกติทำไปนานแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้ถึงจะทำหน้าสบายๆแต่ให้ความรู้สึกกดดันแปลกๆ เหมือนงูจ้องกบ

     

                    คริสกรีดยิ้มร้ายออกมาอย่างถูกอกถูกใจ นั่นยิ่งทำให้จื่อเทาหน้าซีดขึ้นไปอีก

     

                    “เดี๋ยวตอนเย็นจะมารับไปส่งที่บ้านนะครับ อย่า-หนี-ล่ะ” ร่างสูงผละออก หมุนเก้าอี้จื่อเทาให้กลับแล้วผลักให้เข้าที่เหมือนเดิม มือหนาหยิบแว่นดำซึงเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อมาสวมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้จื่อเทามองตามอ้าปากค้าง

                   

                    “อะไรอ่ะ? ทำไมอ่ะ?” จื่อเทาเขย่าแขนทงเฮซึ่งนั่งเงียบๆมาตั้งแต่เมื่อกี้

     

                    “น่านะเทาเทา”

     

                    น่านะอะไรเล่า!?

     

                    ชานยอลแอบหยิบโทรศัพท์ออกมาไลน์หาเพื่อน

     

                    แบค มึงไม่ต้องห่วงแล้วแหละ ท่าทางเฮียแกจะปิ๊งว่ะ กูว่าลักษณะนี้เฮียลุยเต็มสตรีม เทาเทาไม่น่ารอดหรอกว่ะ

     

                    กดส่งไป ก็มีคนอื่นทักมาพอดี พอกดไปดูก็ใช่อย่างดีเขาคิดจริงๆด้วย

     

                    เฮ้ยไอ้ยอล! น่ารักว่ะ ฮยองจะเอาคนนี้

     

                    ครับ เอาไปเลย นั่นแฟนเก่าเด็กไอ้แบคมัน

     

                    เออ งั้นฮยองไม่ต้องเกรงใช่มะ? ฮยองอยู่ฝ่ายบุคคลนะ อย่าลืม

     

                    “คร้าบ”  

     

     

                    “มีอะไรเหรอชานยอล”

     

                    “เปล่าๆ ไม่มีอะไรๆ” คยองซูขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเมื่อชานยอลมองเขาแล้วหัวเราะแปลกๆแต่เค้นคอไปก็คงไม่มีประโยชน์จึงหันกลับมาสนใจงานต่อ

     

     

                   

     

                    เวลาเลิกงานห้าโมงเย็น พนักงานกินเงินเดินลุกพรึ่บราวกับกดสวิตช์เป็นภาพชินตาซึ่งที่ไหนก็มี แต่วันนี้ก็ยกเว้นคยองซูอีกเช่นเคย

     

                    “ทำโอที(ล่วงเวลา)อีกแล้วเหรอ ขยันจังนะนาย” ชานยอลจัดเนคไทให้เข้าที่พลางมองเพื่อนที่ยังคงนั่งทำงานต่อไม่สะทกสะท้านแม้เพื่อนร่วมงานหลายคนจะทยอยพากันไปที่ลิฟท์แล้ว

     

                    ชานยอลมองตามจื่อเทาที่ถูกคริสลากตัวออกไปอย่างที่ว่าจริงๆว่าจะมารับ ก่อนจะหันกลับมาบอกลาเพื่อนตัวเอง

     

                    “กลับก่อนนะ ดูแลตัวเองดีๆล่ะ อยู่คนเดียวดึกดื่นน่ะ”

     

                    “อื้ม ขอบใจ” คยองซูโบกมือบ๊ายบายส่งเพื่อน  ที่นั่งทำโอทีบ่อยๆก็เพราะมันได้เงินพิเศษเนี่ยแหละ แถมยังได้พิจราณาเพิ่มโบนัสเป็นกรณีพิเศษอีก ช่วงวัยไฟแรงๆก็ต้องรีบหาเงินไว้ ก่อนจะหมดไฟซะก่อน

     

                    ผ่านไปหลายชั่วโมง คยองซูเดินไปปิดไฟให้เหลือแค่บนหัวโต๊ะทำงานของเขากับหน้าประตูของฝ่ายสองดวงเพื่อประหยัดไฟ แล้วกลับมาทำงานต่อ ถ้าถามว่าอยู่คนเดียวมืดๆดึกๆแบบนี้กลัวรึเปล่า ตอบเลยว่าตอนแรกๆก็กลัว แต่ไม่แล้ว เพราะว่า...


