ตอนที่ 23 : Special Chapter 2
Special Chapter 2
“นางมาถึงหมู่บ้านของพวกเราเมื่อสองสัปดาห์ก่อน” หญิงสาวเริ่มต้นเล่าเรื่องราวอย่างรวดเร็ว “แจกจ่ายผ้าแดงให้ทุกคนผูกเอาไว้ที่หน้าบ้าน นางบอกว่าปีศาจจะไม่เข้ามาเอาวิญญาณของคนในบ้านไปเพราะพวกมันกลัวผ้าแดง แล้ว...หลังจากลองทำตามที่นางบอกก็ไม่มีใครตายอีกเลยจริงๆ”
“แต่พวกท่านกลับตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น” ทริสทานมองเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินกวาดลานบ้านอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึก
“ข้า...” หญิงสาวนางนั้นมีสีหน้าหวาดกลัว “ข้ารู้ตัว แต่ข้าควบคุมตนเองไม่ได้ มันเหมือน...เหมือนกับว่าข้าหดหู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เศร้าขึ้นมา ไม่อยากสนใจใครและไม่อยากสนทนากับใครทั้งสิ้น”
ทริสทานหันไปมองหน้าจูเลียส ฝ่ายหลังหันกลับไปถามหญิงสาวคนนั้นว่า “แม่หมอคนนั้นบอกอะไรอีกหรือไม่”
“นางบอก...นางบอกว่านางจะกำจัดปีศาจทั้งหมดในเกาะนี้ให้ แลกกับการให้ที่พักพิงอาศัย ตอนนี้นางอาศัยอยู่ที่บ้านหลังสุดท้ายบนเนินเขา” หญิงสาวชี้ไปยังทิศทางนั้น
“เราจะทำเช่นไร” จูเลียสขอความคิดเห็นศิษย์พี่ผู้น่าจะมีประสบการณ์มากกว่า
“ดูๆไปแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง” ทริสทานตอบ พลางมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวชี้ “เจ้าเผาผ้ายันต์ของนาง นางอาจรู้ตัวแล้วว่าพวกเราไม่ใช่แค่คนที่หลงเข้ามาที่เกาะนี้ จริงสิ พี่สาวท่านนี้ ขอถามอีกเรื่องหนึ่งนอกจากสามีของท่านแล้ว ยังมีชายอีกกี่คนที่เสียชีวิต”
หญิงสาวตอบเสียงเศร้า “สี่คน”
“ศพเล่า เน่าเปื่อยหรือไม่?”
หญิงสาวชะงัก ก่อนจะส่ายหน้า “ศพของเขายังอยู่ แม่หมอบอกว่านางทำให้ศพของพวกเขาไม่เน่าเปื่อยได้ ท่านทั้งสอง...ที่ท่านกล่าวมานั้น หรือว่าแม่หมอนางจะ...”
“พวกเราเป็นลูกศิษย์ของจอมปราชญ์ เป็นหมอผี...” ทริสทานถอนหายใจ “สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ไม่ใช่การกระทำของปีศาจ แต่น่าจะเป็นกระการทำของมนุษย์ผู้ใช้มนตร์ดำ ยันต์ที่แขวนอยู่หน้าบ้านของพวกท่านไม่ได้ป้องกันวิญญาณหรือปีศาจร้าย ตรงกันข้าม มันถูกลงคาถาเอาไว้ทำให้ผู้ที่แขวนมันไว้หน้าบ้านตกอยู่ในมนตร์สะกด เป็นศาสตร์มืดระดับสูงทีเดียว พูดง่ายๆก็คือแม่หมอคนนั้นนำวิญญาณที่นางเลี้ยงเอาไว้หรือจับมา ครอบงำพวกท่าน อย่างที่คนโบราณเรียกกันว่าผีเข้าสิงนั่นเอง”
จูเลียสสวมหน้ากาก ในดวงตาของเขาปรากฏเส้นทางมากมายขึ้น “นางกำลังเคลื่อนที่อยู่ในบ้านของนาง บางทีอาจกำลังจะหนี”
“เช่นนั้นคงต้องรีบแล้ว” ทริสทานเองก็หยิบหน้ากากขึ้นมาสวมเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ ท่านทั้งสอง แล้วคนอื่นๆเล่าเจ้าคะ” หญิงสาวคนนั้นรีบคว้าแขนของทริสทานเอาไว้ ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจัดการให้”
เอ่ยจบก็หันไปพยักหน้าให้จูเลียส ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเคียงข้างกันไปตามถนน
จูเลียสเหลือบมองทริสทาน เขามองเห็นมือของทริสทานขยับเล็กน้อย ทุกที่ที่พวกเขาเดินผ่าน ผ้าสีแดงที่ถูกแขวนเอาไว้หน้าบ้านก็ราวกับถูกบางสิ่งทำให้สลายกลายเป็นชิ้นๆ เล็กละเอียดราวกับฝุ่นผง สุดท้ายก็หายไปในอากาศพร้อมการกลับมามีสติอีกครั้งของชาวบ้านที่มองพวกเขาทั้งสองอย่างงุนงง
“เจ้าว่านางเป็นผู้ใช้วิญญาณสินะ” ทริสทานเปรยขึ้นมาลอยๆ
“เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น ข้าเคยเห็นวิชาเช่นนั้นมาก่อน”
“ข้าได้ยินเสียงของพวกเขา”
“ใคร?”
