ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO]OCCULT. ∔ CHANSOO & EXO

    ลำดับตอนที่ #3 : (2)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 57




    Eminem: Lose Yourself












    สายลมผัดแผ่วยามราตรี คืนนี้เป็นอีกคืนที่ความหนาวเย็นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม พระจันทร์ครึ่งดวงยังคงส่องแสงให้ความสว่างโดยมีดวงดาวคอยช่วยเช่นเคย ร่างเล็กๆ ไม่สมชายในชุดสีขาวนั่งมองมันอยู่บนกิ่งไม้กิ่งใหญ่ในที่ๆ ไกลจากผู้คน โดยมีดวงตาดวงใหญ่สีเหลืองแลดูดุร้ายของสัตว์เลี้ยงตัวสีแดงจับจ้องเจ้าของตัวเองมาจากพื้นดิน

     

     

    ตอนนี้อาจจะประมาณตีสองกว่าๆ จากการคาดเดาของเขา และมันไม่เคยผิดคาดเท่าไหร่นักหรอก เขาไม่เคยใช้สิ่งบอกเวลาที่เรียกว่านาฬิกาเหมือนพวกมนุษย์อยู่แล้ว แน่นอนว่าเขารู้การใช้ชีวิตของคนพวกนั้นดีจากการเฝ้าดูมาตลอด

     

     

    “..มาอยู่นี่เอง ผมตามหาพี่ตั้งนาน”

     

     

    เสียงจากผู้มาใหม่ทำให้ร่างเล็กต้องหันเงยหน้าไปตามต้นเสียง เด็กหนุ่มอายุอ่อนกว่าไม่กี่ปีแต่ขนาดตัวกลับแซงหน้าเขาไปหลายเท่านั่งอยู่บนสัตว์ตัวใหญ่ชนิดเดียวกันกับที่มองเขาอยู่ด้านล่าง หากแต่มันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า และตัวของมันเป็นสีดำสนิท

     

     

    “..เซฮุน” เอ่ยเสียวแผ่วในลำคอเรียกชื่อของเด็กหนุ่ม คิ้วหนาเลิกขึ้นสงสัย “มาไง?”

     

     

    “ก็เห็นอยู่ว่าขี่ไอ้ตัวนี้มา”

     

     

    ใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าภายใต้แสงจันทร์ยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มทะเล้นมาให้ ผมสีเทากับผิวสีขาวซีดแต่กลับดูเข้ากันกับเจ้าของพริ้วไหวไปตามลมหนาว ดวงตากลมโตของอีกคนกลอกไปมาตั้งใจจะให้เห็นว่าการที่เขาถามคำถามคือต้องการคำตอบดีๆ ไม่ใช่มาย้อนถามกลับ

     

     

    “งั้นถามใหม่ มาทำไม”

     

     

    เด็กหนุ่มหัวสีเทายักไหล่ก่อนจะกระโดดจากหลังของสัตว์ตัวใหญ่ลงมาบนกิ่งไม้ใหญ่ที่อีกคนนั่งอยู่นความสูงประมาณห้าเมตรแบบสบายๆ นั่งลงข้างคนตัวเล็ก  “มาตามพี่”

     

     

    “ตามทำไม มีใครเรียกให้เราต้องไปที่ไหนด้วยหรือไงล่ะ” คนตัวเล็กถามคำถามที่มีความนัยเหมือนประชดประชันหากแต่ว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น เขาแค่พูดถึงความจริง ความจริงที่ว่าไม่มีทางที่ใครจะมาเรียกให้เขาสองคนต้องไปที่ไหน ในเมื่อตอนนี้มีแค่เขากับเซฮุนเท่านั้น ถ้าเทียบกันกับมนุษย์ก็คงเหมือนกับพวกคนเร่ร่อนที่ไม่มีญาติ ไม่มีคนรู้จัก แต่มันต่างกันตรงที่ว่าโลกที่พวกเขาอยู่และสิ่งที่พวกเขาเป็นมันไม่จำเป็นต้องมีเรื่องพวกนั้น เราไม่จำเป็นต้องมีเพื่อนพ้อง ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออาหารหรือทำงานแลกเงิน เพราะถ้าสำหรับมนุษย์เงินคือสิ่งที่ซื้อได้ทุกอย่าง พลัง และอำนาจต่างหากคือสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องมี

     

     

    แต่มันก็แตกต่างอีก ต่างตรงที่เหลือแค่เขากับเซฮุนที่ไม่ได้ต้องการพลังเหมือนกับพวกนั้น

     

     

    ..หมายถึง พวกอ็อคเคิร์ทที่มนุษย์เรียกกันนั่นแหละ

     

     

