ตอนที่ 10 : Chapter 10
Chapter 10
จองกุกรู้สึกแปลกประหลาด
เขารับรู้ได้ว่าในห้วงสุดท้ายของบทสวดพิธีคืนวิญญาณ เขาคล้ายถูกฉุดกระชากไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง มิใช่เมือง Ghost Town และมิใช่สถานที่ใดๆในความทรงจำตั้งแต่ชาติก่อนของเขา
ราวกับว่าเป็นอีกโลกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น...
เขานั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่มีขนาดใหญ่เสียจนน่าตื่นตะลึง ขนาดของกิ่งไม้กว้างเสียจนสามารถเล่นฟุตบอลได้สบายๆ จองกุกรู้สึกว่าตัวของเขาช่างเล็กจ้อยเมื่ออยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ เขากวาดตามองรอบข้างอย่างงุนงงและค่อนข้างเหม่อลอย ที่ปรากฏในสายตาคือภาพของดวงดาวระยิบระยับ ทั้งอยู่ใกล้จนสามารถมองเห็นรูปร่างของมันได้เต็มตา บ้างอยู่ไกลออกไปหลายร้อยพันดวงจนไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นดังกาแลคซี่ที่เขาเคยเห็นเพียงในภาพถ่ายทางดาวเทียมเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง สัมผัสนุ่มละมุนปัดผ่านข้างแก้มของเขาไป จองกุกเหลือบสายตาไปมองพลันเห็นกลีบดอกไม้สีขาวดอกหนึ่งซึ่งปัดผ่านแก้มของเขา ก่อนจะร่วงหล่นลงบนตัก เขาหยิบมันขึ้นมาส่องดูราวกับต้องมนตร์ จากนั้นก็ค่อยๆนำกลีบดอกไม้กลีบนั้นมาวางไว้ที่หน้าผาก
สายลมเย็นฉ่ำที่แฝงกลิ่นหอมจางอันแสนสดชื่อของธรรมชาติพัดมาวูบหนึ่ง กลีบดอกไม้พลันแตกสลายกลายเป็นแสงสีขาวซึมเข้าไปในหน้าผากของเด็กหนุ่ม
เสียงพึ่บพับดังขึ้นก่อนที่ผ้าสีดำผืนหนึ่งจะถูกสายลมพัดปลิวลงมาจากเบื้องบน มันพัดรัดโอบร่างของจองกุกไว้ราวกับต้องการจะปกป้อง สัมผัสนุ่มลื่นโอบล้อมเขาเอาไว้เย็นสบายที่กายขณะเดียวกันก็อบอุ่นข้างในหัวใจ ราวกับว่าส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณที่หายไปได้หวนกลับคืนมาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นความรู้สึกและความทรงจำมากมายก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขา เหมือนสายน้ำสีดำที่เชี่ยวกราก ไหลหลั่งเข้าสู่ทะเลสาบสีใสที่แต่เดิมคงอยู่ของเขา จากนั้นหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนทะเลสาบแห่งความทรงจำที่นิ่งสงบของเขา ให้กลายเป็นผืนทะเลสีดำที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
น่าแปลกที่ความทรงจำเหล่านั้นไม่เพียงไม่ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก หรือขัดแย้งกับความทรงจำที่เขามีอยู่ กลับกลมกลืนเข้าด้วยกันอย่างงดงาม หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาตามข้างแก้มของเด็กหนุ่ม มันเป็นความปีตีที่ยากจะอธิบาย แต่นี่คงเป็นความรู้สึกของคนที่ได้สิ่งล้ำค่ากลับคืนมากระมัง