                     เสียงประตูของแผนกเปิดออกและเสียงฝีเท้าเบาๆทำให้คยองซูจำได้ทันทีโดยไม่ต้องเดา

     

                    “เอ้า” เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้คยองซูวางงานแล้วหันกลับไป ก็พบข้าวกล่องง่ายๆจากร้านสะดวกซื้อ ก่อนมันจะถูกลดลงจนเห็นใบหน้าของผู้ถือ

     

                    “ขอบใจ” คยองซูรับมาง่ายก่อนจะเปิดกินอย่างเร่งรีบเพราะจะรีบกลับไปทำงาน
     

                    “ใจเย็นซิ ปัดโธ่ ไอ้เตี้ยตาเหลือกนี่ เดี๋ยวก็ติดคอตาย” แบคฮยอนเบ้หน้าหงุดหงิดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

                   

                    “ห้อหะยีบหับไฮฮำฮานฮ่ะ” (ก็จะรีบกลับไปทำงานอ่ะ) คยองซูเงยหน้าขึ้นมาตอบทั้งที่ข้าวยังเต็มปาก จนแบคฮยอนต้องยกมือห้าม

     

                    “จะบ้างานไปไหนนายเนี่ย” แบคฮยอนเปิดกล่องข้าวของตัวเองบ้าง

     

                    “ก็ต้องส่งเสียน้องสาวที่เรียนอยู่ต่างประเทศอ่ะ” คนไหล่แคบพูดออกมาดีๆได้เมื่อลดสปีดการกินลง

     

                    “ทำไมไม่บรรจุเข้าฝ่ายขายล่ะ ก็น่าจะรู้ว่ามันไต่เต้าไปตำแหน่งสูงๆเงินเดือนดีๆง่าย”

     

                    “ไม่เอา ฉันไม่ถนัดงานที่ต้องพูดเท่าไหร่” แบคฮยอนจ้องคยองซูที่ตักข้าวมาเคี้ยวหงับๆ จนอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา

     

                    “วันนี้ไม่เห็นทั้งวันเลย”

     

                    “อา ไปลงพื้นที่กับจงแดแทนฮีชอลฮยอง รายนั้นเขาขับรถไปบวกกับต้นไม้ข้างทางแขนหัก เลยมาไม่ได้” คยองซูหัวเราะออกมาเมื่อนึกถึงพี่ใหญ่ของฝ่ายขาย ที่ถึงแม้จะไม่ได้เห็นหน้ากันบ่อยๆแต่ก็สร้างความประทับใจได้ทุกครั้งเพราะเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ดี ตรงไปตรงมา เป็นสีสันให้กับทุกๆที่ที่ย่างก้าวไป

     

                     “แล้ววันนี้นายทำโอทีอีกแล้วเหรอ”

     

                    “ก็ต้องทำรายงานเรื่องเซ็นสัญญานั่นแหละ” คยองซูพยักหน้ารับ เพราะเขาทำโอทีทีไรก็มักจะบังเอิญตรงกับวันที่แบคฮยอนทำโอทีทุกครั้ง ครั้งไหนที่ไม่ บางครั้งทำงานเสร็จดึกๆ กำลังจะลงจากตึกก็จะเห็นแบคฮยอนมายืนรอลิฟท์อยู่ บ้างก็ว่าลืมของบ้าง กลับมาเอางานไปทำที่บ้านบ้าง

                    ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า แต่ทุกครั้งที่อยู่จนดึกจะมีแบคฮยอนกลับบ้านเป็นเพื่อนทุกครั้ง

     

                    อีกเรื่องที่ไม่เข้าใจคือทำไมพออยู่ด้วยกันแค่สองคนก็ไม่ยักกระทะเลาะกันเหมือนตอนคนอื่นอยู่ด้วย

     

                    กินมื้อค่ำเสร็จต่างคนต่างก็หันหลังให้กัน คยองซูลงมือทำงานที่ค้างไว้ต่อ ส่วนแบคฮยอนก็เสียบทัมไดรฟ์ใส่คอมพิวเตอร์ของชานยอลแล้วเริ่มทำงานของตัวเองเหมือนกันอย่างไม่เร่งรีบ เพราะอันที่จริง อี้ชิงบอกเขาว่าอีกสองสามวันค่อยส่งรายงานก็ได้ แค่รีบส่งเอกสารเซ็นสัญญาก็พอ แต่ที่มานั่งทำเหมือนรีบนี่ก็คงเพราะหาข้ออ้างละมั้ง

     

                    แบคฮยอนมองคยองซูที่ตั้งใจทำงานผ่านกระจกตั้งโต๊ะของชานยอลที่ช่วงนี้เจ้าของโต๊ะเอามาตั้งไว้ไว้เช็คเสื้อผ้า หน้าผม ก่อนจะเดินไปเต๊าะไอ้น้องจงอินมัน มองคนไหล่แคบที่มองแฟ้มบนตักสลับกับหน้าจองงๆก็ยิ้มขำออกมา

     

                    งั้นถ้าฉันไต่เต้าได้แล้วจะเลี้ยงนายเองละกัน

     

     

                        จนในที่สุด คยองซูก็พอใจในงานของตัวเองก็ตัดสินใจกลับบ้านด้วยเวลาเกือบห้าทุ่ม ทั้งสองคนพากันปิดไฟและออกมายืนรอลิฟท์ท่ามกลางความมืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นปลายเท้า อากาศร้อนนิดหน่อยเพราะช่างเวรประจำวันจะปิดเครื่องปรับอากาศทั้งตึกตอนสองทุ่ม

     

                    แบคฮยอนพยายามกลั้นขำอีกครั้ง เมื่อคนตัวเล็กกว่าเข้ามายืนเบียดจนแทบซุกอก เพราะตอนนี้บรรยากาศรอบมืดไปหมดเขาจึงไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขายิ้มแป้นแบบนี้

