ตอนที่ 14 : Chapter 14
Chapter 14
“ฝ่าบาท เจ้าเมืองทั้งหลายกำลังรอพบอยู่พะย่ะค่ะ”
คิมนัมจุนลืมตาขึ้นมาบนเตียงกว้าง เขามองเห็นผ้าม่านกำมะหยี่สีแดงห้อยระลงมาที่ปลายสายตา กลิ่นหอมจางๆของดอกกุหลาบลอยมาจากที่ไหนสักแห่ง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มนุ่มลื่นที่ดูไปแล้วน่าจะมีมูลค่ามหาศาลหล่นลงไปกองอยู่ที่ข้างลำตัว ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตากับชายชราที่ยืนอยู่ข้างเตียง
“ราชานิโคลัส?” ชายชราที่ถูกเขาจ้องมองจนผิดปกติส่งเสียงถามขึ้นมาพลางมองเขาด้วยสายตาที่แฝงไว้ด้วยความห่วงใย “ทรงเป็นอะไรไปพะย่ะค่ะ รู้สึกไม่สบายพระวรกายตรงไหนหรือเปล่า”
“ใม่...ข้า สบายดี” นัมจุนตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่หนักแน่นนัก เขารู้สึกสับสนอย่างมาก คล้ายกับว่าตัวเองเพิ่งผ่านการฝันที่สมจริงมากมาตื่นหนึ่ง เป็นฝันที่ยาวนานเสียจนเลือนรางไปหมดและทำให้ความคิดของเขาในยามนี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นระบบระเบียบเหมือนในยามปกติ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะละเลยหน้าที่แค่เพราะตัวเองหลับฝันไป
“ช่วยข้าแต่งตัวเถอะ ไลมอร์”
นิโคลัสเกิดและเติบโตในปราสาทหลังใหญ่ในฐานะของเจ้าชาย ตั้งแต่จำความได้ บิดาและมารดาของเขาก็ได้พร่ำสอนถึงการทำเพื่อประชาชนในจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ที่บรรพบุรุษได้สละเลือดเนื้อสร้างขึ้นมา เมื่อมีประชาชน แว่นแค้นจึงสามารถดำรงอยู่ ดังนั้นที่สำคัญที่สุดหาใช่กษัตริย์ไม่ แต่เป็นปวงประชา
ดังนั้นนิโคลัสจึงเติบโตขึ้นมาโดยมีประชาชนเป็นหลักยึดในจิตใจ
ประชาชนต้องมาก่อนเสมอ
ก่อนตัวเอง
ก่อนครอบครัว
ก่อนคนรัก
เพราะฉะนั้น แม้ว่าตัวเองจะไม่ค่อยปกติ นิโคลัสก็ยังตัดสินใจจะลุกไปทำหน้าที่ของตัวเองตามตารางที่เขาทำเป็นประจำทุกวัน
จักรวรรดิที่เขาปกครองดูแลครอบคลุมเมืองน้อยใหญ่มากมาย เจ้าเมืองของทุกเมืองจะต้องเดินทางมาพบเขาทุกวันที่ 15 และวันที่ 30 ของเดือน เพื่อรายงานสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อรายงานปัญหาที่พบ และระดมความคิดหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นให้กับราษฎร
“ราชา” เมื่อเดินออกมาจากห้องบรรทม สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาของนิโคลัสคืออาภรณ์สีขาวสง่างามที่ปักลวดลายสีทองให้ความรู้สึกหรูหราและสูงส่ง ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งโค้งกายทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม กิริยาและท่าทางของอีกฝ่ายสมบูรณ์แบบไม่มีสิ่งใดที่ขัดตา นี่คือภาพลักษณ์ของหัวหน้าคณะนักบวชขั้นสูง และที่ปรึกษาสูงสุดของเขา
