ตอนที่ 3 : Chapter 3
Chapter 3
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่จองกุกเข้ามาในโรงละครแห่งนี้ เด็กหนุ่มจำได้ว่าในตอนที่เขาอยู่เกรด7 โรงเรียนเคยพาเขามาชมละครเวทีที่นี่ แต่เรื่องที่เขารับชมเป็นเรื่องราวที่สร้างจากนวนิยายชื่อดัง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตำนานของเมือง ด้วยความคาดเดาของเขาเอง ละครที่เกี่ยวกับเมืองเมืองนี้น่าจะเริ่มแสดงในช่วงไม่กี่ปีมานี้เท่านั้น
บัตรที่นั่งของจองกุกไม่ใช่บัตรวีไอพี แต่ตำแหน่งถือว่ากำลังดีเลยทีเดียว ระยะห่างจากเวทีไม่ไกลเกินไป เขาได้นั่งในบล็อกกลางและที่นั่งของเขาก็ติดทางเดิน ท่ามกลางนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่กำลังตั้งหน้าตั้งตารอชมละคร จองกุกกลับเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ผิดที่ผิดทาง
นี่ใช่สิ่งที่เขาควรทำในวันที่ปู่ของตัวเองเสียชีวิตอย่างนั้นเหรอ?
ถ้าพ่อกับแม่ของเขารู้ว่าเขามาดูละครแทนที่จะไปร่วมพิธีฝังศพ พวกเขาจะคิดยังไงกันนะ
จองกุกปล่อยให้ความคิดพวกนี้ก่อกวนในหัว จนกระทั่งแสงไฟในโรงละครทั้งหมดถูกดับลงนั่นแหละ เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าละครกำลังจะเริ่มแสดงแล้ว
“ทุกหนทุกแห่งโลกล้วนมีตำนานของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับ Ghost Town ที่ทุกท่านได้มาเยือนแห่งนี้ ตำนานของเมืองเล่าขานว่าแต่เดิมเมืองแห่งนี้เคยเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์มาก่อน นั่นย้อนไปไกลทีเดียว ไกลถึงยุคที่อัศวินขี่ม้าปกป้องเรา ไกลถึงยุคที่กษัตริย์ปกครองแว่นแคว้นอย่างภาคภูมิและสวมมงกุฎทองคำ ไกลถึงยุคที่ผู้คนสักการะแด่ทวยเทพและใช้ศาสตร์ลี้ลับที่เรียกว่ามนตรา”
เสียงของผู้บรรยายดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ทันที บนเวทีฉายภาพภาพวาดเก่าแก่ที่จองกุกมองดูแล้วพอจะมองออกว่ามันก็คือ Ghost Town แห่งนี้ ตำแหน่งของตึกรามบ้านช่องไม่มีตรงไหนเปลี่ยนแปลง ถนนยังคงเป็นเส้นเดิม แลนด์มาร์กสำคัญอย่างต้นไม้ใหญ่บนเนินกลางเมืองก็คงอยู่เช่นเดิม ที่แตกต่างก็คือมันมีใบเขียวชอุ่ม แผ่ร่มเงาอันกว้างใหญ่ และผู้คนก็นั่งเล่นกันอยู่ใต้ต้นไม้อย่างมีความสุข
“Life Tree คือชื่อของต้นไม้ต้นนั้น ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็น Dead tree อย่างในทุกวันนี้ ตำนานของเมืองเล่าว่าต้นไม้ต้นนั้นคือศูนย์กลางของวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่”
ภาพฉากบนเวทีเปลี่ยนไป ม่านที่ถูกปิดสนิทเอาไว้ถูกมือที่มองไม่เห็นเลื่อนเปิดออก เผยภาพต้นไม้แห่งชีวิตปรากฏอยู่ตรงนั้น นักแสดงสวมเสื้อผ้าย้อนยุครับบทเป็นชาวบ้าน ออกมาร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนานใต้ต้นไม้ใหญ่นั้น ก่อนที่ทุกคนจะนำพวงดอกไม้ไปวางสักการะไว้ที่ใต้ต้นไม้ มุมหน้าสุดของเวที แสงไฟสาดส่องไปทางนั้น ชายชราคนหนึ่งกำลังเล่าให้หลานชายของตนเองฟังถึงความสำคัญของพิธีกรรมที่กำลังดำเนินอยู่