“เหล่าวิญญาณชายหนุ่มที่ถูกจับไป ข้ามีความสามารถในการรับรู้ถึงคลื่นและอารมณ์ทั้งหมดในโลก” ทริสทานโบกมือไปในอากาศ ราวกับกำลังวาดภาพบางอย่างที่จูเลียสมองไม่ออกว่ามันคืออะไร “ข้ารับรู้ได้ถึงความกลัวของผู้ที่ถูกเรียกว่าแม่หมอ นางมีดวงวิญญาณทับซ้อนในร่าง เป็นวิญญาณหญิงม่าย...”
จูเลียสถอนหายใจ “เป็นแม่หมอที่ถูกวิญญาณแฝงเสียเอง?”
“และวิญญาณนั้นก็ดลใจให้นางกระทำการขโมยวิญญาณของชายหนุ่มในหมู่บ้านไปให้ตัวเอง” ทริสทานเองก็ถอนหายใจเช่นกัน
“แต่...พวกเขาเป็นผี จะ...เอ่อ เสพสมกันได้อย่างไร?”
ทริสทานหันไปมองจูเลียส เพราะว่าสวมใส่หน้ากากเอาไว้ พวกเขาจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของกันและกันได้ แต่ความสามารถของเขาทำให้เขารับรู้ได้ถึงความสับสนระคนเก้อเขินของศิษย์น้อยคนนี้
“มันมีวิธีก็แล้วกัน”
เอ่ยอย่างไม่คิดจะอธิบายเพิ่มเติมว่าใช้วิธีการเช่นไร ทริสทานก็เอ่ยต่อไปว่า “แต่วิญญาณชายหนุ่มเหล่านั้นบางคนมีสามีแล้ว พวกเขาไม่อยากจะต้องเป็นทาสกาม ดังนั้นจึงต่อต้าน แต่จะต่อต้านได้อย่างไร ในเมื่อเป็นผู้ใช้วิญญาณก็ต้องรู้วิธีควบคุมวิญญาณ คาถาเพียงบทเดียวก็เพียงพอแล้วกับการทำให้วิญญาณเชื่อฟัง พวกเขาทุกข์ทรมานกันมากทีเดียว”
“แต่ทริสทาน หญิงสาวคนนั้นบอกว่าศพของสามีเธอยังไม่เน่า หมายความว่าเขายังมีสิทธิ์คืนชีพใช่หรือไม่?”
