ตอนที่ 2 : Chapter 2
Chapter 2
“พลังของนางไม่มีอะไรมากไปกว่าความตาย”
เฮือก!
ดวงตาของจองกุกเบิกกว้าง เสียงที่เขาได้ยิน ภาพที่เขามองเห็นผ่านหน้ากาก ความรู้สึกช่างแปลกประหลาดราวกับกำลังรับชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งอยู่ แต่จองกุกก็รับรู้ได้ถึงตัวตนของตัวเองชัดพอที่จะบอกตัวเองว่านี่คือร่างกายของเขา
ถ้าเช่นนั้นเกิดอะไรขึ้น เขาอยู่ที่ไหน และนั่นเสียงของใคร?
“แต่ความตายซึ่งเป็นพลังของนางก็ไม่สมควรทำลายโลกมนุษย์ทั้งใบ” ใครบางคนเอ่ย จองกุกหันหน้าไปมองที่ด้านข้าง ก่อนจะต้องสะดุ้งอย่างแรงอีกครั้งเมื่อเห็นชายในชุดผ้าคลุมสีดำสวมหน้ากากสีขาวอยู่ข้างตัวเขา มันเป็นหน้ากากสีขาวล้วนไร้อัญมณีประดับ รูปทรงค่อนข้างมีเหลี่ยมมุมแปลกตา เขาไม่รู้เลยว่าคนคนนี้มาถึงเมื่อไหร่ ไม่รู้เลยว่ามีคนยืนอยู่ข้างๆมาตลอด
“แม้แต่อาจารย์ก็ยังตายหลังจากเพียงแค่สนทนากับนาง อำนาจของนางบริสุทธิ์มากและทรงพลังอย่างที่สุด เพียงเข้าใกล้ พูดคุยด้วย ก็อาจตายได้ทันที”
“อันตรายอย่างมาก”
“เพราะเป็นเช่นนั้นจึงปล่อยให้นางออกไปสู่โลกภายนอกไม่ได้”
บทสนทนาดังขึ้นรอบตัวของจองกุกดังกังวานอย่างประหลาด มันคล้ายดังขึ้นในหัวของเขา จองกุกพยายามเบิกตามองสถานที่รอบตัว ก่อนจะต้องตกใจเมื่อพบว่าเขายืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
มันคือ Dead tree ไม่ผิดแน่ เขาจำตำแหน่งและลักษณะของมันได้แม่น เพียงแต่...ใบไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มอยู่บนต้น ร่มเงากว้างใหญ่ไพศาลชวนให้รู้สึกปลอดภัย แสงแดดสดใสจากบนท้องฟ้าอาบถนนทั้งเส้นจนสะท้อนกลายเป็นสีทอง
นี่ไม่ใช่ Ghost Town ที่จองกุกรู้จัก
นี่คือภาพ...หรือบางทีอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
“หากนางออกไปจากเมืองนี้ นางก็จะนำความตายไปกับนางด้วย ประตู...จะเปิดออกกว้าง คนเป็นจะต้องตาย และคนตายก็จะหวนกลับสู่โลกนี้ สมดุลทุกอย่างจะพังทลาย”
“เราต้องกักนางเอาไว้ที่นี่”
“แต่นั่นจะหมายถึง...” จู่ๆจองกุกก็พบว่าริมฝีปากของตนเองขยับ ทั้งยังเปล่งเสียงพูด “การที่พวกเราจะต้องสละซึ่งดวงวิญญาณของตนเองไปเพื่อกักขังนางเอาไว้”
“ถ้าเพื่อโลก เราจะไม่ทำหรือ” ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเขาหันมา แม้จะไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอีกฝ่าย แต่จองกุกกลับรู้สึกได้ว่าเขารู้จักคนคนนี้ ทั้งยังรู้จักดีอีกด้วย “เพียงวิญญาณของพวกเราทั้งเจ็ดคน แลกกับโลกทั้งใบ ข้าคิดว่ามันเพียงพอแล้วและคุ้มค่าเหลือแสน”
“มันไม่ใช่แค่เราที่ต้องเสียสละ เมืองเมืองนี้เองก็จะต้องเสียสละด้วยเช่นกัน” จองกุกยังคงพูดตอบราวกับไม่ใช่ตัวของเขาเอง “นางจะถูกทำให้หลับใหลไปชั่วคราวเท่านั้น มันต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้สิ”