“เจ้าดูเอาไว้ นี่คือพิธีสักการะแด่อิกดราซิล”
“อิกดราซิล คืออะไรฮะปู่” เด็กชายผู้รับบทเป็นหลานชายของชายชราคนนั้นถามด้วยความสงสัย
“เราเชื่อว่าต้นไม้ต้นนี้ คือต้นไม้วิเศษที่โอบอุ้มพิภพทั้งเก้าเข้าไว้ด้วยกัน” ชายชราเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้ใหญ่ ในแววตาเต็มไปด้วยความผูกพัน เทิดทูน และศรัทธา “อิกดราซิลจะหยั่งรากลึกไปยังภพสามภพ หนึ่งคือแดนสวรรค์ ที่สถิตของเหล่าทวยเทพ สองคือแดนน้ำแข็ง ดินแดนของพวกยักษ์ และสาม คือแดนนรก ที่สถิตของราชินีแห่งความตายและวิญญาณร้าย”
“แต่นี่มันโลกมนุษย์นะครับ ปู่”
“เราเป็นมนุษย์ ใช่แล้ว แต่ภพมนุษย์นี่แหละคือภพที่ขั้นอยู่ตรงกลางระหว่างสวรรค์และนรก แล้วมันจะแปลกอะไรหากเราจะมีอิกดราซิลอยู่ที่นี่หนึ่งต้น”
“มันมีไว้ทำอะไรล่ะครับ ชาวบ้านก็เอาดอกไม้ไปสักการะมันด้วย”
“มันอย่างนั้นหรือ” ชายชราสั่นศีรษะให้กับสรรพนามที่เด็กชายใช้เรียกต้นไม้ “ไม่ใช่หรอก ไม่สามารถเรียกว่ามัน อิกดราซิลนั้นไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดาที่มนุษย์จะเรียกอย่างไร้ค่า เขามีรากอยู่สามราก รากที่หนึ่งหยั่งลึกลงไปในบ่อน้ำแห่งความเยาว์วัย รากที่สองหยั่งลึกอยู่ในน้ำพุแห่งสติปัญญา และรากที่สามหยั่งลงในตาน้ำที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำทุกสายในจักรวาล”
“โอ้โห”.
“ว่ากันว่าอิกดราซิลจะไม่มีวันเหี่ยวเฉา ไม่มีวันโรยรา ใบของต้นไม้นี้จะเขียวชอุ่มอยู่ตลอดกาล” ชายชรายิ้มให้กับต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น “เขาปกป้องคุ้มครองเรา มอบสติปัญญาปชและชีวิตให้เรา ถ้าไม่มีเขา มนุษย์ก็จะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เพราะเขาคือต้นไม้แห่งชีวิตยังไงล่ะ” ชายราจบประโยคด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน แสงไฟดับลง ก่อนจะสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ชาวบ้านทั้งหมดหายไปแล้ว ชายชรากับหลานชายที่เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่มกำลังยืนอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่ พวกเขามองดูใบสีเหลืองและกองใบไม้ที่ร่วงโรยอยู่รอบโคนต้น
“ไหนปู่บอกว่าเขาจะไม่มีวันโรยรายังไงล่ะครับ”
“ใช่ อิกดราซิลจะไม่มีวันแห้งเหี่ยวโรยรา นอกเสียจากว่า...แหล่งน้ำจากรากใดรากหนึ่งมีปัญหา”
“แหล่งน้ำที่อยู่ในพิภพทั้งสามนั่นน่ะเหรอครับ”
ชายชราถอนหายใจ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มอบให้หลานชายแล้วกำชับว่า “ส่งจดหมายนี้ออกไป เราต้องการผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบเรื่องนี้”
จดหมายที่ถูกส่งออกไป ทว่าวันและวันเล่าก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดหรือการตอบรับกลับมา ชายชรากับหลานชายที่ค่อยๆเติบโตเป็นชายหนุ่มแวะเวียนไปยังใต้ต้นไม้ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง..วันที่ใบไม้แทบไม่เหลือสีเขียวอีกแล้ว แผ่นดินก็แยกออก หญิงสาวผมดำคนหนึ่งก้าวออกมาจากแผ่นดินนั้น
