ตอนที่ 9 : Chapter 9
Chapter 9
“เราจะพบกันที่Dead Tree ในช่วงเวลา Witching Hour” คิมนัมจุนบอกทุกคนเมื่อเขาเดินมาส่งที่หน้าประตูของพิพิธภัณฑ์ “อย่าลืมสวมชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดที่สุด แล้วสวมหน้ากากมาที่นี่”
จองกุกรับคำเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขามองไปทางแทฮยองเล็กน้อย ก่อนจะสังเกตเห็นได้ว่าแทฮยองตั้งใจจะอยู่คุยอะไรบางอย่างกับพวกพี่ชายของเขา จองกุกจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากหันกายเดินไปตามเส้นทางที่นำไปสู่บ้านของเขาเอง ที่ด้านหลังของเขา จีมินกับยุนกิเองก็เดินมาในเส้นทางเดียวกัน
เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจคนสองคนที่เดินอยู่ด้านหลัง เขากำลังนึกทบทวนคำสั่งของคิมนัมจุน
พิธีกรรมของหมอผีเป็นอะไรที่ซับซ้อน และมีเงื่อนไขมากมายที่ต้องทำอย่างระมัดระวังให้ครบถ้วน โดยเฉพาะกับในพิธีกรรมใหญ่ๆ อย่างเช่นพิธีคืนวิญญาณที่พวกเขาจะกระทำกันในคืนนี้ มันเป็นพิธีโบราณและเก่าแก่ แต่โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องตระเตรียมอะไรมากมาย ไม่ต้องใช้สมุนไพร เครื่องสังเวย หรือเลือดสดๆ ข้อยกเว้นเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่ใช่พ่อมดแม่มดที่ศึกษาไสยเวท แต่เป็นทูตของเทพีแห่งโชคชะตา
ส่วนประกอบของพิธีกรรมของพวกเขามักจะเรียบง่าย ที่สำคัญๆก็เหมือนกับที่คิมนัมจุนบอก อย่าลืมสวมใส่อาภรณ์สีดำ ชำระร่างกายให้สะอาดที่สุด สวมใส่หน้ากาก และเริ่มพิธีในช่วงเวลาแห่งภูตผี หรือที่คนในยุคปัจจุบันเรียกกันว่า Witching Hour
ช่วงเวลาแห่งภูตผี คือฤกษ์ที่เหมาะสมที่สุดในการประกอบพิธีกรรมเกี่ยวกับวิญญาณ ปีศาจ และไสยเวท
มันคือช่วงเวลาระหว่างตีสามถึงตีสี่ ช่วงเวลาที่ผู้คนหลับใหลในห้วงนิทราลึก และภูตผีจะตื่นเต็มตา สำหรับในเมืองแห่งนี้ นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นวิญญาณที่ติดอยู่ในคำสาปของเมืองนี้ได้ชัดเจนที่สุดด้วยเช่นกัน
ช่วงเวลาเช่นนี้ ทูตอย่างพวกเขาก็จะทรงพลังที่สุดในการทำพิธีคืนวิญญาณเช่นกัน
พิธีคืนวิญญาณนั้นมีผลลัพธ์ที่ตรงตัวกับชื่อเรียกขาน มันช่วยคืนวิญญาณดวงเดิม...ดวงแรกสุด เมื่อครั้งที่ดวงวิญญาณดวงนั้นถือกำเนิดขึ้นในพิภพให้กับผู้ทำพิธี ฟื้นคืนทั้งอำนาจและความทรงจำ ฟื้นคืนตัวตนและนิสัยแรกเริ่ม และในกรณีของพวกเขา พิธีนี้จะคืนศักดิ์ฐานะแท้จริงที่ถูกฝังอยู่ในวิญญาณของพวกเขาด้วยเช่นกัน
นอกจากหน้ากากแล้วพวกเขายังต้องการบางสิ่งคืนมา สิ่งนั้นเรียกว่าอาภรณ์รัตติกาล
มันเป็นเสื้อคลุมสีดำ ถักทอจากเส้นใยบางอย่างที่นุ่มลื่นและแข็งแกร่ง อาจารย์ของพวกเขาเคยกล่าวอ้อมๆว่าสิ่งที่ถักทอมันขึ้นมาคือใยไหมแห่งโชคชะตาของเทพีโนร์นทั้งสาม บ้างก็ว่าเป็นผ้าวิเศษที่ราชินีฟริกก้าแห่งแอสการ์ดถักทอขึ้นจากฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และถูกนำมามอบให้ทูตเพื่อตอบแทนที่ปกป้องอิกดราซิลและพิทักษ์โลกทั้งเก้าเอาไว้