“น่าเสียดายที่อาจารย์ไม่อยู่แล้ว” ใครบางคนกล่าวขึ้น “ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องมีบางสิ่งที่บอกให้เราทำได้แน่”
“แต่ตอนนี้เราก็ทำได้เพียง ทำในสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่หรือ” ชายหนุ่มข้างกายจองกุกยังคงมุ่งมั่นที่จะทำบางสิ่ง “มาเถิด ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งหลาย ข้าหาหวาดกลัวความตายไม่ ยิ่งเมื่อความตายของข้าสามารถแลกได้กับความตายของคนทั้งโลก ข้ายินดีและถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
เหล่าทูตทั้งเจ็ดตัดสินใจแล้ว จองกุกรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างที่กำลังเอ่อล้นในร่าง และเสียงสวดคาถาก็ดังกระหึ่มขึ้นในหัวของเขา ริมฝีปากของเขาขยับตามราวกับสามารถท่องจำทุกวรรคตอนของมนตร์คาถานั้นได้
วินาทีต่อมาเขารู้สึกคล้ายดวงวิญญาณของตัวเองถูกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ
“แฮกๆๆ”
จองกุกลืมตาขึ้น หน้ากากหลุดออกจากใบหน้าของเขาก่อนจะหล่นลงไปบนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเรืองแสงสีขาวขึ้นมาก่อนจะจางหายไป จองกุกกะพริบตาพลางกุมทรวงอกที่สะท้อนขึ้นลงราวกับเขาเพิ่งสูญเสียเรี่ยวแรงจำนวนมหาศาลไป
ขณะเดียวกันเขาก็ค่อยๆหรี่ดวงตามองแสงสีขาวที่เรืองรองเป็นจุดๆบนท้องฟ้า
ดวงดาว...จองกุกได้คำตอบโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไร แต่เขามั่นใจว่ามันคือตำแหน่งของดวงดาว เป็นแผนที่ลายแทงซึ่งจะนำเขาไปสู่บางสิ่ง
แกรก..
เสียงที่ดังขึ้นเรียกให้จองกุกลดสายตาจากท้องฟ้าลงมามองเบื้องหน้า เด็กหนุ่มคิมแทฮยองที่เมื่อครู่หายตัวไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา พลางกำลังก้มลงเก็บหน้ากากที่เขาทำหล่นลงบนพื้นขึ้นมา
“อย่าทิ้งขว้างแบบนี้สิ นี่ของสำคัญนะ” คิมแทฮยองเอ่ยก่อนจะยื่นหน้ากากคืนให้เขา จองกุกกลับผงะถอยหลังและลังเลที่จะรับมัน
“นาย...เป็นใครกันแน่”
คิมแทฮยองก้มลงมองหน้ากากในมือของเขาก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันเป็นคนเมืองนี้นี่แหละ ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะเป็นผีหรือว่าประสงค์ร้ายต่อนาย ที่นายไม่เคยรู้จักฉันมาก่อน ก็เพราะว่าฉันไม่เคยออกมาเดินให้ใครเห็นบ่อยนัก”
“แล้วนาย..รู้เรื่องหน้ากากนั่น ได้ยังไง” จองกุกถามด้วยความหวาดระแวง
