ตอนที่ 16 : Chapter 16
Chapter 16
“ฆ่าพวกมันทิ้งให้หมด”
ขวานใหญ่เงื้อขึ้นสูง ตัดฉับลงมาอย่างไร้ซึ่งความลังเล ศีรษะของเชลยศึกกลิ้งหลุนๆลงบนพื้น โลหิตสาดกระจายจนอาบพื้นดินบริเวณนั้นให้ดูราวกับบ่อเลือด
“ลำดับต่อไปล่ะครับ ท่านแม่ทัพ”
“มุ่งหน้าลงใต้ ตรงเข้าไปในเมือง ใครขัดขืนฆ่าให้หมด”
เสียงกรีดร้องของผู้คนดังระงมตลอดเส้นทางที่ม้าสีดำสนิทเหยียบย่างไป
“ปีศาจ”
“คนผู้นั้นเป็นปีศาจกลับชาติมาเกิด”
แม้แต่ทหารใต้บังคับบัญชาก็ยังหวาดกลัวเขา
นั่นคือชีวิตที่เต็มไปด้วยสีแดงฉานของเลือด มือ...และร่างกายที่ชโลมไปด้วยโลหิตจนหัวใจด้านชา
“เจ้ามันปีศาจ”
เฮือก!
มินยุนกิสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะพบว่าตนเองนั่งอยู่หลังเปียโนไม้เครื่องหนึ่ง เขามองรอยยับของกระดาษโน้ต ดินสอไม้กลิ้งอยู่ระหว่างคีย์เปียโน ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอหลับไปตอนกำลังแต่งเมโลดี้ใหม่อีกแล้ว
ฝันร้ายหลอกหลอนเขา
และโชคร้าย ที่เขารู้ความจริงว่ามันไม่ใช่ฝันร้ายธรรมดาทั่วไป
เขาเริ่มต้นฝันถึงเรื่องราวพวกนั้นนับตั้งแต่วันที่ลุงของเขามอบหน้ากากใบหนึ่งให้ ส่วนประกอบใหญ่ของหน้ากากนี้ทำมาจากทองคำ ตอนนั้นเขาเพิ่งจะเรียนจบม.ต้น ลุงของเขา...พ่อของจีมินมอบหน้ากากใบหนึ่งให้เขา จากนั้นมอบอีกใบให้กับจีมิน
นับตั้งแต่วันนั้น ความสัมพันธ์ฉันลูกพี่ลูกน้องของเขากับจีมินก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย
เพราะพวกเขาเริ่มจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้
ถูกต้อง ฝันร้ายที่อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนั่นไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงเมื่อนานมาแล้ว ในครั้งที่เขายังเป็นแม่ทัพไร้พ่ายแห่งแคว้นติดทะเลในยุคโบราณ เขาต่อสู้ด้วยความเหี้ยมโหด ไร้ซึ่งความปรานี ทุกที่ที่กีบเท้าม้าของเขาเหยาะย่างเข้าไปจะถูกชโลมไปด้วยเลือด
ในเวลาไม่กี่ปี ทั่วทั้งภูมิภาคต่างก็รู้จักเขาในนาม “แม่ทัพปีศาจ”
มินยุนกิไม่ชอบอดีตของตัวเองเลยแม้แต่น้อย แต่เขายิ่งเกลียดความฝันที่คอยหลอกหลอนและตอกย้ำอดีตเหล่านั้นยิ่งกว่า ในเมื่อชาตินี้เขาได้เกิดมาเป็นคนธรรมดา เขาก็ไม่ขอกลับไปรับรู้เรื่องราวเลวร้ายในอดีตพวกนั้นอีก
จีมินบอกว่าถ้าใส่หน้ากากบ่อยๆจะยิ่งจดจำได้ ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ใส่เสียก็สิ้นเรื่อง
เขาไม่อยากเป็นแม่ทัพไร้พ่ายอะไรทั้งนั้น เขาอยากเป็นแค่มินยุนกิ นักดนตรีธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่เป็นทูต เลือกที่จะเก็บหน้ากากเอาไว้ และไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาใส่อีก จีมินพยายามเกลี้ยกล่อมเท่าไร เขาก็ไม่ยินยอมเลยแม้แต่น้อย
เขาเห็นแก่ตัวมากจริงๆ
ทั้งๆที่รู้ถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับจีมิน แต่ก็ยังเลือกจะทำแบบนี้ เลือกที่จะไม่รับรู้ส่วนที่เป็นความทรงจำดีๆ เพราะหวาดกลัวว่าจะมีเศษเสี้ยวความทรงจำร้ายๆติดเข้ามาด้วย
ยุนกิลุกขึ้นจากเปียโน เดินวนในห้องของตัวเองรอบหนึ่ง
ห้องของเขาไม่เล็กไม่ใหญ่ ผนังสีทึบถูกสร้างมาเพื่อกักเก็บเสียงภายในห้องโดยเฉพาะ ครอบครัวของเขาเป็นนักดนตรีกันทั้งบ้าน ส่วนบ้านญาติที่ใกล้ชิดที่สุดอย่างบ้านของจีมินก็เป็นสายการแสดง ดังนั้นจีมินจึงเรียนเต้นมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหลายครั้งที่มองสีหน้าเศร้าสร้อยของจีมิน หัวใจของเขาปวดแปลบและอยากจะหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมให้รู้แล้วรู้รอด
