ตอนที่ 22 : Special Chapter 1
Special Chapter 1
“เจ้าชื่ออะไร?”
“...จูเลียส”
“จูเลียส ข้าชื่อ ทริสทาน เป็นศิษย์พี่ของเจ้า”
“...”
ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในยามนี้ คือชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทผู้หนึ่ง เรือนร่างสูงโปร่ง ผิวสีน้ำผึ้งอ่อนจาง ใบหน้าของอีกฝ่ายงดงาม ดวงตากระจ่างใสเป็นสีดำสนิท ข้างในดวงตาคู่นั้นให้ความรู้สึกคล้ายกับท้องฟ้ายามค่ำคืน มีดวงดาวกระจ่างพร่างพราว จมูกโด่ง ริมฝีปากค่อนข้างบาง ที่อีกฝ่ายสวมใส่คืออาภรณ์เรียบง่ายสีน้ำเงินอ่อน เสื้อตัวนอกเป็นผ้าต่วน สวมทับด้วยเกราะหนังสีน้ำตาลคาดไว้รอบอกทำให้เขาดูทะมัดทะแมงแต่ก็ทำให้เขาดูบอบบางอยู่ในทีเช่นกัน ท่อนล่างสวมกางเกงหนังที่ดูยืดหยุ่น ขากางเกงถูกยัดเอาไว้ในรองเท้าบู้ตหนังสีเดียวกับเกราะอ่อนที่เขาสวมเอาไว้
แม้จะดูทะมัดทะแมง มองเผินๆเหมือนพวกนักรบรับจ้างหรือนายพราน ทว่าจูเลียสกลับมองเห็นพลังอำนาจบางอย่างที่เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้ เป็นความสูงศักดิ์ เป็นความสง่างาม และยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายลึกลับบางอย่างที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีทางได้ครอบครอง
ที่แท้คนคนนี้เป็นศิษย์พี่ของเขา เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของจอมปราชญ์เช่นกัน
“จูเลียส เจ้าอายุเท่าไรหรือ?”
“...สิบแปด”
“พอดีเลย ข้าเองก็...อายุสิบแปดเช่นกัน” รอยยิ้มของทริสทรานขยับกว้างขึ้น เขาหัวเราะเบาๆก่อนจะเสริมว่า “อายุสิบแปดมาหลายปีแล้ว”
จูเลียสพยักหน้ารับ ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจแต่อย่างไร
เขาเคยได้ยินและได้พบศิษย์พี่คนอื่นมาบ้างแล้ว รู้ว่าเมื่อได้ครอบครองหน้ากากวิเศษที่อาจารย์มอบให้ และได้พบโนร์นทั้งสามเพื่อยืนยันตัวตน อายุขัยของพวกเขาก็จะถูกหยุดเอาไว้ จูเลียสไม่ทราบว่านานเพียงไหน รู้เพียงว่าตราบใดที่พวกเขายังดำรงตำแหน่งทูต พวกเขาก็จะไม่มีวันแก่ชราอีก
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นอมตะแต่อย่างไร อาจารย์กล่าวว่าร่างกายของพวกเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ นอกจากคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้แล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษอีก
ทริสทรานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานี้น่าจะได้รับหน้ากากมาหลายปีแล้ว จูเลียสรู้มาว่าเขาเป็นน้องเล็กสุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของอาจารย์ ดังนั้นบางคนก็เรียกเขาว่าศิษย์น้องเล็กบ้างเหมือนกัน
แต่จูเลียสไม่ได้ชอบการถูกเรียกขานเช่นนั้น
“พวกเจ้าสองคนทำความรู้จักกันไปถึงไหนแล้ว” เสียงของผู้เป็นอาจารย์ดังขึ้นที่เบื้องหลัง ทริสทรานหันไปยิ้มให้อย่างสุภาพก่อนจะตอบว่า “ยังไม่ถึงไหนเลยขอรับ”
“ซีกเกอร์เอ้ย เจ้าต้องเปิดใจให้กว้างกว่านั้น” จอมปราชญ์หันมากล่าวกับเขา ราวกับล่วงรู้ได้ถึงจิตใจที่ปิดกั้นของเขา “เชื่อข้าเถอะ ไฮเดอร์คือคนที่เล่ห์เหลี่ยมน้อยที่สุดแล้วในบรรดาศิษย์พี่ของเจ้าทั้งหมด ถ้าแม้แต่เขาเจ้าก็ยังเข้าหาไม่ได้ ข้าคงต้องพิจารณาแล้วว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่เลือกเจ้า”
จูเลียสมองทริสทรานอีกครั้ง “ไฮเดอร์? คือฉายานามของท่าน?”