สองปู่หลานมองเธอด้วยสายตาตกตะลึง แล้วชายชราก็ล้มลงสิ้นใจตรงนั้น ในอ้อมแขนของหลานชาย เขาจ้องมองหญิงสาวด้วยความหวาดกลัว ขณะที่รีบพาร่างไร้วิญญาณของปู่ตรงกลับบ้านไป ข่าวลือเรื่องหญิงสาวคนนั้นแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว เธอนั่งอยู่ตรงโคนต้นไม่ไม่ไปไหน
ขาวบ้านเชื่อว่าเธอจะต้องมาจากพิภพแห่งความตายแน่
“ใช่นางหรือเปล่า ราชินีแห่งความตาย”
“เป็นไปไม่ได้ นางออกมาจากอิกดราซิลนะ”
“แต่ผู้เฒ่าบอกว่ารากของอิกดราซิลมีปัญหา ถ้าหากนางมาจากนรกจริงๆล่ะ นั่นก็เป็นที่ที่รากของอิกดราซิลหยั่งรากไปถึงไม่ใช่หรือ”
ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมหมู่บ้านเมื่อผู้คนเริ่มล้มตาย เฉกเช่นเดียวกับต้นไม้ที่ห่างไกลจากคำว่ามีชีวิตขึ้นในทุกวัน ในตอนนั้นเองที่ชายชราคนหนึ่งเดินทางมาถึงเมืองนี้ ถือจดหมายที่ผู้เฒ่าเคยส่งไปมาด้วย หลานชายที่เติบใหญ่เป็นเจ้าเมืองคนปัจจุบันรีบบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
“อิกดราซิลที่กำลังจะตายงั้นเรอะ” ชายชราส่ายหน้าพลางมุ่งหน้าตรงไปยังต้นไม้ใจกลางเมือง ทุกครั้งที่ไม้เท้าที่เขาถืออยู่กระแทกลงบนพื้น แสงสีฟ้าจะสว่างวาบขึ้นบนพื้นดิน เจ้าเมืองมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง
“ท่านคือใคร”
“ชาวบ้านเรียกข้าว่าหมอผี” ชายชราตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย “พระราชาเรียกข้าว่าจอมปราชญ์”
“ถ้าเช่นนั้น นางเป็นใคร” เจ้าเมืองถาม พลางชี้ไปยังหญิงสาวที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ นางยังคงนั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
“นางคือราชินีแห่งความตาย รู้จักกันในนามเฮลล่า”
“ถ้าอย่างนั้นที่คนในเมืองตายก็เป็นเพราะนางจริงๆ”
หมอผีเฒ่าผู้นั้นไม่ได้ตอบรับ เขาเดินขโยกเขยกเข้าไปหานางพร้อมกับทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน นั่นก็คือเอ่ยปากพูดกับหญิงสาวผู้นั้นโดยตรง
“เฮลล่า เจ้าคืนดวงวิญญาณของผู้คนในเมืองนี้มาเถิด”
“ข้าคืนให้มิได้หรอก พ่อเฒ่า” หญิงสาวตอบเสียงเศร้า “ข้ามิได้พรากลมหายใจของพวกเขา เป็นพวกเขามอบลมหายใจให้กับข้าเอง”
หมอผีนิ่งงันไปหลายอึดใจก่อนจะหันหลังกลับ เจ้าเมืองเร่งรุดตามเขาไป “ที่นางพูดหมายความว่าอย่างไรพ่อเฒ่า”
“แปลว่านางไม่เป็นตัวของตัวเอง และที่มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ ก็เพราะดินแดนของนางมีปัญหา” หมอผีเฒ่าตอบ “การที่อิกดราซิลแห้งเหี่ยว การที่ราชินีพลัดถิ่น การที่ความตายไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป นี่ต้องใช้เวลาขบคิด แต่ที่แน่ๆ คือหากเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ความตายจะไม่หยุดอยู่แค่ในเมืองนี้”
“ท่านหมายความว่า..”