“อรุณสวัสดิ์ ไซทัส” นิโคลัสหยุดทักทายอีกฝ่าย ก่อนจะผายมือให้อีกฝ่ายออกเดินไปพร้อมกันกับเขา “หลังประชุมเช้าเสร็จแล้ว ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านพอดี”
“ฝ่าบาทมีเรื่องไม่สบายพระทัยหรือพะย่ะค่ะ” ไซทัสถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนน้อม ทว่าในขณะเดียวกันก็ยังคงไว้ด้วยความสูงส่งที่ไม่ยอมลดตัวให้ต่ำศักดิ์กว่าอีกฝ่ายเลยแม้เสี้ยวเดียว
ฐานะของไซทัสเป็นเอกเทศจากการอยู่ใต้อำนาจของราชาแห่งจักรวรรดิ เขาสามารถยืนเคียงราชาได้โดยไม่มีใครหาว่าไม่เหมาะสม นิโคลัสรู้ว่าอีกฝ่ายยอมรับเขาในฐานะราชา ดังนั้นอีกฝ่ายจึงค้อมศีรษะให้เขา แต่หากจะให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง ชาตินี้ไซทัสไม่มีวันยินยอมแน่
พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน หนึ่งคนถูกเลี้ยงดูในพระราชวัง อีกหนึ่งคนถูกเลี้ยงดูในพระวิหารหลวง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพบหน้ากันบ่อยครั้งมาตั้งแต่ยังเล็ก ระหว่างพวกเขาคล้ายเข้าอกเข้าใจกัน แต่ขณะเดียวกันก็มีระยะห่างบางอย่างที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้อยู่เสมอ บางทีอาจเป็นหน้าที่ส่วนตัวกระมัง
ในขณะที่กษัตริย์ต้องดูแลประชาชน พระสังฆราชต้องช่วยกษัตริย์ในการยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนเอาไว้ด้วยศาสนา สองสถาบันใหญ่ที่จับมือกันประคับประคองจักรวรรดิแห่งนี้มาช้านาน
นิโคลัสมองว่าไซทัสเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไว้วางใจได้คนหนึ่ง
“ข้าฝันประหลาด” นิโคลัสบอกคร่าวๆขณะที่เดินเคียงข้างอีกฝ่ายไปยังท้องพระโรง ฝีเท้าของพวกเขาและผู้ติดตามดังสะท้อนทางเดินที่สร้างจากหินอ่อนดังกังวาน “ฝันว่าข้าไปยังที่อีกแห่งมา ห่างไกลจากที่นี่มากนัก”
“ท่านเดินทางไปต่างแดนหรือ”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ว่า..ไม่ใช่เพียงเป็นดินแดนที่ต่างออกไป ยังดูเหมือนอยู่ในช่วงเวลาที่ต่างออกไปอีกด้วย” นิโคลัสขมวดคิ้วเข้าหากัน ราวกับพยายามจะนึกย้อนถึงความฝันที่เริ่มเลือนรางในความทรงจำของตัวเอง “ข้าฝัน...ว่าเราสองคนได้กราบอาจารย์คนเดียวกัน จากนั้นต่างก็ออกจากบรรดาศักดิ์ของตัวเอง ออกเดินทางไปรอบโลก ช่วยเหลือผู้คน...”
คิ้วของไซทัสขมวดเข้าหากัน “กราบอาจารย์คนเดียวกัน?”