“...เรื่องนั้น ข้าก็ยังไม่แน่ใจ”
หากเป็นไซทัสมา เขาอาจมีหนทางในการคืนวิญญาณเข้าร่างที่ยังไม่เน่าสลายนั้น แต่กับตัวเขา เขายังไม่เคยทำอะไรเช่นนั้นมาก่อน แม้จะควบคุมคลื่นได้ ควบคุมข้าวของได้ด้วยพลังจิต แต่การจะควบคุมให้ดวงวิญญาณกลับคืนสู่ร่างก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้
กับจูเลียสยิ่งแล้วใหญ่ พลังของเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของวิญญาณหรือการปราบผู้ใช้มนตร์ดำเลย ตัวตนของเขาเหมือนมีไว้เพื่อนำทางและแก้ไขภารกิจทั่วๆไป ถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดอาจารย์จึงให้เขากับทริสทานมาทำภารกิจนี้
หากเป็นการปราบปีศาจก็แล้วไปเถิด อย่างไรเสียการสังหารก็ง่ายกว่าการช่วยเหลือมากมายนัก
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่อยากช่วยเหลือผู้คน
ไม่นานนักพวกเขาก็เดินมาถึงบ้านไม้หลังสุดท้ายที่อยู่บนเนินเขา
“ข้าจะไปตามหาแก่นวิญญาณ เจ้าช่วยระบุเส้นทางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” ทริสทานหันมาถามเขา
จูเลียสพยักหน้ารับ ก่อนที่จะวาดตัวอักษรเคนไว้บนพื้น อักษรรูนเรืองแสงทำหน้าที่ต่างลูกศร ชี้ทางที่ถูกต้องให้กับทริสทาน ทูตแห่งการหลบซ่อนกล่าวขอบคุณ ก่อนที่เขาจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาจูเลียส
เขาอึ้งมองที่ที่ทริสทานหายตัวไปอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกระชับผ้าคลุมแล้วเดินมุ่งหน้าตรงไปยังประตูบ้านของแม่หมอ เขารับรู้ได้ว่านางหยุดเคลื่อนไหวแล้ว
ขณะที่ทริสทานไปตามหาของ เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างกับแม่หมอผู้นี้
จู้เลียสก้าวข้าวรั้วไม้เล็กๆแล้วตรงเข้าไปเคาะประตูบ้าน
แอ๊ด
ประตูเปิดออกอย่างช้าๆ หญิงวัยกลางคนท่าทางสะโอดสะองผู้หนึ่งเยี่ยมหน้าออกมา ท่าทางตะลึงงันไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีดำทะมึนและสวมหน้ากากมายืนอยู่ตรงหน้า ราวกับนางคาดไม่ถึงว่าผู้ที่มาจะมาในลักษณะนี้
“ไม่ทราบว่าท่าน...”
“มนตร์เสน่ห์ของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก” จูเลียสเอ่ยตัดบทเสียงห้วน
ในฐานะศิษย์ของจอมปราชญ์ เขาย่อมไม่ได้เพียงแต่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เรื่องของทวยเทพ และการใช้อักษรรูนเท่านั้น เขาได้เรียนรู้ทุกอย่างซึ่งเกี่ยวกับการช่วยเหลือคน และหนึ่งในนั้นรวมไปถึงการต่อสู้กับผู้ใช้ศาสตร์มืดทั้งหลายด้วย ของประเภทมนตร์เสน่ห์เป็นหนึ่งในสิ่งแรกๆที่อาจารย์สอนพวกเขาให้รับมือ
จะอย่างไรเสียพวกเขาก็เกิดมาหน้าตาหล่อเหลา ชาติกำเนิดสูงส่งกันเสียเป็นส่วนมาก มนตร์เสน่ห์เป็นอะไรที่ใครต่อใครก็พยายามใช้เข้าหาพวกเขาอยู่แล้ว แม้ก่อนหน้านี้จูเลียสจะผอมแห้ง ชาติกำเนิดไม่ได้สูงส่ง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ท่ามกลางการเลี้ยงดูของอาจารย์และความร่ำรวยของพวกศิษย์พี่ จูเลียสมีร่างกายที่สูงใหญ่สมบูรณ์แบบ ใบหน้าที่เคยซูบผอมตามนี้เติบเต็มและหล่อเหลาน่าเอ็นดู ฐานะของเขาก็สูงส่งเทียบเคียงราชาแห่งจักรวรรดิอย่างนิโคลัส ดังนั้นเขาจึงมีวิชาที่ต่อต้านมนตร์เสน่ห์ทุกประเภทได้เช่นกัน
พลังของแม่หมอหญิงผู้นี้ก็หาได้สูงส่งอะไร
เมื่อถูกจูเลียสเอ่ยตรงๆเช่นนั้น หญิงวัยกลางคนก็นิ่งอึ้งไป ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาเล็กน้อยขณะที่ฝืนยิ้มแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่านายท่านมาหาข้ามีอะไรหรือเจ้าคะ”