เมื่อมีเสื้อคลุมนั้น พวกเขาจะเข้าใกล้คำว่าอมตะที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้
อาวุธและอาคม ไม่อาจตัดเสื้อคลุมชุดนั้นขาด ความร้อนและความหนาว ไม่อาจเข้าถึงผู้สวมใส่ได้ ไม่ว่าน้ำหรือว่าไฟ ก็ไม่อาจรุนรานหรือทำลายเสื้อคลุมวิเศษชุดนี้ได้เช่นกัน
มันสลายไปพร้อมกับร่างกายของพวกเขา แต่หากพวกเขาทำพิธีคืนวิญญาณ มันจะกลับคืนมาพร้อมกัน
“ซีกเกอร์”
ขณะที่เดินมาถึงทางแยก เสียงของมินยุนกิก็ดังขึ้น เรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ จองกุกหยุดฝีเท้าแล้วหันไปมองอีกฝ่ายเงียบๆ
เขาจดจำได้ว่าในอดีต ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ทำลายล้างไม่ได้อยู่ในขั้นเลวร้ายและเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวอีกฝ่ายเหมือนที่แทฮยองกลัว ดังนั้นต่อให้ต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดหรือความเย็นชาของอีกฝ่าย เขาก็สามารถรับมือได้อย่างไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นเขาหันกลับมาโดยไม่พูดอะไร มินยุนกิก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขอบคุณ”
“ไม่จำเป็น” จองกุกตอบอย่างไม่ใส่ใจกับคำขอบคุณนั้น “ความกลัวเป็นพื้นฐานด้านความรู้สึกของมนุษย์ คุณจะหวาดกลัวอดีตของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผมแค่พูดให้คุณมองเห็นสิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือหน้าที่ของพวกเรา มนุษย์มักถูกสอนให้มอบความสำคัญกับสิทธิของตัวเอง แต่มักลืมมองถึงบทบาทและหน้าที่ของตัวเองไป ผมแค่ชี้ให้คุณเห็นบทบาทและหน้าที่ของคุณก็เท่านั้น”
เขาเติบโตมาในสังคมที่ผู้คนมักออกมาเรียกร้องสิทธินั่นนี่ คาดหวังสิ่งที่ดีขึ้นจากผู้นำประเทศ โดยไม่เคยย้อนมองดูตัวเองเลยว่าตัวเองทำบทบาทและหน้าที่ในฐานะพลเมืองได้ดีแค่ไหน สิทธิและบทบาทหน้าที่เป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกัน ในสายตาของผู้แสวงหาอย่างเขา คนเราควรทำบทบาทและหน้าที่ของตนเองให้ดีก่อน จากนั้นจะเรียกร้องสิทธิอะไรก็ตามได้อย่างเต็มกำลัง
หากมัวแต่เรียกร้องถึงสิทธิ ตัวเองกลับไม่อาจทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มันก็ไม่ต่างอะไรจากมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ เท้ากี่ข้างกำลังราน้ำอยู่ก็ไม่รู้ คนเป็นผู้นำออกแรงพายให้ตายเรือก็ไม่มีทางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ เท้าราน้ำหลายข้างมากเข้า ดีไม่ดีเรือก็จมเอาโดยที่ผู้นำทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างเดียว
ทว่ามนุษย์ก็มักเป็นเช่นนี้ โลกก็มันเป็นเช่นนี้
เขาไม่มีสิทธิหรือหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปเปลี่ยนแปลงโลก หน้าที่ของเขามีเพียงอย่างเดียวคือปกป้องอิกดราซิล ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิที่จะพูดเตือนสติคนอื่น เพื่อให้หน้าที่ของเขาลุล่วง