    “ทำไมพี่ชอบพูดถึงแต่เรื่องเลวร้ายกันนะคยองซู” เด็กหนุ่มเบ้ปากเหมือนเด็กๆ ราวกับจะบอกให้รู้ว่าเขาไม่ชอบเวลาที่คยองซูพูดจาแบบนี้ มองคนอายุมากกว่าจากด้านข้างที่ดวงตากลมโตนั่นเอาแต่จ้องไปที่พระจันทร์สีนวล แววตาสิ้นหวังเจื่อปนด้วยความเจ็บปวดที่เขาเห็นมันบ่อยๆ โดยที่อีกคนคงไม่รู้ตัวปรากฏอยู่ในนั้น คยองซูยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินคำพูดของเขาแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

     

     

    “บางทีผมก็อยากให้พี่มีชีวิตเหมือนพวกนั้นนะ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งและมันเรียกความสนใจจากคนตัวเล็กข้างๆ ได้ คยองซูหันมามองเขาพร้อมกับเอียงหัวนิดนึงแล้วถามกลับ “พวกไหน?”

     

     

    “พวกมนุษย์ที่พี่ชอบไปสอดส่องชีวิตนั่นแหละ” คำตอบของเซฮุนเรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอจากอีกคน คยองซูส่ายหัวให้ พวกเขามองหน้าและหัวเราะให้กันทั้งที่มันไม่ได้มีเรื่องตลก อาจจะเป็นเพราะเรื่องที่เซฮุนว่า คยองซูชอบไปสอดส่องชีวิตพวกมนุษย์จริงๆ และเขาไม่ได้บอกให้อีกคน แต่ก็ดันโดนจับได้ซะได้

     

     

    แต่เด็กหนุ่มคิดแบบนั้นจริงๆ มันอาจจะดีกว่าถ้าพวกเขาเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตดิ้นรนไปวันๆ เพื่อให้อยู่รอด

     

     

    บางที คยองซูอาจจะไม่ต้องมีเรื่องกังวลอย่างทุกวันนี้ก็ได้

     

     

    “เวลาที่ได้ไปที่นั่น..” คนตัวเล็กเริ่มขยับปากเล่า เขานึกถึงในเมืองร้างเมืองนั้นที่ๆ ผู้คนดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการถูกคุกคาม “พี่เห็นพวกเรา.. หมายถึงพวกนั้นที่เชื่อในสิ่งที่เราไม่เชื่อ มันทำให้มนุษย์หวาดกลัว ต้องห้ามออกจากบ้านตอนกลางคืน ถ้าเห็นมันจะฆ่าโดยที่ไม่มีเหตุผลเพราะคิดว่าเป็นการท้าทาย”

     

     

    “เหมือนกับบอกถึงอำนาจตัวเอง?”

     

     

    “ประมาณนั้น เหมือนอยากจะข่มขู่ว่าอย่าลองดีด้วย”

     

     

    “มันก็เป็นเรื่องปกติของอ็อคเคิร์ทไม่ใช่หรอ บ้าอำนาจไง” เซฮุนแสยะยิ้มพร้อมทั้งหัวเราะในลำคออย่างนึกสมเพช “ต้องการพลัง ลัทธิบูชาบ้าบอ กับอำนาจที่ได้มาจากความกลัวของคนอื่น”

     

     

    “อ็อคเคิร์ทไม่ได้กำหนดว่าต้องบ้าอำนาจ พวกนั้นต่างหากที่กำหนดมันขึ้นมาเอง” คยองซูขัดขึ้นมาแทบจะทันที

     

     

    “ผมรู้ มีแต่เราสองคนที่ไม่เป็นแบบนั้น และเราไม่ได้เป็นอ็อคเคิร์ทไงพี่คยองซู”

     

     

    “...”

     

     

    “ออคเคิร์ทคือสิ่งที่พวกมนุษย์เรียกพวกที่ทำแบบนั้น แต่เราไม่ใช่ เราก็เป็นเรา พี่ก็เคยบอกผม จำได้ไหม” คยองซูพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มไปให้เด็กหนุ่มข้างๆ เพิ่งรู้ว่าอีกคนก็มีโหมดที่ดูเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ แววตาจริงจังนั่นสบตากับเขาก่อนที่มันจะกลับมาทะเล้นเหมือนเดิม มือยาวของอีกคนเอื้อมมาขยี้หัวเขาอย่างเคยชินแม้ว่าจะอายุน้อยกว่า คยองซูรู้สึกดีที่เด็กหนุ่มที่เขาดูแลมาตลอดเริ่มจะโตขึ้นบ้างแล้ว แต่ประโยคต่อมาที่ออกจากปากเซฮุนทำให้รอยยิ้มของเขาค่อยๆ หุบลง

     

     

    “พี่เลิกพยายามได้ไหม..” เด็กหนุ่มใจเริ่มใจแกว่งเมื่อเห็นรุ่นพี่ตัวเล็กตีสีหน้าเรียบเฉย คยองซูรู้ว่าเขากำลังจะพูดเรื่องอะไรต่อ เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะพูดมันก็เป็นแบบนี้ แต่เซฮุนก็ฝืนพูดต่ออีกครั้งแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าคำตอบมันก็คงจะเหมือนเดิม “พี่เลิกหาวิธีไม่ได้หรอ มันจบไปแล้วน..”

