คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : (2)
Eminem: Lose Yourself
สายลมผัดแผ่วยามราตรี คืนนี้เป็นอีกคืนที่ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พระจันทร์ครึ่งดวงยังคงส่องแสงให้ความสว่างโดยมีดวงดาวคอยช่วยเช่นเคย ร่างเล็กๆ ไม่สมชายในชุดสีขาวนั่งมองมันอยู่บนกิ่งไม้กิ่งใหญ่ในที่ๆ ไกลจากผู้คน โดยมีดวงตาดวงใหญ่สีเหลืองแลดูดุร้ายของสัตว์เลี้ยงตัวสีแดงจับจ้องเจ้าของตัวเองมาจากพื้นดิน
ตอนนี้อาจจะประมาณตีสองกว่าๆ จากการคาดเดาของเขา และมันไม่เคยผิดคาดเท่าไหร่นักหรอก เขาไม่เคยใช้สิ่งบอกเวลาที่เรียกว่านาฬิกาเหมือนพวกมนุษย์อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขารู้การใช้ชีวิตของคนพวกนั้นดีจากการเฝ้าดูมาตลอด
“..มาอยู่นี่เอง ผมตามหาพี่ตั้งนาน”
เสียงจากผู้มาใหม่ทำให้ร่างเล็กต้องหันเงยหน้าไปตามต้นเสียง เด็กหนุ่มอายุอ่อนกว่าไม่กี่ปีแต่ขนาดตัวกลับแซงหน้าเขาไปหลายเท่านั่งอยู่บนสัตว์ตัวใหญ่ชนิดเดียวกันกับที่มองเขาอยู่ด้านล่าง หากแต่มันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า และตัวของมันเป็นสีดำสนิท
“..เซฮุน” เอ่ยเสียวแผ่วในลำคอเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม คิ้วหนาเลิกขึ้นสงสัย “มาไง?”
“ก็เห็นอยู่ว่าขี่ไอ้ตัวนี้มา”
ใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าภายใต้แสงจันทร์ยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มทะเล้นมาให้ ผมสีเทากับผิวสีขาวซีดแต่กลับดูเข้ากันกับเจ้าของพริ้วไหวไปตามลมหนาว ดวงตากลมโตของอีกคนกลอกไปมาตั้งใจจะให้เห็นว่าการที่เขาถามคำถามคือต้องการคำตอบดีๆ ไม่ใช่มาย้อนถามกลับ
“งั้นถามใหม่ มาทำไม”
เด็กหนุ่มหัวสีเทายักไหล่ก่อนจะกระโดดจากหลังของสัตว์ตัวใหญ่ลงมาบนกิ่งไม้ใหญ่ที่อีกคนนั่งอยู่นความสูงประมาณห้าเมตรแบบสบายๆ นั่งลงข้างคนตัวเล็ก “มาตามพี่”
“ตามทำไม มีใครเรียกให้เราต้องไปที่ไหนด้วยหรือไงล่ะ” คนตัวเล็กถามคำถามที่มีความนัยเหมือนประชดประชันหากแต่ว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น เขาแค่พูดถึงความจริง ความจริงที่ว่าไม่มีทางที่ใครจะมาเรียกให้เขาสองคนต้องไปที่ไหน ในเมื่อตอนนี้มีแค่เขากับเซฮุนเท่านั้น ถ้าเทียบกันกับมนุษย์ก็คงเหมือนกับพวกคนเร่ร่อนที่ไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก แต่มันต่างกันตรงที่ว่าโลกที่พวกเขาอยู่และสิ่งที่พวกเขาเป็นมันไม่จำเป็นต้องมีเรื่องพวกนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนพ้อง ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออาหารหรือทำงานแลกเงิน เพราะถ้าสำหรับมนุษย์เงินคือสิ่งที่ซื้อได้ทุกอย่าง ‘พลัง’ และอำนาจต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมี
แต่มันก็แตกต่างอีก ต่างตรงที่เหลือแค่เขากับเซฮุนที่ไม่ได้ต้องการพลังเหมือนกับพวกนั้น
..หมายถึง พวกอ็อคเคิร์ทที่มนุษย์เรียกกันนั่นแหละ
“ทำไมพี่ชอบพูดถึงแต่เรื่องเลวร้ายกันนะคยองซู” เด็กหนุ่มเบ้ปากเหมือนเด็กๆ ราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาไม่ชอบเวลาที่คยองซูพูดจาแบบนี้ มองคนอายุมากกว่าจากด้านข้างที่ดวงตากลมโตนั่นเอาแต่จ้องไปที่พระจันทร์สีนวล แววตาสิ้นหวังเจื่อปนด้วยความเจ็บปวดที่เขาเห็นมันบ่อยๆ โดยที่อีกคนคงไม่รู้ตัวปรากฏอยู่ในนั้น คยองซูยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“บางทีผมก็อยากให้พี่มีชีวิตเหมือนพวกนั้นนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งและมันเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กข้างๆ ได้ คยองซูหันมามองเขาพร้อมกับเอียงหัวนิดนึงแล้วถามกลับ “พวกไหน?”