“นั่นเป็นคำถามที่ดีแต่ก็ตอบยากมากเลย เอาเป็นว่า...” คิมแทฮยองยกมือขึ้น ก่อนที่ในมือของเขาจะมีหน้ากากใบหนึ่งปรากฏขึ้น มันเป็นหน้ากากสีขาวล้วนที่มีรูปแบบค่อนข้างเหลี่ยมและมีเค้าโครงเด่นชัด แบบเดียวกับที่ชายหนุ่ม..ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างจองกุกตอนที่ใส่หน้ากากคนนั้นใช้ “การครอบครองเจ้าสิ่งนี้ทำให้ฉันสามารถหายตัวได้ และทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ส่วนนี่..คือหน้ากากของนาย นายจะต้องไม่กลัวในพลังที่ตนเองครอบครองนะ จอนจองกุก”
“นายรู้จักชื่อของฉันได้ยังไง” แทนที่จะรับหน้ากากของตนเองกลับมา จองกุกกลับโพล่งคำถามที่แลดูโง่เง่าออกไปโดยไม่รู้ตัว กว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองถามคำถามปัญญาอ่อนมากออกไป ก็ตอนที่คิมแทฮยองหัวเราะแล้วตอบว่า “ก็เมืองนี้มันเล็กนิดเดียวนี่นา จริงไหมล่ะ”
“อา..” จองกุกตัดสินใจยื่นมือไปรับหน้ากากของตนเองกลับคืนมา สัมผัสเย็นเฉียบของมันทำให้ใจของเขาสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ “แล้วเมื่อกี้..ฉันว่าฉันเห็นภาพอดีตของเจ้าของหน้ากากใบนี้”
“มันเตือนนายถึงหน้าที่ของเจ้านายของมัน” แทฮยองเอ่ยพลางทำให้หน้ากากในมือหายไป เด็กหนุ่มล้วงมือทั้งสองข้างลงในกระเป๋ากางเกง “ตามฉันมาสิ จองกุก แล้วฉันจะพานายไปหาคำตอบของคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของนาย”
“อะไรคือคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉัน” จองกุกถามออกไป ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองโง่มากอีกแล้ว
“นายกำลังสงสัยว่าใครคือเจ้าของหน้ากากทั้งเจ็ดใบนี้ และพวกมันมีเอาไว้ทำอะไรกันแน่ มาเถอะ ฉันไม่พานายไปฆ่าหรอกน่า เรื่องบางเรื่อง...ไม่ว่าสุดท้ายแล้วนายจะตัดสินใจจะทำอย่างไรกับหน้ากากใบนั้นมันก็เรื่องของนาย แต่ฉันคงปล่อยให้นายกลับบ้านไปพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่นายครอบครองไม่ได้หรอก”
เส้นทางที่คิมแทฮยองนำพาจองกุกให้เดินไปไม่ใช่เส้นทางที่แปลกตาเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง..สำหรับชาวเมืองแล้วก็ไม่มีถนนเส้นไหนที่พวกเขาไม่รู้จักหรอก
ถนนเส้นที่เขากับแทฮยองกำลังก้าวเดินอยู่นี้มีชื่อว่า Main Street เป็นถนนสายหลักที่ตัดตรงตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ของเมือง สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารใหญ่โตที่เป็นสถานที่สำคัญของเมือง รวมไปถึงเป็นจุดศูนย์กลางความเจริญของเมืองด้วยเช่นกัน
สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ทำจากวัสดุจากธรรมชาติ ปูนเปลือย ไม้ และก้อนหิน ความแตกต่างที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวและมีกลิ่นอายของตัวเองของวัสดุทางธรรมชาติเหล่านี้ส่งผลให้เมืองGhost Town ดูเหมือนฉากในภาพยนตร์ย้อนยุคมากกว่าจะเป็นเมืองที่มีผู้คนอยู่อาศัยจริง