“ถูกต้อง ที่ข้าครอบครองคือหน้ากากแห่งผู้หลบซ่อน” ทริสทรานแสดงหน้ากากของตนออกมาให้อีกฝ่ายดู
นิสัยช่างถามของจูเลียสกำเริบขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เพราะเหตุใดจึงเป็นผู้หลบซ่อนเล่า?”
ทริสทรานถูกคำถามนี้ทำเอาอึ้งไปเล็กน้อย คล้ายคาดไม่ถึงว่าเพิ่งพบหน้ากันก็จะถูกถามคำถามนี้แล้ว แต่เขาก็ตั้งสติแล้วเอ่ยตอบยิ้มๆว่า “เพราะข้าปรารถนาจะหายตัวไปจากที่ที่ข้าเคยอยู่ตลอดเวลาเลยน่ะสิ”
“ท่านมาจากที่ไหน?”
“อาณาจักรแห่งหนึ่งทางตอนเหนือ”
“บ้านท่านทำกิจการอะไร?”
“...บิดาของข้าเป็นขุนนางใหญ่” สัญชาตญาณของทริสทานบอกเขาว่าไม่ควรบอกสถานะที่แท้จริงของตนเองให้ศิษย์น้องผู้นี้รับรู้ ก่อนหน้าจะพบเจอกัน ศิษย์พี่คนอื่นๆได้เคยบอกเขาแล้วว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้คล้ายเป็นคนมีปมในใจ ทันทีที่รู้ถึงศักดิ์ฐานะของศิษย์พี่แต่ละคนก็เว้นระยะออกห่างทันที ทำให้บรรยากาศระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องกระอักกระอวน
ก่อนหน้านี้ดีเฟนเดอร์ยังกระซิบบอกเขาด้วยว่า ศิษย์น้องคนนี้มาจากชนชั้นล่าง เขาจึงไม่อยากสนิทสนทกับชนชั้นสูงอย่างพวกเขา
ที่ทริสทรานมาพบกับศิษย์น้องเล็กในวันนี้ก็เพราะอาจารย์บอกว่ามีภารกิจที่จะให้พวกเขาสองคนไปทำด้วยกัน ในเมื่อต้องร่วมงานกัน เขาก็ไม่ควรทำให้ศิษย์น้องคนนี้ทำตัวห่างเหินกับเขา เพราะนั่นจะทำให้งานลำบากขึ้น
“ท่านทำอะไรได้บ้าง?” จูเลียสถามต่อ ไม่ได้ใส่ใจสีหน้าที่จืดเจื่อนขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุของศิษย์พี่คนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ ข้าทำอะไรได้หลายอย่าง บางอย่างเหมือนเจ้า บางอย่างแตกต่างกับเจ้า บางสิ่งที่เจ้าทำได้ ข้าสามารถทำได้ บางสิ่งที่เจ้าไม่ได้ ข้าก็อาจทำได้ แต่บางสิ่งที่เจ้าทำได้ ข้าก็อาจทำไม่ได้เช่นกัน”
จูเลียสได้ยินคำตอบวกวนเช่นนี้ก็อึ้งไปหลายอึดใจ ก่อนที่ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นเป็นครั้งแรก พร้อมกับเสียงหัวเราะที่หลุดออกมาจากปากเบาๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของทริสทานก็เจิดจ้ายิ่งขึ้นเช่นกัน
“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้าเริ่มจะเข้ากันได้ดีแล้ว ข้าก็ขอมอบหมายภารกิจให้พวกเจ้าเลยก็แล้วกัน” ผู้เป็นอาจารย์กล่าวพลางเดินเข้ามาใกล้ เก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่ารองรับร่างที่กำลังย่อตัวลงนั่งของชายชราเอาไว้ได้พอดี “เดินทางออกทะเลไปทางทิศตะวันออก มีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้กำลังประสบปัญหาอยู่ ว่ากันว่ามีปีศาจร้ายออกอาละวาดขโมยวิญญาณ ชายหนุ่มหลายคนทีเดียวที่นอนหลับแล้วก็ตายไปอย่างเป็นปริศนา”