“ข้าหมายความว่าเราต้องหาทางส่งนางกลับคืนเฮลไฮม์ ดินแดนแห่งความตายของนาง หรือหากไม่สามารถทำได้ ก็ต้องหาทางสะกดนางเอาไว้ที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ความตายแพร่กระจายออกไปยังโลกภายนอก และทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องตาย วิญญาณจะเกลื่อนไปทั่วโลกมนุษย์ สมดุลทั้งหลายจะพังทลาย และนั่นจะทำให้ความตายค่อยๆลามไปยังภพอื่นๆด้วย”
“หนักหนาถึงเพียงนั้น?”
“หรืออาจนักหนายิ่งกว่านั้น” หมอผีเฒ่าถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “ต้องตามหาทูตทั้งเจ็ดผู้ได้รับความเอ็นดูจากโนร์น เทพีแห่งโชคชะตา ท่านเจ้าเมือง มีเพียงพวกเขาที่จะหาทางหยุดความตายและช่วยอิกดราซิลได้”
ตำนานที่ถูกนำมาสร้างเป็นละครเวทีนี้แตกต่างไปจากเวอร์ชันที่จองกุกเคยฟังปู่ของตนเองเล่ามา มันไม่ได้น่าขนลุกเท่าที่เคยได้ยิน แต่กลับเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในด้านเทวนิยมจนดูเหมือนพล็อตที่ถูกสร้างจากนิยายแฟนตาซีสักเรื่อง ทว่ามันกลับดูสมเหตุสมผลมากขึ้นไม่น้อยหากลองนำทั้งที่ปู่เล่าและในละครเรื่องนี้มายำรวมกัน
เนื้อหาในส่วนต่อไปไม่แตกต่างไปจากที่จองกุกรู้อยู่แล้ว นั่นคือหมอผีเฒ่าถูกพบว่าเสียชีวิตแล้วในเช้าวันรุ่งขึ้น ใบมือของเขากำกระดาษที่เขียนว่าตามหาทูตทั้งเจ็ดเอาไว้ ไม่ได้พูดถึงเรื่องการที่ราชินีแห่งความตายเลือกที่แห่งนี้เป็นบ้านเหมือนที่ปู่เล่า
บางทีตำนานก็ถูกบิดเบือนบ้างเป็นเรื่องธรรมดา จองกุกไม่ใช่คนที่เรื่องมากในการเสพข้อมูลจากหลายแหล่งที่มา และเท่าที่เขารู้สึก คิมแทฮยองดูรู้เรื่องเกี่ยวกับตำนานของเมืองพวกนี้ดีกว่าเขามาก ดังนั้นละครที่อีกฝ่ายย้ำว่าเขาจะต้องมาดูเรื่องนี้ จึงน่าจะมีเค้ามูลความจริงมากกว่าเวอร์ชันนิทานที่ปู่เล่าให้ฟัง
ชาวเมืองขันอาสากันออกเดินทางตามหาทูตทั้งเจ็ด ใช้เวลากว่าหกสิบปี เจ้าเมืองแก่ชราจนแทบเดินไม่ไหว แต่เขาก็ยังอยู่ทันได้เจอทูตทั้งเจ็ดคนนั้น
“ข้าตามหาพวกท่านมานานแสนนานเหลือเกิน”
“บางครั้งเวลากับโชคชะตาก็เกี่ยวเนื่องกันอย่างแยกไม่ขาด ท่านเจ้าเมือง” ใครบางคนในหมู่ผู้สวมชุดคลุมสีดำเอ่ย จองกุกมองพวกเขาทั้งเจ็ดคนด้วยความสนใจ หน้ากากในอกเสื้อของเขาส่งไอเย็นจางๆออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ทูตทั้งเจ็ดมีหน้ากากในมือคนละใบ เมื่อเจ้าเมืองมองด้วยความสงสัย หนึ่งในพวกเขาก็กล่าวอธิบายว่า “นี่คือของขวัญที่เทพีแห่งโชคชะตามอบให้เรา ในหน้ากากนี้บรรจุหลายสิ่งเอาไว้ ทั้งภูมิปัญญาเก่าก่อน วาทะแห่งเทพเจ้า ปณิธานที่ผู้ถือครองต้องรักษาเอาไว้ตราบจนสิ้นลม”
.”ปณิธานหรือ...”