ยิ่งเมื่อดวงตะวันเริ่มจะลาลับขอบฟ้า ร้านรวงต่างๆจะเริ่มทยอยกันเปิดไฟหน้าร้าน อวดสีสันฉูดฉาดหลากสีสันที่เมื่อมองผ่านกลุ่มหมอกขาวก็ดูราวกับอาคารแต่ละหลังกำลังเรืองแสง เสียงดนตรีคลาสสิคถูกส่งออกมาจากลำโพงที่ติดอยู่ตามเสาไฟ ส่งผลให้ถนนทั้งเส้นยิ่งดูราวกับดินแดนที่ไม่มีอยู่จริงเข้าไปอีก
คิมแทฮยองสองมือล้วงกระเป๋า เขาเดินอย่างไม่เร่งรีบเยื้องอยู่ด้านหน้าของจองกุก ดวงตาสอดส่องแสงไฟรอบตัวด้วยความชื่นชม
“เมืองของเขาเนี่ย ไม่เหมาะกับชื่อ Ghost Townเลยนะ นายว่าไหม” จู่ๆคิมแทฮยองก็หันมาเอ่ยเช่นนี้ ดวงหน้าของเขาสะท้อนกับแสงหลากสีแล้วพลันยิ่งทวีความลึกลับเฉพาะตัวของเขาให้มากยิ่งขึ้นไปอีก “มันควรจะสวยงามและมีชีวิตชีวามากกว่านี้”
“แล้วนายคิดว่ามันควรจะเป็นยังไง” จองกุกรู้สึกว่าเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาค่อนข้างตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ทันอยู่เสมอ
“บรูเฮเรีย เดิมทีชื่อของเมืองนี้มีที่มาจากภาษาโบราณที่สาบสูญ รากศัพท์ของมัน..แท้จริงแล้วแปลว่าเวทมนตร์คาถา ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เมืองแห่งนี้คือดินแดนแห่งเวทมนตร์ไงล่ะ” คิมแทฮยองอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างร่าเริง ราวกับการได้พูดกับจองกุกเป็นเรื่องที่เขาดีใจมากอย่างหนึ่ง “นายเคยสงสัยไหมล่ะ ว่าพวกทูตทั้งเจ็ดเขาเป็นใคร ศึกษาวิชามาจากไหน ปกติแล้วพวกเขาทำหน้าที่หรืออาชีพอะไร”
“คือ..” จองกุกลูบหน้ากากที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้ออย่างอดไม่ได้ “ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อกี้ว่าพวกทูตมีตัวตนอยู่จริงๆ ไม่ใช่แค่ในนิทาน”
“นาย..เป็นอะไรหรือเปล่า” คิมแทฮยองหยุดเดินแล้วหันมามองจองกุกด้วยสีหน้ากังวลระคนห่วงใย “คลื่นรอบตัวของนายมันระส่ำระส่ายอยู่ตลอดเวลา เหมือนรากแก่นของวิญญาณนายไม่มั่นคง”
จองกุกเองก็หยุดฝีเท้าลง เขาหลุบสายตามองพื้นก่อนจะกล่าวว่า “วินาทีที่ฉันได้รับหน้ากากใบนี้มา คือช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก่อนที่ปู่ของฉันจะตาย ตอนนี้เขาน่าจะถูกพาไปประกอบพิธีทางศาสนาแล้ว และฉันก็...อยากอยู่ใกล้ๆเขาแต่ก็หวาดกลัวเกินกว่าจะกลับไปเห็นเขาในสภาพร่างไร้วิญญาณ”
“อีกเดี๋ยวปู่ของนายก็จะกลับมา” คิมแทฮยองกลับเอ่ยประโยคเหนือความคาดหมายนี้ออกมาราวกับเพิ่งจะบอกเขาว่าเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็จะต้องตกดิน
“นาย..ว่ายังไงนะ” จองกุกเพิ่งจะพูดไปได้ไม่ทันจบประโยคดี คำพูดก่อนตายของปู่เขาก็แล่นวาบกลับเข้ามาในหัว
“แล้วปู่จะกลับมา...”