คิ้วของลูกศิษย์ทั้งสองเลิกขึ้นสูงทันที
“ข้าว่าก็คงไม่ใช่ปีศาจหรอก แต่พวกเจ้าสองคนก็ไปดูทีว่าเกิดอะไรขึ้น หากสามารถจัดการได้ก็จัดการเลย หากจัดการไม่ได้ก็ตรวจดูสถานการณ์ สืบหาต้นตอของปัญหา แล้วกลับมารายงานข้า”
“รับบัญชาขอรับ”
นับตั้งแต่เป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ จูเลียสเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยครั้งขึ้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการเดินทางตามจอมปราชญ์ไปยังที่ต่างๆในแผ่นดิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้ออกเดินทางโดยไม่มีอาจารย์ เป็นครั้งแรกที่ออกเดินทางร่วมกับคนแปลกหน้า และยังเป็นครั้งแรกที่จะได้ออกทะเลอีกด้วย
ทะเลไม่ใช่สถานที่ที่จูเลียสคุ้นเคย แม้เขาจะเคยเดินเล่นบนชายหาด แต่ไม่เคยขึ้นเรือเลยสักครั้งเดียว
กลิ่นเค็มของเกลือ สายลมที่ปะทะหน้าไม่หยุดหย่อน เรือไม้ขนาดกลางที่โยกไหวขยับขึ้นลงไม่หยุดเพราะผิวน้ำที่ไม่สงบนิ่ง ทำให้เขารู้สึกเวียนหัว จูเลียสนั่งพิงเสากระโดงเรือ รู้สึกว่าเสาไม้ที่ตั้งอยู่กลางลำเรือนี้คือตำแหน่งที่ช่วยให้เขาเกิดอาการโคลงเคลงได้น้อยที่สุดแล้ว หลังจากหลับตาพยายามปรับลมหายใจอยู่พักหนึ่งเพื่อกล้ำกลืนความรู้สึกคลื่นไส้ลงไป เขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
ทริสทานยืนอยู่ที่หัวเรืออย่างมั่นคง มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง ดูสง่าผ่าเผยและงดงาม เรือลำนี้นอกจากเขาสองคนแล้วก็ไม่มีใครอีก ใบเรือกางและหุบด้วยเวทมนตร์ของทริสทาน หางเสือก็กำหนดทิศทางได้เองเช่นกัน
ที่จริงแล้วเขาคือคนที่ควรจะทำหน้าที่นำทาง แต่เพราะว่าเมาเรือจนรวบรวมสมาธิลำบาก ทริสทานเลยเพียงแต่ให้เขาบอกทิศทางคร่าวๆแล้วเป็นฝ่ายจัดการที่เหลือเอง
ศิษย์พี่คนนี้แตกต่างไปจากศิษย์พี่คนอื่นๆที่เขาเคยรู้จัก
เรียบง่าย ใจดี ใจเย็น และมีน้ำใจ
ราวกับรู้ว่าจะทำอย่างไรให้คนที่อยู่ใกล้ผ่อนคลายและอารมณ์ดี เพราะเมื่อจูเลียสไม่พอใจ เขาก็จะเปลี่ยนท่าทีเพื่อให้จูเลียสพอใจ เมื่อจูเลียสไม่สบายจิตใจปั่นป่วน อีกฝ่ายก็รีบเข้ามาช่วยทำหน้าที่แทนโดยไม่ต้องเอ่ยปากบอก
บางทีนั่นอาจเป็นความสามารถของทริสทานกระมัง
“เป็นอะไรหรือเปล่า” ทริสทานรับรู้ได้ว่ามีสายตาจ้องมองตนเองอยู่ เขาผินใบหน้ากลับมาจากด้านนอกเรือ จากนั้นถามศิษย์น้องอย่างใส่ใจ
แสงตะวันยามบ่ายลอดผ่านหมู่เมฆลงมาเป็นลำแสงจางๆ กระทบถูกร่างของคนที่อยู่ตรงหัวเรือ ส่งผลให้ใบหน้างดงามที่หันกลับมานั้นคล้ายกับมีพลังบางอย่างปกคลุมอยู่ เปล่งประกายน่าหลงใหล ราวกับว่าไม่ใช่มนุษย์ ส่งผลให้จูเลียสตะลึงมองอย่างเหม่อลอย
