ตอนที่ 20 : Chapter 20 [END]
Chapter 20
“ทำได้ดี”
ชายชราผู้สวมชุดคลุมสีดำเอ่ยพลางกวาดสายตาจ้องมองพวกเขาทั้งเจ็ดคนรอบหนึ่ง รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏบนใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีคำถามกันเยอะ แต่ข้าขอตอบแค่ในส่วนที่ข้าจะตอบได้ก็แล้วกัน พวกเจ้าถามมาเถอะ”
จู่ๆ นกอินทรีบนอิกดราซิลในตำนานก็กลายมาเป็นอาจารย์ของพวกเขาเอง ทำเอาแต่ละคนถึงกับต้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายแล้วนัมจุนจึงเป็นตัวแทนทุกคนเอ่ยถามไปว่า “ท่าน...เอ่อ เฮรสเฟลเกอร์”
“เรียกข้าว่าอาจารย์เถอะ จะอย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์ของพวกเจ้าจริงๆ”
“เพราะอะไรถึงไม่อยู่เฝ้านิดฮอกก์ แต่ไปเป็นอาจารย์ให้พวกเราได้ขอรับ” นัมจุนเลือกถามคำถามที่ใกล้ตัวและน่าจะได้คำตอบที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก
ที่จริงแล้วเขาอยากจะถามเรื่องตัวตนของพวกเขา และชาติกำเนิดแรก แต่เฮลล่าได้พูดเอาไว้ ผู้ที่จะตอบคำถามนั้นได้มีเพียงอิกดราซิล เช่นนั้นเขาก็จะเก็บคำถามนั้นไว้รอถามอิกดราซิลก็แล้วกัน
“ข้ามีหน้าที่หลายอย่างให้กระทำ” ชายชราสะบัดเสื้อคลุมไปด้านหลังแล้วนั่งลงบนพื้นไม้ ทำเอาทูตทั้งเจ็ดคนต้องรีบย่อตัวเองนั่งตามเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เฮรสเฟลเกอร์หัวเราะเบาๆก่อนจะเล่าว่า “เฝ้าดูนิดฮอกก์เป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญ ข้าต้องคอยตรวจสอบว่ามันกัดรากอิกดราซิลไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว บางครั้งข้าก็มีหน้าที่สร้างสายลมพัด ด้วยร่างอินทรีของข้า เมื่อข้าโผบิน...สายลมจากปีกของข้าจะพัดเข้าไปในโลกต่างๆทำให้เกิดกระแสลมมากมาย บางครั้งข้าก็ได้รับหน้าที่มอบหมายพิเศษ บ้างจากโอดิน บ้างจากอิกดราซิล”
“ข้าน่ะรอบรู้ ความรอบรู้นี้อานิสงส์มาจากการอยู่ใกล้ชิดกับพฤกษาแห่งชีวิตต้นนี้” เฮรสเฟลเกอร์ตบมือลงบนกิ่งใหญ่ยักษ์ของอิกดราซิลเบาๆ “ข้าเคยเล่าตำนานของโอดินให้พวกเจ้าฟัง จำกันได้บ้างหรือไม่”
“มหาเทพผู้ผูกตัวเองเอาไว้กับต้นอิกดราซิล ห้อยหัวอยู่อย่างนั้น 9 วัน 9 คืน เพื่อที่จะได้หยั่งรู้อนาคตของโลกทั้งเก้า สุดท้ายสิ้นใจคาต้นไม้ แต่ก็ฟื้นคืนชีพกลับมาได้พร้อมกับความลับของโลกและอักษรศักดิ์สิทธิ์ 24 ตัวที่ต่อมาถูกถ่ายทอดให้กับมนุษย์ และนั่นก็คือรูนที่ท่านนำมาสอนพวกเรา” ซอกจินตอบ
“ข้าก็เกาะอยู่บนกิ่งไม้ มองดูโอดินห้อยหัวจนตายแล้วฟื้นกลับขึ้นมา ข้าเป็นคนแรกนอกเหนือจากอิกดราซิลที่ได้เรียนรู้รูนทั้ง 24 ตัวจากโอดิน และต่อมาเมื่อโอดินลงไปที่บ่อน้ำพุแห่งปัญญาในแดนยักษ์น้ำแข็ง ข้าก็ชะเง้อมองดูเขา มองดูเขาแลกดวงตาข้างหนึ่งกับยักษ์เพื่อสิทธิ์ในการดื่มน้ำ และเขาก็ดื่มมันจนกลายเป็นผู้รอบรู้”
“อย่าบอกนะว่าท่านเองก็ได้ดื่มน้ำนั่นด้วย” โฮซอกอุทาน “จะโชคดีเกินไปแล้ว”
“ไม่ใช่” เฮรสเฟลเกอร์โบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ได้ดื่มน้ำจากบ่อนั่น อย่างข้าบุกไปที่นั่นมีแต่ตายกับตาย แต่พวกเจ้าอย่าลืมว่าอิกดราซิลมีรากอยู่สามราก ต้นไม้ต้นนี้ดูดน้ำจากบ่อน้ำทั้งสามแห่งเพื่อดำรงชีวิต อิกดราซิลมอบใบไม้หนึ่งใบให้ข้า และนั่นเพียงพอแล้วต่อจากได้รับพรอันยิ่งใหญ่ ทั้งสามารถคงความเยาว์วัย ทั้งยังได้รับสติปัญญาจากน้ำพุวิเศษอีกด้วย”
“แค่ใบไม้หนึ่งใบก็ได้แล้วหรือขอรับ”
“ใช่ แค่ใบไม้หนึ่งใบเท่านั้น” เฮรสเฟลเกอร์อมยิ้ม “ทีนี้ เท้าความยาวไปหน่อย แต่ที่ข้าจะบอกก็คือ เมื่อข้ามีความรู้ความสามารถถึงเพียงนี้ อิกดราซิลจึงไม่ต้องการให้ข้าเอาแต่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ คอยดูเจ้าไส้เดือนดินนั่นแทะรากของเขา จึงมอบหมายให้ข้าเป็นอาจารย์ของพวกเจ้าเสีย”
“แล้ว...ทำไมพวกเราถึง...” จีมินเพิ่งถามไปไหนสี่คำ เขาก็เห็นกระรอกตัวหนึ่งกำลังไต่ลำต้นของอิกดราซิลขึ้นมา ทำเอาคำพูดที่เหลือของเขาสลายหายไปในอากาศ
“อ้าว ดูสิใครมา” เฮรสเฟลเกอร์หันไปมองกระรอกยักษ์ที่กำลังหดตัวลงขณะเข้ามาใกล้พวกเขา ไม่นานนักเด็กชายคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เขาหย่อนกายลงนั่งข้างเฮรสเฟลเกอร์ จากนั้นมองดูทูตแต่ละคนมองเขาด้วยสายตาสงสัย