แต่สุดท้ายเขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะทำเช่นนั้น
“ไม่สิ” ชายหนุ่มชะงัก “ฉันก้าวข้ามจุดนี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ข้อมือของเขาแสบร้อนวาบ เมื่อรีบร้อนยกข้อมือขึ้นมาดู อักษรรูนที่เรียงรายอยู่เต็มข้อมือทำให้ประกายตาของมินยุนกิสว่างวาบ เขากวาดสายตามองรอบตัว ก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มขึ้น “ที่แท้นี่ก็คือลูกเล่นของห้องนี้”
ไหนๆก็ขุดเอาความทรงจำขึ้นมาให้แล้ว มินยุนกิทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟามุมห้องแล้วกวาดสายตามองทุกอย่างรอบตัวราวกับกำลังซึมซับภาพความทรงจำเหล่านี้
“คนที่น่าสมเพศที่สุดในโลก ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตัวเอง แต่เป็นคนที่ไม่อาจยอมรับตัวตนทั้งหมดของตัวเองได้งั้นสินะ” ชายหนุ่มกล่าวกับตัวเองยิ้มๆ “ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้ซีกเกอร์พูดเตือนสติ ป่านนี้เราก็คงติดอยู่ในนี้อย่างมืดแปดด้านต่อไป หวาดกลัวด้านมืดในอดีตของตัวเอง”
เขาติดหนี้บุญคุณเด็กคนนั้น
ควับ
ชายหนุ่มหันหน้าไปทางประตูห้องราวกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขายกยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปเถอะ ทางนี้ฉันจัดการเองได้”
คนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเดินจากไปทันที
“เอาล่ะ” มินยุนกิหันมามองห้องของตัวเอง “ได้เวลากำจัดปมในใจขั้นสุดท้ายแล้วสินะ”
มือที่พาดอยู่บนที่เท้าแขนขยับเบาๆ นิ้วชี้ของเขาชี้ไปทางกีต้าร์ที่ตั้งอยู่มุมห้องก่อน เปลวไฟสายหนึ่งพวยพุ่งออกจากปลายนิ้วของเขา จากนั้นเผาไหม้กีต้าร์ตัวนั้นทันที
มินยุนกิเป็นแค่ตัวตนหนึ่ง ไม่ว่าจะอย่างไร ความจริงก็คือ...เขาคือเดสทรอยเยอร์
คือผู้ทำลายล้าง
ไม่ว่าตอนเป็นแม่ทัพจบอาวุธ หรือตอนเป็นทูตสวมหน้ากาก เขาล้วนมีหน้าที่เดียวคือทำลายสิ่งที่สมควรถูกทำลาย ดังนั้นพลังของเขาจึงเป็นพลังแห่งเปลวเพลิง
เผาไหม้สรรพสิ่งให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
ชายหนุ่มโบกมือไปทางเปียโน เครื่องดนตรีสุดรักสุดหวงก็พลันมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา เครื่องดนตรีที่ทำจากไม้ย่อมเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี เมื่อเขาดีดนิ้วอีกครั้ง เปลวไฟก็พวยพุ่งขึ้นมาจากเตียงที่เขานอนมาตั้งแต่ยังเด็ก
ไม่กี่นาทีต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ก็ตกอยู่ภายใต้เปลวเพลิง
หากการเป็นมินยุนกิทำให้เขาไม่ต้องการกลับไปเป็นผู้ทำลายล้าง เช่นนั้นเขาก็ทำลายตัวตนของมินยุนกิเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว เผาผลาญให้สิ้นซึ่งความทรงจำทั้งหมดนี้
ไฟเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกร้อนเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในตัวของเขา เหมือนที่ครีเอเตอร์สามารถสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ตามใจปรารถนา เหมือนที่เพรเยอร์สามารถใช้อาคมใดก็ได้โดยไม่จำเป็นต้องวาดวงแหวน เหมือนที่ซีกเกอร์สามารถมองเห็นแผนที่ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องรู้จักสถานที่นั้นๆมาก่อน
ด่านปริศนาของโลกิหรือ?