เขาจดจำทุกอย่างได้แล้ว
ชื่อของเขา...คือจูเลียส นามธรรมดาสามัญ นิยมตั้งกันในหมู่เด็กผู้ชาย เขาถือกำเนิดในสลัม ในดินแดนซึ่งห่างจากGhost Townไปไกลนับพันใมล์ เพราะบิดาสิ้นใจในสงครามตั้งแต่เขายังเล็ก ต่อมามารดาก็ตายจากไปเพราะโรคภัย เด็กผู้ชายผอมแห้งแรงน้อยอย่างเขาจึงต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดเพียงลำพังโดยการเป็นขอทาน
ยามที่เขาอายุสิบสองปี จอมปราชญ์ก็ได้พานพบเขาและรับเขาเป็นลูกศิษย์ลำดับที่เจ็ด
จากเด็กชายที่มีชีวิตรอดได้ด้วยการขอทาน กลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องที่สามารถยืนอยู่เคียงข้างพระราชา เจ้าชาย นักบวชชั้นสูง หรือกระทั่งจอมพลเทพสงครามได้
เขาเป็นทูตเพียงคนเดียวที่ถือกำเนิดจากชนชั้นที่ต่ำต้อย แต่กลับได้ครอบครองหน้ากากที่ลึกลับและใช้งานได้ยากที่สุดในหน้ากากทั้งหมดที่เทพีแห่งโชคชะตาประทานให้
อาจารย์ของเขา...จอมปราชญ์ กล่าวว่า “เพราะเจ้าเติบโตมาแบบนั้น จึงเหมาะสมกับหน้ากากใบนี้ที่สุด”
จากการตีความของเด็กชายช่างซักถามอย่างจูเลียส เขาได้เข้าใจความหมายของประโยคนั้นเมื่อเขาเติบโตขึ้น นิสัยของเขาแตกต่างไปจากทูตคนอื่นๆ เขาเรียบง่าย ไม่คิดมาก เพราะเขาไม่เคยมีอะไรที่เป็นของตนเองมาก่อน เมื่อได้รับหน้าที่มาแล้ว เขาจึงตั้งใจทำหน้าที่ยิ่งกว่าใครทั้งหมด และเพราะเขาไม่เคยมี เขาจึงเหมาะสมที่จะเป็นผู้แสวงหาที่สุดเช่นกัน
การแสวงหานี้...มิได้หมายถึงเพียงการตามหาบางสิ่งที่เป็นเป้าหมาย แต่ยังหมายถึงการแสวงหาตัวตน การแสวงหาจุดยืน การแสวงหาสิ่งที่มีค่าทางจิตใจของเขาที่สุด
จูเลียสเพิ่งค้นพบก่อนเขาจะต้องมาตายลงที่ Ghost Town ได้ไม่นาน ว่าแท้จริงแล้วมิใช่พวกเขาเหมาะสมกับหน้ากาก แต่หน้ากากเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาตามตัวตนของพวกเขา และนั่นยังเป็นเครื่องหมายแสดงหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน
จองกุกเรียกหน้ากากขึ้นมา มันปรากฏขึ้นในมือของเขาทันทีทันใจ เด็กหนุ่มพลิกมันไปมาก่อนจะสวมมันลงบนใบหน้าของตนเอง
ดวงวิญญาณของเขาถูกฉุดกระชากอีกครั้ง
เมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตนเองยังยืนอยู่ที่เดิม เบื้องหน้าต้นอิกดราซิลที่เหี่ยวแห้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมราวกับเวลาไม่ได้เดินไป สิ่งเดียวที่บ่งบอกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงก็คือยามนี้...ทูตทั้งเจ็ดที่ยืนอยู่รอบต้นไม้ ล้วนแต่สวมเครื่องแสดงฐานะของพวกเขาอย่างครบพร้อม
“พิธีคืนวิญญาณเสร็จสมบูรณ์แล้ว” เสียงของนัมจุนดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ จองกุกยกข้อมือขึ้นมาเพื่อมองดูนาฬิกาที่ข้อมือ ก่อนจะพบว่าเวลายังไม่ถึงตีสามเลย