“ไม่ใช่แค่เมืองของเราที่ต้องคำสาปนะ จองกุก” แทฮยองขยายความ ดวงตาเศร้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าสับสนว้าวุ่นใจของจองกุก ราวกับความระส่ำระส่ายของวิญญาณจองกุกมีผลต่อตัวเขา “วิญญาณทุกดวง..ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันนั้นก็ล้วนถูกสาป เราไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต่อให้ตายไปแล้ว..ก็จะต้องกลับมา อาจกลับมาในลักษณะของการถือกำเนิดใหม่ หรือกลับมาในลักษณะของดวงวิญญาณก็ได้ จากนั้นก็ปรากฏตัวให้ชาวเมืองเห็นเป็นครั้งคราว ก็เลยได้ชื่อว่าเป็นเมืองของภูตผียังไงล่ะ”
มิน่าเล่า..เขาถึงไม่เคยไปจากเมืองนี้ได้เสียที
แต่ว่า..นั่นหมายความว่าครั้งหนึ่ง เขาเองก็เคยเกิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วันนั้นใช่ไหม วันที่พวกทูตผนึกราชินีแห่งความตายไว้ในผืนดิน...
“ฉันจะได้เจอเขาอีกใช่ไหม” จองกุกถามอย่างมีความหวัง เขามีอีกหลายเรื่องมากที่อยากพูดคุยกับปู่ และมีอีกหลายเรื่องที่อยากถาม การที่ได้รู้ว่าปู่จะกลับมาทำให้เขาสามารถปัดเรื่องวิญญาณของตัวเองที่ต้องคำสาปออกจากหัวได้อย่างรวดเร็ว
“ยิ่งนายครอบครองหน้ากากใบนั้น นายจะได้เจอเขาแน่” แทฮยองกล่าวอย่างมั่นใจ “ทีนี้...ถ้านายยังไม่อยากรีบกลับบ้านไปจัดพิธีศพ ก็มากับฉันเถอะ ถ้าเราช้ากว่านี้อีกนิดจะไม่ทันเวลาเอา”
จองกุกได้แต่เก็บความสงสัยที่มีอยู่เต็มอกเอาไว้แล้วไล่ตามคิมแทฮยองไป พวกเขามาหยุดยืนอยู่หน้าทางเข้าโรงละคร Ghost House โรงละครกึ่งบ้านผีสิงชื่อดังของเมือง
มันตั้งอยู่มานานแล้ว ว่ากันว่าแต่เดิมเป็นบ้านของเศรษฐีเก่าที่ตายและไร้ทายาทสืบทอด ก็เหมือนตำนานท้องถิ่นทั่วๆไปนั่นแหละ นานเข้าก็มีคนเห็นอดีตเจ้าของบ้านที่ตายไปนานแล้วปรากฏตัวขึ้น ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่อาศัยก็เป็นอันต้องถูกหลอกหลอนจนหนีกันไปหมด
จนกระทั่งลูกชายคนโตของตระกูลคิมมาซื้อไป และเปลี่ยนมันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าสนใจ ในเวลากลางวันบ้านหลังนี้จะถูกปิดเงียบเอาไว้ พอหัวค่ำจะเปิดการแสดงละครให้ซื้อบัตรเข้าชม บัตรเข้าชมของที่นี่พวกนักท่องเที่ยวต้องแย่งกันซื้อในอินเทอร์เน็ตล่วงหน้าเป็นเดือนกว่าจะได้มาครอบครอง หลังละครแสดงจบ บ้านผีสิงก็จะเปิดทำการให้ผู้คนเข้าไปลองสัมผัสกับความพรั่นพรึงของสิ่งลึกลับเหนือธรรมชาติที่ถูกปั้นแต่งขึ้นใหม่
จอนจองกุกไม่เข้าใจเลยว่าเขามาทำอะไรที่นี่เวลานี้
เมื่อมองคิมแทฮยองที่เหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเดินนำเข้าไป จองกุกยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของตัวเขาเองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