“พวกมนุษย์ที่พี่ชอบไปสอดส่องชีวิตนั่นแหละ” คำตอบของเซฮุนเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอจากอีกคน คยองซูส่ายหัวให้ พวกเขามองหน้าและหัวเราะให้กันทั้งที่มันไม่ได้มีเรื่องตลก อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เซฮุนว่า คยองซูชอบไปสอดส่องชีวิตพวกมนุษย์จริงๆ และเขาไม่ได้บอกให้อีกคน แต่ก็ดันโดนจับได้ซะได้
แต่เด็กหนุ่มคิดแบบนั้นจริงๆ มันอาจจะดีกว่าถ้าพวกเขาเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตดิ้นรนไปวันๆ เพื่อให้อยู่รอด
บางที คยองซูอาจจะไม่ต้องมีเรื่องกังวลอย่างทุกวันนี้ก็ได้
“เวลาที่ได้ไปที่นั่น..” คนตัวเล็กเริ่มขยับปากเล่า เขานึกถึงในเมืองร้างเมืองนั้นที่ๆ ผู้คนดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการถูกคุกคาม “พี่เห็นพวกเรา.. หมายถึงพวกนั้นที่เชื่อในสิ่งที่เราไม่เชื่อ มันทำให้มนุษย์หวาดกลัว ต้องห้ามออกจากบ้านตอนกลางคืน ถ้าเห็นมันจะฆ่าโดยที่ไม่มีเหตุผลเพราะคิดว่าเป็นการท้าทาย”
“เหมือนกับบอกถึงอำนาจตัวเอง?”
“ประมาณนั้น เหมือนอยากจะข่มขู่ว่าอย่าลองดีด้วย”
“มันก็เป็นเรื่องปกติของอ็อคเคิร์ทไม่ใช่หรอ บ้าอำนาจไง” เซฮุนแสยะยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะในลำคออย่างนึกสมเพช “ต้องการพลัง ลัทธิบูชาบ้าบอ กับอำนาจที่ได้มาจากความกลัวของคนอื่น”
“อ็อคเคิร์ทไม่ได้กำหนดว่าต้องบ้าอำนาจ พวกนั้นต่างหากที่กำหนดมันขึ้นมาเอง” คยองซูขัดขึ้นมาแทบจะทันที
“ผมรู้ มีแต่เราสองคนที่ไม่เป็นแบบนั้น และเราไม่ได้เป็นอ็อคเคิร์ทไงพี่คยองซู”
“...”
“ออคเคิร์ทคือสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกพวกที่ทำแบบนั้น แต่เราไม่ใช่ เราก็เป็นเรา พี่ก็เคยบอกผม จำได้ไหม” คยองซูพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มไปให้เด็กหนุ่มข้างๆ เพิ่งรู้ว่าอีกคนก็มีโหมดที่ดูเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ แววตาจริงจังนั่นสบตากับเขาก่อนที่มันจะกลับมาทะเล้นเหมือนเดิม มือยาวของอีกคนเอื้อมมาขยี้หัวเขาอย่างเคยชินแม้ว่าจะอายุน้อยกว่า คยองซูรู้สึกดีที่เด็กหนุ่มที่เขาดูแลมาตลอดเริ่มจะโตขึ้นบ้างแล้ว แต่ประโยคต่อมาที่ออกจากปากเซฮุนทำให้รอยยิ้มของเขาค่อยๆ หุบลง
“พี่เลิกพยายามได้ไหม..” เด็กหนุ่มใจเริ่มใจแกว่งเมื่อเห็นรุ่นพี่ตัวเล็กตีสีหน้าเรียบเฉย คยองซูรู้ว่าเขากำลังจะพูดเรื่องอะไรต่อ เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดมันก็เป็นแบบนี้ แต่เซฮุนก็ฝืนพูดต่ออีกครั้งแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบมันก็คงจะเหมือนเดิม “พี่เลิกหาวิธีไม่ได้หรอ มันจบไปแล้วน..”