นิโคลัสหันไปมองก็เห็นร่องรอยที่บ่งบอกความไม่เชื่อในสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เขาหัวเราะเสียงเบาก่อนจะโบกมือกล่าวว่า “มันฟังดูเป็นไปไม่ได้ ใช่หรือไม่ จะอย่างไรมันก็เป็นเพียงความฝัน ในฝันนั้น ข้าไม่เพียงกราบอาจารย์คนเดียวกับเจ้า ยังกลายเป็น...อะไรบางอย่างที่คล้ายๆกับพวกพ่อมดหมอผี ข้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ สามารถเสกสิ่งของอะไรก็ได้ดังใจนึก”
“ราชานิโคลัส” ไซทัสหยุดเดิน น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดจริงจังอย่างยิ่ง “พวกพ่อมดหมอผีเป็นชนชั้นต่ำที่ยุ่งเกี่ยวกับไสยเวท พวกเขาเซ่นสังเวยเลือดและเนื้อสดๆแลกกับอำนาจของปีศาจ พวกเขากระทำการผิดประเวณีและฆ่าคนตาย หากถูกพบเข้ามีโทษสถานเดียวที่ต้องประหารชีวิต ทั้งข้าและพระองค์ไม่มีวันกลายเป็นสิ่งเหลือเดนเช่นนั้นแน่พะย่ะค่ะ”
นิโคลัสรู้สึกว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของเขาผิดไป หมอผีในความฝันของเขาไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเช่นนั้น แต่ชั่วขณะนั้นเขากลับไม่รู้ว่าจะอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างไรดี จึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “มันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ไซทัส เจ้าอย่าได้จริงจังไปเลย”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
นิโคลัสตัดสินใจไม่พูดถึงความฝันของเขาอีก เพราะเกรงว่าท่านนักบวชผู้เคร่งครัดจะไม่พอใจไปมากกว่านี้ เขารีบสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อมุ่งหน้าไปยังท้องพระโรง ชายผ้าคลุมสีแดงที่เขาพาดเอาไว้บนไหล่และยาวระไปกับพื้นด้านหลังนั้นสะบัดพลิ้ว
เมื่อเข้าไปในห้องท้องพระโรง เขาก็พบเจ้าเมืองราวสิบคนกำลังยืนถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่
“ราชานิโคลัส” ทันทีที่เห็นเขาปรากฏตัว เจ้าเมืองก็พลันพากันคุกเข่าลงต้อนรับการมาถึงของเขา หลายคนยังหันไปทำความเคารพไซทัสแต่บางคนก็ไม่กระทำอย่างจงใจต่อต้านในตัวอีกฝ่าย นิโคลัสเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เขาไม่รู้จะช่วยไซทัสอย่างไร
เรื่องของศรัทธาและความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่จะชี้นิ้วสั่งให้อีกฝ่ายเชื่อได้ ต้องให้ใจของอีกฝ่ายเชื่ออย่างแท้จริง
ไซทัสยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคนที่ทำความเคารพเขา ก่อนจะเบือนหน้าหนีคนที่ไม่ยอมทำความเคารพเขาไปอย่างสง่างาม นิโคลัสนั่งลงบนบัลลังก์ของตนเอง และรอจนไซทัสเช้ายืนประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว เขาถึงเอ่ยปากขึ้น “วันนี้มีเรื่องอะไรจะรายงานข้าบ้าง”
“ทูลฝ่าบาท ข้ามีเรื่องอยากขอให้ทรงช่วยวินิจฉัยพะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองร่างผอมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาแต่งกายหรูหรา ร่างอ้วนท้วม เหลือบมองด้วยหางตาก็ยังรู้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินและอยู่ดีกินดี เขาเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ยอมทำความเคารพไซทัส
“เชิญกล่าวได้”
“ข้าคิดว่าหากเราขึ้นภาษีอีกสักสามส่วน...”
“...” นิโคลัสขมวดคิ้วใส่เขา ร่างทั้งร่างแผ่รัศมีประหลาดที่คล้ายความกดดันและมันส่งผลให้เจ้าเมืองคนนั้นหุบปากฉับลงในทันที ผู้เป็นราชาส่ายศีรษะไปมาพลางกดมือลงบนตำแหน่งหัวคิ้ว รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เดือนก่อนท่านก็เพิ่งจะขึ้นภาษี หากยังขึ้นอีก ใจคอเจ้าจะเหลือผลกำไรให้ประชาชนได้เก็บไว้ใช้บ้างหรือไม่ ยังมีอีก เจ้าคิดว่าหากข้าอนุญาตให้เจ้าขึ้นภาษีอีก ชาวเมืองของเจ้าจะไม่ลุกฮือขึ้นมาก่อการกบฏอีกเหมือนเมื่อหลายปีก่อนหรอกหรือ”
“ข้าคิดว่าประชาชนจะต้องเข้าใจ ที่ข้าเรียกเก็บภาษีเพิ่มก็เพราะต้องการสร้างห้องอาบน้ำสาธารณะเพิ่มขึ้น เมืองบาธของข้ามีแหล่งน้ำพุร้อนที่ดีที่สุดในจักรวรรดิ ผู้คนหลั่งไหลมาเพื่อจะได้ลงแช่ในน้ำพุร้อนสักครั้ง...”