นั่นหมายความว่า Witching Hour ยังไม่หมดลง
“อัญเชิญดวงวิญญาณของอาจารย์กันเถอะ” ซอกจินเอ่ยขึ้นมา พลางปัดหมวกของเสื้อคลุมลงแล้วถอดหน้ากากออก คนอื่นๆทยอยกันทำตามเขาแล้วก้าวเข้าไปรวมตัวกันที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ เมื่อพวกเขาขยับตัวออกมา วงแหวนอาคมที่ถูกวาดไว้ก็สลายหายไปทันที
หากจะพูดถึงผู้ที่เชี่ยวชาญในการประกอบพิธีที่สุด คนคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเพรย์...หรือที่ในกาลก่อนเคยมีนามว่าไซทัส หัวหน้าคณะนักบวชชั้นสูงแห่งจักรวรรดิใหญ่ เขาคือสหายคู่คิดของราชานิโคลัส คิมนัมจุนลูกพี่ลูกน้องของเขาเองในชาตินี้
ขึ้นชื่อว่าเป็นถึง High Priest เขาจึงมักมีท่วงท่าสุขุมสง่างาม ว่ากันว่าจิตของเขาบริสุทธิ์ถึงขั้นที่ไม่มีคำขอใดของเขาที่ไม่เคยถูกปฏิเสธ ขอเพียงเขาเป็นผู้เอ่ยคำอธิษฐาน เทพเจ้าจะดลบันดาลให้เขาได้ตามประสงค์เสมอ
ดังนั้นหากพูดถึงการประกอบพิธี แม้แต่พระราชายังต้องหลีกทางให้เขาเป็นผู้นำ
ซอกจินยื่นมือออกมาด้านหน้า ทันใดนั้นเองกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งก็หักและร่วงหล่นลงมาในมือของเขา ชายหนุ่มรูปงามหลับตาลง กิ่งไม้ในมือของเขาถูกใช้ต่างไม้คทาของนักบวช เขาวาดมันเป็นวงกลมวงแล้ววงเล่าบนพื้น จากนั้นจึงเติมอักษรรูนมากมายลงไปทีละวงทีละวงจนเต็ม
จองกุกหรี่ตาอ่านวงแหวนเหล่านั้น ในใจทั้งชื่นชมระคนริษยาในความแตกฉานนี้
ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่คนเดิม แตกฉานในอักษรรูน รอบคอบและละเอียดลออ นั่นเป็นคุณสมบัติที่ทูตคนอื่นๆไม่มีใครเทียบเทียมได้ และนั่นยิ่งทำให้ทฤษฎีของเขาที่ว่าหน้ากากถูกสร้างมาตามตัวตนของพวกเขายิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น
คำถามที่น่าสนใจคือ ใครกันที่รู้จักพวกเขาดีขนาดนั้น เทพีแห่งโชคชะตาหรือ?
ซอกจินวาดวงแหวนที่ซับซ้อนต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย เวลาผ่านไปราวสิบห้านาที ในที่สุดวงแหวนที่สลับซับซ้อนสิบหกวงก็ถูกวาดจนเสร็จทั้งหมด โดยประกอบด้วยวงแหวนใหญ่สี่วงและวงแหวนย่อยภายในอีกอย่างละสามวง รวมแล้วเป็นสิบหกวงพอดีไม่ขาดไม่เกิน
วงแหวนที่อยู่ตรงกลางเปรียบดั่งเกสรของดอกไม้ ส่วนวงแหวนอีกสามวงใหญ่ด้านนอกที่ล้อมรอบวงแหวนตรงกลางนั้นก็ให้ความรู้สึกราวกับกลีบของดอกไม้เช่นกัน พวกมันล้วนแต่มีคุณสมบัติในการอัญเชิญ หนึ่งวงอัญเชิญจอมปราชญ์ อีกสามวงย่อมเพื่ออัญเชิญเทพีแห่งโชคชะตาทั้งสาม
นัมจุนที่ยืนอยู่ข้างซอกจินพลันหันหลังกลับไปอีกด้านแล้ววาดมือไปในอากาศ กระจกแผ่นบางก็ปรากฏขึ้นแล้วตั้งฉากลงตรงหน้าพวกเขา เมื่อชายหนุ่มสะบัดมือทั้งสองข้างออก กระจกใบนั้นก็พลันขยายตัว เพียงพริบตาเดียวก็ขวางกั้นพื้นที่รอบโคนต้นไม้จากโลกภายนอก บิดเบือนความเป็นจริงและปิดกั้นเขตแดนเอาไว้เป็นการชั่วคราว