“มันยังไม่จบ”
“คยองซู!”
“เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ พี่ไม่อยากทะเลาะกับนายเพราะเรื่องนี้อีกแล้วนะ” คยองซูลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้และกำลังจะเดินหนี แต่มือใหญ่ของเด็กหนุ่มก็คว้าแขนรั้งเขาไว้
“พี่ต้องฟังผม!” เซฮุนขึ้นเสียงใส่รุ่นพี่แต่อีกคนไม่ได้สะทกสะท้าน เขาลุกขึ้นยืนตามคนตัวเล็กโดยที่ยังไม่ได้ปล่อยแขนอีกคน “มันเป็นไปไม่ได้ พี่ทำไม่ได้ เรามีกันแค่สองคน จะไปช่วยคนที่ตายไปแล้วได้ยังไง!”
ประโยคสุดท้ายทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะอึก เขารู้สึกชาไปทั้งตัว เหมือนโดนสะกิดแผลที่ยังไม่หายดี เซฮุนพูดออกมาตรงๆ อย่างเหลืออด เด็กหนุ่มทนไม่ได้กับการที่จะต้องเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับคยองซูอีกแล้ว ดวงตากลมโตนั่นสั่นไหวและมันดูเศร้าจับใจ เซฮุนรู้สึกผิด แต่เขาต้องพูด แม้ว่ามันจะทำให้คยองซูต้องเจ็บปวด
เขาเข้าใจมันดี เพราะเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“อย่าดื้อเลยนะพี่” เด็กหนุ่มดึงรุ่นพี่ตัวเล็กเข้ามากอดปลอบประโลม และอีกคนก็ถลาเข้ามาที่อกเขาอย่างง่ายดายราวกับว่าเสียการทรงตัวไปแล้ว “เราผ่านเรื่องเจ็บปวดกันมามากพอแล้วนะพี่คยองซู จบมันเถอะ”
“...”
“ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเถอะนะ มันไม่มีทางออกสำหรับทางที่พี่ต้องการแล้ว” เซฮุนเอาคางพิงไหล่คยองซูไว้ เขาลูบหัวอีกคนเบาๆ และกอดคยองซูไว้แน่น ..เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกแล้ว คยองซูคือคนสุดท้ายจะเขาเหลืออยู่
เซฮุนรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดของแขนเล็กๆ ตอบรับ คยองซูไม่ได้พูดอะไรแต่กลับกอดเขากลับ ราวกับต่างคนต่างเป็นที่เพิ่งให้กันและกันจากความเจ็บปวด.. กอดของรุ่นพี่ตัวเล็กที่เขารู้สึกมันทำให้เซฮุนรู้สึกได้ว่าบางที คยองซูอาจจะยอมในสิ่งที่เขาขอแล้วก็ได้..
อ้อมกอดถูกกระชับให้แน่นขึ้นโดยคนตัวเล็ก คยองซูไม่ได้ขยับหัวออกมาจากอกกว้างของรุ่นน้อง เขารู้ดีว่าเซฮุนเป็นห่วงเขาแค่ไหน เขารู้ว่าเขาคือที่เพิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มมีและเซฮุนก็ไม่ต้องการจะเสียเขาไปอีกคน
“แต่ว่าเซฮุน..” เขาพูดอู้อี้อยู่ในอกกว่าง แต่คยองซูเชื่อว่าเซฮุนฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดรู้เรื่อง “ที่บอกว่ามันไม่มีทางออกสำหรับทางที่พี่พยายามมาตลอดน่ะ.. มันเคยไม่มีนะ”
“?”