“และค่าเข้าน้ำพุร้อนก็จะไหลเข้ากระเป๋าท่านมากพอๆกับจำนวนของนักเดินทางที่หลั่งไหลมาใช่หรือไม่” ไซทัสถามเสียงเรียบ ดวงตาของเขาฉายแววคมกริบยามมองเจ้าเมืองผู้ร่ำรวยตรงหน้า
“ข้าคิดว่า...”
“เจ้าคิด คิดหาหนทางตักตวงผลประโยชน์เข้าตัวเสมอ ข้าบอกท่านแล้วอย่างไร ว่าประชาชนต้องมาก่อนความสุขส่วนตน แล้วดูท่านสิ แต่งกายหรูหราราวกับเอาอัญมณีมาห่มตัว คิดว่าดูดีนักหรือ” นิโคลัสตบมือลงบนที่วางแขนอย่างแรงจนเจ้าเมืองคนอื่นๆสะดุ้ง หลายคนยังรีบแอบถอดเครื่องประดับบางชิ้นบนตัวออกเพื่อไม่ให้ถูกราชาของพวกเขาพบเห็นแล้วนำมาจับผิด
นิโคลัสอาจอาศัยอยู่ในปราสาทหลังใหญ่ มีของใช้ดีๆมากมายให้ใช้สอย แต่เขาไม่เคยทำอะไรที่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อย เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ยังหรูหราไม่ถึงครึ่งชองเจ้าเมืองที่กำลังเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่ตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ
“ข้าจับตามองท่านอยู่ อย่าให้ข้าได้ยินว่าเจ้าขูดรีดราษฎร ไม่เช่นนั้นแล้วเจ้าจะพบว่าตัวเองถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองก่อนที่เจ้าจะทันได้รู้ตัวเสียอีก”
นิโคลัสเท้าคางอย่างหงุดหงิด ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้คล้ายกับเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว แต่เขาก็ดูเหมือนว่าเพิ่งจะได้คาดโทษอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกไม่ใช่หรือ
บริเวณหัวคิ้วของเขาเต้นตุบๆ แต่นิโคลัสก็ฝืนทนเอาไว้ รอคอยจนกระทั่งประชุมช่วงเช้าวันนี้สิ้นสุดลง
เขาบอกปัดไซทัสที่ทำท่าจะเข้ามาถามไถ่อาการ ก่อนจะหนีทุกคนกลับไปที่ห้องบรรทมของตัวเอง แล้วปิดประตูอยู่ในห้องเงียบๆ
เขาต้องการใช้ความคิด
ในเมื่อปรึกษาไซทัสไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองแล้ว
เขาเป็นกษัตริย์ที่น่าสมเพศนัก
ชายหนุ่มถอดผ้าคลุมแห่งกษัตริย์ออกแล้วโยนพาดลงกับเตียงกว้าง ห้องของเขากว้างใหญ่ แต่มันกลับดูเหมือนสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
บางครั้งการทำเพื่อคนอื่นมากจนเกินไป นานวันเข้าความเป็นตัวของตัวเองก็จืดจางลง
นิโคลัสรู้ว่าตัวเขามีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นมากเกินไปแล้ว
แต่เขาไม่รู้วิธีที่จะยุติมัน ซึ่งนั่นเป็นความเจ็บปวดที่เขาพยายามซุกเก็บเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจมาโดยตลอด โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะเคยชินและยอมรับได้เองว่าเขาเกิดมาเพื่อทำเพื่อคนทั้งแผ่นดิน โดยไม่อาจเป็นตัวของตัวเองได้อีกแล้ว...