     

     

    “มันยังไม่จบ”

     

     

    “คยองซู!

     

     

    “เลิกพูดเรื่องนี้เถอะ พี่ไม่อยากทะเลาะกับนายเพราะเรื่องนี้อีกแล้วนะ” คยองซูลุกขึ้นยืนบนกิ่งไม้และกำลังจะเดินหนี แต่มือใหญ่ของเด็กหนุ่มก็คว้าแขนรั้งเขาไว้

     

     

    “พี่ต้องฟังผม!” เซฮุนขึ้นเสียงใส่รุ่นพี่แต่อีกคนไม่ได้สะทกสะท้าน เขาลุกขึ้นยืนตามคนตัวเล็กโดยที่ยังไม่ได้ปล่อยแขนอีกคน “มันเป็นไปไม่ได้ พี่ทำไม่ได้ เรามีกันแค่สองคน จะไปช่วยคนที่ตายไปแล้วได้ยังไง!

     

     

    ประโยคสุดท้ายทำให้คนตัวเล็กถึงกับสะอึก เขารู้สึกชาไปทั้งตัว เหมือนโดนสะกิดแผลที่ยังไม่หายดี เซฮุนพูดออกมาตรงๆ อย่างเหลืออด เด็กหนุ่มทนไม่ได้กับการที่จะต้องเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปกับคยองซูอีกแล้ว ดวงตากลมโตนั่นสั่นไหวและมันดูเศร้าจับใจ เซฮุนรู้สึกผิด แต่เขาต้องพูด แม้ว่ามันจะทำให้คยองซูต้องเจ็บปวด

     

     

    เขาเข้าใจมันดี เพราะเขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

     

     

    “อย่าดื้อเลยนะพี่” เด็กหนุ่มดึงรุ่นพี่ตัวเล็กเข้ามากอดปลอบประโลม และอีกคนก็ถลาเข้ามาที่อกเขาอย่างง่ายดายราวกับว่าเสียการทรงตัวไปแล้ว “เราผ่านเรื่องเจ็บปวดกันมามากพอแล้วนะพี่คยองซู จบมันเถอะ”

     

     

    “...”

     

     

     

    “ใช้ชีวิตต่อไปโดยที่ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลังเถอะนะ มันไม่มีทางออกสำหรับทางที่พี่ต้องการแล้ว” เซฮุนเอาคางพิงไหล่คยองซูไว้ เขาลูบหัวอีกคนเบาๆ และกอดคยองซูไว้แน่น ..เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกแล้ว คยองซูคือคนสุดท้ายจะเขาเหลืออยู่

     

     

    เซฮุนรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดของแขนเล็กๆ ตอบรับ คยองซูไม่ได้พูดอะไรแต่กลับกอดเขากลับ ราวกับต่างคนต่างเป็นที่เพิ่งให้กันและกันจากความเจ็บปวด.. กอดของรุ่นพี่ตัวเล็กที่เขารู้สึกมันทำให้เซฮุนรู้สึกได้ว่าบางที คยองซูอาจจะยอมในสิ่งที่เขาขอแล้วก็ได้..

     

     

    อ้อมกอดถูกกระชับให้แน่นขึ้นโดยคนตัวเล็ก คยองซูไม่ได้ขยับหัวออกมาจากอกกว้างของรุ่นน้อง เขารู้ดีว่าเซฮุนเป็นห่วงเขาแค่ไหน เขารู้ว่าเขาคือที่เพิ่งเดียวที่เด็กหนุ่มมีและเซฮุนก็ไม่ต้องการจะเสียเขาไปอีกคน

     

     

    “แต่ว่าเซฮุน..” เขาพูดอู้อี้อยู่ในอกกว่าง แต่คยองซูเชื่อว่าเซฮุนฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดรู้เรื่อง “ที่บอกว่ามันไม่มีทางออกสำหรับทางที่พี่พยายามมาตลอดน่ะ.. มันเคยไม่มีนะ”

     

     

    “?”