“บุรุษของผู้อื่น แม้แต่เส้นผมเจ้าก็ไม่สมควรลักขโมยไป อย่าว่าแต่ดวงวิญญาณ”
“...เอ่อ ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ข้าพูดถึงความผิดที่เจ้ากระทำ” จูเลียสเอ่ยพลางยกมือข้างขวาขึ้น นิ้วของเขาวาดไปในอากาศ สัญลักษณ์รูนซีเกาก็ปรากฏขึ้นในลักษณะของอักษรที่มีแสงสว่างจ้า หญิงวัยกลางคนคล้ายถูกแสงสว่างนั้นทำให้เจ็บปวด นางร้องกรี๊ดพลางรีบขยับตัวหลบเข้าไปในบ้าน จูเลียสก้าวตามเข้าไปพร้อมกับสะบัดมือออกวาดรูนเดก อักษรแห่งแสงสว่างยามกลางวันขนาดใหญ่ขึ้นมา
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก
เสียงร้องโหยหวนหลากหลายเสียงดังระงมขึ้นทั่วบ้านหลังนั้น อักษรรูนเรืองแสงเจิดจ้าสว่างไสวราวกับมีพระอาทิตย์มาอยู่ที่เบื้องหลัง วิญญาณร้ายและผู้ใช้มนตร์ดำ รวมไปถึงมนุษย์ที่มีวิญญาณร้ายแฝงอยู่ในตัวมักไม่อาจทานทนกับแสงอาทิตย์เช่นนี้ได้
นี่ยิ่งพิสูจน์ว่าข้อสันนิษฐานของทริสทานกับเขาล้วนถูกต้อง
“อย่าทำข้าเลย โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน” หญิงวัยกลางคนคุกเข่าลงบนพื้น ดูเจ็บปวดทรมานมาก ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ แม้ปากจะร้องขอความเมตตา ทว่าดวงตาแข็งกร้าวที่ตวัดขึ้นมามองจูเลียสกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
จูเลียสรู้สึกเกลียดสายตาเช่นนั้น
ที่เขาได้รับมาทั้งชีวิตคือสายตาเกลียดชังระคนดูถูก แต่ที่ได้รับอยู่ในยามนี้คือสายตาเกลียดชังระคนสาปแช่ง ราวกับว่าหากมีโอกาส นางพร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
ขณะที่จิตใจของเขากำลังดิ่งวูบอยู่นั้นเอง มือข้างหนึ่งก็วางลงบนหัวไหล่ของเขา
ทริสทานที่ปรากฏตัวออกมาจากความว่างเปล่าจับไหล่ของเขาเอาไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “นั่นเป็นเพียงสายตาที่ใช้มองศัตรูเท่านั้น และศัตรูระดับมัน ไม่ควรค่าให้เจ้าใส่ใจหรอก”
ความรู้สึกของจูเลียสแปลกประหลาดยิ่ง คล้ายถูกฉุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของมหาสมุทร หัวใจของเขาสั่นไหวราวกับผิวน้ำที่ถูกมืออันอ่อนโยนคู่หนึ่งแตะโดน
เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นทริสทานที่สวมใส่หน้ากากพยักหน้าให้เขา ก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินตรงเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น เขาเห็นทริสทานใช้มือวางลงบนศีรษะของผู้หญิงคนนั้น ร่างของนางสั่นเทาขึ้นมาทันที สายตาที่ใช้มองทริสทานนั้นทั้งชิงชังทั้งหวาดกลัว
ที่น่าแปลกคือ แม้จูเลียสจะไม่อาจเห็นใบหน้าที่อยู่หลังหน้ากากของทริสทานได้ แต่เขากลับสามารถรู้ได้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายยามนี้คงอ่อนโยนยิ่ง
จากนั้นเขาก็เห็นทริสทานใช้มือรวบไปในอากาศ ร่างสีซีดร่างหนึ่งถูกกระชากดึงออกมาจากร่างของแม่หมอ ร่างนั้นเป็นหญิงสาววัยรุ่น นางดิ้นรน ปัดป่ายมือเท้า แต่กลับไม่สามารถหลุดจากเงื้อมมือของทริสทานไปได้เลย
“เจ้าจะจัดการอย่างไร” จูเลียสอดถามไม่ได้ เพราะเมื่อครู่นี้ทั้งเขาและทริสทานต่างก็ยังอับจนหนทางกันอยู่เลย
“หลังจากที่ข้าได้วัตถุที่สามารถผูกวิญญาณได้พวกนี้มา” ในมือของทริสทานปรากฏขวดโหลว่างเปล่าใบหนึ่ง “ข้ากับเจ้าที่ไม่มีพลังแสงศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่อาจสวดส่งวิญญาณได้ แต่ถ้าเป็นไซทัสล่ะก็ทำได้แน่ ดังนั้นข้าจะจับนางไปให้เขาจัดการ ส่วนวิญญาณตนอื่นๆที่อยู่ที่นี่เราก็เพียงปล่อยพวกเขาไป”
“แล้ววิญญาณชายหนุ่ม?”