มินยุนกิเองก็จดจำนิสัยของผู้แสวงหาได้ ดังนั้นจึงไม่ได้พยายามเอ่ยอะไรอีก เพียงแต่พยักหน้าให้เขา แล้วพาจีมินเดินเลี้ยวไปอีกทาง
จองกุกเงยหน้ามองท้องฟ้า ตัวอักษรเคนที่เคยนำทางเขาไปหาทุกคนยังคงอยู่ แต่เส้นสายมากมายกลับเริ่มปรากฏเพิ่มขึ้นมาจางๆ
เขารู้...หลังช่วงเวลาปีศาจของคืนนี้ผ่านพ้นไป ท้องฟ้าของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เวลาหนึ่งนาฬิกาห้าสิบสามนาที
จองกุกปิดประตูบ้านอย่างแผ่วเบาที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ ก่อนจะกระชับเสื้อแจ็กเก็ตสีดำที่สวมอยู่แล้วสาวเท้าก้าวเดินไปยังรั้วบ้าน เขากระโดดข้ามรั้วอย่างที่มักทำเป็นประจำ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นนอกตัวบ้านอย่างชัดเจน
วันนี้...หมอกดูเหมือนจะลงจัดกว่าทุกวัน อุณหภูมิเองก็เย็นลงเช่นกัน
ดูราวกับว่าเมืองทั้งเมืองกำลังถูกรุนรานโดยหมอกสีขาวขุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่โดยรอบจนมองอะไรแทบจะไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ทว่าเมื่อมองด้วยดวงตาของจองกุก...ดวงตาของไฮเดอร์ เขากลับสามารถมองทะลุไอหมอกได้อย่างไม่ยากเย็นเมื่อตั้งสมาธิมองไป
เขายังเห็นร่างสีขาวซีดจางที่แทบจะกลืนหายไปกับไอหมอกทั้งหลายด้วย
ร่างเหล่านั้นคือดวงวิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ใน Ghost Town แห่งนี้
จองกุกรับรู้ได้ว่าดวงวิญญาณเหล่านั้นกำลังมองเขาอยู่ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักก่อนจะหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมเอาไว้ ทันทีที่หน้ากากเย็นเฉียบสัมผัสกับใบหน้า เสียงกระซิบวูบวาบก็ดังขึ้นมาทันที
“ปลดปล่อยเราเถิด”
“ช่วยเราลบล้างคำสาปนี้”
“ยับยั้งความมืด ยับยั้งซึ่งความตาย...”
จองกุกเดินผ่านร่างของวิญญาณเหล่านั้นไป เขารับรู้ได้ว่าดวงวิญญาณเหล่านั้นกำลังลอยตามหลังของเขามา ดูราวกับขบวนแห่ของภูตผีโดยมีผู้นำคือมรณะทูตผู้ซ่อนใบหน้าเอาไว้หลังหน้ากาก จองกุกสูดลมหายใจเข้าลึก เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ออกมาจากในร่างกายของเขา ราวกับพลังบางอย่างกำลังไหลเวียนอยู่ภายในกาย
ไอหมอกค่อยๆแหวกตัวออกยามที่เขาเดินไป ไม่นานนักพวกมันก็ล่าถอยออกไปไกลจากเขาสามเมตร เมื่อจองกุกไปถึงที่ Dead Tree เขาก็พบว่ารอบต้นไม้ใหญ่ที่แห้งเหี่ยวนั้นไม่มีหมอกปกคลุมอยู่เลย แต่มีร่างของชายชุดดำจำนวนหนึ่งยืนอยู่แทน
จองกุกก้มลงมองบนพื้น เขาเห็นแสงสีขาวถูกวาดเป็นเส้นเอาไว้รอบต้นไม้ เขารับรู้ได้ทันทีว่าหากมองลงมาจากบนฟ้าจะสามารถเห็นวงแหวนอาคมที่โบราณและเก่าแก่มากวงแหวนหนึ่ง เด็กหนุ่มยกมือขึ้นอย่างช้าๆ ที่ปลายนิ้วของเขามีแสงสีขาวเจิดจ้าออกมา เขาหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งที่ยังไม่ถูกวาดอักขระรูนเอาไว้ จากนั้นจึงวาดปลายนิ้วไปรอบตัวอย่างไม่เร่งร้อน