เขาจะทำลายมันให้หมดเอง
วูบ!
ทุกสิ่งทุกอย่างหายวับไป มินยุนกิพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าห้องหนึ่ง ตามผนังมีร่องรอยควันไฟจางๆ เขาหมุนตัวไปมองบานประตูด้านหลัง ก่อนจะเดินเข้าไปเปิดประตูแล้วก้าวออกไปจากห้องห้องนี้
เขาพบว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งในพระราชวังของเฮลล่า
ขณะที่เขากำลังขบคิดว่าจะเดินไปทางไหนดี กลับพบสัญลักษณ์ปรากฏอยู่บนพื้น มันเป็นหัวลูกศรที่สร้างจากอักษรเคน ยุนกิหัวเราะเบาๆ เขากับจองกุกล้วนถนัดใช้อักษรตัวนี้ แม้ในคนละความหมาย แต่เพราะเหตุนี้สมัยเป็นทูตพวกเขาจึงค่อนข้างเข้ากันได้ดี
หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาล้วนแต่เข้ากับใครไม่ค่อยจะได้เหมือนกันกระมัง
ยุนกิแตะนิ้วลงบนอักษรเคนที่จองกุกวาดเอาไว้ เปลวไฟลุกพรึบขึ้นบนอักษร จากนั้นลูกศรไฟก็เริ่มนำทางเขาไปเรื่อยๆ ไม่นานนักเขาก็ลงมาถึงห้องโถงที่ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยอยู่ และพบว่าตอนนี้ห้องโถงมีโต๊ะยาวสีดำปรากฏขึ้นมา ราชินีแห่งเฮลนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ โดยมีคิมนัมจุนกับคิมซอกจินนั่งอยู่ทางซ้ายและขวาของเธอ
“กำลังทำอะไรกันอยู่” ยุนกิถามพวกเขาขณะที่เดินเข้าไปใกล้
“ถามคำถาม” นัมจุนหันมาตอบ นิ้วของเขาเคาะลงบนหน้ากากที่วางอยู่บนโต๊ะเบาๆ “ฉันถูกซีกเกอร์สั่งให้มาเฝ้าเฮลล่าเอาไว้”
“ข้าไม่ไปไหนอยู่แล้ว ที่นี่คือบ้านของข้า หรืออย่างน้อยปู่ของข้าก็ต้องการให้ข้าเชื่อเช่นนั้น” เฮลล่าผายมือทั้งสองข้างออก เป็นการต้อนรับมินยุนกิ “เจ้าเผาหนึ่งในห้องที่บิดาของข้าลงคาถาเอาไว้จนเวทมนตร์ของเขาสลายไป ช่างสมกับที่เป็นผู้ทำลายล้างเสียจริง”
“โอ๊ะ นายออกมาได้เองเหรอ” นัมจุนมองเขาด้วยสายตาชื่นชม “ดีจัง ฉันนี่ถ้าจองกุกไม่มาช่วยก็ไม่รู้จะใช้เวลานานแค่ไหน”
“ฉันนึกว่าเขาไปหานายเสียอีก” ซอกจินถามด้วยความประหลาดใจ
“เขาผ่านมา แอบมอง แล้วก็จากไป” ยุนกินั่งลงข้างซอกจิน “เพราะฉันบอกเขาให้ไปที่อื่นแทน”