                   

                    ถือว่ากำไรที่คยองซูกลัวความมืดนิดหน่อย กลัวผีอีกพอสมควร การอยู่รอจนกลับดึกๆด้วยกันแบบนี้จึงได้กำไรเต็มกอบเต็มกำ แต่อันที่จริงก็เพราะรู้ว่ากลัวถึงได้หาเรื่องมากลับดึกด้วยทุกครั้ง ไอ้เรื่องนี้จงแดกับชานยอลยังไม่รู้เลยนะเนี่ย

     

                    จนเข้ามาในลิฟท์แล้ว แทนที่คยองซูจะผละออกเหมือนทุกครั้งแต่คราวนี้กลับเบียดเข้ามาแน่นเข้าไปอีกจนแทบจะกอดเขาอยู่แล้ว

     

                    “อะไรของนายเนี่ย”

                   

                    “เมื่อวานชานยอลเอานิยายเรื่องผีในลิฟท์มาให้อ่านง่ะ” ว่าจบก็หลับตาปี๋ซบคนข้างๆชิดกว่าเดิม

     

                    เงินไม่ต้องคืนแล้วนะครับเพื่อน มึงเอาไปเลย อยากได้อีกก็มา มึงเอาไปเลย

                   

                    สบโอกาสแบคฮยอนก็ยกมือสั่นเทาขึ้นมากะจะโอบเอวบางๆนี่ซะหน่อย ขณะที่มือหนากำลังจะแตะถูกตัวคยองซู ลิฟท์ก็มาจอดถึงชั้นหนึ่งเสียแล้ว แถมไม่ใช่เปิดธรรมดา หน้าลิฟท์ยังมีลู่หานกับอี้ชิงที่ถือไอติมคนละถ้วยยืนรอลิฟท์อยู่

     

                    “..!! ด้วยความตกใจแบคฮยอนผลักคยองซูออกจนร่างบางลอยหวือไปชนกำแพงลิฟท์เบาๆ

     

                    “หัวหน้ามาทำอะไรครับป่านนี้!

     

                    “โทษทีๆ ฉันลืมทัมไดรฟ์ไว้บนห้องเลยให้ลู่หานมาเอาเป็นเพื่อน ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนมาจีบกันเอาเวลานี้” อี้ชิงตักไอติมใส่ปากหงุบๆ ข้างๆคือลู่หานที่แสยะยิ้มกริ่มมองเขากับคยองซูที่ตัวสั่นเข้ามาซุกเขาอีกพลางบ่นประปอดกระแปด

     

                    “ไปๆ พาคยองซูกลับบ้าน” ลู่หานโบกมือไล่ทั้งสองคนแล้วลากอี้ชิงเข้าไปในลิฟท์ก่อนจะรีบกดปุ่มปิดเหมือนไม่อยากไปรบกวนเวลาของทั้งคู่

     

                    “ แบคฮยอนกระพริบตาปริบๆใส่ลิฟท์พลางคิดในใจว่าซวยแล้ว ลู่หานกับอี้ชิงรู้นี้ได้โดนล้อกันแบบเรียลไทม์ยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่ แต่ความเจ็บแปล๊บก็แล่นขึ้นมาจากหลังพร้อมเสียฝ่ามือฟาดดังเพี๊ยะ

     

                    “อย่าแกล้งอย่างนั้นอีกนะ” หันกลับไปก็เจอคยองซูที่เงยหน้าขึ้นมา ด้วยส่วนสูงที่ไม่ห่างกันมากปลายจมูกจึงเฉียดกันเล็กน้อย ดวงตารีเล็กสบเข้ากับดวงตากลมโตที่สั่นไหวเพราะความกลัว อีกครั้งที่แบคฮยอนตกใจจนผลักคยองซูออก  แล้วก็ถูกค้อนขวั่บวงเบ้อเร่อ คยองซูเดินดุ๊กๆกลับมาฟาดหลังแบคฮยอนอีกสองทีแล้วซุกกลับไปใหม่

     

                    “ก็บอกว่าอย่าแกล้ง”

     

                    “ฉะ..ฉันไม่ผิดซะหน่อย! ไอ้คนซาดิสต์! แหกตาดูสถานการณ์ซะบ้างสิ! และแบคฮยอนก็เผลอว้ากใส่อีกจนได้ไม่รู้เพราะหงุดหงิดที่ถูกตีหรือเขินกันแน่ แต่คราวนี้กลับไม่ทำให้คยองซูรู้สึกแย่เท่าไหร่ เพราะอย่างน้อย

                   

                    แบคฮยอนก็ยังเอาท่อนแขนโอบเอวเขาไว้






     

                        “คยองซู ผมจะทำยังไงดีอ่ะ” จื่อเทาเบะปาก หลังยืนปรับทุกข์กับอดีตแฟนมานานสองนาน

     

                    “คริสฮยองเค้าอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เทาคิดก็ได้ ใจเย็นๆนะ” คนไหล่แคบที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตบหลังมือจื่อเทาเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ ตั้งแต่คริสเริ่มเข้ามาอยู่ในชีวิตได้เป็นอาทิตย์แล้ว

     