“สวัสดี พวกเจ้าไม่เคยพบกับข้าหรอก ไม่ต้องสงสัย” ราทาโทสต์เอ่ยยิ้มๆ แววตาของเขาสุกใส ดูมีชีวิตชีวาและซุกซนเป็นอย่างยิ่ง “ข้าคือราทาโทสต์ ร่างจริงของข้าคือกระรอกที่อาศัยอยู่บนอิกดราซิล ข้าก็เหมือนเฮรสเฟลเกอร์ นั่นคือบางครั้งก็ทำงานตามที่อิกดราซิลหรือทวยเทพไหว้วาน งานของข้าก็คือการรวบรวมพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนให้มาพร้อมหน้ากันและทำให้หน้ากากกลับคืนสู่มือของพวกเจ้าอีกครั้งในภายหลัง”
ใบหน้าของชายหนุ่มทั้งเจ็ดคนเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
“อา” ราทาโทสต์อุทานเมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงมืดแปดด้าน “ถ้าอย่างนี้เล่า พอจะประติดประต่ออะไรได้บ้างหรือไม่”
เด็กชายลุกขึ้นยืน จากนั้นแสงสีน้ำตาลทองก็ปกคลุมร่างของเขา เมื่อแสงจางหายไป ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น และใบหน้าของชายคนนี้ก็ทำเอาทูตทั้งเจ็ดต้องอ้าปากค้างอีกรอบ
ใช่แล้ว พวกเขาไม่เคยได้พบกับคนคนนี้...อย่างน้อยในชาติปัจจุบันก็ไม่เคย
แต่ในอดีต...พวกเขาเคยพบกันมาก่อนแล้ว
คิมนัมจุนยกมือขึ้นกุมขมับ
เขาสิคุ้นเคยกับใบหน้านี้ยิ่งกว่าใครทั้งหมด ใครใช้ให้คนคนนี้มีรูปปั้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ในพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองซึ่งเป็นที่ทำงานของเขากันเล่า
นี่มัน คิมแทอิล เจ้าเมือง Ghost Town ผู้เป็นต้นตระกูลของเขาไม่ใช่หรือ
“ข้าใช้เวลานานทีเดียวกว่าจะกระจายข่าวแล้วทำให้พวกเจ้ารวมตัวกันที่เมืองนั้นได้ เฮรสเฟลเกอร์ชิงตายไปก่อนแล้วเพราะเขาต้องไปช่วยโอดินรบ ข้าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพยายามอย่างยากลำบาก เฮ้อ หลังจากพวกเจ้าตายแล้วข้ายังต้องเก็บหน้ากากทั้งหมดนั่นเอาไว้ แล้วกระจายพวกมันไปไว้กับตระกูลต่างๆตามที่โนร์นแนะนำเพื่อให้เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมพวกมันจะส่งถึงมือของพวกเจ้าอีก”
“ถ้าฟังตามที่พวกท่านทั้งสองกล่าวมา ที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตของพวกเรามันก็เป็นแค่การจัดฉากน่ะสิ” ยุนกิถามขึ้นมาอย่างขวานผ่าซาก ทำเอาทุกคนล้วนหันไปมองเขากันหมด ทว่าเจ้าตัวไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย กลับมองสองสิ่งมีชีวิตในตำนานตรงหน้าด้วยสายตาของคนที่ต้องการคำตอบ
“มันก็ไม่ใช่การจัดฉากทั้งหมดหรอก แค่พอให้มั่นใจว่าพวกเจ้าจะสามารถเป็นทูตของอิกดราซิลได้อย่างเต็มภาคภูมิก็เท่านั้น” เฮรสเฟลเกอร์ตอบอย่างไม่ถือสากับน้ำเสียงกล่าวหาของลูกศิษย์
“ตกลงว่าพวกเราคืออะไรกันแน่” จองกุกที่เงียบผิดวิสัยมาตลอด ในที่สุดก็โพล่งถามคำถามขึ้นมาจนได้ “มรณะทูต ทูตแห่งโนร์น หรือทูตแห่งอิกดราซิล”
เป็นคำถามที่ดี
ทูตทุกคนโห่ร้องชื่นชมจองกุกอยู่ในใจ เรื่องตั้งคำถามได้ตรงประเด็นไม่มีใครสามารถสู้จองกุกได้อีกแล้ว
“ตำนานมันก็บิดเบือนไปบ้าง กว่าจะส่งถึงรุ่นพวกเจ้า แต่...พวกเจ้าคือทูตของอิกดราซิล ไม่ใช่มรณะทูต ไม่ใช่ทูตแห่งโนร์นใดๆทั้งนั้น” ราทาโทสต์ถอนหายใจ “พวกเจ้าคงอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดพวกเราสองคนจึงปล่อยให้อิกดราซิลเกิดเรื่อง ปล่อยให้นิดฮอกก์อาละวาด แล้วไปช่วยพวกเจ้าอยู่ที่มิดการ์ด คำตอบของพวกเราไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากว่า นี่คือภารกิจสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะปล่อยให้เจ้าได้ไปทำหน้าที่ที่แท้จริง”
จองกุกขมวดคิ้วเข้าหากัน ขณะที่นัมจุนชิงถามว่า “ทฤษฎีที่ว่าหน้ากากสร้างขึ้นตามพวกเราเป็นความจริงใช่ไหมขอรับ พวกเรามีหน้าที่บางอย่างและนั่นถูกกำหนดเอาไว้นานแล้ว ก่อนที่พวกเราจะมาเป็นศิษย์อาจารย์กัน เฮลล่าบอกว่า...นั่นไม่ใช่ชาติกำเนิดแรกของพวกเรา”
“เรื่องนั้น...ดูเหมือนว่าจะเป็นหน้าที่ที่ข้าควรจะอธิบายด้วยตนเองกระมัง”
เสียงนุ่มนวลของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น ก่อนที่ร่างร่างหนึ่งจะค่อยๆลอยออกมาจากกิ่งของอิกดราซิลราวกับภูตพราย ชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามจนยากจะแยกออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี เส้นผมสีน้ำตาลประกายเขียวขาวสยายจรดพื้น อีกฝ่ายสวมใส่อาภรณ์อย่างเทพเจ้าโบราณสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่ดูเรียบง่าย ผิวพรรณของเขาขาวผุดผ่องและเรืองแสงสีทองจางๆออกมาเช่นเดียวกันกับต้นไม้ที่อยู่เบื้องหลัง