ตัวอักษรมากมายถูกปลายนิ้วของเขาลากวาดขึ้นมา พวกมันเรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นอมคมโบราณที่ไม่อาจออกเสียงให้เข้าใจได้ด้วยภาษาของมนุษย์ เมื่อจองกุกวาดพวกมันจนครบ ข้อมูลของเขาก็เกิดการลุกไหม้ รอยสักรูนปรากฏขึ้นเรียงร้อยอยู่รอบข้อมือของเขาราวกับกำไลสีดำเส้นหนึ่ง และวงแหวนที่เขาวาดก็เขื่อมเข้ากับวงแหวนด้านข้างทั้งสองวงได้ในทันที
ที่ด้านขวามือของเขา แทฮยองที่สวมหน้ากากแห่งผู้หลบซ่อนกำลังมองมา ก่อนจะเอ่ยว่า “เหลือแค่จีมินกับยุนกิที่ยังไม่มา”
จองกุกเลิกคิ้วเล็กน้อย เขานึกย้อนถึงท่าทางของยุนกิก่อนจากกันตรงทางแยก มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะอย่างไรก็ต้องมา และในตอนนี้เพิ่งจะตีสองเท่านั้น ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงให้คอยเขา
ในตอนนั้นเองที่แผ่นดินใต้เท้าของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมาจนรู้สึกได้ แสงของวงแหวนที่ถูกวาดเอาไว้กะพริบเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเรืองแสงเจิดจ้าดังเดิม
“เฮลล่า?”
“อืม” แทฮยองพยักหน้ารับ “พี่จิน จัดการหน่อยครับ”
ซอกจินที่ยืนห่างออกไปสองตำแหน่งคุกเข่าลงบนพื้นก่อนจะประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ท่าทางราวกับว่าเขากำลังสวดภาวนาอยู่จริงๆ ริมฝีปากของเขาขยับอย่างรวดเร็วจนไม่อาจอ่านออกว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ร่างของเขาค่อยๆเรืองแสงขึ้นมาอย่างช้าๆ จนกระทั่งแสงจากตัวของเขานั้นเจิดจ้าจนไม่อาจทนมองด้วยตาเปล่าได้
ในตอนนั้นเองที่เขาคลายมือที่ประสานไว้ระดับอกออก จากนั้นกดฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนพื้นดิน แสงสีขาวจางร่างของเขาก็ไหลหลากลงสู่พื้นดิน ชอนไชลึกลงไปราวกับรากของต้นไม้ แผ่นดินสะเทือนไหวขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะสงบลงพร้อมกับแสงนั้นที่ลับหายลงไปในดิน
“นี่น่าจะพอมัดมือมัดเท้าของนางเอาไว้ได้สักพัก” ซอกจินหอบหายใจ เขายิ้มแห้งอยู่บนพื้น เอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง แค่เปลืองแรงเกินไปหน่อย ตอนนี้ฉันเหนื่อยจนแทบลุกไม่ไหว อืม..ขอฉันหาดูก่อนว่าพกขนมอะไรมาบ้างหรือเปล่า”
ฟุบ
โฮซอกที่ยืนอยู่ในตำแหน่งตรงข้ามกับเขาพอดีหยิบห่อขนมเวเฟอร์ช็อกโกแลตออกมาแล้วโยนไปให้อีกฝ่าย ซึ่งซอกจอนก็สามารถรับเอาไว้ได้อย่างแม่นยำทันที
“ขอบใจ”
“ฉันยังมีอีกหลายห่อ ใครอยากกินหรือนายจะเอาอีกก็บอกได้นะ” โฮซอกเอ่ยอย่างใจดี พลางเปิดให้ทุกคนเห็นว่ากระเป๋าด้านในเสื้อสูทของเขาเสียบห่อขนมเอาไว้หลายห่อจริงๆ
“นายนี่ชอบพกของแบบนั้นเสมอเลยนะ” นัมจุนเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“เพราะเวลาออกทำภารกิจใหญ่ๆชอบมีคนใช้พลังจนเกินตัวแล้วก็หิวไม่เป็นเวล่ำเวลาน่ะสิ”
ขณะฟังพวกเขาหยอกเย้ากันไปมา จองกุกพลันรู้สึกได้ว่าขอบตาของเขาร้อนผะผ่าว