                    “ไอ้หมอนั่นมันน่ากลัวอ่ะ เอะอะก็ใช้สายตาขู่ลูกเดียวเลย” ปากรูปแมวเบะมากขึ้นเมื่อคนรอบๆตัวเขามีแต่จะสนับสนุนไอ้พี่คริสนั่นเหลือเกิน ไม่มีใครเห็นใจเขาบ้างเลย

     

                    “คริสฮยองไม่ใช่คนน่ากลัวหรอกน่า แค่ต้องทำตัววางอำนาจจนเคยชินน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ” ชานยอลลุกขึ้นมาลูบหัวเด็กผิวแทนซึ่งสูงน้อยกว่าเขานิดนึง

     

                   

                    “

     

                    “หึงก็เดินไปบอกเหอะ อย่ามาเป็นภาระให้แล็ปท็อปบริษัทเลย คือกูต้องใช้ต่อ” เซฮุนเท้าคางมองเพื่อนที่เอาแต่จ้องไปทางชานยอลตาขวาง ดีที่พิมพ์ดีดเก่ง ไม่ต้องมองแป้นมันก็พิมพ์ได้ แต่ยื่นหน้าไปดูแล้วไอ้ที่มันพิมพ์ๆไปนี่เหมือนจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับงานเลย

     

                    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

    ไปตายซะ

     

    นี่มันพิมพ์เองหมดไม่ได้ก็อปวางด้วยนะเนี่ย ประโยคละวิฯ เมพขิงโคตรเลยเพื่อน

     

    ปัง!

                    สะดุ้งกันทั้งฝ่าย จงอินปรายตามองปึ้งกระดาษที่เขาใช้ฟาดลงกับโต๊ะเมื่อครู่ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากฝ่ายไม่สนใจใครด้วยใบหน้าเรียบเฉย

     

                    เด็กหนุ่มผิวแทนกดลิฟท์ไปยังชั้นสูงสุดของตึก มุมประจำเวลาเขารู้สึกเครียดและต้องการอยู่คนเดียว จงเดินไปหยิบซองบุหรี่กับไฟแช็กที่ซ่อนไว้มุมดาดฟ้าขึ้นมาจุดสูบ ขวัญบุหรี่กลิ่นฉุนกับนิโคตินทำให้อะไรบางอย่างหน่วงๆในอกเบาขึ้นเป็นขนนก เด็กหนุ่มนั่งลงกับพื้นดาดฟ้าแล้วเอนตัวลงนอน ดวงตาสีดำสนิทจ้องขึ้นไปยังท้องฟ้า

     

                    “ไปตายซะปาร์คชานยอล”

     

     

     

     

                   

                    “กล้าถามมาได้ว่าเป็นอะไร มันงอนไงครับ งอนระดับแม็กซิมั่มคอมโบ้เซ็ตเลยแหละ” -_- เซฮุนถูกชานยอลเรียกมาถามถึงอาการปึงปังเยี่ยงรอบเดือนไม่มาของเพื่อนสนิท

     

                    “งอนอะไร? แล้วงอนใคร?” เด็กหนุ่มผิวขาวจัดหันมามองรุ่นพี่ตัวสูงด้วยสีหน้าเหมือนปลาตาย

     

                    “โอ้โห ยังจะกล้าถาม” เท่านั้นแหละ ชานยอลลุกพรวดคว้าไหล่เซฮุนมาเขย่าอย่างแรงจนหัวแทบหลุด

     

                    “จงอินกูอยู่ไหน”

     

                    “จะ..ใจเย็นครับฮยอง เซฮุนจะตายแล้ว” จื่อเทาเข้ามาห้ามพลางพยายามฉุนแขนชานยอลไว้ ว่าแต่นี่แช่งกันให้ตายเลยเหรอ

     

     







     

     

                    “เฮ้อ งานนี้ใครผิดกันล่ะเนี่ย” คริสนั่งลงบนขอบโต๊ะของชานยอล ขณะที่ท่อนแขนแกร่งก็โอบไหล่จื่อเทาไว้ แต่ในสายตาคนถูกโอบมันเหมือนเป็นเชือกมัดไว้ไม่ให้หนีไปไหนต่างหาก คริสซึ่งลงมาหาจื่อเทาแทบทุกวันไล่มองคนในอ้อมแขน คยองซู กับเซฮุนหลังฟังเรื่องเล่าจากทั้งสามคน

     

                    ไอ้เด็กนี่ก็มีปัญหาจัง ทำชีวิตคู่คนอื่นเขาวุ่นวายไปหมด ตาคมกริบมองเด็กหนุ่มในอ้อมแขน นั่นทำให้อีกฝ่ายก้มหน้าพยายามเบี่ยงตัวหนีใหม่มากที่สุด

     

                    “แต่จื่อเทาก็ไม่ได้ผิดนี่นา แค่เข้ามาคุยปกติเอง คุณคริสก็ตามเข้ามาจีบทุกวันแล้วจงอินงอนอะไรล่ะ” คยองซูเอียงคอสงสัยอย่างที่ทำประจำ

     