ทริสทานคล้ายกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง ผิวแก้มของเขาปรากฏสีแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เขากระแอมก่อนจะหันกลับเข้ามาในเรือแล้วเดินตรงเข้ามาหาศิษย์น้อง “จูเลียส ข้างหน้าถึงเกาะเป้าหมายแล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ดังขึ้นจูเลียสก็พลันได้สติ ขณะที่คิดจะลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเขา นิ้วของอีกฝ่ายเรียวสวยสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับรูปลักษณ์ของเขา จูเลียสตะลึงงันมองดูมือที่ยื่นมาตรงหน้าอีกครั้ง
ในความทรงจำของเขา เขาเคยปรารถนามาตลอดว่าจะมีใครสักคนยื่นมือมาให้เขาเช่นกัน
แต่สิ่งนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
เขามักล้ม คุกดินฝุ่นโคลนบนพื้น ไม่มีแม้มือสักข้างยื่นให้เขาด้วยความหวังดี มีเพียงการถ่มน้ำลาย มีเพียงท่อนไม้ที่ทุบตี มีเพียงเท้าหนักๆที่เหยียบซ้ำลงบนร่างของเขาเท่านั้น
แม้แต่อาจารย์ก็เพียงแต่ยื่นไม้เท้าให้เขาจับ ตอนที่พบเจอเขาล้มกลิ้งอยู่บนถนน
จูเลียสไล่สายตาจากมืองดงามข้างนั้นขึ้นไปยังใบหน้าของทริสทาน อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีรำคาญใจที่เขาเอาแต่นั่งบื้อเลยแม้แต่น้อย เพียงเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามกลับมา มือข้างนั้นยังคงยื่นมาทางเขาอยู่อย่างรอคอย
“...ข้าสกปรก”
“เจ้าสกปรกตรงไหนกัน?” ทริสทานถามด้วยความสงสัย เขากวาดสายตาไปทั่วร่างกายอีกฝ่าย กล่าวว่า “เจ้าก็ดูสะอาดสะอ้านดี หน้าตาก็หล่อเหลาเอาการ ก่อนเดินทางเจ้าก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว...”
“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”
“แล้วเจ้าหมายถึงเรื่องไหน”
“ข้าเป็นขอทาน...” ทริสทานบอกว่าตนเองเป็นบุตรชายของขุนนางใหญ่ แต่จูเลียสกลับเดาได้ว่าเขาน่าจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์ คนตรงหน้าเขามีบรรยากาศเดียวกับที่ศิษย์พี่ผู้เป็นราชาของเขามี ดังนั้นเขาจึงพอจะเดาได้ว่าพวกเขาคงมาจากฐานันดรศักดิ์ที่ใกล้เคียงกัน
ทริสทานถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มตัวลงมาแล้วคว้ามือของเขาเอาไว้ เขาออกแรงฉุดจูเลียสที่กำลังอึ้งให้ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ขอทานก็เป็นมนุษย์ ทาสหรือบ่าวไพร่เองก็เป็นมนุษย์ อาศัยสิ่งใดเล่ามาบอกว่าพวกเจ้าสกปรก แม้แต่พระราชายังไม่ได้สะอาดสะอ้านไปกว่าเจ้าเลย ข้าเคยพบเจอผู้คนมามาก เจ้าอาจมีบาดแผลมา แต่เจ้าไม่ได้สกปรกเลยแม้แต่น้อย”
เจ้าอาจมีบาดแผลมา แต่เจ้าไม่ได้สกปรกเลยแม้แต่น้อย...