“โนร์นมีหน้าที่ที่สำคัญยิ่งอยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือพิทักษ์รักษาอิกดราซิลเอาไว้ แต่บางครั้งเทพีแห่งโชคชะตาก็ยุ่งเกินกว่าจะมาดูแลต้นไม้ ดังนั้นพวกนางจึงหาตัวแทน ซึ่งก็คือพวกเรา ดังนั้นหน้าที่ของเราก็เป็นเหมือนผู้พิทักษ์และผู้คุม เป็นผู้ส่งสารและเป็นผู้รับสาส์น จากเทพเจ้าสู่มนุษย์”
“ใช้เวลานานกว่าหกสิบปีกว่าจะถึงยุคสมัยที่ทูตทั้งเจ็ดซึ่งกระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกมนุษย์เดินทางมาพร้อมหน้าพร้อมตากัน” ทูตอีกคนเอ่ยขึ้น “และในตอนนี้หน้าที่ของพวกเราก็คือหาทางทำอะไรสักอย่าง ที่ดูๆไปแล้วตัดสินใจยากเหลือเกิน”
.อดีตเจ้าเมืองผู้แก่ชราถามต่อด้วยความไม่เข้าใจ “ตัดสินใจยากอย่างไรหรือ”
“หญิงสาวที่นั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น คือราชินีเฮลล่า ผู้ปกครองนรก” ทูตคนหนึ่งเอ่ย “มนุษย์เจ็ดคนกับความสามารถน้อยๆที่เทพีมอบให้อาจไม่เพียงพอต่อการส่งนางกลับไปยังนรกและรักษารากของอิกดราซิลให้หายดีได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่นั้น...”
“พลังของนางไม่มีอะไรมากไปกว่าความตาย”
ประโยคที่จองกุกเคยได้ยินมาแล้วดังขึ้นอีกครั้งที่ตรงหน้าเขา แตกต่างจากที่เขาเห็นในห้วงความคิดที่หน้ากากมอบให้เพียงนิดเดียว จองกุกพอจะเข้าใจได้ คิมซอกจิน คิมแทฮยอง สองพี่นั่นจะต้องรู้อะไรหลายอย่างแน่ๆ และคงไม่แปลกหากพวกเขาจะเคยเห็นฉากแบบเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นมาแล้ว เมื่อนำมาเขียนเป็นบทละครจึงสมจริงยิ่งนักในสายตาของจองกุก
“แต่ความตายซึ่งเป็นพลังของนางก็ไม่สมควรทำลายโลกมนุษย์ทั้งใบ”
“แม้แต่อาจารย์ก็ยังตายหลังจากเพียงแค่สนทนากับนาง อำนาจของนางบริสุทธิ์มากและทรงพลังอย่างที่สุด เพียงเข้าใกล้ พูดคุยด้วย ก็อาจตายได้ทันที”
“อันตรายอย่างมาก”
“เพราะเป็นเช่นนั้นจึงปล่อยให้นางออกไปสู่โลกภายนอกไม่ได้”
“หากนางออกไปจากเมืองนี้ นางก็จะนำความตายไปกับนางด้วย ประตู...จะเปิดออกกว้าง คนเป็นจะต้องตาย และคนตายก็จะหวนกลับสู่โลกนี้ สมดุลทุกอย่างจะพังทลาย”
“เราต้องกักนางเอาไว้ที่นี่”
“แต่นั่นจะหมายถึง...การที่พวกเราจะต้องสละซึ่งดวงวิญญาณของตนเองไปเพื่อกักขังนางเอาไว้”
“ถ้าเพื่อโลก เราจะไม่ทำหรือ เพียงวิญญาณของพวกเราทั้งเจ็ดคน แลกกับโลกทั้งใบ ข้าคิดว่ามันเพียงพอแล้วและคุ้มค่าเหลือแสน”
“มันไม่ใช่แค่เราที่ต้องเสียสละ เมืองเมืองนี้เองก็จะต้องเสียสละด้วยเช่นกัน นางจะถูกทำให้หลับใหลไปชั่วคราวเท่านั้น มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้สิ”
“น่าเสียดายที่อาจารย์ไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องมีบางสิ่งที่บอกให้เราทำได้แน่”