“ฟังดูสมกับเป็นนายดี”
“ฉันได้สติเร็วก็เพราะมันเป็นปมที่ฉันเพิ่งแก้ได้ก่อนจะมาที่นี่ หากก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกจองกุกพูดเตือนสติเอาไว้ ป่านนี้ฉันก็คงจะต้องรอให้เขามาช่วยเหมือนกันนั่นแหละ” ยุนกิกล่าวอย่างถ่อมตัว ก่อนจะตั้งคำถามขึ้นมาบ้าง “ว่าแต่ว่าเขาตามหาพวกเราแล้วเข้ามาช่วยได้ยังไงน่ะ”
“ผู้แสวงหาถือกุญแจแห่งโลกิเอาไว้ ไม่มีเขตแดนไหนที่เขาจะเข้าไปไม่ได้และไม่มีประตูบานไหนที่เขาเปิดไม่ออก” เฮลล่าใช้ปลายนิ้วสางเส้นผมสีดำของตนเองอย่างช้าๆ “ดูเหมือนความรวดเร็วในการหลุดจากอาคมจะทำให้บิดาของข้าเกิดสนใจเขาขึ้นมา อีกทั้งบิดายังเผยความลับของหน้ากากบางส่วนให้เขาฟังอีกด้วย”
“ความลับของหน้ากาก จริงสิ บิดาของท่านเป็นผู้สร้างพวกมันขึ้นมา”
“หน้ากากทุกใบมีความหมายซ่อนอยู่ มันเป็นความหมายที่มีอยู่จริงในโลกของพวกเจ้า” เฮลล่าดีดนิ้ว คบเพลิงในห้องโถงก็พลันสว่างไสวขึ้น ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับพระราชวังแห่งนี้มากขึ้น “หน้ากากของผู้แสวงหามีความหมายว่าผู้ที่ผ่านประตูเข้ามาอย่างลึกลับและจากไปอย่างเงียบงัน หน้ากากของผู้สรรค์สร้างมีความหมายว่าผู้ที่รักในทุกสิ่ง หน้ากากของผู้สวดภาวนามีความหมายว่าผู้ที่ไม่หวั่นเกรงที่จะสาดประกายของตนเองออกมา และหน้ากากของผู้ทำลายล้างมีความหมายว่าผู้ที่ปรารถนาระยะห่างและการไม่ถูกจดจำ”
สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามแปรเปลี่ยนไปในทันที
“จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง ซีกเกอร์พูดถึง...ทฤษฎีที่ว่าหน้ากากถูกสร้างขึ้นมาจากตัวตนของพวกเรา ไม่ใช่เลือกพวกเราให้เข้ากับหน้ากาก” ซอกจินเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา เขาจดจำคำพูดของศิษย์น้องเมื่อนานมาแล้วได้ แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจทฤษฎีที่อีกฝ่ายเสนอมากนัก “หากหน้ากากเหล่านี้มีความหมายตามที่ท่านว่ามาจริงๆ นั่นหมายความว่า...”