     

     

    “แต่ว่าตอนนี้น่ะ” คำพูดนั่นทำให้เซฮุนใจเสีย หัวใจเต้นตึกตักราวกับกลัวคำพูดต่อไปของคยองซู คนตัวเล็กในอ้อมกอดนิ่งไป หยุดพูดเพราะเขากำลังนึกถึงความหวังใหม่ของเขา คนที่คยองซูมั่นใจว่าจะมาช่วยเขาได้

     

     

    ร่างสูงของคนผมสีแดงเข้มที่เขาเฝ้าดูอย่างสนใจมาได้ซักพักฉายขึ้นมาในหัว อย่างที่เซฮุนบอก ทุกอย่างมันเหมือนกับจะสิ้นหวังและไร้ทางออก เขาก็เกือบจะคิดอย่างนั้นแล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ได้เจอคนๆ นั้นเข้า..

     

     

    .

    .

    .

     

     

    .

    50% 

    “ปาร์คชานยอล! แกหายหัวไปไหนมา!

     

     

    ร่างสูงของเด็กหนุ่มหลบแจกันที่พุ่งตรงมาหาเขาไปได้อย่างเฉียดฉิวก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมามันก็ชนกับผนังจนแตกละเอียด เสียงแจกันแตกทำให้ผู้หญิงฝรั่งท่าทางมีอายุวิ่งจากหลังบ้านมาที่ห้องรับแขกด้วยท่าทีตื่นตกใจ หล่อนเห็นเขาและรีบวิ่งมากันตัวเขาไว้จากชายฝรั่งร่างท้วมหน้าตาโมโหร้ายหนวดเฟิ้มที่กำลังจะปาขวดแก้วมาทางเขาอีกครั้ง

     

     

    “คุณ! อย่าทำลูก!!

     

     

    “ถอยออกมาจากตรงนั้นดอนน่า ผมจะสั่งสอนมัน!!!!!

     

     

    “ไม่!! คุณต้องวางขวดนั่นลงเดี๋ยวนี้!!

     

     

    “ผมบอกให้ถอยออกมาไง!!!!!!!

     

     

    เพล้ง!

     

     

    เสียงแก้วแตกตรงที่เดิมอีกครั้งหลังจากที่ขวดนั่นถูกปามาด้วยแรงโทสะของผู้ชายร่างท้วมคนนั้น ชานยอลจับตัวดอนน่าที่มาบังเขาไว้ได้ทันพอดีก่อนที่ขวดนั่นจะโดนที่หัวของหล่อน แม่เลี้ยงของเขาดูจะตกใจพอสมควรหลังจากที่แฟรงก์สามีของหล่อนกล้าปาขวดมาทางนี้ทั้งๆ ที่ดอนน่ายืนบังเขาอยู่

     

     

    แน่ล่ะ ชานยอลรู้ดีวว่าถ้าพ่อเลี้ยงของเขาโมโหเมื่อไหร่ จะใครก็ไม่ไว้หน้าทั้งนั้นแหละ

     

     

    “แม่ครับ ผมโอเค” เด็กหนุ่มจับไหล่ของดอนน่าที่สั่นระริกไว้ระหว่างที่แฟรงก์กำลังสงบสติอารมณ์แต่ก็ยังมองเขาอย่างอาฆาตอยู่ ชานยอลบีบไหล่เบาๆ เพื่อให้เธอไม่ต้องห่วง เขาไม่ต้องการให้ดอนน่ามาปกป้องเขาในเวลาที่แฟรงก์โมโหแบบนี้ มือหนาออกแรงดันหลังของแม่เลี้ยงกลับไปทางห้องครัว

     

     

    “แม่กลับไปทำงานเถอะครับ”

     

     

    “แต่..

     

     

    “แฟรงก์ไม่ฆ่าผมหรอก” เขากระซิบกับเธอเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคนก่อนจะส่งยิ้มราวกับว่าเขาไม่กังวลอะไรไปให้  ดอนน่ายึกยักอยูชั่วครู่ เธอหันไปมองสามีของตัวเองที่ดูมีท่าทีเย็นลงนิดหน่อยก่อนจะหันมามองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงอีกครั้งก่อนจะยอมเดินกลับไป

     

     

    เด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าให้เรียบเฉยก่อนจะหันไปมองพ่อเลี้ยงของเขาอีกครั้ง แฟรงก์มองเขากลับ มืออวบนั่นกระดกเหล้าในแก้วใบเล็กที่เพิ่งรินไปเมื่อกี้ลงคอรวดเดียว ก่อนที่ร่างท้วมจะก้าวเดินเข้ามาใกล้เขาช้าๆ ใบหน้าที่เขาเห็นจนชินแต่ก็ไม่เคยรู้สึกดีที่ได้มองนั่นแสยะยิ้มอย่างที่เขาไม่ชอบ ชานยอลยืนสบตากับแฟรงก์โดยที่ไม่รู้สึกหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าจะเจออะไร

     

     

    พลั่ก!