นี่เป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทว่าห้วงเวลานั้นกลับยาวนานเสียจนจำแทบไม่ได้แล้ว ทว่าเขารู้ดี ครั้งหนึ่งพวกเขาทั้งเจ็ดคนเคยรวมตัวกันเช่นนี้ แม้ไม่บ่อยนัก ทว่าทุกครั้งที่ได้รวมตัวกัน พวกเขาจะนั่งล้อมลงรอบกองไฟ บอกเล่าประสบการณ์จากการเดินทางของแต่ละคนให้กันและกันฟัง จากนั้นก็จะถกกันเรื่องเวทมนตร์ อาคม หรือเรื่องรูน บางครั้งก็จะเอาของหายากจากเมืองที่อีกฝ่ายยังไม่เคยไปมามอบให้กัน
เขาพบว่าตัวเองคิดถึงช่วงเวลาเช่นนั้นเหลือเกิน
“มันเหมือนเวลาถูกหยุดไปช่วงหนึ่ง แต่หลังจากวันนี้ไป นาฬิกาและกาลเวลาจะเริ่มเดินหน้าต่ออีกครั้งแล้ว การเดินทางของทูตทั้งเจ็ดจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง” แทฮยองเอ่ย สายตาจับจ้องไปยังชายสามคนที่ยังคงคุยเล่นคุยหัวกันอยู่เป็นการฆ่าเวลา
“ฉันจะไปตามสองคนนั้น” จองกุกเอ่ยออกไปเสียงเรียบ มือของเขาสะบัดวูบ อักษรรูนตัวหนึ่งที่ไม่ทันมองให้ชัดว่าเป็นตัวอักษรใดก็พุ่งหายไป แทฮยองหัวเราะเสียงเบา กล่าวว่า “ไม่อยากรออีกต่อไปแล้วสินะ นายนี่ใจร้อนจริงๆ ได้หน้ากากคืนมาเป็นคนสุดท้ายแท้ๆ”
“ฉันอยากจะจำให้ได้ทั้งหมดเร็วๆ” จองกุกจ้องมองไปทางเขา “โดยเฉพาะเรื่องของนายกับฉัน”
แทฮยองชะงักก่อนจะเสเบือนใบหน้าไปทางอื่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า “จริงๆ แล้ว สำหรับฉัน...ลึกๆแล้วฉันไม่ค่อยอยากให้นายจำเรื่องทั้งหมดได้เท่าไรหรอกนะ”
จองกุกชะงัก พวกเขาสบตากันผ่านหน้ากาก อยู่ดีๆก็พลันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบมีเพียงเขาสองคน จองกุกอยากออกจากวงแหวนเวท อยากจะเดินไปหาอีกฝ่าย แต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจขยับตัวออกนอกวงแหวนอาคมนี้ได้ ดังนั้นจึงรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอย่างมาก
เด็กหนุ่มพยายามเฟ้นหาความทรงจำจากหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่
เพราะอะไรแทฮยองถึงได้พูดแบบนั้น อีกฝ่ายจำเรื่องอะไรได้ แล้วเขาจำเรื่องราวตรงส่วนไหนไม่ได้ ความทรงจำนั้นจะต้องเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของพวกเขาแน่ๆ
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ดำดิ่งเข้าไปในความทรงจำที่บรรจุไว้ในหน้ากาก เสียงฝีเท้ารัวเร็วก็ดังขึ้น แล้วจีมินกับมินยุนกิก็วิ่งเข้ามา ทั้งคู่หอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ดูราวกับว่าวิ่งสุดแรงเกิดมาที่นี่
“เกิดอะไรขึ้น” นัมจุนถามทันที
“การก่อกวนของเฮลล่า” จีมินหอบหายใจ เขาพยายามสูดลมเข้าปอดเพื่อปรับสภาพตัวเอง “เราหลงทาง...ใช่ ครีต หลงทางในเมืองเล็กๆที่พวกเรารู้จักทุกซอกทุกซอยดี แถมยังมีเงาดำไล่ตามพวกเราอีก ยังกับอยู่ในหนังแหนะ ที่ต้องวิ่งอยู่ในเขาวงกตแล้วมีอสุรกายไล่ตาม เพราะพี่ยุนกิไม่ยอมฝึกวิชาเลยก่อนหน้านี้ ก็เลยใช้ไฟของเขาเผาพวกมันไม่ได้ โชคดีที่เพรย์ลงมือช่วยทัน รากแสงนั่นคืออาคมของนายใช่ไหมเพรย์?”