“ท่านคืออิกดราซิล..?” ซอกจินมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าตกตะลึง เช่นเดียวกับทูตคนอื่นๆที่อ้าปากหวอ
“คือข้าเอง เด็กน้อย” อิกดราซิลวางมือที่งดงามสมบูรณ์แบบลงบนศีรษะของซอกจิน ความอ่อนโยนและความรักอย่างหาที่สุดไม่ได้ส่งผ่านฝ่ามือนั้นกระแทกเข้าสู่หัวใจของซอกจินจนเขาน้ำตารื้น ความตื้นตันใจบางอย่างผุดขึ้นกลางอกเขาแล้วหลั่งออกมาเป็นหยดน้ำตาอุ่น
“คิดถึงข้าหรือไม่” อิกดราซิลลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะส่งรอยยิ้มแจกจ่ายให้ทุกคน สีหน้าของทูตแต่ละคนล้วนเปลี่ยนเป็นสีหน้าของคนที่อยากจะร้องไห้ด้วยกันทั้งสิ้น
“นี่มัน อะไรกัน” แทฮยองพึมพำขณะที่ปาดน้ำตาออกจากใบหน้า
“หลายพันปีก่อน” อิกดราซิลเริ่มต้นเล่าเรื่อง เขาเงยหน้าขึ้น เหม่อมองออกไปยังจักรวาลสีดำอันไกลโพ้นก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเหงายิ่งนัก โลกทั้งเก้าใบปกครองกันและเติบโตอย่างเป็นเอกเทศ อาจมีบ้างที่พวกเขาไปมาหาสู่กัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของสงคราม พวกยักษ์อยากช่วงชิงความสมบูรณ์มั่งคั่งของแอสการ์ดและมิดการ์ด ทวยเทพสู้กับกับยักษ์ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเบื่อหน่ายและรู้สึกเศร้าใจ พวกเขาก็เช่นกัน” อิกดราซิลผายมือไปทางหนึ่งอินทรีหนึ่งกระรอกในร่างมนุษย์ที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขา
“ข้าน่ะ เป็นต้นไม้ใหญ่ที่อุดมไปด้วยพลังมากมายอันเป็นแกนชีวิตของทุกโลกและทุกสรรพสิ่ง ข้ามอบชีวิตให้กับพิภพแต่ละแห่ง โดยไม่ได้คาดหวังอะไรตอบแทนนักหรอก มีสิ่งมีชีวิตอีกหลายสิ่งอาศัยอยู่บนร่างกายของข้า อย่างเฮลเฟรสเกอร์หรือราทาโทสต์ พวกเขาล้วนเป็นข้าให้กำเนิดขึ้นมา แต่ทั้งๆที่เป็นต้นไม้ ข้ากลับไม่เคยออกดอกออกผลอย่างจริงจังเลย มีแต่จะบันดาลสิ่งมีชีวิตขึ้นมาโดยตรงมากกว่า
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เป็นวันเดียวกับที่โอดินขับไล่เฮลล่ามายังเฮลไฮล์มเพื่อให้นางปกครองที่นั่นและกึ่งๆจองจำนางเอาไว้ ข้าก็พบว่ามีดอกไม้ถือกำเนิดขึ้นบนต้นของข้า เป็นดอกไม้เจ็ดดอกที่บรรจุพลังงานบริสุทธิ์ของข้าเอาไว้เจ็ดรูปแบบ ทวยเทพหรือกระทั่งตัวข้าเองแตกตื่นยินดีกับดอกไม้เหล่านี้ พวกเขามาเชยชม บอกว่าแม้จะเป็นเพียงดอกไม้ตูมก็ช่างงดงามยิ่งนัก กาลเวลาผ่านไป ดอกไม้เหล่านั้นเติบโตขึ้น ทว่า...กลับไม่ยอมเบ่งบานเสียที
ข้ากับโอดินจึงปรึกษาหารือกัน เราทั้งสองรู้อนาคต ของทุกโลกและทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับดอกไม้ทั้งเจ็ดดอกของข้า เราเห็นพ้องต้องกันว่าบางที สถานที่แห่งนี้อาจไม่ใช่ที่ที่จะทำให้ดอกไม้เหล่านั้นเบ่งบานได้ โอดินจึงมีรับสั่งให้โนร์นทั้งสามนำดอกไม้ขึ้นไปยังแอสการ์ด ทว่าจนแล้วจนรอดดอกไม้ก็ยังไม่ยอมผลิบานเสียที โนร์นพาดอกไม้เดินทางไปทุกพิภพ ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไปจบลงที่โลกมนุษย์ มิดการ์ดแห่งนั้น”
“มันเป็นโชคชะตา” อิกดราซิลกล่าวก่อนจะทอดสายตามองชายหนุ่มทั้งเจ็ดคนที่นั่งอ้าปากหวอมองเขาอย่างคนที่สติหลุดลอยกันไปหมดแล้ว พญาพฤกษายิ้มขำ เขาเอ่ยว่า “เมื่อดอกไม้ทั้งเจ็ดเบ่งบาน ข้าก็รับรู้ได้ในทันทีว่าจิตวิญญาณเจ็ดดวงได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว โดยมีข้าเป็นดั่งบิดา ในดวงจิตเหล่านั้นบรรจุพลังเจ็ดชนิดที่ข้ามีเอาไว้ดวงละหนึ่งอย่าง โนร์นส่งดวงจิตทั้งเจ็ดดวงนั้นให้กระจัดกระจายออกไป โอดินกลับไปยังแอสการ์ด เรียกประชุมเหล่าทวยเทพ พวกเขาขบคิดกันว่าข้าอาจกำลังให้กำเนิดเทพเจ้ารุ่นใหม่ขึ้นมา ทว่าข้ารู้ดี ข้าไม่ได้ให้กำเนิดเทพเจ้า ข้าเพียงให้กำเนิดดอกไม้และข้านำพวกเขาไปปลูกไว้ในดินแดนอันเป็นแกนกลางของโลกทั้งเก้า เพื่อที่ในวันข้างหน้า พวกเขาจะเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้น จากนั้นเป็นตัวแทนของข้าในการมอบพลังชีวิตให้กับสรรพสิ่งในโลกทั้งเก้าใบในภายภาคหน้า”
จองกุกไม่รู้ว่าคนอื่นๆกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ แต่เขากำลังหวนนึกถึงวันในพิธีคืนวิญญาณวันนั้น
เขานั่งอยู่บนกิ่งของอิกดราซิล และกลีบดอกไม้กลีบหนึ่งก็ซึมเข้าไปในร่างกายของเขา
ที่แท้...นั่นเองคือความหมาย
ที่แท้...นั่นเองคือดวงวิญญาณของเขา
เขา...ก็คือดอกไม้ ที่ถือกำเนิดจากอิกดราซิล!