“แต่ว่าตอนนี้น่ะ” คำพูดนั่นทำให้เซฮุนใจเสีย หัวใจเต้นตึกตักราวกับกลัวคำพูดต่อไปของคยองซู คนตัวเล็กในอ้อมกอดนิ่งไป หยุดพูดเพราะเขากำลังนึกถึงความหวังใหม่ของเขา คนที่คยองซูมั่นใจว่าจะมาช่วยเขาได้
ร่างสูงของคนผมสีแดงเข้มที่เขาเฝ้าดูอย่างสนใจมาได้ซักพักฉายขึ้นมาในหัว อย่างที่เซฮุนบอก ทุกอย่างมันเหมือนกับจะสิ้นหวังและไร้ทางออก เขาก็เกือบจะคิดอย่างนั้นแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ได้เจอคนๆ นั้นเข้า..
.
.
.
.
50%
“ปาร์คชานยอล! แกหายหัวไปไหนมา!”
ร่างสูงของเด็กหนุ่มหลบแจกันที่พุ่งตรงมาหาเขาไปได้อย่างเฉียดฉิวก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ชนกับผนังจนแตกละเอียด เสียงแจกันแตกทำให้ผู้หญิงฝรั่งท่าทางมีอายุวิ่งจากหลังบ้านมาที่ห้องรับแขกด้วยท่าทีตื่นตกใจ หล่อนเห็นเขาและรีบวิ่งมากันตัวเขาไว้จากชายฝรั่งร่างท้วมหน้าตาโมโหร้ายหนวดเฟิ้มที่กำลังจะปาขวดแก้วมาทางเขาอีกครั้ง
“คุณ! อย่าทำลูก!!”
“ถอยออกมาจากตรงนั้นดอนน่า ผมจะสั่งสอนมัน!!!!!”
“ไม่!! คุณต้องวางขวดนั่นลงเดี๋ยวนี้!!”
“ผมบอกให้ถอยออกมาไง!!!!!!!”
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกตรงที่เดิมอีกครั้งหลังจากที่ขวดนั่นถูกปามาด้วยแรงโทสะของผู้ชายร่างท้วมคนนั้น ชานยอลจับตัวดอนน่าที่มาบังเขาไว้ได้ทันพอดีก่อนที่ขวดนั่นจะโดนที่หัวของหล่อน ‘แม่เลี้ยง’ของเขาดูจะตกใจพอสมควรหลังจากที่แฟรงก์สามีของหล่อนกล้าปาขวดมาทางนี้ทั้งๆ ที่ดอนน่ายืนบังเขาอยู่
แน่ล่ะ ชานยอลรู้ดีวว่าถ้าพ่อเลี้ยงของเขาโมโหเมื่อไหร่ จะใครก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้นแหละ
“แม่ครับ ผมโอเค” เด็กหนุ่มจับไหล่ของดอนน่าที่สั่นระริกไว้ระหว่างที่แฟรงก์กำลังสงบสติอารมณ์แต่ก็ยังมองเขาอย่างอาฆาตอยู่ ชานยอลบีบไหล่เบาๆ เพื่อให้เธอไม่ต้องห่วง เขาไม่ต้องการให้ดอนน่ามาปกป้องเขาในเวลาที่แฟรงก์โมโหแบบนี้ มือหนาออกแรงดันหลังของแม่เลี้ยงกลับไปทางห้องครัว
“แม่กลับไปทำงานเถอะครับ”
“แต่..”
“แฟรงก์ไม่ฆ่าผมหรอก” เขากระซิบกับเธอเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคนก่อนจะส่งยิ้มราวกับว่าเขาไม่กังวลอะไรไปให้ ดอนน่ายึกยักอยูชั่วครู่ เธอหันไปมองสามีของตัวเองที่ดูมีท่าทีเย็นลงนิดหน่อยก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงอีกครั้งก่อนจะยอมเดินกลับไป
เด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าให้เรียบเฉยก่อนจะหันไปมองพ่อเลี้ยงของเขาอีกครั้ง แฟรงก์มองเขากลับ มืออวบนั่นกระดกเหล้าในแก้วใบเล็กที่เพิ่งรินไปเมื่อกี้ลงคอรวดเดียว ก่อนที่ร่างท้วมจะก้าวเดินเข้ามาใกล้เขาช้าๆ ใบหน้าที่เขาเห็นจนชินแต่ก็ไม่เคยรู้สึกดีที่ได้มองนั่นแสยะยิ้มอย่างที่เขาไม่ชอบ ชานยอลยืนสบตากับแฟรงก์โดยที่ไม่รู้สึกหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเจออะไร
พลั่ก!