“ข้าตรวจดูแล้ว ข้าพอจะจัดการได้” ทริสทานเอ่ย พลางหมุนปลายนิ้วของเขาวิญญาณหญิงสาวก็ถูกเขาทำให้กลายเป็นลูกกลมๆลูกหนึ่ง ทริสทานยัดลูกกลมๆนั้นใส่ลงไปในขวดแก้ว ก่อนจะยื่นส่งมันมาให้จูเลียส แล้วหยิบขวดแก้วที่มีของเหลวห้าขวดออกมา
ทริสทานเปิดฝา ใช้พลังของเขาบังคับให้ของเหลวเหล่านั้นไหลออกมา “ของเหลวพวกนี้ เป็นน้ำมันที่ถูกลงอาคมเอาไว้ ให้มีอำนาจในการกักขังและสะกดวิญญาณ ข้าจะต้องแยกวิญญาณผู้ชายพวกนั้นออกมาจากน้ำมันก่อน”
เอ่ยจบเขาก็โยนขวดแก้วที่ว่างเปล่าลงบนพื้น มือทั้งสองข้างประกบเข้าที่กลางอก ก่อนที่เขาจะแยกฝ่ามือทั้งสองข้างออกจากกัน
จูเลียสมองดูละอองที่บอบบางและละเอียดลออจำนวนหนึ่งลอยตัวออกมาจากน้ำมัน ไม่นานนักก็รวมตัวเป็นก้อนกลมๆ คราวนี้ทริสทานสะบัดมือทำให้น้ำมันที่เหลือรวมตัวกันเป็นก้อนน้ำมันขนาดใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ ส่วนละอองที่เป็นลูกกลมๆนั้นกลับกลายเป็นชายหนุ่มห้าคนแล้วในพริบตาเดียวที่เขาละสายตาไปมองอย่างอื่น
“ท่านผู้มีพระคุณ...”
ทริสทานส่ายหน้า กล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ผู้มีพระคุณ อีกอย่าง ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปแล้ว เตรียมตัวให้ดี”
เอ่ยจบก็ไม่รอให้ชายหนุ่มเหล่านั้นได้กล่าวอะไรอีก โบกมือวูบเดียวส่งดวงวิญญาณทั้งห้าดวงหายวับไปในทันที จูเลียสเพ่งจิตไล่ตามไป พบว่าวิญญาณเหล่านั้นถูกพลังของทริสทานจับยัดเข้าร่างไปแล้ว และอีกไม่นานก็คงจะฟื้นกลับคืนมา
ทริสทานหันมาแบมือ จูเลียสวางขวดแก้วไว้กลางฝ่ามือเขา พลางถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกับแม่หมอผู้นี้?”
ก้มลงมองดูหญิงวัยกลางคนที่นอนหลบสติน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น ทริสทานที่กำลังใส่น้ำมันสะกดวิญญาณเข้าไปในขวดแก้วก็เอ่ยว่า “ให้นางได้รับกรรมของนางเถอะ พวกเราไม่ใช่คนของศาสนจักรจริงๆเสียหน่อย อย่างมากก็แจ้งให้ทางการมาจับตัวไปก็พอ ข้าไม่เอานางเดินทางไปด้วยหรอกนะ แค่แม่นางคนนี้ก็ทำข้าขยะแขยงมากแล้ว พูดไม่ยอมหยุดเลย เจ้าได้ยินหรือไม่..อา คงไม่ได้ยินสินะ”
จูเลียสมองดูทริสทานเขย่าๆขวดแก้ว ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “นางพูดว่าอะไรหรือ?”
“นางเสนอตัวเป็น...เฮ้อ ช่างเถอะ ข้ามีตัวเลือกที่ดีกว่านางมากมายข้ายังไม่คิดจะเลือกเลย ทำไมข้าต้องเลือกผีแม่ม่ายสาวมากกำหนัดอย่างเจ้าด้วย?”
พรวด
จูเลียสหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยิน ทำเอาทริสทานหันมามองเขา แม้จะมีหน้ากากบังอยู่ แต่ก็รู้ได้ว่าเขากำลังทำตาโต
“จูเลียส เจ้าหัวเราะแล้ว?”
“หึๆ ก็ท่านน่าขำ”
“ข้าดีใจจริงๆ เจ้ากำลังมีความสุขเพราะข้า?”
“อะแฮ่ม” จูเลียสกระแอมกระไอกลบเกลื่อน เขารีบเปลี่ยนเรื่องเป็นถามว่า “แล้วทีนี้เราจะกลับกันทั้งอย่างนี้เลย?”