“ไซทัสไม่ยอมรับฟังเรื่องความฝัน แต่ความฝันนั่น...มันสมจริงมากเสียจนดูเหมือนเป็นความจริง” ราชาหนุ่มสาวเท้าเดินไปมาในห้องของตนเอง เขารู้สึกว่าความคิดของเขามันฟุ้งซ่าน แต่ขณะที่พยายามจะใช้สติปัญญาอันเฉียบแหลมของตนเองคิดหาคำตอบ กลับพบว่าความคิดของเขาไม่ได้แล่นเร็วและเฉียบคมเหมือนอย่างทุกที
เขารู้สึกว่าในหัวมันหนักไปหมด
ราชาหนุ่มหยุดยืนหน้ากระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้อง เงาของกระจกสะท้อนใบหน้าของเขาเองกลับมา นิโคลัสก้าวเข้าไปใกล้กระจกมากขึ้น รู้สึกไม่คุ้นเคยกับใบหน้าที่สะท้อนกลับมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นั่นคือใบหน้าของเขาแท้ๆ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเองนะ?
ในตอนนั้นเอง คนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในกระจก อีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขาก่อนจะเอ่ยว่า “หมดเวลาหดหู่กับตัวเองแล้ว คิมนัมจุน ตอนนี้นายไม่ใช่ราชานิโคลัส นายคือคิมนัมจุน คือผู้สรรค์สร้าง หนึ่งในเจ็ดทูตผู้พิทักษ์อิกดราซิล”
“นาย...ซีกเกอร์?”
จอนจองกุกที่ยืนอยู่ในกระจกพยักหน้ารับโดยไม่เอ่ยอะไร
ราชาหนุ่มอึ้งไปหลายอึดใจ ก่อนที่เขาจะพึมพำว่า “นั่นไม่ใช่ความฝัน?”
“นั่นไม่ใช่ความฝัน แต่คือความเป็นจริง ส่วนนายตอนนี้กำลังอยู่ในห้องปริศนาของโลกิ อยู่ในความทรงจำของนายเองเมื่อครั้งอดีต” จองกุกเอ่ยรวดเดียว “ในเมื่อรู้ตัวแล้วก็รีบๆออกมาจากห้องนั้น ฉันจะได้ไปช่วยคนอื่นๆต่อ”
เขาก็คือคิมนัมจุน
อา...นี่เป็นความทรงจำในอดีตของเขาเอง
ช่วงเวลาที่เขารู้สึกหนักอึ้งที่สุด จนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ช่วงเวลาที่เขาทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อประชาชน จนแทบไม่มีเวลาอยู่กับตัวเอง พยายามมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้คน โดยที่แม้แต่ตัวตนของตัวเองเขาก็สละได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไซทัสพาจอมปราญช์มาพบเขา และเขาก็ได้จอมปราชญ์ช่วยดึงตัวตนของเขากลับมา เขากราบอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ ปกครองแผ่นดินด้วยวิธีการใหม่ที่ดีกว่าเดิม และสุดท้ายก็จัดฉากว่าตัวเองตาย จากนั้นออกเดินทางทำภารกิจในฐานะทูตไปเรื่อยโดยมีไซทัสเป็นเพื่อน
ให้ตาย เขาติดกับดักของโลกิเข้าเต็มเปา
นัมจุนก้าวเดินเข้าไปใกล้กระจก มือของเขาสามารถยื่นทะลุผ่านกระจกเข้าไปได้ ชายหนุ่มรีบสาวเท้าก้าวเข้าไป ก่อนจะพบว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่งที่เปิดออกกว้าง โดยที่จองกุกยืนรออยู่