หมัดหนักๆ ถูกซัดเข้าที่แก้มขวาของเขาอย่างจัง ใบหน้าของเด็กหนุ่มสะบัดไปตามแรง ขาที่ยืนนิ่งในตอนแรกเซไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ร่างสูงล้ม ความชาหนึบที่แก้มในตอนแรกที่โดนถูกกลายเป็นความปวดหนึบๆ ทั่วบริเวณใบหน้า และยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวหันกลับมา หมัดจากพ่อเลี้ยงของเขาก็ถูกส่งต่อมาอีกครั้ง
“ไอ้เด็กไม่รักดี! แกหายหัวไปตั้งสามวัน! รู้มั้ยว่าพวกฉันต้องเหนื่อยเพิ่มแค่ไหนกับการที่แกทำแบบนี้ ไอ้เวรเอ๊ย!!!!”
อีกหมัดนึงซัดมาเต็มแรงด้วยความโมโหจนทำให้ชานยอลเสียหลังล้มลงไปนั่งกับพื้น หลังจากนั้นเขาก็โดนเตะอัดที่กลางท้องจนจุกขึ้นมาถึงคอ แต่ร่างสูงก็ไม่ได้ตอบโต้แม้ว่าจะโดนซ้ำทั้งเตะและต่อยจากพ่อเลี้ยงอีกไม่รู้กี่ครั้ง เขาพยายามกัดฟันไม่ร้องออกมาแม้ว่าจะเจ็บไปทั้งตัวก็ตาม ไม่งั้นดอนน่าจะต้องวิ่งออกมาแบบเมื่อกี้อีกแน่ๆ
เขาทนได้ เพราะปาร์คชานยอลน่ะชินแล้ว ก็ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนี้ครั้งแรกซะเมื่อไหร่
แฟรงก์เตะท้องเขาอีกครั้งก่อนจะเอนตัวไปพิงกำแพงด้วยความเหนื่อย เพราะตาแก่นั่นทั้งด่าทั้งเตะทั้งต่อยเขาไปด้วย ปาร์คชานยอลยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น ความรู้สึกจุกที่ท้องเล่นงานจนเขาแทบจะหายไม่ออก ร่างสูงนั่งชันเขาไว้ข้างนึง แขนข้างซ้ายดูเหมือนจะมีปัญหาซักทีเพราะเขาเจ็บจนขยับมันไม่ได้ รู้สึกแสบๆ ที่ปาก คิดว่ามันคงแตกอีกแล้วล่ะ
“จำใส่กะโหลกไว้ว่าคราวหลังอย่าหนีไปอีก แกไม่อยู่นังผู้หญิงพวกนั้นเอาแต่จะตายท่าเดียว ไปให้กำลังใจบ้าบอให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อซะ”
พูดจบแฟรงก์ก็ถ่มน้ำลายใส่เขาก่อนจะเดินออกไป ปาร์คชานยอลมองตามจนร่างนั้นหายเข้าไปกับประตูด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเช็ดน้ำลายที่โดนเสื้อของเขากับพื้น เขาไม่เกลียดแฟรงก์แม้ว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะถ่อยและรุนแรงกับทุกๆ คนก็ตาม แต่สิ่งที่เขาได้รับถือว่าเบามากแล้วถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แฟรงก์สามารถยิงหัวคนได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าแฟรงก์จะไม่มีความคนเหลืออยู่ เขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมให้ดอนน่าเก็บเด็กทารกวัยไม่กี่เดือนที่ถูกทอดทิ้งโดยไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากกระดาษที่เขียนว่า ‘His Name PARK CHANYEOL’ อยู่ในป่ามาเลี้ยงจนโตมาได้เป็นเขาแบบทุกวันนี้หรอก