                    “ก็ไอ้พี่ชานน่ะสิ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปหาจงอินบ่อยเท่าแต่ก่อน แถมเวลาอยู่กับจื่อเทายังลูบหัวโอบไหล่ บลาๆๆ เอ..อันที่จริงก็พูดได้ว่าทั้งหึงทั้งงอนนั่นแหละ” เซฮุนอธิบายคนคยองซูกับคริสพยักหน้ารับพร้อมกัน

     

                    “คือ..ถ้าผมเป็นตัวปัญหาเดี๋ยวผมจะไม่มาคุยกับชานยอลฮยองก็ได้” เสียงงุ้งงิ้งกระซิบออกมาจากปากบางๆรูปแมว แต่คริสก็แก้ต่างให้

                   

                    “ไม่หรอก ไอ้ที่ผิดน่ะชานยอลต่างหาก..กับฮยองเองด้วยนิดหน่อยมั้ง” คริสเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด

     

                    “ฮยองไปผิดอะไรกับเค้าด้วยเนี่ย”

     

                    “น่าเซฮุน ว่าแต่หายไปไหนแล้วเนี่ยทั้งคู่”

     

                    “ไอ้จงอินก็คงหนีไปสูบบุหรี่บนดาดฟ้าน่ะครับ แล้วผมก็บอกชานยอลฮยองไปเมื่อกี้เค้าเลยวิ่งตามหายไปอีกคน”

     

     





     

                    “เด็กไม่ดี สูบบุหรี่” ใบหน้าคมหันไปมองรุ่นพี่ตัวสูงด้วยสายตานิ่งๆก่อนจะเบนกลับมายังท้องฟ้าเช่นเดิม ชานยอลเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจทั้งยิ้มๆ เดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

     

                    “อย่างอนนานล่ะ ฮยองง้อคนไม่เก่งนะ” พูดจบก็ยิ้มกว้างให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ แต่จงอินก็กลับพลิกตัวหนีหน้าซะงั้น

                   

                    ดีนะใส่เสื้อสีดำไม่งั้นนอนคลุกฝุ่นขนาดนี้เละไปแล้ว

     

                    “เลิกสูบได้แล้วนั่นน่ะ”

     

                    “ไม่ต้องมายุ่ง” จงอินปัดมือของชานยอลที่ทำทำจะมาดึงบุหรี่ออกจากปากเขา คนเป็นพี่ส่ายหัวน้อย ก่อนจะเอนตัวลงคร่อมเด็กหนุ่มไว้ครึ่งตัว แขนแกร่งตวัดรัดคนปากแข็งไว้ไม่ให้หนีก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนมุมปากของอีกคน

     

                    จงอินเบิกตากว้าง พยายามดิ้นหนี แต่ก็สู้แรงของคนที่ตัวใหญ่กว่าไม่ได้พยายามจะหดคอหนีริมฝีปากที่พยายามรุกล้ำแต่ก็ถูกมืออีกข้างของชานยอลรั้งขึ้นมาประกบจูบอยู่ดี จนในที่สุดบุหรี่ที่ไหม้จนเหลือแค่ครึ่งมวนก็หล่นจากริมฝีปากอวบอิ่ม

     

                    มือหนาสบโอกาสดึงรั้งไหล่จงอินให้หงายหลัง แล้วบดริมฝีปากลงไปให้แน่นกว่าเดิม มืออีกข้างของชานยอลถือวิสาสะเอื้อมไปขยี้บุหรี่ลงกับพื้น

     

                    จงอินที่ขาดอากาศหายใจบีบต้นแขนของคนโตกว่าแน่น ชานยอลผละออกให้อีกคนกอบโกยอากาศหายใจไม่นานก็ประกบปากลงไปใหม่เนิ่นนานเป็นนาทีในที่สุดชานยอลก็ผละออกเอาปลายจมูกคลอเคลียกับนวลแก้มสีแดงจัดแทน

     

                    “หายงอนยัง” ชานยอลกระซิบถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงจนใบหูอีกคนพาลแดงจัดไปด้วย จงอินรีบยันชานยอลออกแล้วลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลก่อนจีบหันหลังหนีไป

     

                    “จงอิน! เสียงของชานยอลที่ยังนั่งอยู่กับพื้นดาดฟ้าทำให้จงอินชะงักพลางค่อยๆเอี้ยวคอกลับไป

     

                    “ถ้าคราวหน้าเครียดอีกก็มาให้พี่จูบอีกนะ ได้ผลกว่าบุหรี่อีก” จงอินสายหัวหงึกๆจนคอหลุดก่อนจะหันหลังวิ่งหนีไปทิ้งให้ชานยอลยิ้มกว้างเหมือนคนบ้าอยู่คนเดียว

     

     

     

     

                    “อ้าว กลับมาแล้วเหรอ” เซฮุนที่นั่งพิมพ์งานแทนยืดตัวมองเพื่อนผ่านแล็ปท็อปสีดำ

     

                    “เป็นอะไรของมึงหน้าแดงหูแดงคอแดงไปหมดเลย ไม่สบายป้ะ” เซฮุนเอื้อมมือจะไปอังกับหน้าผากเพื่อนสนิทแต่ก็ถูกปัดมือออก

     