“แต่ตอนนี้เราก็ทำได้เพียง ทำในสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่หรือ มาเถิด ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าหาหวาดกลัวความตายไม่ ยิ่งเมื่อความตายของข้าสามารถแลกได้กับความตายของคนทั้งโลก ข้ายินดีและถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
เสียงสวดคาถาดังขึ้น...ไม่ใช่คาถาที่จองกุกมีในความทรงจำบทนั้น เป็นเหมือนเสียงสวดมั่วซั่วที่ให้ความรู้สึกว่าขลังไปอย่างนั้นเอง อย่างไรก็ตาม เขาเห็นผู้คนที่นั่งชมละครอยู่รอบข้างเขาขนลุกกันเป็นแถบเพราะเสียงสวดถาคานี้
เมื่อเสียงสวดจบลง ทูตทั้งเจ็ดก็สลายกลายเป็นหมอกควัน หญิงสาวจมหายลงไปในดิน ต้นไม้แห่งชีวิตกลายเป็นต้นไม้ที่ไร้ซึ่งชีวิต
“หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เมืองแห่งนี้ก็ได้ชื่อว่า Ghost Town” เสียงของผู้บรรยายกลับมาอีกครั้ง ไฟในโรงละครสว่างขึ้นและฉายให้เห็นภาพของเมืองในปัจจุบันที่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอกและความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในเวลากลางคืนตลอดกาล “ในบางครั้ง ชาวเมืองเชื่อกันว่าพวกเขาเห็นดวงวิญญาณของคนที่ตายไปแล้วปรากฏอยู่ท่ามกลางหมอกควันนั้น พูดคุยกับถึงโชคชะตาของเมืองที่รอใครสักคนมาเปลี่ยนแปลง...”
“จองกุก”
เฮือก!
จอนจองกุกสะดุ้งสุดตัวเมื่อแทฮยองปรากฏตัวขึ้นส่งเสียงเรียกเขาเบาๆที่ด้านข้างทางเดิน เด็กหนุ่มในชุดเอี๊ยมกวักมือเรียกเขา “มาเถอะ อีกเดี๋ยวผู้ชมพวกนี้ก็จะถูกต้อนเข้าไปในส่วนของบ้านผีสิงด้านหลังแล้ว นายรีบตามฉันมาทางนี้”
ท่ามกลางความสับสนมึนงง จองกุกลุกขึ้นแล้วเดินตามแทฮยองไปตามทางเดินออกจากโรงละคร เขาพบกับคิมซอกจินที่กำลังยืนรอเขาอยู่ที่ด้านหน้าโรงละครพร้อมกับรถยนตร์สีดำคันหนึ่ง
“เอ่อ..นี่มันอะไรกันครับ ผมไม่เห็นเข้าใจเลยว่าทำไมต้องให้ผมดู” จองกุกถามขึ้นมาโดยไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ ซอกจินสบตากับแทฮยองน้องชายของเขา ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วให้จองกุก “เธอไม่เข้าใจเหรอ ฉันว่ามันชัดเจนออกนะ”
“คือ..ถ้าคุณหมายถึงตำนานของเทพพวกนั้น ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเรื่องที่ผมพอจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มความเชื่อในเรื่องของเทพเจ้าเข้ามาด้วยเท่านั้นเอง” จองกุกกล่าว
“ฉันหมายถึงเรื่องหน้าที่ของทูตต่างหาก จองกุก” ซอกจินส่งรอยยิ้มให้เขา “นายคิดว่าหน้ากากจะมีพลังพิเศษขึ้นมาแค่เพราะหมอผีคนหนึ่งร่ายคาถาใส่มันอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก หรือนายไม่สงสัยเหรอว่าทูตทั้งเจ็ด...ทำไมเขาถึงถูกเรียกว่าทูตล่ะ ในเมื่อพวกเขาก็เป็นแค่ลูกศิษย์ของหมอผีแก่ๆคนหนึ่ง แล้วหมอผีแก่ๆคนนั้นไปเกี่ยวข้องยังไงกับเทพีแห่งโชคชะตาอย่างโนร์น”
“แต่..”