เด็กหนุ่มนักพักให้ความเจ็บปวดบรรเทาได้เพียงชั่วครูก็ลุกขึ้นยืน จริงๆ แล้วมันไม่ได้เจ็บน้อยลงเท่าไหร่แต่เขาฝืนยืนขึ้นและไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่เรียกร้องบอกเขา ปาร์คชานยอลไม่เลือกที่จะเดินไปหาดอนน่าและบอกให้หล่อนทำแผลที่หน้าให้ เพราะถ้าหล่อนเห็นเขาในสภาพนี้ได้มีเรื่องกับแฟรงก์อีกครั้งนึงแน่ ชานยอลรู้ว่าดอนน่ารักเขามากเหมือนลูกในไส้ แต่แม้ว่าดอนน่าจะเป็นคนเดียวที่แฟรงก์อ่อนโยนกับเธอที่สุด เขาก็ไม่อยากเสี่ยง
มือหนาเช็ดเลือดที่เลอะปากลวกๆ ก่อนจะเดินผ่านห้องนอนของตัวเอง ห้องของดอนน่าและแฟรงก์ไปที่หลังบ้าน มันเป็นที่โล่งแคบๆ แต่ตรงมุมห้อง พื้นไม้เรียบมีรอยเหมือนช่องประตูแคบๆ ที่พอให้คนเข้าไปได้แง้มไว้อยู่ เด็กหนุ่มเปิดมันออก ข้างในมืดและอับจนแทบมองไม่เห็น เขาหย่อนตัวเองลงไปก่อนจะจับบันไดที่พาลงไปข้างล่าง
ห้องใต้ดิน
มันลึกพอสมควร แต่ร่างสูงใช้เวลาไม่นานขาของเขาก็แตะลงที่พื้นของชั้นล่างสุด มือหนาคลำหาไฟฉายที่มักจะวางไว้ที่ๆ เขารู้ดี เปิดไฟเพื่อให้แสงสว่างก่อนที่ขายาวจะพาร่างเดินไปตามทางที่คุ้นเคย ก่อนจะไปถึงหน้าประตูไม้ใบใหญ่อยู่ตรงหน้า มันถูกปิดสนิท
“ฮือออออออ..”
“...”
เสียงครวญครางของหญิงสาวหลายเสียงลอดผ่านประตูใบนั้นออกมา มันทำให้เขารู้สึกแย่ ปาร์คชานยอลสูดหายใจลึกก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป
“...”
ภายในห้องเกิดเสียงเงียบชั่วคราว หญิงสาวเกือบสิบคนที่ถูกโซล่ามไว้ที่เท้าหันไปมองผู้มาใหม่จากประตูไม้ใบใหญ่ ร่างสูงที่พวกเธอต่างคุ้นเคยดียืนนิ่งพลางกวาดสายตาไปรอบๆ
ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะร้องไห้โฮออกมาเพราะรู้สึกโล่งที่คนที่เข้ามาไม่ใช่แฟรงก์
“..ไง”
เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทำลายความเงียบ ปาร์คชานยอลไม่ได้เดินไปไหน เขานั่งลงยองๆ ตรงที่เดิมและส่งยิ้มที่ปั้นขึ้นให้กับพวกผู้หญิงในห้องไม่ใหญ่นี่ ข่มความรู้สึกแย่ทุกครั้งที่มาที่นี่ไว้ก่อนจะแสร้งทำตัวผ่อนคลาย พวกหล่อนดูดีใจที่เห็นเขา
“คุณหายไปไหนมาคะ..” หญิงสาวผิวสีผึ้งที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุดเอ่ยถาม ในดวงตาของเธอมีคราบน้ำตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เขาจำเธอได้ เธอชื่อฮันน่า
“ผมออกไปทำงานข้างนอกมาน่ะ”
“คราวหลังคุณอย่าหายไปได้ไหม” หญิงสาวอีกคนเอ่ย “อย่าให้แฟรงก์ลงมาในนี้”
“เขาใจร้าย!” อีกคนพูด
“ใช่ เขาเอาอาหารมาให้พวกเรา แต่เขารุนแรง เขาทำให้ฉันอยากจะตายจริงๆ”
“แม้ว่าดอนน่าจะใจดี แต่เธอช่วยอะไรพวกเราไม่ได้เลย”
“ฉันอยากตาย..”