“หน้ากากพวกนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่พวกเราถือกำเนิดแล้ว?” นัมจุนต่อคำด้วยเสียงที่ค่อนข้างสูงกว่าในยามปกติ สีหน้าบ่งบอกว่าเขารู้สึกเหลือเชื่อกับข้อสันนิษฐานนี้เป็นอย่างมาก
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ” รอยยิ้มของเฮลล่าให้ความรู้สึกลึกลับ ราวกับว่านางรู้อะไรบางอย่าง แต่อมพะนำเอาไว้ไม่ยอมบอกพวกเขา
“พวกเราเกิดไม่พร้อมกัน อาจารย์ก็พบพวกเราไม่พร้อมกัน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์จะเลือกตามหาเราแล้วค่อยมีหน้ากาก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงไทม์ไลน์ทั้งหมดจะผิดพลาด เสื้อคลุมที่ฟริกก้าทอ หน้ากากที่โลกิสร้าง...ทั้งหมดจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเราเกิดไม่ได้” นัมจุนชี้ให้เห็นถึงช่องโหว่ของเรื่องราว
“ได้สิ ถ้าหากว่านั่นไม่ใช่ชาติแรกที่พวกเจ้าถือกำเนิดขึ้น”
คำพูดของเฮลล่าเสมือนสายฟ้าที่ฝ่าลงมาใส่ชายหนุ่มทั้งสามโดยพร้อมเพรียงกัน พวกเขาเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์ในลำดับต่อกัน เริ่มที่ซอกจิน นัมจุน แล้วจึงเป็นยุนกิ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้อะไรมากกว่าศิษย์น้องคนอื่นๆ ทว่าเรื่องที่เฮลล่าเพิ่งจะพูดออกมานั้น เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยได้ยิน ทั้งยังไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยอีกด้วย
“หน้ากากกับเสื้อคลุม ถูกสร้างขึ้นหลังการถือกำเนิดครั้งแรกของพวกเรา? ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านี้พวกเราเป็นใคร” นัมจุนตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฮลล่าส่ายหน้ายิ้มๆ “ข้าไม่ใช่ผู้ที่จะสามารถตอบคำถามนั้นได้”
“งั้นใครสามารถตอบได้” ยุนกิถามต่อทันที
คำตอบของเฮลล่ายังคงมาแบบเหนือความคาดหมายเสมอ
“อิกดราซิล”
ต้นไม้...จะให้คำตอบได้อย่างไร?
สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามคนราวกับแปะคำถามนี้เอาไว้อย่างเด่นชัด ทำเอาเทพีแห่งความตายต้องส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าคิดว่าอิกดราซิลเป็นแค่ต้นไม้ที่ทำหน้าที่โอบอุ้มโลกทั้งเก้าเพียงแค่นั้นจริงหรือ” นางตั้งคำถามกลับคืนให้พวกเขาบ้าง “พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าบางทีอิกดราซิลนั้นมีชีวิต มีชีวิตในแบบที่...คล้ายเทพเจ้า คล้ายคลึงกับมนุษย์ เขาให้กำเนิดสรรพสิ่งมากมาย จะเป็นแค่ต้นไม้ที่ใหญ่หน่อยได้อย่างไร”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรกันแน่” ซอกจินขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ข้าเชื่อว่าเขาต้องมาให้คำตอบของเรื่องทั้งหมดกับพวกเจ้าแน่ แต่นั่น...คงต้องเป็นหลังจากที่พวกเจ้าช่วยเขาจัดการนิดฮอกก์แล้ว” เฮลล่าเอ่ย “บางครั้ง ภารกิจก็เป็นสิ่งที่ชี้นำไปสู่เส้นทางใหม่ที่ลึกลับซับซ้อนกว่าเดิม ทว่าบางครั้งภารกิจกลับเป็นหนทางที่ชี้นำพวกเจ้าไปพบกับคำตอบ”
ครืน...
ทันใดนั้นพระราชวังทั้งหลังพลันสะเทือนไหว คล้ายถูกพลังบางอย่างกระแทกอย่างแรง
“มีคนทำลายอาคมลงได้อีกคนแล้ว” ซอกจินพึมพำ สีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อยที่ตัวเองไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เร็วกว่าที่จองกุกจะมาเปิดประตูให้
“อืม...สมแล้วที่เป็นผู้บำเพ็ญของเดสทรอยเยอร์” นัมจุนโคลงศีรษะกล่าวชม
“นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้เห็นพลังอันน่าตกตะลึงของดีเฟนเดอร์ ทั้งๆที่เป็นผู้ปกป้องแท้ๆ แต่พลังทำลายของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเดสทรอยเยอร์เลย”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมินยุนกิ ราวกับว่าเขาภาคภูมิใจในตัวอีกฝ่ายมากยิ่งนัก
หากจะมีใครสักคนที่สามารถทำลายอาคมได้เหมือนกับเขา คนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพัคจีมิน
ดีเฟนเดอร์...ผู้ปกป้อง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เขิล-///-
นึกถึงMV stay gold+singularityในเาลาเดียวกันนนนน
แล้วก็มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ใหม่.....
ยุนกิกับจีมินเก่งมาก ไม่ต้องช่วยเลย ตอนนี้ก็เหลือแค่โฮซอกกับแทฮยองแล้ว สู้ๆค่าไรท์