แทฮยองก้าวเข้ามายืนใกล้เขาก่อนจะกล่าวเกลี้ยกล่อมว่า “มาเถอะ จองกุก เราจะใช้เวลาไม่นานหรอกในการช่วยให้นายทำความรู้จักกับโลกอีกใบ..อีกด้านหนึ่งของเมืองเมืองนี้”
จองกุกลังเล หลังจากกัดฟันคิดหลายตลบ เขาก็ตัดสินใจก้าวขึ้นรถยนต์คันนั้น แล้วไปกับสองพี่น้องตระกูลคิม
Talk.
กลับมาแล้ว หลังจากหนีไปเขียนเลกาซี่มาเป็นเดือน55555
อ่านมาถึงตอนนี้ ทุกคนคงรู้แล้วว่าเรื่องราวแฟนตาซีที่เราจะมานำเสนอทุกคนโดยการยำใส่ฟิคของเราเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่อิงตำนานเทพเจ้านอร์สนั่นเอง!!!!
หลังจากพาทุกคนเจาะประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังใน Forever Spring ฟิคชุนเทียน ต่อสู้กู้โลกไปกับผู้อมตะ ทูตสวรรค์ และปีศาจใน Everlasting ฟิคกาลนิรันดร์ ไปเป็นเกมเมอร์สุดคูลใน Teenage dream กุกวีอีสปอร์ต เข้าร่วมสงครามสองเผ่าพันธุ์ของแวมไพร์ใน Bleeding Heart เที่ยวอิตาลีแบบโรแมนติกใน Space Between us แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างดุเดือดใน ตะวันแรกฟ้าและวิ่งเล่นในโลกเวทมนตร์กับโรงเรียนฮอกวอตส์ใน Legacy
โอ๊ะ เกือบลืมการกู้โลกอีกครั้งใน Save me my hero
วันนี้เราจะพุาทุกคน่ไปร่วมกันค้นหาวิธีช่วยโลกและต้นไม้จากความตายที่ควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป55555
โหย พอมาไล่เขียนแบบนี้แล้วพบว่าตัวเองก็เขียนมาเยอะมากเหมือนกันนะเนี่ย
จริงๆตอนเขียนกาลนิรันดร์ เคยนำเสนอเรื่องเทพนอร์สไปบ้างแล้ว ทั้งแรคนาร็อค ทั้งเทพสายฟ้า ทั้งหอกเทพโอดิน แต่มาเรื่องนี้ เราจะพาทุกคนไปเจาะกันให้ถึงพิภพทั้ง9 และต้นไม้ที่เชื่อมโลกทั้ง9นั้นไว้ด้วยกัน โดยมีทูตทั้ง7ของพวกเราค่อยๆพาทุกคนไปผจญภัย
ส่วนพล็อตเรื่องจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนนั้น...อันนี้เขียนไปก่อนเดียวค่อยว่ากันอีกที อาจเป็นไตรภาคอีกเรื่องก็ได้ใครจะรู้ //ปรากฏนักอ่านแปะป้ายประท้วงขี้เกียจอ่านเรื่องยาวของเราแล้ว แง้ววว
เอาเป็นว่าขอฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยเต๊อะ ไม่ดราม่า ไม่เน้นncเฉกเช่นเดียวกับทุกเรื่องที่ผ่านมา ถ้าชอบกาลนิรันดร์มาก่อน เราก็คิดว่าทุกคนน่าจะชอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน
ไว้เจอกันใหม่ตอนต่อไปจ้า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หงุดหงิดตัวเองมากเลยค่ะที่พึ่งกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ทั้งๆที่เราชอบตำนานเทพนอรส์มากกว่าตำนานอื่นๆ ต้องขอบคุณไรท์ที่พูดถึงฟิคเรื่องนี้ไว้ในเลกาซี่จริงๆค่ะ ไม่งั้นคงพลาดไปอีกนานเลย ;-; สำหรับเรา แค่เป็นนอร์สก็ตื่นเต้นแล้ว ยิ่งไรท์เขียนอีก ทำให้ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆไม่หยุดเลยค่ะ <3
ขนลุก เเงงงงงง
คิดภาพตามในฉากละครเวทีแล้ว ให้ฟีลแบบเหมือนนั่งดูกับจองกุกเลย ตื่นเต้น~~~~