“เมื่อรับรู้ได้ถึงสิ่งที่ข้าคิดกระทำ ทวยเทพให้เกียรติและสนับสนุนความตั้งใจของข้า โอดินเชิญข้าไปที่แอสการ์ด เขาให้ฟริกก้าทอผ้าคลุมวิเศษเจ็ดผืนที่จะช่วยให้พวกเจ้าปลอดภัยได้แม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์ซึ่งถือเป็นสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่อ่อนแอที่สุดในโลกทั้งเก้า รอคอยจนพวกเจ้าถือกำเนิด จึงให้โลกิช่วยสร้างหน้ากากเจ็ดใบที่จะช่วยควบคุมพลังของข้าซึ่งบรรจุอยู่ในตัวพวกเจ้าเอาไว้ ไม่ให้พลังนั้นล้นออกไปทำให้มิดการ์ดปั่นป่วนได้ และสุดท้ายข้าส่งเฮรสเฟลเกอร์กับราทาโทสต์ไปยังมิดการ์ดเพื่อชี้นำพวกเจ้าอีกเล็กน้อย โนร์นไม่ได้กำหนดชะตาของพวกเจ้า พวกนางแค่ช่วยชี้ทางให้พวกเจ้าได้มีชะตาเท่านั้น”
“แล้ว...ที่เราทำไปเมื่อครู่นี้ล่ะ” ยุนกิชี้ลงไปยังทิศเบื้องล่าง “นั่นก็เป็นเพียงการเตรียมความพร้อมอย่างนั้นหรือ”
“การจัดการกับนิดฮอกก์ เป็นบททดสอบสุดท้าย แต่ถึงจะเรียกว่าบททดสอบ ก็ใช่ว่าข้าจะแกล้งตายหรือแกล้งอ่อนกำลังลง ข้าถูกกัดกินรากจริงๆ และมีเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจจากนิดฮอกก์เท่านั้นจึงจะทำให้ข้ามีเวลารักษาตัวเองได้” อิกดราซิลตอบคำถามอย่างตั้งใจ “เจ้าสังเกตหรือไม่ ซอกจิน พลังแสงสว่างที่ติดตัวเจ้ามาตั้งแต่เกิดนั้นเหมือนพลังของแสงอาทิตย์ อบอุ่นและยังเยียวยารักษาได้ ที่สำคัญคือมันสามารถรักษาข้าได้ เพราะว่าแต่เดิมมันคือพลังที่ข้ามีเพื่อรักษาตนเองอยู่แล้ว แล้วเจ้าสังเกตเห็นหรือไม่เล่า นัมจุน พลังแห่งการสร้างของเจ้าสามารถสร้างชิ้นส่วนที่หายไปของรากข้าได้ นั่นก็เพราะแต่เดิมนั่นคือพลังที่ข้ามีไว้เพื่อสร้างสรรพสิ่งอยู่แล้ว พลังของพวกเจ้าก็คือพลังของข้า เพียงแต่ความสามารถของมันถูกจำกัดเอาไว้จนเหลือเพียง 3 ใน 10 ส่วนของพลังทั้งหมดที่พวกเจ้ามี เพราะหากพลังของพวกเจ้ามีมากจนเกินไป มิดการ์ดจะเสียสมดุล”
“พลังของพวกเจ้าทุกคน ถูกผนึกเอาไว้ในหน้ากาก หากวันใดหน้ากากเหล่านั้นแตกสลายไป พวกเจ้าก็จะได้รับพลังทั้งหมดกลับคืน เพียงแต่ว่า...หากเป็นเช่นนั้นทวยเทพแห่งแอสการ์ดคงจะไม่ค่อยยินดีนัก” รอยยิ้มของอิกดราซิลลึกลับแต่ก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์ประชดประชันเล็กน้อย “พวกเขาอ้างว่าของสองสิ่งที่มอบให้พวกเจ้าจะช่วยเหลือพวกเจ้า แท้จริงแล้วเพียงให้ไว้เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะไม่ได้มีพลังเหนือเทพเจ้า และจะยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพวกเขา หากพลังที่แท้จริงของพวกเจ้าถูกปลดปล่อยออกมา หึ ข้าเกรงว่านิดฮอกก์คงถูกแทฮยองทำให้สลายกลายเป็นผุยผงไปแล้ว”
แทฮยองถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า “ขนาดนั้นเลยหรือขอรับ ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าจริงๆแล้วท่านสามารถสังหารนิดฮอกก์ได้น่ะสิ”
“ข้าย่อมสังหารนิดฮอกก์ได้ แต่การคงอยู่ของมันมีประโยชน์มากกว่าการที่มันตาย ในแดนนรกที่สมรภูมิซากศพที่ไม่มีใครอยากลดตัวลงไปจัดการ นิดฮอกก์กินศพพวกนั้นเป็นอาหาร นอกเสียจากว่ามันเบื่อจึงจะหันมากัดรากของข้า อย่างไรก็ตาม ข้าเองก็ใช้รากกักตัวมันเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ข้ายอมให้มันกัดกินข้าดีกว่าให้มันหลุดไปกัดกินทำลายโลกอื่นๆและสิ่งมีชีวิตที่ข้ารักทั้งหลาย” อิกดราซิลถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “พวกเจ้าวางแผนได้ดี นิดฮอกกก์คงจะหลับไปนานอีกหลายร้อยปี เพียงพอจะให้ข้าได้อยู่อย่างสบายๆ และเพียงพอจะทำให้ซากศพกองพะเนินรอมันตื่นขึ้นมาพร้อมกับฟันชุดใหม่แล้วกินศพพวกนั้นเข้าไป...ใช้แล้วโฮซอก ถ้าเป็นพลังที่แท้จริงของเจ้า เจ้าจะสามารถทำให้มันหลับฝันหวานตลอดกาล โดยที่เจ้าจะไม่มีอาการเหนื่อยอ่อนเลย”
“ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเราก็คงเหนือกว่าเทพจริงๆ” โฮซอกพึมพำเสียงเจื่อน
“และโอดินคงไม่พอใจ” อิกดราซิลยิ้ม “ถ้าพวกเจ้าทำลายหน้ากาก ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ทวยเทพแห่งแอสการ์ดจะลงไปยังมิดการ์ดเพื่อกำจัดพวกเจ้า”
“อ้าว แล้วถ้าพวกเขาทำอย่างนั้น ท่านไม่โกรธหรือขอรับ” จีมินถามด้วยความสงสัย เท่าที่เขารับรู้ได้ อิกดราซิลรักพวกเขาเหมือนพ่อรักลูก ดังนั้นหากพวกเขาถูกพวกเทพแอสการ์ดไล่ล่าจริง อิกดราซิลจะไม่ทำอะไรหน่อยเลยหรือ
“หากพวกเขาสังหารพวกเจ้าจริง ข้าก็มีวิธีจัดการในแบบของข้า” อิกดราซิลยกนิ้วชี้ทาบริมฝีปาก ก่อนจะชี้ลงไปยังทิศเบื้องล่าง “ข้าจะปลุกนิดฮอกก์ขึ้นมา ปลดปล่อยเฮลล่าออกจากเฮลไฮล์ม ยอมให้รากโดนกัดกินจนสิ้น และปล่อยให้แรคนาร็อกเกิดขึ้น โอดินรู้ และข้ารู้ นั่นคือวันที่โลกทั้งเก้าจะแหลกสลาย แม้แต่ทวยเทพแห่งแอสการ์ดก็ยากที่จะเอาชีวิตรอด หากพวกเขาทำลายดอกไม้ที่ข้ารัก ข้าก็จะทำลายโลกทั้งหมดนี้เสีย หวังว่าพวกเขาจะไม่ลืมว่าข้าคือผู้ที่โอบอุ้มและมอบชีวิตให้กับโลกเหล่านี้อยู่”