ผู้สรรค์สร้างก็ย่อมเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการสร้าง ไม่ว่าจะเป็นสร้างค่ายกล สร้างเขตแดน หรือสร้างวัตถุ เรียกในภาษาชาวบ้านให้ฟังดูเข้าใจง่ายหน่อยก็คือเขาเชี่ยวชาญในการเสกสิ่งของขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้ตามใจนึก และคนที่ครอบครองคุณสมบัติเช่นนี้จะเป็นใครได้นอกจากพระราชาผู้ที่สามารถบันดาลทุกอย่างได้ตามใจต้องการเพียงพลิกฝ่ามือ
ในเมื่อคิดจะอัญเชิญทั้งจอมปราชญ์ทั้งเทพี หากมีคนมาเห็นเขาโดยบังเอิญคงไม่ใช่เรื่องดี
“ซีกเกอร์” เสียงของแทฮยองดังขึ้นอย่างแผ่วเบาที่ข้างหู เมื่อหันไปก็พบว่าอีกฝ่ายมายืนอยู่ที่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ในมือของแทฮยองคือโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอกำลังสว่างวาบ ขณะที่เขากำลังจะถาม แทฮยองก็ปล่อยมือถือเครื่องนั้นร่วงลงพื้น มันจมหายลงไปในพื้นดิน พร้อมกันกับที่พื้นดินมีแสงสว่างวาบลอดออกมาให้เห็นได้แวบหนึ่ง
ความสามารถของผู้หลบซ่อน...เป็นความสามารถที่แปลกประหลาดที่สุดในบรรดาทูตทั้งเจ็ด
ไม่ใช่ว่าแค่หายตัวได้ ทว่าพลังที่ไฮเดอร์ครอบครองคือพลังจิตอันทรงพลังที่สุดในโลก พลังจิตของเขาทำได้ตั้งแต่ยกวัตถุไปจนกระทั่งแยกสลายวัตถุชิ้นนั้นๆ หรือเปลี่ยนคุณสมบัติของวัตถุชิ้นนั้นไปเลย พลังจิตของเขาละเอียดถึงขั้นที่รับรู้คลื่นพลังงานทั้งหมดในโลก นี่เป็นพลังที่ในกาลก่อนเขารู้สึกว่าไร้สาระไม่น้อย แต่เมื่อมาอยู่ในยุคปัจจุบัน พลังของอีกฝ่ายเรียกได้ว่าน่ากลัว
ในยุคของเทคโนโยลีที่ใช้เครือข่ายสัญญาณไร้สายกันทั่วโลก แทฮยองสามารถไปที่ไหนก็ได้ที่มีคลื่นอินเทอร์เน็ต การไปในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าเดินทางไปจริงๆ แต่เป็นพลังจิตของเขาที่สามารถเชื่อมตัวเองเข้ากับเครือข่ายไร้สายที่มีสถานะเป็นคลื่นเหล่านั้นได้ทั้งหมด
“ทำอะไรน่ะ” จีมินถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ทำให้เฮลล่าหลับไปอีกสักพัก” แทฮยองตอบยิ้มๆ เขาแบมือไปทางนัมจุน ญาติผู้พี่ของเขาก็เสกมือถือเครื่องใหม่ให้เขาได้ดังใจนึก ทั้งมันยังเหมือนเครื่องเดิมทุกประการ ราวกับเป็นเครื่องเดียวกัน
“ใช้คลื่นจากโทรศัพท์มือถือกล่อมราชินีแห่งความตายให้หลับ?” โฮซอกอุทาน ก่อนจะปรบมือด้วยความชื่นชม “สุดยอด สมกับเป็นไฮด์”
“เบาเสียงหน่อย” ยุนกิเอ่ยปรามเสียงเย็น เขาบุ้ยปากไปทางซอกจินที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น “รบกวนท่านนักบวช”
ซอกจินลืมตาขึ้นมามองพวกเขาก่อนจะเร่งว่า “ยังไม่รีบสวด?”