ที่แท้อีกฝ่ายดูออกว่าเขามีบาดแผลในใจ ทั้งยังไม่ได้รังเกียจในตัวตนอันต่ำต้อยของเขา อีกฝ่ายกล้าสัมผัสเขา...
จูเลียสมองมือของตนเองอย่างเหม่อลอย ท่าทางของเขาทำให้ทริสทานต้องส่ายหน้าอีกครั้ง
“พอแล้ว ซีกเกอร์ เลิกเหม่อลอยเสียที” ทริสทานตบมือทั้งสองข้างลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง “ตั้งสติ มีสมาธิ ข้าสัมผัสได้ว่าที่เกาะแห่งนั้นมีพลังงานบางอย่างที่อันตรายยิ่ง”
จูเลียสรีบตั้งสติ เขามองตามทิศทางที่ทริสทานมองไป จึงเห็นเกาะแห่งหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ได้มีไอดำปกคลุมเกาะเอาไว้ ไม่ได้มีเมฆดำครึ้มปกคลุมอย่างผิดปกติ มองเผินๆก็เหมือนเกาะธรรมดาที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ในสายตาของทูตอย่างเขาแล้ว เกาะแห่งนั้นผิดปกติอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่ได้รับรู้ถึงพลังงานอันตรายอย่างที่ทริสทานบอก แต่เขาสังเกตเห็นความไร้ชีวิตชีวาที่อยู่รอบเกาะ ไม่มีนก ไม่มีปลาในน้ำ มันเงียบสงบจนน่าหวั่นใจ บรรยากาศคล้ายความเงียบงันของมหาสมุทรก่อนที่พายุลูกใหญ่จะมาไม่มีผิด
“เป็นมนตร์ดำเหมือนที่คาดเอาไว้” ทริสทานเปรยขึ้น ขณะบังคับเรือให้แล่นวนรอบเกาะเพื่อหาที่จอดเรือ
เมื่อเรือแล่นช้าลง คลื่นลมสงบไร้รอยกระเพื่อม มีเพียงคลื่นเล็กๆใกล้หาดทรายเท่านั้น จูเลียสจึงอาการดีขึ้นมา เขาหรี่ตามองโดยรอบ ก่อนจะชี้ไปยังทิศทางหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตรงนั้นมีที่จอดเรือได้”
ทริสทานบังคับเรือให้แล่นไปตามทิศที่อีกฝ่ายกล่าว ก่อนจะพบท่าน้ำลึกที่สามารถจอดเรือได้จริงๆ
ชายหนุ่มทั้งสองคนผูกเรือก้าวขึ้นฝั่ง บรรยากาศบริเวณท่าเรือก็เงียบสงบผิดปกติ ในอากาศมีความหนักอึ้งที่บรรยายไม่ถูกอบอวลอยู่ กลิ่นของควันไฟลอยมาแตะจมูก เสียงของใบต้นปาล์มที่เสียดสีกันดูราวกับว่าดังกว่าในยามปกติ
แกร๊ก
เสียงคล้ายก้อนหินกระทบกับตัวเรือเรียกให้ทั้งสองหันกลับไปมอง ทว่าพวกเขาพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
ทริสทานกับจูเลียสมองหน้ากัน ไม่มีใครเอ่ยคำพูดอะไรขึ้นมา
พวกเขารู้ว่าชาวเกาะมักจะมีวิชาอาคม รู้ว่าเก้าในสิบของพื้นที่ที่เกิดเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับปีศาจนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่เกิดจากการกระทำของคนทั้งสิ้น เมื่อมีคนมาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปีศาจ แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ใกล้ชิดกับมนุษย์มากกว่านั้นอย่างวิญญาณหรือภูตผี
ดังนั้นไม่ว่าด้วยพลังพิเศษที่จูเลียสหรือทริสทานครอบครอง พวกเขาจับสัมผัสได้ทันทีว่าเกาะแห่งนี้ไม่ได้มีปีศาจาออกอาละวาด แต่ดูเหมือนจะตกอยู่ใต้มนตร์ดำของใครบางคน
ชายหนุ่มทั้งสองเรียกผ้าคลุมสีดำขึ้นมาสวมห่มกายเอาไว้ จากนั้นจึงเรียกหน้ากากกระเบื้องอันงดงามปราณีตขึ้นมาสวมใส่เอาไว้บนใบหน้า ความเย็นสายหนึ่งแล่นอาบไปทั่วทั้งร่าง แล้ววิสัยทัศน์การมองเห็นของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