     

     

    หมัดหนักๆ ถูกซัดเข้าที่แก้มขวาของเขาอย่างจัง ใบหน้าของเด็กหนุ่มสะบัดไปตามแรง ขาที่ยืนนิ่งในตอนแรกเซไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ร่างสูงล้ม ความชาหนึบที่แก้มในตอนแรกที่โดนถูกกลายเป็นความปวดหนึบๆ ทั่วบริเวณใบหน้า และยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวหันกลับมา หมัดจากพ่อเลี้ยงของเขาก็ถูกส่งต่อมาอีกครั้ง

     

     

    “ไอ้เด็กไม่รักดี! แกหายหัวไปตั้งสามวัน! รู้มั้ยว่าพวกฉันต้องเหนื่อยเพิ่มแค่ไหนกับการที่แกทำแบบนี้ ไอ้เวรเอ๊ย!!!!

     

     

    อีกหมัดนึงซัดมาเต็มแรงด้วยความโมโหจนทำให้ชานยอลเสียหลังล้มลงไปนั่งกับพื้น หลังจากนั้นเขาก็โดนเตะอัดที่กลางท้องจนจุกขึ้นมาถึงคอ แต่ร่างสูงก็ไม่ได้ตอบโต้แม้ว่าจะโดนซ้ำทั้งเตะและต่อยจากพ่อเลี้ยงอีกไม่รู้กี่ครั้ง เขาพยายามกัดฟันไม่ร้องออกมาแม้ว่าจะเจ็บไปทั้งตัวก็ตาม ไม่งั้นดอนน่าจะต้องวิ่งออกมาแบบเมื่อกี้อีกแน่ๆ

     

    เขาทนได้ เพราะปาร์คชานยอลน่ะชินแล้ว ก็ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนี้ครั้งแรกซะเมื่อไหร่

     

    แฟรงก์เตะท้องเขาอีกครั้งก่อนจะเอนตัวไปพิงกำแพงด้วยความเหนื่อย เพราะตาแก่นั่นทั้งด่าทั้งเตะทั้งต่อยเขาไปด้วย ปาร์คชานยอลยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากพื้น ความรู้สึกจุกที่ท้องเล่นงานจนเขาแทบจะหายไม่ออก ร่างสูงนั่งชันเขาไว้ข้างนึง แขนข้างซ้ายดูเหมือนจะมีปัญหาซักทีเพราะเขาเจ็บจนขยับมันไม่ได้ รู้สึกแสบๆ ที่ปาก คิดว่ามันคงแตกอีกแล้วล่ะ

     

     

    “จำใส่กะโหลกไว้ว่าคราวหลังอย่าหนีไปอีก แกไม่อยู่นังผู้หญิงพวกนั้นเอาแต่จะตายท่าเดียว ไปให้กำลังใจบ้าบอให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อซะ”

     

     

    พูดจบแฟรงก์ก็ถ่มน้ำลายใส่เขาก่อนจะเดินออกไป ปาร์คชานยอลมองตามจนร่างนั้นหายเข้าไปกับประตูด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะเช็ดน้ำลายที่โดนเสื้อของเขากับพื้น เขาไม่เกลียดแฟรงก์แม้ว่าพ่อเลี้ยงของเขาจะถ่อยและรุนแรงกับทุกๆ คนก็ตาม แต่สิ่งที่เขาได้รับถือว่าเบามากแล้วถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แฟรงก์สามารถยิงหัวคนได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ

     

     

    แต่ก็ไม่ใช่ว่าแฟรงก์จะไม่มีความคนเหลืออยู่ เขาไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมให้ดอนน่าเก็บเด็กทารกวัยไม่กี่เดือนที่ถูกทอดทิ้งโดยไม่มีอะไรติดตัวเลยนอกจากกระดาษที่เขียนว่า ‘His Name PARK CHANYEOL’ อยู่ในป่ามาเลี้ยงจนโตมาได้เป็นเขาแบบทุกวันนี้หรอก

     

     

    เด็กหนุ่มนักพักให้ความเจ็บปวดบรรเทาได้เพียงชั่วครูก็ลุกขึ้นยืน จริงๆ แล้วมันไม่ได้เจ็บน้อยลงเท่าไหร่แต่เขาฝืนยืนขึ้นและไม่สนใจความเจ็บปวดของร่างกายที่เรียกร้องบอกเขา ปาร์คชานยอลไม่เลือกที่จะเดินไปหาดอนน่าและบอกให้หล่อนทำแผลที่หน้าให้ เพราะถ้าหล่อนเห็นเขาในสภาพนี้ได้มีเรื่องกับแฟรงก์อีกครั้งนึงแน่ ชานยอลรู้ว่าดอนน่ารักเขามากเหมือนลูกในไส้ แต่แม้ว่าดอนน่าจะเป็นคนเดียวที่แฟรงก์อ่อนโยนกับเธอที่สุด เขาก็ไม่อยากเสี่ยง