ทูตอีกหกคนที่เหลือรีบคว้ามือของคนที่อยู่ใกล้ที่สุดเอาไว้ แทฮยองเองก็เอื้อมมือมาจับมือของจองกุกเอาไว้เช่นกัน ท่าทางเป็นธรรมชาติเสียจนจองกุกรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาเสียเอง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่เขาเคยสงสัย ยามนี้ในใจของเขากระจ่างชัดแล้ว
หากมันเป็นพล็อตนิยายก็คงเป็นแนวที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเขียน เพราะมันคือเรื่องราวของคนสองคนที่มีฐานันดรศักดิ์ต่างกันอย่างสุดขั้ว เป็น...เรื่องราวของเจ้าชายพระองค์หนึ่งซึ่งดันมาตกหลุมรักขอทาน ความหักมุมที่คนอ่านคงรับไม่ไหว ก็คือเจ้าชายผู้ที่ทั้งหล่อเหลางดงามทั้งสูงส่ง กลับถูกขอทานปฏิเสธความรักอย่างไร้เยื่อใย
เจ้าชายเสียพระทัยมาก จึงเดินทางจากไป พวกเขาไม่ได้พบกันอีกเลยจนกระทั่งถูกเรียกให้มารวมตัวกัน ณ เมืองที่ราชินีแห่งความตายปรากฏตัว
จองกุกไม่แปลกใจที่แทฮยองพึมพำว่าไม่อยากให้ความทรงจำของเขากลับมา
ทว่าจองกุกกลับคิดตรงกันข้าม เพราะเมื่อความทรงจำทั้งหมดของเขาหวนกลับมา เขาถึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ไม่มีความรู้สึกหรือไร้เยื่อใยต่อเจ้าชาย...ต่อทริสเทน
เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันรุนแรงของตัวเองตั้งแต่วันแรกที่ใส่หน้ากากแล้ว เขารู้ว่าแทฮยองสำคัญมาก และเขามีความสุขมากที่อีกฝ่ายคอยอยู่ใกล้ๆ และตอนนี้เขายังจดจำได้แล้วว่าหลังจากที่เจ้าชายทริสเทนเสียใจจนต้องแยกทางกับเขาไป กลับกลายเป็นเขาเองนั่นแหละที่เจ็บปวดเจียนตาย
เขาจะต้องแก้ไขความสัมพันธ์นี้เสียใหม่
คิดแล้วจองกุกก็กระชับมือข้างที่จับกับแทฮยองให้แน่นขึ้น ดึงดูดสายตาของอีกฝ่ายให้เหลือบมองมา จองกุกมองตอบกลับไป ขณะที่บทสวดอัญเชิญเริ่มต้นขึ้น
วงแหวนเรืองแสงสว่างเจิดจ้า ส่งผลให้ทั้งคู่ต้องละสายตาจากกันเพื่อหันไปมอง จากนั้นที่ในใจกลางของวงแหวน ร่างสี่ร่างปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน
“นานทีเดียวนะ กว่าจะมากันครบทั้งเจ็ดคน” ชายชราที่ยืนอยู่ในวงแหวนเวทตรงกลางหัวเราะเบาๆ “แต่ก็ดีแล้วที่ในที่สุดก็มารวมตัวกันได้ ถึงตอนนี้พวกเจ้าก็คงจะรู้กันแล้วสินะ ว่าเรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิดในทีแรก”
“อาจารย์ รากของอิกดราซิล...” นัมจุนเกริ่นขึ้น
“ทรอย เจ้าจำได้หรือไม่ ครั้งนั้นอาจารย์เคยสอนเจ้าเกี่ยวกับมังกรต่างๆที่มีตัวตนอยู่จริงในต่างพิภพ” จู่ๆจอมปราชญ์ก็เอ่ยเจาะจงไปยังมินยุนกิ เขาขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้ารับ “ใช่ครับ อาจารย์เคยพูด”
“เจ้ายังจำชื่อ นิดฮอกก์ ได้หรือไม่เล่า”
ยุนกิกะพริบตา เอ่ยว่า “มังกรตระกูลเซอร์เพนท์ ที่อาศัยอยู่ในนิฟล์ไฮล์ม ถูกรากของอิกดราซิลกักขังเอาไว้ในส่วนที่ดำมืดและลึกที่สุดของโลกทั้งเก้า...”