ซอกจินพยักหน้ารับ คิ้วขมวดเข้ากันจนแน่น จนใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเคร่งเครียดกว่าปกติ “เฮลล่าถึงกับส่งอสุรกายขึ้นมาไล่ตามพวกนายได้?”
“เห็นได้ชัดว่าอาคมที่ขังนางไว้แต่เดิมเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆแล้ว” โฮซอกพึมพำ
“แล้วพอรากแสงกระชากพวกมันกลับลงไปในดิน ไม่นานนักซีกเกอร์ก็ส่งอักษรเคนแห่งการนำทางมาให้พวกเรา พวกเราก็เลยเดินทางมาที่นี่ได้อย่างถูกต้องเสียที” จีมินถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเล่าจบ
“เสียเวลาไม่ได้แล้วสินะ” ยุนกิเอ่ยขึ้นเสียงเบา
เขาสูดลมหายใจเข้าก่อนจะผ่อนลมหายใจออกอย่างข้าๆ ขณะที่เดินก้าวเข้าไปยืนในตำแหน่งของตนเอง นิ้วของเขาเรืองแสงขึ้น ผู้ทำลายล้างและผู้ปกป้องต่างก็ร่างวงแหวนอาคมของตนเองขึ้นมา
เส้นสายของวงแหวนขนาดใหญ่ในที่สุดก็ถูกวาดขึ้นอย่างสมบูรณ์
จองกุกหลับตาลงเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ ในหัวของเขาเกิดเรียงร้อยถ้อยคำภาษาโบราณขึ้นมาเอง ริมฝีปากของเขาขยับ เปล่งเสียงออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วยอาคมบทเดียวกัน
“พญาพฤกษา รากฐานแห่งสรรพชีวิตทั้งปวง ข้าผู้ก่อเกิดจากท่าน ขอน้อมจิตตั้งมั่นอธิษฐาน ดวงจิตแห่งทูตซึ่งเคยถูกทอดทิ้งไว้ ณ สถานแห่งนี้ มิอาจสถิตอยู่เป็นเวลาชั่วกาล
เทพีทั้งสาม ผู้ถักทอร้อยเส้นไหมแห่งโชคชะตา ข้าผู้รับบัญชา ขอน้อมจิตร้องขอความปรานี โปรดช่วยนำวิญญาณของข้านี้ หวนกลับคืนสู่ความเที่ยงแท้แรกเริ่มแต่เดิมมา
บุปผาทั้งเจ็ดเบ่งบาน พันธะสถานพรั่งพร้อม ข้าขอสักการะนบน้อม แด่พญาพฤกษาแห่งชีวิตและปัญญา โปรดคืนพลังแห่งปวงข้า คืนศักดิ์ คืนฐาน คืนดวงวิญญาณ... แก่ข้าในฉับพลัน!”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หนูว่าหนูมั่ยหวัยคร่ะ
มันรุนแรง แง้
แต่แบบ ตอนจองกุกออกจากบ้านแล้วพบหมอกหนา ในใจนี่ก็คิดว่าเออ ถ้าเป็นงี้ไปรับอีกสองคนหน่อยไหม แล้วไม่คิดว่าทั้งสองคนนั้นจะหลงทางจริงๆ 555555
ถ้าน้องได้ความทรงจำคืนจะเป็นไงนะ...