แต่แล้วขณะที่เขากำลังคิดจะหยุดเดินแล้วเรียกแทฮยอง ชายหนุ่มรูปหล่อในชุดสูทลูกฟูกสีเทาเข้มคนหนึ่งก็ก้าวออกมาพอดี เขามีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเส้นเล็ก ใบหน้าเรียวเป็นทรงสวยเหมือนกับแทฮยอง ดวงตาทรงเมล็ดอัลมอนด์เองก็เป็นสีน้ำตาลทองอ่อนๆ จอนจองกุกรู้จักคนคนนี้
คิมซอกจิน ลูกชายคนโตของตระกูลคิม เจ้าของโรงละครแห่งนี้
“นายมาทันเวลาพอดีเลย แทฮยอง จองกุก” คิมซอกจินเอ่ยพลางกวักมือเรียกจองกุกให้เข้าไปใกล้ๆ “ไง ฉันคงไม่ต้องแนะนำตัวหรอกนะ พอดีเมื่อกี้น้องชายของฉันโทรมาบอกว่าเขาต้องการที่หนังดีๆให้ไว้นาย”
จองกุกมองดูคิมแทฮยองที่ถูกเรียกว่า น้องชาย ของคิมซอกจินด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย
ที่แท้แล้วคนคนนี้ก็เป็นหนึ่งในทายาทของตระกูลคิมนี่เอง
ตระกูลคิมเป็นตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของ Ghost Town ว่ากันว่าพวกเขาอยู่กันมาตั้งแต่ยุคสมัยที่อัศวินยังคงสวมชุดเกราะควบม้าออกศึกต่อสู้ไปทั่วทั้งแผ่นดิน ต้นตระกูลคิมเองก็เป็นนักรบ พวกเขามั่งคั่งร่ำรวยกันมาหลายชั่วอายุคน และเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ประจำเมือง
แต่ลูกชายคนเล็กของบ้านกลับเป็นคนที่หายตัวได้และไม่มีใครในเมืองรู้จักอย่างนั้นเหรอ? จองกุกอดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องมหัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้นรอบตัวของเขาถี่เกินไปแล้ว
“นี่..ผมจะต้องเข้าไปนั่งดูละครอย่างนั้นเหรอครับ”
“ก็ใช่น่ะสิ อย่าเสียเวลาเลย เดี๋ยวละครจะเริ่มซะก่อน ละครจะสนุกที่สุดถ้านายได้เริ่มชมมันตั้งแต่ต้นเรื่องนะ รู้หรือเปล่า” คิมซอกจินเอ่ยก่อนจะยัดบัตรใบหนึ่งใส่มือเขา “เอ้า รีบเข้าไป แล้วเดี๋ยวตอนที่คนอื่นๆถูกต้อนไปเข้าบ้านผีสิง ฉันจะให้แทฮยองเข้าไปรับนาย”
“แต่..”
“ไม่ต้องห่วงหรอก จองกุก” คิมแทฮยองส่งรอยยิ้มน่ารักให้เขา “ฉันบอกแล้วไง ว่าคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของนาย จะต้องได้รับคำตอบแน่ ไม่ว่าจะเป็นคำสาปของเมือง ทูตทั้งเจ็ด หรือหน้ากากแห่งทูตทั้งหมดนั่น นายจะได้คำตอบอย่างแน่นอน อย่าเผลอลืมหายใจตอนดูก็แล้วกัน”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ลุ้น!!!! จนจะลืมหายใจแร่ววว!!!!!
เกร๊ดดดด นี่มันยังไง๊กันแน่-- มันเกิดเป้นคำถามในใจ เป้นความเงียบที่ดังข้างใน-- (?) โครตน่าค้นหาอ่ะ น่าค้นหายิ่งกว่าตอนครูสั่งให้ค้นหาข้อมูลแล้วเขียนเรียงความ4กระดาษเอสี่มาส่ง //เหมือนกูแค้นอ่ะ555555
แทแทนี่ลึกลับดีจริงๆ น่าค้นหา อ่านแล้วหยุดไม่ได้เลย 555