“อืม โดยปกติแล้วพวกเราไม่ค่อยอยู่ที่ไหนนานๆหรอก ที่ใส่หน้ากากส่วนหนึ่งก็เพราะอยากปิดบังตัวตนด้วยใช่ไหมเล่า อย่างนิโคลัสกับไซทัส หรือแม่ทัพกับนายพล พวกนั้นล้วนแต่เป็นคนที่มีใบหน้าเป็นที่รู้จัก ดังนั้นการใส่หน้ากากจึงช่วยทำให้ผู้คนไม่รู้ตัวตนของพวกเรา บางคนสมควรจะตายไปแล้วในความเป็นจริง อย่างที่นายพลเดสทรอยเยอร์สร้างข่าวขึ้นมา ข้าเอง...อืม ก็บอกคน เอ่อ ในครอบครัวว่าข้าตายแล้วเหมือนกัน”
“เจ้าบอก?”
“หมายถึงสร้างภาพให้พวกเขาคิดเช่นนั้น”
“อ้อ...”
“ก็...มาเถอะ เราจะจากไปเงียบๆ ไม่ต้องให้พวกเขารู้ว่าพวกเราทำอะไรและหายไปไหน” ทริสทานเก็บขวดวิญญาณนั้นเข้าไปในกระเป๋าช่องหนึ่งซึ่งอยู่บนเกราะอ่อนบนตัวเขา เอ่ยพลางเดินนำจูเลียสออกจากบ้านหลังนั้น
“เดี๋ยว แล้วเราจะไปเงียบๆได้อย่างไร จะกลับไปที่เรือต้องผ่านหมู่บ้าน...”
“ข้านึกว่าเราสองคนคือไฮเดอร์กับซีกเกอร์เสียอีก”
“ใช่”
“ข้าจะทำให้พวกเขาไม่เห็นเรา ส่วนเจ้าก็นำทางไปทางอื่นที่ไม่ผ่านหมู่บ้านเสียก็สิ้นเรื่อง?”
ทริสทานเอ่ยจบก็ยื่นมือออกมา
จูเลียสมองดูมือข้างนั้น...คนคนนี้ยื่นมือมาให้เขาอีกแล้วหรือ?
ไม่ใช่สิ
เขาเอื้อมมือออกไปจับมือข้างนั้น กระแสเย็นวาบสายหนึ่งพุ่งผ่านฝ่ามืออีกฝ่ายเข้ามา อาบร่างของเขาจนเย็นวาบไปทั่งทั้งตัวในพริบตาเดียว ทริสทานชี้ไปบนพื้น เงาของพวกเขาหายไปแล้ว
นั่นหมายความว่าพวกเขาหายตัวไปจากสายตาของผู้คนแล้วเช่นนั้นสินะ?
จูเลียสหันกลับไปมองแผนที่ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่สามารถมองเห็นได้ จากนั้นกระชับมือของอีกฝ่ายแล้วเป็นฝ่ายนำออกเดิน
เขาต้องไม่ถามว่าอีกฝ่ายยื่นมือมาให้เขาอีกแล้วหรือ
เขาสัมผัสได้ว่าหลังจากนี้ มือข้างนี้จะเป็นมือที่เขาได้สัมผัสบ่อยที่สุดในโลก
แต่จูเลียสในตอนนั้นยังไม่ทันได้คิด ว่ามือข้างนี้จะเป็นมือที่เขาสาบานว่าจะเกาะกุมตลอดไป ในอีกกาลเวลาหลายร้อยปีให้หลัง
หรือแม้กระทั่งในอีกชาติภพหนึ่งของดวงวิญญาณ
ในวันนั้น เขาเพียงแต่ถามอีกฝ่ายบนเรือที่โคลงเคลงกลับเข้าฝั่งว่า “เราจะยังได้ทำภารกิจคู่กันอีกหรือไม่?”
“แน่นอน” ทริสทานยิ้มให้เขา แสงแดดยามเย็นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายดูหม่นหมองลงเลย ตรงกันข้าม มันทำให้ประกายเรืองรองบนตัวของเขาหายไป แทนที่ด้วยเสน่ห์ลึกลับยากบรรยาย
หากบอกว่าเป็นปีศาจเสียเองเขาก็คงเชื่อ
นับจากวันนั้น การเดินทางของพวกเขาก็เริ่มต้นขึ้น
การเดินทางของซีกเกอร์และไฮเดอร์
ผู้แสวงหา...
ผู้หลบซ่อน...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โอ้ยกรีดร้องงงงงงง
จุดเริ่มต้นความรักมากจ้าาา