ปาร์คชานยอลต้องทนฟังเสียงที่แยกกันพูดกับเขาราวกับว่าพวกหล่อนคิดว่าเขามีสิบหูอย่างนั้น แต่ร่างสูงก็นั่งนิ่งและปล่อยให้พวกเธอพูดต่อไป เขารู้ว่าเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับผู้หญิงพวกนี้ ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ ในบ้านนี้มีแต่ดอนน่าและเขาที่ปลอดภัยสำหรับพวกเธอ
“โอเค ผมเข้าใจพวกคุณนะ” ร่างสูงพูดหลังจากที่เขาคิดว่าได้จังหวะที่พวกเธอพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจจบแล้ว “แฟรงก์ใจร้าย แต่เขาไม่ได้อันตรายหรอก เขาไม่ฆ่าพวกคุณที่กำลังท้องเด็กที่เป็นเรื่องจำเป็นแน่ๆ”
“แต่เขาจะฆ่าลูกของเราไง ฮื่อ...” หญิงสาวคนนึงพูดขึ้นมาแล้วเธอก็ร้องไห้โฮ
“คุณต้องคิดว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิต.. มันอาจจะเห็นแก่ตัว..” ปาร์คชานยอลหลับตาลง เขาทนดูสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของพวกหล่อนไม่ได้ “แต่ฟังผมนะ อีกไม่กี่เดือนมันกำลังจะจบ ถ้าเขาเป็นผู้ชาย คุณจะโชคดีที่ไม่ต้องเสียลูก แต่คุณจะโชคร้ายเพราะพวกคุณสองคนแม่ลูกจะถูกโยนทิ้งเหมือนกับขยะทันที และถ้าเป็นผู้หญิง..”
ร่างสูงสูดหายใจ พ่นคำพูดที่เขาพูดมาหลายต่อหลายครั้งกับผู้หญิงพวกนี้
“...”
“คุณจะโชคดีที่ได้มีชีวิตรอด แต่คุณจะต้องเสียลูก ซึ่งไม่ว่าจะทางไหน ผมแค่อยากให้พวกคุณจำไว้ให้ดี”
“...”
“ชีวิตพวกเราไม่ได้มีทางเลือก ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำไม่ใช่การเลือก แต่คุณต้องสู้ไปให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามกับทางที่คุณต้องเดิน”
ร่างสูงปิดประตูห้องลง ก่อนจะล้มลงไปบนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ของเขา มองผ่านหน้าต่างและพบว่ามันมืดแล้ว นาฬิกาที่หนังบอกว่าตอนนี้ห้าทุ่มกว่า หลังจากที่ลงไปห้องใต้ดินและคุยกับผู้หญิงพวกนั้นเขาก็ขึ้นมาและอาบทายาลวกๆ ใส่แผลที่แฟรงก์ทำไว้ให้ แล้วก็ช่วยดอนน่าทำงานอยู่ที่หลังครัวนิดหน่อยก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง
ปาร์คชานยอลเบื่อชีวิตแบบนี้ เขาอยากหนีไปให้พ้นๆ อย่างน้อยถ้าเขามีชีวิตแบบแบคฮยอนมันก็ยังจะดีซะกว่า ถึงมันจะเหนื่อยกายแต่ก็ไม่ได้ทุกข์ใจ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงพวกนั้นถึงได้ไว้ใจและดูเหมือนจะรู้สึกปลอดภัยเวลาที่เขาเข้าไปในนั้น แค่เพียงเพราะเขาไม่ถ่อยแบบแฟรงก์หรือพวกคนงานคนอื่นงั้นหรอ ตลกสิ้นดี
ทำไมวันที่เขาเดินไปบ้านแบคฮยอนวันนั้นถึงไม่โดนพวกอ็อคเคิร์ทบ้าบอนั่นเก็บไปซะตั้งแต่ตอนนั้นนะ ชีวิตเส็งเคร็งที่เขาเบื่อจะใช้มันเต็มทนจะได้จบไปพ้นๆ ซักที
ชานยอลเปิดหน้าต่างออกรับลม มองดูผืนที่โล่งๆ ตรงหน้าก่อนที่เลยไปอีกจะเป็นป่าอย่างที่เคยเห็นประจำ มันอาจจะดูหน้าขนลุกสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขาการที่ห้องของเขาตรงกับมุมนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะปาร์คชานยอลไม่กลัวอะไรทั้งนั้น มันช่วยเขาได้ในเวลาที่เขาเครียดๆ ด้วยซ้ำ การมองไปผืนที่โล่งๆ ในตอนกลางคืนทำให้สมองเขาโล่ง
ดวงตากลมเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จุดหมาย อยู่ดีๆ ลมแรงก็พัดขึ้นราวกับมีพายุ ผ้าม่านในห้องปลิวว่อนปิดบังทิวทิศน์ข้างนอกจนร่างสูงตกใจ แต่เขากลับไม่เลือกที่จะปิดประตูหน้าต่าง ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ปกติ แล้วจู่ๆ ลมนั้นก็หายไปในขณะที่เขาเปิดผ้าม่านออกอีกครั้งพอดี ราวกับว่าเหมือนมีลมพายุอะไรพัดผ่านไป และเขารู้สึกได้ว่ามันไปทางนั้น
ทางป่าที่มีแต่ความมืดจนมองอะไรไม่เห็นนั่น
จะด้วยสัญชาติญาณ หรืออะไรก็ไม่รู้ แทบไม่ต้องใช้ความคิด ร่างสูงคว้ารองเท้าผ้าใบที่อยู่ใต้เตียงออกมาสวมก่อนจะกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องเพราะว่าเป็นบ้านชั้นเดียว
เขาวิ่งเข้าไปในป่า ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรจริงๆ หรือเปล่า
หัวสมองลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ราวกับต้องมนต์อะไรซักอย่าง ชานยอลมั่นใจว่าเขามีสติดี แต่บางอย่างควบคุมให้เขาวิ่งไปเรื่อยๆ
บางอย่าง ซึ่งก็คือตัวเขาเอง
“แฮ่ก...”