จูเลียสชี้ไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ก่อนที่ทั้งสองจะออกเดินเข้าไปในเกาะพร้อมกัน
จากพื้นทรายกลายเป็นพื้นดิน จากต้นปาล์มและต้นมะพร้าวกลายเป็นพืชไม้นานาพรรณ นี้เป็นเกาะที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์มากแห่งหนึ่ง แต่กลับไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอย่างที่ควรจะมี พวกเขายังคงไม่ได้ยินเสียงนก ไม่ได้ยินเสียงของแมลงอย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับได้ยินเสียงประหลาดอย่างอื่นดังอยู่รอบกายเป็นระยะ
ทุกครั้งที่เสียงประหลาดดังขึ้น ชายหนุ่มทั้งสองจะใช้สายตาแลกเปลี่ยนความคิด ไม่มีผู้ใดเอ่ยปากพูดมาก่อนแม้แต่คำเดียว
เพราะพวกเขารู้ว่าเสียงเหล่านั้นคือกับดักของมนตร์ดำ
หากเอ่ยทัก มนตร์นั้นจะทำร้ายพวกเขาทันที
เสียงเหล่านี้รวมไปถึงกลิ่นควันไฟทั้งๆที่ไม่มีควันขึ้นคือปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขารู้ว่าเกาะแห่งนี้ตกอยู่ใต้อำนาจมนตร์ดำ มันมีไว้เพื่อป้องกันคนที่รุกล้ำเข้ามาในเกาะอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พวกเขาไม่รู้ว่าเบื้องหลังเสียงเหล่านี้มีมนตร์ดำบทไหนซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นการไม่ทักไปสุ่มสี่สุ่มห้าจึงเป็นการปลอดภัยที่สุด
อย่างที่รู้ พวกเขาอาจเยาว์วัยตลอดกาล แต่พวกเขาไม่ได้เป็นอมตะ และพวกเขาไม่ได้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเหมือนที่ศิษย์พี่ไซทัสของพวกเขามี หากโดนมนตร์ดำไปแล้ว เกรงว่าจะยากรักษาให้หายได้โดยง่าย
หากเป็นปีศาจร้ายจริง เขาสองคนฆ่ามันได้ แต่หากเรื่องเกี่ยวพันกับมนุษย์และมนตร์ดำ การจะแก้ไขหรือจัดการต้องใช้เวลาในการสืบหาต้นตอ
ไม่นานนัก พวกเขาก็ก้าวพ้นแนวป่า พบเจอกับหมู่บ้านที่มีบรรยากาศกดดันแห่งหนึ่ง
ถึงตอนนี้ทริสทานก็หันมาเอ่ยกับจูเลียสอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าหาแก่นมนตร์เจอหรือไม่”
แก่นมนตร์คือวัสดุที่ผู้ใช้มนตร์ดำใช้เป็นสื่อในการควบคุมพลังมืดและวิญญาณ ของเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้จะเก็บมันไว้กับตัว หากสามารถแกะรอยหาพวกมันได้ แน่นอนว่าจะยังสามารถเจอตัวผู้ลงมือได้อีกด้วย
ผู้แสวงหาพยักหน้า ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปในหมู่บ้าน
พวกเขาเจอชาวบ้านหลายคน แต่ละคนที่ท่าทางเหม่อลอย ดวงตาทั้งสองข้างแข็งค้าง สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่างไร้ชีวิตชีวา คนที่เก็บผักก็เก็บผัก คนที่ตากผ้าก็ตากผ้า แม้ว่าจะมีคนแปลกหน้าสวมผ้าคลุมสีดำกับหน้ากากเดินผ่านก็ยังไม่แม้แต่จะเหลียวมอง
จูเลียสสังเกตเห็นว่าที่หน้าบ้านทุกหลังแขวนผ้าสีแดงที่วาดลวดลายประหลาดเอาไว้ เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วก้มลงสำรวจดูลวดลายบนผ้าผืนนั้น