     

     

     

    มือหนาเช็ดเลือดที่เลอะปากลวกๆ ก่อนจะเดินผ่านห้องนอนของตัวเอง ห้องของดอนน่าและแฟรงก์ไปที่หลังบ้าน มันเป็นที่โล่งแคบๆ แต่ตรงมุมห้อง พื้นไม้เรียบมีรอยเหมือนช่องประตูแคบๆ ที่พอให้คนเข้าไปได้แง้มไว้อยู่ เด็กหนุ่มเปิดมันออก ข้างในมืดและอับจนแทบมองไม่เห็น เขาหย่อนตัวเองลงไปก่อนจะจับบันไดที่พาลงไปข้างล่าง

     

     

    ห้องใต้ดิน

     

     

    มันลึกพอสมควร แต่ร่างสูงใช้เวลาไม่นานขาของเขาก็แตะลงที่พื้นของชั้นล่างสุด มือหนาคลำหาไฟฉายที่มักจะวางไว้ที่ๆ เขารู้ดี เปิดไฟเพื่อให้แสงสว่างก่อนที่ขายาวจะพาร่างเดินไปตามทางที่คุ้นเคย ก่อนจะไปถึงหน้าประตูไม้ใบใหญ่อยู่ตรงหน้า มันถูกปิดสนิท

     

    “ฮือออออออ..

     

     

    ...

     

     

    เสียงครวญครางของหญิงสาวหลายเสียงลอดผ่านประตูใบนั้นออกมา มันทำให้เขารู้สึกแย่ ปาร์คชานยอลสูดหายใจลึกก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป

     

     

    ...

     

     

    ภายในห้องเกิดเสียงเงียบชั่วคราว หญิงสาวเกือบสิบคนที่ถูกโซล่ามไว้ที่เท้าหันไปมองผู้มาใหม่จากประตูไม้ใบใหญ่ ร่างสูงที่พวกเธอต่างคุ้นเคยดียืนนิ่งพลางกวาดสายตาไปรอบๆ

     

     

    ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะร้องไห้โฮออกมาเพราะรู้สึกโล่งที่คนที่เข้ามาไม่ใช่แฟรงก์

     

     

    ..ไง”

     

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาทำลายความเงียบ ปาร์คชานยอลไม่ได้เดินไปไหน เขานั่งลงยองๆ ตรงที่เดิมและส่งยิ้มที่ปั้นขึ้นให้กับพวกผู้หญิงในห้องไม่ใหญ่นี่ ข่มความรู้สึกแย่ทุกครั้งที่มาที่นี่ไว้ก่อนจะแสร้งทำตัวผ่อนคลาย พวกหล่อนดูดีใจที่เห็นเขา

     

     

    “คุณหายไปไหนมาคะ..” หญิงสาวผิวสีผึ้งที่นั่งอยู่ใกล้เขาที่สุดเอ่ยถาม ในดวงตาของเธอมีคราบน้ำตาที่บ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มา เขาจำเธอได้ เธอชื่อฮันน่า

     

     

    “ผมออกไปทำงานข้างนอกมาน่ะ”

     

     

    “คราวหลังคุณอย่าหายไปได้ไหม” หญิงสาวอีกคนเอ่ย “อย่าให้แฟรงก์ลงมาในนี้”

     

     

    “เขาใจร้าย!” อีกคนพูด

     

     

    “ใช่ เขาเอาอาหารมาให้พวกเรา แต่เขารุนแรง เขาทำให้ฉันอยากจะตายจริงๆ”

     

     

    “แม้ว่าดอนน่าจะใจดี แต่เธอช่วยอะไรพวกเราไม่ได้เลย”

     

     

    “ฉันอยากตาย..

     

     

    ปาร์คชานยอลต้องทนฟังเสียงที่แยกกันพูดกับเขาราวกับว่าพวกหล่อนคิดว่าเขามีสิบหูอย่างนั้น แต่ร่างสูงก็นั่งนิ่งและปล่อยให้พวกเธอพูดต่อไป เขารู้ว่าเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายให้กับผู้หญิงพวกนี้ ชะตากรรมที่เลือกไม่ได้ ในบ้านนี้มีแต่ดอนน่าและเขาที่ปลอดภัยสำหรับพวกเธอ

     

    “โอเค ผมเข้าใจพวกคุณนะ” ร่างสูงพูดหลังจากที่เขาคิดว่าได้จังหวะที่พวกเธอพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจจบแล้ว “แฟรงก์ใจร้าย แต่เขาไม่ได้อันตรายหรอก เขาไม่ฆ่าพวกคุณที่กำลังท้องเด็กที่เป็นเรื่องจำเป็นแน่ๆ”