ร่างสูงก้มลงหอบหลังจากที่วิ่งมาได้ไกลซักพัก รอบตัวมืดไปหมด ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงพื้นที่ที่มีแต่ต้นไม้ที่บดบังจนแสงจากพระจันทร์ก็ไม่สามารถส่องเข้ามาตรงที่เขายืนได้
แต่เขาคิดผิด
จู่ๆ ก็เกิดลมขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อกี้ เศษใบไม้แห้งกรังที่อยู่บนพื้นปลิวว่อน ก่อนที่แสงจันทร์จะค่อยๆ สอดส่องมาที่เขา
อะไรบางอย่างที่บดบังทิศทางที่แสงจันทร์สอดส่องเคลื่อนที่ออกไป มันไม่ใช่ต้นไม้
“!!!!!”
ปาร์คชานยอลผงะตกใจเมื่อหันไปอีกครั้งและสบสายตากับดวงตากลมคู่หนึ่งพอดี
ดวงตา.. ที่หลอกหลอนเขามาได้หลายคืนที่บ้านของแบคฮยอน
ผู้ชายชุดขาวคนนั้น
“ไง..” ริมฝีปากของคนตรงหน้าพูดขึ้นพร้อมส่งยิ้มมุมปากมาให้เขา “ยินดีที่ได้เจอกัน ปาร์คชานยอล”
“น นาย..”
“โด คยองซู”
อีกคนแนะนำชื่อตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยตรงข้ามกับปาร์คชานยอล ใบหน้าดูดีฉายความตื่นตระหนกที่ได้เห็นสิ่งตรงหน้า ผู้ชายชุดขาวบนหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา นั่นไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลแปลกใจเท่ากับอีกอย่างที่เขาเห็นมันไม่ชัดมาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้มันกำลังจ้องเขาอยู่โดยมีคนที่บอกว่าตัวเองชื่อโด คยองซูนั่งอยู่บนหลังหน้าตาเฉย
ให้ตาย บอกทีสิว่ามันเรื่องโกหก
ผู้ชายชุดขาวที่เขาเห็นมาหลายคืนกำลังนั่งอยู่บนหลังของมังกร
..มังกรเนี่ยนะ?
อยากตบเค้าไหม หายไปตั้งหลายวัน แถมอัพมาชานซูก็มาเจอกันตอนสุดท้าย
*อะไรนักหนาอีไรท์คนนี้* 55555555555555555555
รำคาญเค้าป่ะ เออนี่ก็รำคาญตัวเองเหมือนกันอ่ะ เพราะงั้นเจ๊ากันเนอะ (?)
คือแบบ รีบแต่งมากเพราะอยู่ตจว. แล้วคือคิดเรื่องไว้เป็นแบบนี้ละด้วยต้องขออภัยรีดเดอร์ที่แสนน่ารักทุกคนนะก้ะ T_T
ตบได้ ปาบอมใส่ได้ ปารองเท้าใส่ได้ ไม่เป็นไร เค้าแกร่ง555555555555555555555555555
งงมั้ยอ่ะ นี่แต่งเองยังแทบไม่เข้าใจตัวเอง นี่เขียนอะร๊ายยยยยยยยยยยยย
มีไรสงสัยถามได้นะ แต่ห้ามถามว่าตอนหน้าเป็นยังไง ไม่บอก555555555555555555555555555555555
ความคิดเห็น