“เป็นผ้ายันต์”
“อาจารย์บอกว่าคนที่นี่เชื่อว่ามีปีศาจออกอาละวาด ดังนั้นผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านจึงไหลตาย”
“ถ้าข้าจำไม่ผิด คนท้องถิ่นของบางแคว้นเชื่อว่าการผูกผ้าแดงเอาไว้ที่หน้าบ้านจะทำให้ปีศาจไม่มาพรากวิญญาณของคนในบ้านไป” จูเลียสกล่าว “หมู่บ้านที่ข้าเคยอยู่ก็ทำเช่นนี้ เมื่อมีคนตายหลายคนติดๆกัน พวกเขาจะคิดว่าปีศาจมาขโมยวิญญาณของคนเหล่านั้นไป จึงเอาผ้าแดงมาแขวนไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจเข้ามาในบ้านได้”
“แต่นี่ไม่ใช่ผ้าแดงธรรมดา” ทริสทานเลิกคิ้ว
“และทุกบ้านมีผ้าแบบเดียวกันหมด ดูจากสภาพของพวกเขาแล้ว ไม่เห็นเหมือนคนที่กลัวปีศาจ กลับเหมือนคนที่ถูก...”
“...ถูกมนตร์ดำครอบเอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ทริสทานต่อประโยคให้
จูเลียสพยักหน้ารับ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะกระชากผ้าสีแดงผืนนั้นออกมา จากนั้นใช้นิ้วลากอักษรรูนลงไป
เป็นอักษร เคน ที่เขาถนัดใช้ที่สุด
เพียงแต่เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อนำทางในครั้งนี้ แต่ใช้เพื่อจุดไฟ
ผ้าสีแดงถูกเปลวไฟลุกท่วมขึ้น พวกเขาได้ยินเสียงร้องกรี๊ดดังยาวนานแสบแก้วหู ราวกับว่ามีใครกำลังเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส เนิ่นนานจนกระทั่งผ้าแผ่นนั้นถูกเปลวไฟเวทมนตร์เอาจนสลายไป หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งกำลังตากผ้าอยู่ก็ซวนเซล้มลงพร้อมกับร้องอุทานด้วยความตกใจระคนงุนงง
ยิ่งเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาเห็นคนสองคนในชุดคลุมสีดำ เธอก็ตั้งท่าจะร้องออกมา
ทริสทานรีบปลดหน้ากากลงพลางก้าวเข้าไปหาเธอ มือข้างหนึ่งของเขายื่นออกไปด้านหน้า ท่าทางตื่นตระหนกของหญิงสาวคนนั้นก็พลันค่อยๆสงบลง เธอมองพวกเขาด้วยท่าทางสงสัย ถามว่า “พวกท่านเป็นใคร”
“เราเป็นตัวแทนของจอมปราชญ์ เดินทางมาเพื่อตรวจดูสถานการณ์ของที่นี่”
“อา” หญิงสาวคนนั้นอุทาน สายตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ก่อนจะกล่าวว่า “พวกท่านเชื่อหรือไม่ ข้าคล้ายรู้ตัวแต่ก็คล้ายไม่รู้ตัว ความทรงจำขาดเป็นห้วงๆ แล้วดูพวกเขาสิ...สามีของข้าก็ตายไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ทั้งๆที่ได้ผ้าแดงจากแม่หมอแล้ว แต่ทำไม...”
คำว่า ‘แม่หมอ’ ทำให้ทริสทานต้องหันไปมองจูเลียสเป็นเชิงขอความคิดเห็น
จูเลียสปลดหน้ากากออกพลางเดินเข้ามายืนข้างเขา เขาถามหญิงสาวชาวบ้านคนนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นมิตรที่ทริสทานไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ไม่ทราบว่าพี่สาวท่านนี้พอจะเล่าให้พวกเราฟังได้หรือไม่ว่าแม่หมอผู้นั้นเป็นใครกัน?”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบง่ะชอบบบบสู้ๆนะคะไรทท์
สู้ๆนะคะ รออ่านต่อเลยยยย