     

    “แต่เขาจะฆ่าลูกของเราไง ฮื่อ...” หญิงสาวคนนึงพูดขึ้นมาแล้วเธอก็ร้องไห้โฮ

     

     

    “คุณต้องคิดว่าเด็กพวกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อใช้ชีวิต.. มันอาจจะเห็นแก่ตัว..” ปาร์คชานยอลหลับตาลง เขาทนดูสายตาที่มีแต่ความเจ็บปวดของพวกหล่อนไม่ได้ “แต่ฟังผมนะ อีกไม่กี่เดือนมันกำลังจะจบ ถ้าเขาเป็นผู้ชาย คุณจะโชคดีที่ไม่ต้องเสียลูก แต่คุณจะโชคร้ายเพราะพวกคุณสองคนแม่ลูกจะถูกโยนทิ้งเหมือนกับขยะทันที และถ้าเป็นผู้หญิง..

     

     

    ร่างสูงสูดหายใจ พ่นคำพูดที่เขาพูดมาหลายต่อหลายครั้งกับผู้หญิงพวกนี้

     

     

    ...

     

    “คุณจะโชคดีที่ได้มีชีวิตรอด แต่คุณจะต้องเสียลูก ซึ่งไม่ว่าจะทางไหน ผมแค่อยากให้พวกคุณจำไว้ให้ดี”

     

     

    ...

     

     

     

    “ชีวิตพวกเราไม่ได้มีทางเลือก ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำไม่ใช่การเลือก แต่คุณต้องสู้ไปให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตามกับทางที่คุณต้องเดิน”

     

     

     

     

     

     

    ร่างสูงปิดประตูห้องลง ก่อนจะล้มลงไปบนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ของเขา มองผ่านหน้าต่างและพบว่ามันมืดแล้ว นาฬิกาที่หนังบอกว่าตอนนี้ห้าทุ่มกว่า หลังจากที่ลงไปห้องใต้ดินและคุยกับผู้หญิงพวกนั้นเขาก็ขึ้นมาและอาบทายาลวกๆ ใส่แผลที่แฟรงก์ทำไว้ให้ แล้วก็ช่วยดอนน่าทำงานอยู่ที่หลังครัวนิดหน่อยก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง

     

     

    ปาร์คชานยอลเบื่อชีวิตแบบนี้ เขาอยากหนีไปให้พ้นๆ อย่างน้อยถ้าเขามีชีวิตแบบแบคฮยอนมันก็ยังจะดีซะกว่า ถึงมันจะเหนื่อยกายแต่ก็ไม่ได้ทุกข์ใจ เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผู้หญิงพวกนั้นถึงได้ไว้ใจและดูเหมือนจะรู้สึกปลอดภัยเวลาที่เขาเข้าไปในนั้น แค่เพียงเพราะเขาไม่ถ่อยแบบแฟรงก์หรือพวกคนงานคนอื่นงั้นหรอ ตลกสิ้นดี

     

     

    ทำไมวันที่เขาเดินไปบ้านแบคฮยอนวันนั้นถึงไม่โดนพวกอ็อคเคิร์ทบ้าบอนั่นเก็บไปซะตั้งแต่ตอนนั้นนะ ชีวิตเส็งเคร็งที่เขาเบื่อจะใช้มันเต็มทนจะได้จบไปพ้นๆ ซักที

     

     

    ชานยอลเปิดหน้าต่างออกรับลม มองดูผืนที่โล่งๆ ตรงหน้าก่อนที่เลยไปอีกจะเป็นป่าอย่างที่เคยเห็นประจำ มันอาจจะดูหน้าขนลุกสำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขาการที่ห้องของเขาตรงกับมุมนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะปาร์คชานยอลไม่กลัวอะไรทั้งนั้น มันช่วยเขาได้ในเวลาที่เขาเครียดๆ ด้วยซ้ำ การมองไปผืนที่โล่งๆ ในตอนกลางคืนทำให้สมองเขาโล่ง

     

     

    ดวงตากลมเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้จุดหมาย อยู่ดีๆ ลมแรงก็พัดขึ้นราวกับมีพายุ ผ้าม่านในห้องปลิวว่อนปิดบังทิวทิศน์ข้างนอกจนร่างสูงตกใจ แต่เขากลับไม่เลือกที่จะปิดประตูหน้าต่าง ความรู้สึกบางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ปกติ แล้วจู่ๆ ลมนั้นก็หายไปในขณะที่เขาเปิดผ้าม่านออกอีกครั้งพอดี ราวกับว่าเหมือนมีลมพายุอะไรพัดผ่านไป และเขารู้สึกได้ว่ามันไปทางนั้น