ทูตทั้งเจ็ดรวมทั้งเฮรสเฟลเกอร์และราทาโทสต์ขนลุกซู่โดยพร้อมเพรียงกัน ราวกับสัมผัสได้ถึงคำพูดของผู้ให้กำเนิดพวกเขา ว่าอีกฝ่ายพูดจริงทำจริงแน่
ความพิโรธของพญาพฤกษาแห่งชีวิตไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ระดับจักรวาลเลยทีเดียว
“ป่านนี้สงครามคงจบแล้วกระมัง เฮรสเกลเฟอร์” อิกดราซิลกล่าวลอยๆ ชายชราที่นั่งขัดสมาธิอยู่พยักหน้ารับพลางกล่าวตอบทันที “จบแล้วขอรับ เมื่อครู่ก่อนข้าจะบินมาที่นี่ โอดินเพิ่งจะโยนพวกยักษ์กลับบ้านของพวกมัน อีกไม่นานก็คงจะเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว”
ยุนกิย่นหัวคิ้วเข้าหากัน พึมพำว่า “เขาจะมาทำไม ฉันไม่อยากเจอหน้าเขาเลย เดี๋ยวทนไม่ได้ขึ้นมาเผลอเผาเขาจะทำยังไง”
อิกดราซิลหัวเราะ “เจ้าในตอนนี้เผาเขาไม่ได้หรอก”
“แต่ถ้าทุบหน้ากากแล้วก็จะสามารถเผาเขาได้ใช่หรือไม่ขอรับ”
อิกดราซิลหุบรอยยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจังว่า “ลูกๆของข้า ดอกไม้ของข้าทั้งหลาย ข้าจำเป็นต้องเตือนพวกเจ้า แม้การทุบหน้ากากจะทำให้พวกเจ้ามีพลังเหนือเทพเจ้าแห่งแอสการ์ด แต่มันจะต้องแลกมาด้วยการสูญเสียตัวตนที่เป็นมนุษย์ของพวกเจ้าไปตลอดกาล เมื่อทุบหน้ากาก...พวกเจ้าจะเหมือนกับโอดินที่แขวนตัวเองเอาไว้ พวกเจ้าจะตายและจากนั้นจึงค่อยฟื้นคืน เมื่อฟื้นคืนมาอีกครั้ง โลก...และทุกสิ่งในสายตาของพวกเจ้าจะไม่เหมือนเดิมอีกเลย”
“ข้าเลือกจะยอมส่งพวกเจ้าไปมิดการ์ด แทนที่จะให้พวกเจ้าคงอยู่บนต้นของข้าตลอดกาล เพราะข้ารู้ว่าพวกเจ้าจำเป็นต่อสถานที่แห่งนั้น การปลูกพวกเจ้าเอาไว้กับตัว เปรียบได้กับการที่ข้าเพียรปลูกดอกไม้ที่ไม่มีวันเบ่งบาน อยู่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง อยู่บนลำต้นของข้า พวกเจ้าเป็นได้เพียงดอกไม้ แต่เมื่ออยู่ที่นั่นพวกเจ้าเบ่งบาน เป็นของขวัญที่ข้าตัดใจมอบให้โลกไปแล้วและไม่คิดว่าอยากเอากลับคืนในเวลานี้ ยามนี้พวกเจ้าเบ่งบานแล้ว และด้วยพรจากน้ำพุทั้งสามที่หล่อเลี้ยงข้าและหล่อเลี้ยงพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าจึงทรงด้วยสติปัญญา ไม่มีวันแก่ชรา และไม่ลืมเลือนอดีตของตนเอง” อิกดราซิลมองพวกเขาด้วยสายตารักใคร่ “เพราะฉะนั้นแล้วข้าจึงอยากให้พวกเจ้าเริ่มต้นใช้ชีวิตของพวกเจ้าอย่างมีความสุข รักผู้ที่พวกเจ้าอยากจะรัก ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเจ้าอยากจะใช้ ขอเพียงอย่าลืมหน้าที่ที่ข้าฝากฝังเอาไว้กับพวกเจ้า ตัวแทนแห่งข้า”
“พวกเราจะไม่ลืมขอรับ”
“โอดินกำลังมาแล้ว” ประกายสายรุ้งเรืองรองปรากฏจากที่ไกลๆ อิกดราซิลค่อยๆจมหายลงไปในกิ่งไม้ที่เขาปรากฏตัวออกมา “ข้าต้องไปก่อน ถูกของยุนกินะ ข้าไม่อยากเจอหน้าเขา ประเดี๋ยวจะอดใจไม่ไหวเผาเขาเสียก่อน...”
ร่างจำแลงของต้นไม้แห่งโลกหายไปแล้ว พอดีกันกับที่สายรุ้งเส้นหนึ่งตัดผ่านความมืดมิดเข้ามา ชายสูงวัยผู้หนึ่งควบม้าศึกขนาดใหญ่ที่มีขาถึงหกขาเข้ามา ที่ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยขบวนเทพอีกจำนวนหนึ่ง
จองกุกลุกขึ้นยืนพร้อมคนอื่นๆ เขามองดูชายสูงวัยผู้มีเส้นผมสีขาวยาวถึงกลางหลังลงจากหลังม้า อีกฝ่ายมีเครายาว ใบหน้าดุดันที่หลงเหลือเค้าความหล่อเหลาสง่างามเมื่อครั้งยังหนุ่มอยู่ ดวงตาของเขาบอดข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นสีฟ้าเจิดจ้าทอประกายของผู้มีสติปัญญาและล่วงรู้ในทุกสิ่ง ชุดเกราะของเขายังเปื้อนไปด้วยเลือด ในมือของเขายังคงถือหอกที่เปื้อนเลือดเช่นกัน ท่าทางดูราวกับว่าจะมาปิดบัญชีกับพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
“โอดิน” เฮรสเฟลเกอร์ก้าวไปรับหน้าอีกฝ่าย “พวกเขารู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ตอนนี้กำลังจะกลับมิดการ์ด”
“พอดีเลย” โอดินกระแทกด้ามหอกลงบนสะพานสายรุ้งที่เขายืนอยู่ “เช่นนั้นให้เกียรติข้าเป็นคนส่งพวกเขากลับมิดการ์ดก็แล้วกัน ด้วยสะพานไบฟรอสต์สายนี้”
“ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดพวกเราจึงได้รับเกียรตินี้จากท่านอย่างนั้นหรือ มหาเทพโอดิน” คิมนัมจุนผู้กลับคืนสู้สภาพเดิมในยามปกติของตนเองแล้ว เขาดึงท่วงท่าของความเป็นกษัตริย์ออกมารับมือกับโอดินทันที หลังจากรู้ความจริงแล้ว เขาตัดสินใจไม่ทำตัวอ่อนน้อมกับเทพเจ้าอีกต่อไป หลังได้ฟังสิ่งที่อิกดราซิลเล่า เขารู้สึกว่าโอดินช่างเห็นแก่ตัวยิ่งนัก และสิ่งของที่พวกเขาเคยซาบซึ้งที่มีมันมาตลอดก็กลับกลายเป็นเครื่องจองจำที่มหาเทพองค์นี้มอบเอาไว้ให้