                    “บนดาดฟ้าแม่งแดดแรง” จงอินว่าพลางทำเอามือพัดหน้า ฝั่งตรงข้ามมีเพื่อนสนิทตัวขาวมองหน้าเขานิ่งๆก่อนจะเบนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง

     

                    “วันนี้ฟ้าครึ้มตั้งแต่เช้าแล้วนะได้ข่าว”



     

    “เป็นไงบ้างชานยอล” คยองซูร้องทักเพื่อนที่เดินกลับมาหลังจากหายหน้าไปซักพัก แต่อีกฝ่ายทำเพียงส่งยิ้มกว้างแล้วทรุดลงบนเก้าอี้ประจำตัวเหมือนอย่างเคย คนไหลเล็กเอียงคอมองรอยยิ้มเหมือนคนบ้าของชานยอลตาปริบๆ

     

                    “จงอินหายงอนแล้วเหรอ?”

     

                    “ไม่รู้ดิ แต่ยังไม่หายก็ไม่เป็นไร จะได้ง้ออีกรอบ” ว่าจบก็ชะเง้อมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่โต๊ะเด็กฝึกงาน

     

                    “ลองขยับเข้าไปอีกซักก้าวดีไหมน้า~

     

                    นี่คือคำพูดของคนที่เพิ่งจับคนอื่นจูบมาหมาดๆ ที่ผ่านมานี่ค่อยเป็นค่อยไปมากเลยนะเนี่ย

     

                    “จงอิน” นิ้วยาวสะกิดไหล่คนที่นั่งหันหลังให้ เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวจนแทบตกเก้าอี้ยิ่งหันกลับมาพบว่าใครเป็นคนสะกิดก็ยิ่งอยากตกเก้าอี้เข้าไปใหญ่

     

                    “วันเสาร์นี้จงอินว่างรึเปล่า” ชานยอลก้มหน้าลงไปจนแทบชิดหน้าของอีกฝ่าย

     

                    “ฮยองถามว่าว่างรึเปล่า ฟังอยู่ป่าวเนี่ย” ร่างสูงหัวเราะอย่างอารมณ์เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าทำไมจงอินถึงทำท่าทางแบบนี้ใส่

     

                    “มันว่างครับฮยอง” เซฮุนเลือกที่จะทรยศเพื่อน ประเคนใส่พานให้ชานยอล ถึงแม้จะถูกจงอินหันมาฟาดค้อนวงเบ้อเร่อใส่ก็ตามที

     

                    “โอเค เสาร์นี้ไปดูหนังกับฮยองนะ ห้าง XXX บ่ายโมงครึ่งจะไปรับที่ห้อง ถ้าจงอินไม่อยู่หรือจะแกล้งไม่อยู่ฮยองจะถือว่าจงอินงอนฮยองนะ แล้วถ้าจงอินงอน” ชานยอลเชยคางมนให้ขึ้นมาสบตา

     

                    “ฮยองจะง้ออีกนะครับ” คนผิวแทนหน้าแดงโป๊ะ รัวปัดมือที่จับคางของตัวเองอยู่ออกเป็นระวิง ชานยอลยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีอีกครั้งก่อนจะเดินกลับโต๊ะทำงานไป

     

                    “จงอิน เซฮุนจ้องหลังเพื่อนที่ไม่ยอมหันกลับมาแต่ซุกหน้าลงกับพนักเก้าอี้แทน

     

                    “นี่มึงโดนง้อแบบไหนมาเนี่ย”

     

     

                   

     

                    “ขอบใจนายสองคนมากนะ งานที่แล้วเป็นงานใหญ่เลย พวกเบื้องบนชมลงมาด้วยแหละ” จางอี้ชิงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างโต๊ะของแบคฮยอนกับจงแดที่ตอนนี้พากันก้มหัวประหลกๆเพราะหัวหน้าฝ่ายถึงขนาดลงมาหาด้วยตัวเองแถมเอ่ยเยินยอไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อกี้

     

                    “อนาคตพวกนายต้องตำแหน่งสูงกว่าฉันแน่เลย ตั้งใจทำงานเข้าล่ะ”

     

                    “ก็ไม่หรอกครับ อะไรๆมันก็ไม่แน่นอน แฮะๆ” แพคฮยอนยิ้มแป้นแล้นเกาหัวแกรกๆ

     

                    “อ้ะ ขนม ไม่ใช่ฉันให้หรอก ท่านประธานโน่นเห็นว่ากลับมาจากสวิซแล้วของฝากเหลือเลยให้เอามาให้พวกนาย” ว่าจบก็เดินจากไป ทิ้งให้จงแดกับแบคฮยอนนั่งมองกล่องแพ็กเกจขนาดกลางๆสีดำดูดีผูกโบว์สีทอง ปักตัวหนังสือสีทองตรงข้างล่องว่า Lindt of Switzerland มีป้ายห้อยรูปช็อกโกแลตน่าตาหรูหราประดับไว้อยู่

     

                    หรูซะจนมนุษย์เงินเดือนที่ต้มรามยอนกินก่อนเงินเดือนออกเป็นประจำไม่กล้าแกะกล่อง จงแดกระพริบตามองกล่องช็อกโกแลตที่จำได้ว่าเคยเห็นผ่านๆในอินเตอร์เน็ตว่าราคาเกือบสามหมื่นวอน(ตีเป็นเงินไทยเกือบพันบาท) เหลือบมองเพื่อนสนิทเหงื่อแตกซิกๆ