     

     

    ทางป่าที่มีแต่ความมืดจนมองอะไรไม่เห็นนั่น

     

    จะด้วยสัญชาติญาณ หรืออะไรก็ไม่รู้ แทบไม่ต้องใช้ความคิด ร่างสูงคว้ารองเท้าผ้าใบที่อยู่ใต้เตียงออกมาสวมก่อนจะกระโดดออกมาจากหน้าต่างห้องเพราะว่าเป็นบ้านชั้นเดียว

     

    เขาวิ่งเข้าไปในป่า ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรจริงๆ หรือเปล่า

     

     

    หัวสมองลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ราวกับต้องมนต์อะไรซักอย่าง ชานยอลมั่นใจว่าเขามีสติดี แต่บางอย่างควบคุมให้เขาวิ่งไปเรื่อยๆ

     

     

    บางอย่าง ซึ่งก็คือตัวเขาเอง

     

     

    “แฮ่ก...

     

     

    ร่างสูงก้มลงหอบหลังจากที่วิ่งมาได้ไกลซักพัก รอบตัวมืดไปหมด ตอนนี้เขายืนอยู่ตรงพื้นที่ที่มีแต่ต้นไม้ที่บดบังจนแสงจากพระจันทร์ก็ไม่สามารถส่องเข้ามาตรงที่เขายืนได้

     

     

    แต่เขาคิดผิด

     

     

    จู่ๆ ก็เกิดลมขึ้นอีกครั้งเหมือนเมื่อกี้ เศษใบไม้แห้งกรังที่อยู่บนพื้นปลิวว่อน ก่อนที่แสงจันทร์จะค่อยๆ สอดส่องมาที่เขา

     

     

    อะไรบางอย่างที่บดบังทิศทางที่แสงจันทร์สอดส่องเคลื่อนที่ออกไป มันไม่ใช่ต้นไม้

     

     

    !!!!!

     

     

    ปาร์คชานยอลผงะตกใจเมื่อหันไปอีกครั้งและสบสายตากับดวงตากลมคู่หนึ่งพอดี

     

     

    ดวงตา.. ที่หลอกหลอนเขามาได้หลายคืนที่บ้านของแบคฮยอน

     

     

    ผู้ชายชุดขาวคนนั้น

     

     

    “ไง..” ริมฝีปากของคนตรงหน้าพูดขึ้นพร้อมส่งยิ้มมุมปากมาให้เขา “ยินดีที่ได้เจอกัน ปาร์คชานยอล”

     

     

    “น นาย..

     

     

    “โด คยองซู”

     

     

    อีกคนแนะนำชื่อตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉยตรงข้ามกับปาร์คชานยอล ใบหน้าดูดีฉายความตื่นตระหนกที่ได้เห็นสิ่งตรงหน้า ผู้ชายชุดขาวบนหลังคาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา นั่นไม่ใช่เรื่องที่ชานยอลแปลกใจเท่ากับอีกอย่างที่เขาเห็นมันไม่ชัดมาโดยตลอด ซึ่งตอนนี้มันกำลังจ้องเขาอยู่โดยมีคนที่บอกว่าตัวเองชื่อโด คยองซูนั่งอยู่บนหลังหน้าตาเฉย

     

     

    ให้ตาย บอกทีสิว่ามันเรื่องโกหก

     

     

    ผู้ชายชุดขาวที่เขาเห็นมาหลายคืนกำลังนั่งอยู่บนหลังของมังกร

     

     

    ..มังกรเนี่ยนะ?

     




     

     

     

     

     

     

    อยากตบเค้าไหม หายไปตั้งหลายวัน แถมอัพมาชานซูก็มาเจอกันตอนสุดท้าย

    *อะไรนักหนาอีไรท์คนนี้* 55555555555555555555

    รำคาญเค้าป่ะ เออนี่ก็รำคาญตัวเองเหมือนกันอ่ะ เพราะงั้นเจ๊ากันเนอะ (?)

    คือแบบ รีบแต่งมากเพราะอยู่ตจว. แล้วคือคิดเรื่องไว้เป็นแบบนี้ละด้วยต้องขออภัยรีดเดอร์ที่แสนน่ารักทุกคนนะก้ะ T_T

    ตบได้ ปาบอมใส่ได้ ปารองเท้าใส่ได้ ไม่เป็นไร เค้าแกร่ง555555555555555555555555555

    งงมั้ยอ่ะ นี่แต่งเองยังแทบไม่เข้าใจตัวเอง นี่เขียนอะร๊ายยยยยยยยยยยยย

    มีไรสงสัยถามได้นะ แต่ห้ามถามว่าตอนหน้าเป็นยังไง ไม่บอก555555555555555555555555555555555

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×