“เพราะพวกเจ้าจัดการนิดฮอกก์แทนพวกเรา และนั่นเป็นการยับยั้งไม่ให้แรคนาร็อกเกิดขึ้นก่อนเวลาที่สมควรจะเกิด” โอดินใช้ดวงตาที่มีเพียงข้างเดียวจ้องพวกเขา ราวกับสามารถมองลึกไปถึงภายในจิตใจของพวกเขาได้
จองกุกกวาดสายตามองทวยเทพที่อยู่ด้านหลังโอดิน และพบว่าโลกิกำลังส่งรอยยิ้มรู้เท่าทันให้เขา
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านกันเถอะ ไปดูว่าต้นไม้กลางเมืองกลับมาเขียวแล้วหรือยัง” ซอกจินเอ่ยพลางดันหลังคนอื่นๆให้ก้าวขึ้นไปบนสะพานสายรุ้งเรืองรองนั้น เฮรสเฟลเกอร์โบกมือให้พวกเขาก่อนจะเอ่ยว่า “แล้วข้าจะลงไปหาเมื่อมีภารกิจต้องรบกวน”
“ไฮล์มดัล ไปมิดการ์ด” โอดินสั่งเทพทวารบาลผู้ดูแลสะพานสายรุ้งนี้
“ขอรับ” เสียงขานรับดังขึ้น ก่อนที่สายรุ้งจะยืดตัวออก พริบตาเดียว พวกเขาก็มาอยู่บนฟ้าเหนือเมืองบ้านเกิดของพวกเขาแล้ว
“กลับบ้านของพวกเจ้าเถอะ ทูตแห่งอิกดราซิล” โอดินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นมิตร
“ขอบคุณที่มาส่ง” นัมจุนกล่าวก่อนที่เขาจะกระโดดลงจากสะพานสายรุ้งไปคนแรก ตามด้วยคนอื่นๆจนครบ พวกเขาลงถึงพื้นดินบริเวณชานเมืองที่ค่อนข้างร้างผู้คน เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นไปมอง ก็เห็นว่าสายรุ้งเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนฟ้า จากนั้นก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ที่เห็นโลกิยิ้มให้นาย” แทฮยองหันไปถามจองกุก สีหน้าค่อนข้างประหลาดใจ “นายรู้จักกับเขาเหรอ”
“ฉันยังไม่มีเวลาเล่าให้ฟัง แต่เขาให้กุญแจฉันมาหนึ่งดอก มันคือของที่ทำให้ฉันเข้าไปช่วยคนอื่นๆจากในด่านปริศนาได้” จองกุกอธิบายพลางหยิบกุญแจดอกนั้นที่เขายังเก็บเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาให้ดู เขาเงยหน้ามองนัมจุนก่อนจะถามว่า “แล้วทีนี้พวกเราจะเอายังไต่อกันดีครับ”
นัมจุนถอนหายใจเฮือก “ทำตามที่ท่านมหาเทพตาเดียวบอกน่ะสิ กลับบ้าน อาบน้ำ นอนหลับสักคืน...” พูดถึงตรงนี้เขาถึงหาวออกมาอย่างไร้มาดอีกด้วย
“พวกเราไม่ได้นอนกันเป็นวันๆแล้ว” จีมินยิ้มแหย พอเห็นนัมจุนหาว เขาเองก็รู้สึกง่วงขึ้นมาทันที
“งั้นก็กลับบ้านไปนอนกัน” ยุนกิเห็นด้วยทันที เขาคว้ามือของจีมินเอาไว้ หันไปเอ่ยกับคนอื่นๆว่า “เอาไว้ตื่นแล้วจะติดต่อไป”
“ฮ่าๆ โอเค” ซอกจินหลุดขำออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อเห็นยุนกิจูงจีมินเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของพวกเขา ก่อนที่เขาจะหันไปหาน้องชายคนเล็กแล้วถามยิ้มๆว่า “นายล่ะ แทฮยอง จะกลับไปนอนบ้าน หรือว่าจะไปบ้านจองกุก”
ใบหน้าเหนื่อยอ่อนของแทฮยองปรากฏสีระเรื่อขึ้นมาทันที เขารีบเอ่ยว่า “กลับบ้านฮะ ผมอยากอาบน้ำแล้วนอนบนเตียงนุ่มๆที่บ้านใจจะขาดแล้ว”
จองกุกยิ้มบางๆ “งั้นถ้าตื่นแล้ว อย่าลืมสัญญานะ”
แทฮยองมองเขาด้วยสีหน้างุนงง “สัญญาอะไร?”
“ทำพิธีเป็นคู่บำเพ็ญกับฉันอย่างเป็นทางการไง” จองกุกแบมือทั้งสองข้างออกก่อนจะเสริมว่า “แบบที่คนทั่วๆไปเขาเรียกกันว่าขอเป็นแฟน อ้อ ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดตอนนี้พวกเราสามารถออกไปนอกเมืองได้แล้ว ดังนั้นฉันเลยอยากขอเสนอให้เราลองไปเดตกันนอกเมืองดูสักรอบ”
แทฮยองถึงกับเขินจนพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
นัมจุนมองเด็กหนุ่มสองคนเกี้ยวกันต่อหน้าต่อตาอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่เขาจะหันไปถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆเสียงเบาว่า “เราเองก็น่าจะลองออกไปเที่ยวนอกเมืองดูเหมือนกันนะ”
ซอกจินเงยหน้าขึ้นมองเขา “นายอยากไปเที่ยวเหรอ”
นัมจุนกะพริบตา “ใช่ ฉันอยากไปเที่ยว สองชาติแล้วที่ฉันเกิดมาแล้วก็ติดแหงกอยู่ในสถานที่หนึ่งนานๆ ตอนเป็นทูตก็เอาแต่ช่วยเหลือคนไม่ได้เที่ยวเลย ตอนนี้ฉันอยากออกไปเที่ยว อยากออกไปเห็นโลกที่อิกดราซิลบอกว่าดีสักครั้ง แล้วก็ฉวยโอกาสสำรวจดูด้วยว่าเราจะทำอะไรให้โลกใบนี้ได้บ้าง ไหนๆเขาก็บอกว่าเราเป็นของขวัญที่เขามอบให้โลกใบนี้นี่”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของซอกจิน
“ในที่สุดนายก็เริ่มทำอะไรเพื่อตัวเองสักทีนะ”
“หืม นายว่าอะไรนะ” นัมจุนถามเพราะได้ยินไม่ชัด
“เปล่านี่” ซอกจินส่ายหน้า “ไปสิ นายอยากไปไหน ฉันไปเป็นเพื่อนเอง”
โฮซอกมองคนนู้นทีคนนี้ทีก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินจากมาเงียบ “ว่าเว้ย ไอ้เรามันคนไม่มีคู่นี่หว่า กลับบ้านไปหลับเป็นตายแล้วหาโอกาสแวบออกไปเที่ยวบ้างดีกว่า ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเศรษฐีใหญ่ตระกูลจองอย่างฉันจะหาแฟนไม่ได้!”