     

                    “ แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองไปยังกำแพงราวกับมันเป็นท้องฟ้าไกลแสนไกล ถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทกันคงดูไม่ออกว่าไอ้คนหน้าแป๊ะนี่กำลังวางแผนเอารางวัลไปประเคนสุดที่รักขาโหดของมันอยู่แน่ๆ

     

                    “ให้ฉันจัดการมา” จงแดหวังดี เอื้อมมือไปรับกล่องคช็อกโกแลต เพราะตั้งแต่เมื่อก่อนเวลาแบคฮยอนจะฝากของไปวางโต๊ะทีไรต้องฝากไปหลายๆทอดแล้วไม่ให้ซ้ำกัน กะว่าตามสืบไม่ได้เลย ไม่รู้ให้ของขวัญหรือส่งยาบ้า แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป

     

                    “ไม่ ฉันจะให้เอง” จบคำของเพื่อนสนิทจงแดถึงกับอ้าค้าง ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาตบไหล่บีบนวดแขนเหมือนแบคฮยอนกำลังจะขึ้นสังเวียนชกมวย

     

                    “เออ! มันต้องอย่างนี้เว้ยเพื่อน! นายมาถูกทางแล้ว!” เสียงแหลมร้องอย่างร่าเริง ส่งผลให้แบคฮยอนลุกขึ้นเซไปเซมาก่อนจะหันกลับมาชูนิ้วโป้งให้เพื่อนเป็นเชิงว่า กูสู้โว้ย

     

                    แบคฮยอนเดินออกไปพลางคิดว่าควรจะทำหน้ายังไงตอนยื่นให้ คิดไปคิดมาก็ทรุดฮวบอยู่หน้าประตูฝ่าย

     

                    “อย่าพึ่งยอมแพ้ง่ายๆอย่างนั้นสิ” จงแดกรีดร้องลั่นราวกับขุนพล 300  โชคดีที่เวลานี้พนักงานฝ่ายขายคนอื่นไม่อยู่เพราะเป็นปกติของฝ่ายขายและการตลาดที่จะเดินไปเดินมา ไปนู่นไปนี่ ไปพบลูกค้าบ้าง นำเสนองานบ้าง บางคนสักอาทิตย์จะโผล่หน้ามาฝ่ายสักหนด้วยซ้ำ เขาสองคนทที่ความจริงแล้วเป็นพนักงานวิเคราะห์การตลาดเป็นตำแหน่งเดียวในฝ่ายนี้ที่ไม่ต้องออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงอยู่กันแค่สองคนบ่อยๆจึงเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่สนิทกัน

     

                    “WAR!! *ชูไม้บรรทัดขึ้นฟ้า* ก็อย่างว่า..คนเราพออยู่เฉพาะกับเพื่อนสนิทก็มักจะแสดงนิสัยด้านแปลกๆออกมา

     

                    จงแดมึงพอเห๊อออ กูอาย  แบคฮยอนค่อยๆลุกขึ้นแล้วปิดหน้าปิดตาเดินออกจากฝ่ายเหมือนสก๊อยโดนตำรวจจับเจอนักข่าว

     

                    โอเค ต้องบอกว่าไม่ชอบ แต่เสียดายของ โอเค แบบนี้แหละ แบคฮยอนสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลางท่องบทในหัวของตัวเอง แต่สุดท้ายก็หันไปเอาหัวโขกกับกำแพงเพราะอุตสาห์เอามาให้ยังจะไปพูดอย่างนั้นสุดท้ายมันทำคะแนนไม่ได้เลยไม่ใช่เหรอ แล้วเอามาให้เองนี่จะมีประโยชน์อะไร

     

                    แบคฮยอนเดินวนอยู่หน้าฝ่ายบัญชีนานสองนาน แต่ให้ที่สุดก็ตัดใจให้จงแดฝากคนอื่นมาให้เหมือนเดิมดีกว่า เพราะสุดท้ายก็ไม่กล้าพูดว่าอยากเอามาให้เอง จ้องประตูฝ่ายบัญชีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวกลับ แต่หันไปก็พบลู่หานที่ยืนยิ้มแปลกๆอยู่ข้างหลัง

     

                    “สะ..สวัสดีครับ” แบคฮยอนซ่อนกล่องไว้ข้างหลังแล้วค้อมหัวให้อย่างมีมารยาท

     

                    “มายืนวนอยู่ตั้งนานมาหาคยองซูล่ะสิ มานี่มา เดี๋ยวพาเข้าไป” ด้วยสายตาเฉียบคมเกินความจำเป็นของลู่หานมองทะลุหลังแบคฮยอนไปเห็นกล่องช็อกโกแลตที่แบคฮยอนซ่อนไว้ ซึ่งตัวเองจำได้ว่าก่อนหน้านี้เคยเห็นอี้ชิงถือเดินไปเดินมาบอกว่าท่านประธานให้เอามาให้จงแดกับแบคฮยอน จึงมัดมือชกตีเนียนโอบไหล่ลากตัวเข้าไปในฝ่าย