“ถ้านายไม่มา ฉันคงติดอยู่ในนั้นอีกนานแน่” นัมจุนเอ่ยจากใจ
“ถ้าไม่ติดว่าเรากำลังรีบล่ะก็ ฉันก็คงไม่เข้ามาขัดขวางหรอก จะปล่อยให้นายได้เอาชนะตัวเองให้ได้ จะได้ถือว่าฝ่าด่านอย่างสมศักดิ์ศรี แต่ขอโทษจริงๆ พวกเราต้องทำเวลา” จองกุกเองก็เอ่ยอย่างจริงจัง เขาชี้ไปยังทางเดินเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง เอ่ยว่า “นั่นคือทางที่จะพานายไปสู่ห้องโถง ที่ฉันเลือกมาช่วยนายเป็นคนแรกก็เพราะนายอยู่ใกล้ที่สุด และอีกเหตุผลก็คือมีแค่นายเท่านั้นที่พอจะข่มเฮลล่าเอาไว้ได้”
“นายจะไปช่วยคนอื่นๆต่อ?” นัมจุนเข้าใจแผนการของจองกุกได้ในทันที เขาพยักหน้ารับ สาวเท้าไปตามเส้นทางที่จองกุกบอกโดยไม่อิดออด “นายแน่ใจใช่ไหมว่าเฮลล่ายังอยู่ที่ห้องโถง”
“ฉันรู้เสมอแหละว่าใครอยู่ตรงไหน” จองกุกตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
เขาบังเอิญได้เห็นภาพในอดีตของนัมจุนเมื่อครู่อยู่สักพัก เขาบอกได้คำเดียวว่าเขาผิดหวัง
ไม่ว่าราชาจะพยายามเช่นไร ความใส่พระทัยของพระองค์ก็ยังเข้าไม่ถึงพื้นที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่นั่น ดังนั้นแล้วในสายตาของเขา ความพยายามที่จะทำเพื่อราษฎรแทบตายของอีกฝ่ายไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตราบใดที่เขายังคงนั่งอยู่ในพระราชวังหลังนั้น ไม่ก้าวออกมาดูความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่จริง
เจ้าเมืองพวกนั้นก็เพียงแต่ปกปิดทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้นแหละ
เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังห้องที่ซอกจินอยู่ข้างใน
จองกุกอยากรู้จริงๆว่าในมุมมองของพระสังฆราชไซทัสอยู่สูงส่งแล้ว อะไรคือบาดแผลในจิตใจของเขา...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เข้าใจนัมจุนนะ เข้าใจจองกุกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นราชาที่ฉลาดขนาดไหนแต่ว่าก็ไม่สามารถจะดูแลเมืองใหญ่ๆได้ทุกซอกทุกมุมหรอก แล้วเจ้าเมืองต่างๆก็มีวิธีมากมายที่จะปกปิดเรื่องไม่ดีในเมือง ราชาที่ทำทุกอย่างให้ประชาชนมีความสุขแต่ทำเท่าไหร่ก็ไม่ดีที่สุดทีมันคงเจ็บปวดมากจริงๆนั่นแหละ จองกุกอยู่ในสถานะที่เรียกได้ว่ามองเห็นทุกเรื่องที่มันแย่ๆก็คงนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนที่ทั้งชีวิตเห็นแต่ความเจริญจะนึกถึงมุมแบบนั้นออกหรือกระทั่งว่านึกออกแต่ไม่อยากคิดว่ามันจะเป็น แล้วก็คงคิดว่าการฟังรายงานแบบนี้จะสามารถมองเห็นทั้งหมดได้จริงทั้งๆที่ไม่ใช่เลย เข้าใจที่ผิดหวังนะแต่ตอนนี้มันผ่านไปแล้ว ไปช่วยไซทัสไวๆนะกุกกกกกก
อื้อหืมมอยากรู้ของเพรย์เลยว่าจะมีบาดแผลเป็นอะไร