บทส่งท้าย
Ghost Town เมืองเล็กๆที่ผู้คนรู้จักกันหมด มีภูเขาล้อมรอบทั้งสามด้าน และมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับทูตทั้งเจ็ด ยามนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว
ว่ากันว่าหลังเห็นคนชุดดำเจ็ดคนประกอบพิธีกรรมปริศนารอบต้นไม้ใหญ่ที่แห้งเหี่ยว และหญิงสาวผมดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาจากผืนดิน เมื่อคนทั้งหมดนั้นหายตัวไป ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงก็เกินขึ้นที่เมืองนี้
ไอหมอกที่เคยปกคลุมทั้งเมืองหายไป เผยท้องฟ้ากระจ่างใส และแสงแดดที่ทำเอาชาวเมืองถึงกับลากเก้าอี้ออกมานั่งอาบแดดกันอย่างตื่นเต้นและคึกคัก
วิญญาณที่มักปรากฏตัวกลางดึกหายสาบสูญไปจนหมด ไม่เคยมีใครเห็นดวงวิญญาณออกมาเพ่นพ่านอีกเลย
และที่น่าตื่นตะลึงที่สุด คือต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งมานานนับร้อยปี ในที่สุดก็ผลิใบสีเชียวสดออกมาแล้ว
Dead Tree กลับกลายเป็น Life Tree อีกครั้ง
และ Ghost Town ก็กลับคืนเป็น Bruheria ดินแดนแห่งเวทมนตร์ที่หวนคืนสู่การมีชีวิต
ผู้คนมากมายเดินทางมายังเมืองเล็กๆแห่งนี้ เพื่อศึกษาถึงตำนานบทใหม่ที่ได้ถูกนำมาเผยแพร่ ทั้งจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ทั้งจัดการแสดงละครเวที แม้แต่สวนสนุกชื่อดังอย่าง Hope’s World ก็ยังหยิบยกตำนานบทหนึ่งขึ้นมาเล่า
มันคือตำนานของต้นไม้ใหญ่ผู้เป็นดั่งเสาหลักที่โอบพยุงโลกเอาไว้ และได้มอบของขวัญอันล้ำค่าให้กับโลกมนุษย์
เป็นดอกไม้เจ็ดดอกที่มีชีวิต
ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ใจกลางเมืองไม่ได้สลักข้อความไว้อาลัยเหล่าทูตอีกแล้ว
เพราะดวงวิญญาณของทูตไม่ได้สถิตอยู่ในที่แห่งนี้ชั่วกาลอีกต่อไป
ใต้ร่มไม้กว้างใหญ่ไพศาลเขียวชอุ่ม มีป้ายศิลาที่สลักไว้ด้วยตัวอักษรสีทองงดงามเขียนเอาไว้ว่า
“I raised a flower that’s couldn’t bloom in a dream that can’t come true.”
ข้าเพียรปลูกดอกไม้ที่ไม่มีวันเบ่งบาน อยู่ในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
- THE END -
Talk.
Finally!!!
ตอนสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด...
จบแล้ว แต่ยังไม่ถือว่าจบ เพราะมีตอนพิเศษต่ออีก5ตอน หุๆๆ
คือ เตือนก่อนเลยนะว่าจะพล่ามยาว ไปเม้นก่อนแล้วค่อยมาอ่านเราพล่ามก็ได้5555
ก่อนอื่นเลย ต้องขอพูดซ้ำว่า หลังจากเขียนกาลนิรันดร์จากอัลบั้มwingsไปแล้ว เราเลยอยากเขียนฟิคอีกสักเรื่องจากmv fake love สารภาพว่าตอนแรกคิดจักรวาลไว้ใหญ่กว่านี้ แต่งานเข้าตรงที่ดันไปเขียนเรื่อง Legacy เข้าแล้วมันบูมมาก(แบบงงๆ) ก็เลยกลายเป็นว่าต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนแล้วไปเขียนเรื่องนั้นจนกระทั่งจบไป4ภาค ถึงได้พักครึ่งยกวิ่งกลับมาเขียนเรื่องนี้ต่อจนจบ
จุดกำเนิดของเรื่อง Flower คืออะไร
เหมือนกาลนิรันดร์ที่ได้แรงบันดาลใจเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์มาจากท่อนแรพของพี่ก้า เรื่องนี้เราเกิดแรงบันดาลใจจากท่อนของจองกุกที่บอกว่า “ฉันปลูกดอกไม้ที่ไม่มีวันเบ่งบานในความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง” นั่นเอง
คือฟังแล้วมันทัชมากเว้ย ดูหมดหวัง ดูมีความนัย แต่เป็นคนไม่ชอบเขียนดราม่า จะให้เขียนแนวอกหักรักคุดดำดิ่งไปกับความผิดหวังในรักอะไรแบบนั้น คือเขียนไม่ได้55555 เลยถามตัวเองว่า โอเค เราถนัดมันอยู่สองอย่าง 1.พีเรียด 2.แฟนตาซี แล้วเรื่องนี้เรามีอะไรให้เอามาเล่นได้อีกบ้าง ดอกไม้ที่ว่านั่นเราใส่อะไรที่น่าสนใจเข้าไปได้บ้าง
นี่ก็นั่งดูเอ็มวี ดูสเตจไปเรื่อย ไปเตะตาฉากของสเตจแรกๆเลยอ่ะ ที่เหมือนอยู่ในวิหารแล้วมีต้นไม้แห้งๆ เออเฮ้ย เขียนเกี่ยวกับต้นไม้ดีกว่า เลยโยงไปถึงอิกดราซิลที่รู้จักสมัยม.ต้น คือชอบอ่านนิยายแปลมากมาตั้งแต่เด็กแล้ว อิกดราซิลนี่จำไม่ได้ว่าไปเห็นผ่านหนังสือเล่มไหนมาแต่จำได้เพราะชอบมาก ต้นไม้บ้าอะไรเท่จรุง
ทีนี้พอได้อิกดราซิลมาเป็นเสาหลักของเรื่องแล้ว หน้ากากล่ะ?