     

                    “คยองซู! มีคนมาหา! ณ วินาทีนี้ แบคฮยอนโคตรอยากเอามืออุกปากคนข้างๆให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าเป็นหัวหน้า แถมไม่ได้สนิทอะไรกันขนาดนั้น จึงได้แต่ขืนแรงของลู่หานที่พยายามลากเขาไปหาคยองซูอยู่เรื่อยๆ ตัวก็บางๆแรงเยอะชะมัด

     

                    “ครับ” คยองซูละจากหน้าจอคอมพิวเตอร์มทาเอียงคอมองลู่หานกับแบคฮยอนซึ่งตอนนี้ทำหน้าบูดบี้เหมือนถูกบังคับให้กลืนยาฆ่าหญ้า

     

                    “เงียบทำไมอ่ะ เอาของมาให้ไม่ใช่เหรอ” ลู่หานเขย่าไหล่แบคฮยอนเล็กน้อย จนอีกฝ่ายต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจ

     

                    “ก็แค่เสียดายของ ฉันไม่ชอบช็อกโกแลต” แบคฮยอนโยกกล่องหน้าตาหรูหราลงตรงหน้าคยองซู ทำเอาคนไหล่แคบฉุนกึก

     

                    “เอาไปให้เพื่อนนายเหอะ”

     

                    “จงแดได้แล้ว ชานยอลก็แพ้ช็อกโกแลต อย่าเรื่องมากเอามาให้ก็บุญละ” แบคฮยอนสะบัดตัวออกจากแขนลู่หานแล้วเดินเชิดหน้าออกไปจากฝ่ายบัญชี ทิ้งให้คยองซูจิกตามองไล่หลังไป ถ้าไม่ติดว่าหัวหน้ายืนอยู่คงได้เปิดกันสักยก

     

                    ลู่หานเองก็มองตามหลังแบคฮยอนแล้วส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ นี่อุตสาห์ช่วยแล้วยังจะทำตัวเองเสียแต้มอีก ให้มันได้งี้สิ

     

                    “อ้าว ลู่ฮยองดีครับ นั่นอะไรอ่ะคยองซู” ชานยอลที่เพิ่งกลับมาจากโต๊ะนักศึกษาฝึกงานตาวาววับมองกล่องสีดำหรูหราบนตักคยองซู หน้าตาดูเอาก็รู้ว่าของกินแน่ๆ

     

                    “ช็อกโกแลต”

     

                    “เห้ย ขอกินบ้างดิ ชิ้นนึงก็ยังดี นะๆ” ชานยอลเข้ามาประจบประแจงเพื่อนไหล่แคบ พลางถือวิสาสะแกะกล่องดู

     

                    “Lindt นี่หว่า ยี่ห้อนี้ฉันโคตรชอบเลยแต่ก่อนแม่ซื้อให้กินประจำ” คยองซูเอียงคอมองเพื่อนตัวสูง ไม่ได้โกรธที่ถูกทำแบบนี้เพราะยังไงก็ได้มาฟรี แถมก็รู้ๆกันว่าชานยอลจะนิสัยเสียนิดหน่อยต่อหน้าของกิน

     

                    “นายไม่ได้แพ้ช็อกโกแลตเหรอ?”

     

                    “บ้าดิ สมัยเรียนกินทุกวันจนอ้วนอ่ะ”

     

                    จบคำลู่หานก็แสยะยิ้มออกมา ตรงข้ามกับคยองซูที่ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ










    Talking time 50%
    *กรีดร้อง* fav. 50 แล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณที่อ่าน
    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ฟิคเรื่องนี้อาจจะกาก แต่ก็ขอบคุณที่
    อุตส่าห์อ่านอุตสาห์เมนท์นะคะ กะว่า..chap.3 100% เมื่อไหร่จะเป็นแท็กแหละ
    ถ้าเปิดแล้วจะไปเล่นกันไหมอ่ะ ;_; เค้ากลัวแท็กเงียบอ่ะ


    Talking time 75%
    วันนี้เค้าไปสอบแหละ ก็เลยอัพไม่เต็มร้อยนะคะ
    แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
    ถ้าครบร้อยเปอร์แชปนี้เค้าจะคิดแท็กแล้วนะ ;_;
    ถ้าคิดแล้วเข้าไปเล่นกันก็ดีนา ;_;


    Talking time 100%
    ถ้าถามว่าต่อแค่นี้ต่อทำไม ตอบเลยว่่าต่อให้ครับร้อยค่ะ 
    5555555 แต่เดี๋ยววันนี้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เย็นๆหรือดึกๆ
    จะลงแชป 4 50% ค่ะ แล้วก็ตามสัญญา
    ถึงจะไม่รู้ว่าจะมีคนสนใจรึเปล่า แต่เค้าพูดแล้วว่าแชปสาม 100% จะคิดแท็กงั้น
    ถ้าเกิดมีใครว่างๆก็เล่นแท็ก #ฟิครักต้องง้าง นะคะ (ชื่อแท็กสิ้นคิดมาเลย TT)

    SQWEEZ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×