“มันก็คือสิ่งที่กำลังทำร้ายอิกดราซิล?” จองกุกโพล่งถามออกไป
จอมปราชญ์หันมามองเขา ก่อนจะพยักหน้ายิ้มๆ “ถูกต้อง ซีก และหน้าที่ของผู้พิทักษ์อิกดราซิลอย่างพวกเจ้า ก็คือการหยุดยั้งไม่ให้รากของอิกดราซิลถูกนิดฮอกก์กัดกิน ไม่เช่นนั้นแล้ว...พวกเจ้าก็รู้ผลของมันอยู่แล้วนี่”
หากอิกดราซิลตาย โลกทั้งเก้าใบก็จะตายเช่นกัน
“ปัญหา คือ เฮลล่า” สตรีทั้งสามที่ยืนเงียบๆอยู่ในวงแหวนมาตลอดพลันเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เสียงของพวกนางให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดยิ่ง เสียงหนึ่งแก่ชรา เสียงหนึ่งอ่อนเยาว์ อีกเสียงนั้นแหลมใสราวกับเด็กน้อย ทั้งสามเอ่ยพร้อมกัน ส่งผลให้เสียงทั้งสามที่ประสานกันนั้นฟังดูแล้วชวนให้รู้สึกได้ถึงความลึกลับและยากคาดเดาของสรรพสิ่งที่อยู่ภายในเงื่อมมือของโชคชะตา
“ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่นเราก็ต้องส่งเฮลล่ากลับเฮลไฮล์มให้ได้ จากนั้นก็เดินทางไปนิฟล์ไฮล์มเพื่อปราบนิดฮอกก์?” จีมินถามด้วยความสงสัย เขามองสบตาคนอื่นๆเป็นเชิงขอความคิดเห็น ทว่าเทพีกลับส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “หากจะไปยังนิฟล์ไฮล์ม พวกเจ้าต้องให้เทพีเป็นผู้เปิดประตู และเทพีผู้ซึ่งมีกำลังพอจะเปิดประตูสู่นิฟล์ไฮล์มได้มีเพียงเทพีแห่งความตายเท่านั้น”
แทฮยองพลันถอนหายใจเฮือกออกมา “เฮลล่าจะไม่มีทางยอมร่วมมือกับเรา”
“ดังนั้นเราจึงต้องการให้พวกเจ้าท้าพนันกับนาง จงยื่นเงื่อนไขต่อนาง หากพวกเจ้าทำสำเร็จ นางย่อมรักษาคำพูด ช่วยส่งพวกเจ้าไปยังนิฟล์ไฮล์ม” โนร์น เทพีแห่งโชคชะตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าเจ็ดคนร่วมมือกันย่อมสามารถเป็นประตูสู่เฮลไฮล์มได้”
“จำไว้ว่าพอประตูเปิดก็รีบโยนนางเข้าไปทันที แล้วรีบตามเข้าไป อย่าให้มีตัวละครหลุดรอดเข้ามาในมิดการ์ดเป็นอันขาด” จอมปราชญ์เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “คำทำนายถึงวันสิ้นโลกแห่งแรคนาร็อคจะเป็นจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าทั้งเจ็ดคนแล้ว”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่านแล้วนึกถึงThor Raknarok ตลอดเรย..
ฮื่อ ทุกคนสุ้ๆนั
นางเป็นไรไป //หน้ากากพวกนี้สร้างมาให้ตรงกับพวกเค้า นั่นแปลว่าชาติก่อนนั้นอีกพวกนางอาจจะสำคัญกว่านั้นก็ได้นะ
ตื่นเต้นนๆๆๆๆ ไรต์สู้ๆนะคะ \(● ♡ ●)/
มันคือความขนลุกในตอนแรกที่จองกุกได้รับความทรงจำคืน แต่พอถึงตอนที่นึกถึงความทรงจำระหว่างไฮด์เดอร์กับซีกเกอร์แล้วมันแบบตบทูตจะผิดมั้ย?? เข้าใจนะว่าจูเลียสคงกังวลเรื่องถานะแต่คือแบบ//มองบนแป๊บ
รวมแล้วคือดีมากเลยค่ะ บรรยายได้เห็นภาพและเข้าใจเหมือนเดิมเลย สู้ๆนะคะไรท์!