ก็ไปศึกษาทฤษฎีมา เขาบอกว่าหน้ากากของบังทันอ่ะ เรียกว่า masquerade mask มันคือหน้ากากที่เขาใช้ใส่ไปงานเลี้ยงเต้นรำที่ต้องปกปิดตัวตนของตัวเอง คือมันตีความได้หลายอย่างมากๆๆๆ แต่เราก็ตัดสินใจถูไถเอาหน้ากากงานรื่นเริงทั้งหมด 7 แบบมาระบุเป็นตัวตนของบังทันในเรื่องนี้
หน้ากากของผู้แสวงหามีความหมายว่า “ผู้ที่ผ่านประตูเข้ามาอย่างลึกลับและจากไปอย่างเงียบงัน”
หน้ากากของผู้สรรค์สร้างมีความหมายว่า “ผู้ที่รักในทุกสิ่ง”
หน้ากากของผู้สวดภาวนามีความหมายว่า “ผู้ที่ไม่หวั่นเกรงที่จะสาดประกายของตนเองออกมา”
หน้ากากของผู้ทำลายล้างมีความหมายว่า “ผู้ที่ปรารถนาระยะห่างและการไม่ถูกจดจำ”
หน้ากากของผู้วาดฝันมีความหมายว่า “ผู้สร้างเสียงหัวเราะและมีความสามารถในการผูกมิตร”
หน้ากากของผู้ปกป้องมีความหมายว่า “ผู้สร้างสีสันและมีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าเสมอ”
หน้ากากของผู้หลบซ่อนมีความหมาว่า “ผู้ที่ปรารถนาจะกลืนหายไปในฝูงชนและทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม”
นี่เป็นความหมายที่มีอยู่จริงของหน้ากาก masquerade ทั้ง The Volto The Bauta The Colombina The Pantalone The Arlecchino และอื่นๆ ซึ่งเรานำมาเป็นไอเดียในการร่างคาแรคเตอร์ชาติที่สองของบรรดาหนุ่มดอกไม้ทั้งเจ็ด
สนุกดีค่ะเวลาได้คิดอะไรแบบนี้555555
ถามว่าเรื่องนี้มีข้อคิดอะไร คำตอบคือ อย่าเขียนฟิคด้วยพล็อตที่เกิดจากอารมณ์ชั่ววูบ!!
ล้อเล่นนะ...
สำหรับเรา เราว่ามันตอกย้ำเบาๆให้คนเราสามารถระลึกได้ว่า ทุกคนมีตัวตนมากกว่าหนึ่ง อย่างเราเองเงี้ย ในทวิตเตอร์เราคือติ่ง คืออาร์มี่ คือนักเขียนอิสระคนหนึ่ง ในชีวิตจริง เราคือเจ้าของกิจการ คือเจ้านาย คือนักแปล คือคนที่เป็นเสาหลักของบ้าน คือหลานที่คนตระกูลมโนเอาเองว่าเก่งมาก แต่จริงๆตูไม่ได้เก่งอะไรเลย
ทั้งหมดที่เราว่ามานี้คือบทบาทมากมายที่เรารับผิดชอบในการใช้ชีวิต
แล้วถามว่าจริงๆหน้าที่ของเราคืออะไรกันล่ะ? ตอบแบบนางสาวไทยคือการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ ตอบแบบบ้านๆคือ หน้าที่ก็คือการทำบทบาทพวกนั้นที่ว่ามาทั้งหมดให้ดีที่สุด และต้องทำโดยที่ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อนด้วย
อีกเรื่องก็คือเรามีความคิดที่ว่าคนทุกคนเปรียบได้กับดอกไม้
เราทุกคนคือดอกไม้ ถามว่ามันเบ่งบานไหม ในเมื่อเกิดมาในสถานที่ต่างกัน
แต่จริงๆแล้วทุกคนก็คือดอกไม้อยู่ดี
และดอกไม้ทุกดอกต้องเบ่งบาน เพียงแค่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ บานแล้วสวยไหมเท่านั้นเอง
เมื่อถึงเวลาที่ใช่ ดอกไม้จะบาน
ดอกไม้บางประเภทจะเบ่งบานเมื่ออยู่ในสถานที่ที่ใช่
ดอกไม้บางประเภทเบ่งบานเมื่อมาถึงฤดูกาลที่ใช่
ดอกไม้บางประเภทบานแล้วไม่สวยแต่มีกลิ่นหอม
ดอกไม้บางประเภทบานแล้วไม่มีกลิ่นหอมแต่สวยดี
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทั้งหมดนั่นคือตัวตนที่บ่งบอกความเป็นเรา หนียังไงก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะเติบโตไปและหาโอกาสที่ตัวเองเบ่งบาน (เบ่งบานในที่นี้เราเปรียบกับการประสบความสำเร็จนะคะ) เราขอยืมคำพูดของหลวงพ่อที่เรานับถือมาใช้สักหน่อย
“เปิดใจให้กว้าง มองให้รอบด้าน ยอมเสียบ้างจะชนะทุกเรื่อง ยอมรับนะ ไม่ใช่ยอมแพ้”
พล่ามยาวจริงๆเห็นไหมบอกแล้ว นี่ไม่ค่อยมีสติด้วยนะ จะบอกว่าที่อัพตอนนี้อ่ะคือไม่ได้นอนมาทั้งคืน555555
อย่าดุเรา เดี๋ยวเราไปนอนแล้ว พรุ่งนี้วันหยุดเลยจัดหนัก อยากให้จบทันเวลาเพราะเดี่ยวพรุ่งนี้เราต้องเปิดต้นฉบับเริ่มแปลนิยายเรื่องใหม่แล้ว จะไม่มีเวลามาเขียนฟิคเท่าไหร่
ก็...เอาไว้เราจะเขียนทอล์กแบบเป็นผู้เป็นคนอีกทีตอนรวมเล่มนะคะ ส่วนตอนนี้...เอาทอล์กมึนๆของเราไปอ่านก่อน คิดอะไรไม่ค่อยออกแล้ว555555
ประมาณหกโมงเย็นจะมาลงฟอร์มเปิดพรีฟิคนะคะ
งืม นึกไม่ออกจริงๆละ ไปละค่ะ แล้วเจอกันใหม่ในตอนพิเศษและในเล่มนะคะ
ขอบพระคุณทุกคนมากๆ เดี๋ยวจะขอบคุณให้ยาวกว่านี้ตอนทอล์กท้ายเล่มค่ะ555555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อิลกาซิลคือพ่ออ่าาาา รักพ่อนะคะ
นักเขียนคะ วอนขอซีซั่น2ได้ไหมอะ
เอาแบบบังเอิญทำหน้ากากแตกและเทพไม่ยอมทำให้ทูตต้องสู้เพื่อตัวเอง
หรือไม่ก็เทพมาหาเรื่อง ทูตก็เปรี้ยว ทีนี้ก็ไปเป็นเทพในแอสกาดตอนจบ ทุบสวรรค์แตกและสร้างใหม่เอง พ่อไปจำสินอยู่เลยไม่มาห้าม
อ่านจบไปอีกเรื่อง สนุกมากเหมือนเดิมเลยค่ะ
ชอบมุมมองของตัวละครแต่ละตัวมาก
สุดท้ายจะบอกว่าไรท์แต่งดีมากค้าบ!!
คุณแพทเก่งจังเลยค่ะ;-; นี่อ่านเรื่องนี้ของคุณแพทเป็นเรื่องแรก ต้องตามไปอ่านเรื่องอื่นๆแล้ววว เนื้อเรื่องน่าประทับใจมาก สุดมากค่ะ รักนะคะะะะะ เดี๋ยวตามไปเม้นเรื่องอื่นด้วย! เราเม้นทุกตอนเลยนะ>< สนุกมากค่ะ! เล่าให้พ่อแม่ฟังเยอะเลยแต่เค้าไม่ฟังหนูเลย;-;
ขอบคุณนะคะไรท์! สนุกมากค่ะ! เขินคใามเก่งของแต่ละคนมากกกกก