คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : (1)
เด็กหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นเมื่อรู้ตัวตื่นหลังจากที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของหลายๆ สิ่งซึ่งบอกเขาว่ามันเช้าแล้ว สิ่งแรกที่เห็นคือมุมเดิมที่เขามองก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืน หน้าต่างบานใหญ่อันเดิมแต่แตกต่างกันตรงที่แสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทำให้เขาแสบตาซะจนต้องหันหน้าหนี
สิ่งแรกที่เข้ามาในความคิดคือเมื่อตอนเขาจะหลับ.. เหมือนเขาเห็นอะไรบางอย่าง
เหมือนกับที่ตื่นมาตอนเช้าของบางวันที่เรานึกความฝันเมื่อคืนไม่ออก แต่มันเป็นความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในหัวสมองทำให้ชานยอลพยายามนึก
เขาจำมันไม่ได้นัก มันเลือนรางในความทรงจำพอสมควร เพราะตอนนั้นเขาเหนื่อยและง่วงมาก การระลึกถึงเหตุการ์ณที่ไม่ได้รับความสนใจในความทรงจำเป็นเรื่องยาก อีกทั้งยังแยกไม่ออกอีกว่ามันคือความฝันหรือเขาเห็นมันจริงๆ แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือภาพที่ติดตา ดวงตาสีดำสนิทนั่น
ที่เขาบังเอิญสบตาเข้าพอดี
ไม่มีเวลาให้ย้อนคิดนานมากนัก เงาของใครบางคนเดินมาทางนี้ หลังจากนั้นร่างของแบคฮยอนที่ยังใส่เสื้อตัวเดียวกับเมื่อคืนก็มายืนค้ำหัวเขา ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กจะค่อยๆ นั่งย่องๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้
“นี่กี่โมงแล้ว” ชานยอลเอ่ยถามขึ้นก่อนที่อีกคนจะพูดอะไรออกมา เขายังนอนราบอยู่กับพื้นแบบนั้นถึงมันจะทำให้คุยกับแบคฮยอนลำบากก็ตามที แต่ถ้าลุกขึ้นนั่งยังไงคนอื่นก็ต้องเห็น
“แปดโมง” ตอบกลับมาพร้อมกับหันไปมองข้างหลังว่ามีใครอยู่หรือเปล่า โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ข้างในห้องโถงแล้ว ประตูเก่าๆ ที่ชานยอลเข้ามาเมื่อคืนถูกเปิดอ้าไว้เพื่อให้อากาศเข้ามาได้เต็มที่ “ออกไปล้างหน้าที่ประตูข้างหลังแล้วค่อยออกมานะ ฉันบอกแม่แล้วว่านายเพิ่งมาเมื่อเช้า”
“อืม” รับคำก่อนจะยื่นมือไปจับมือแบคฮยอนที่ส่งมาช่วยพยุงเขาให้ยืนขึ้น หลังจากนั้นร่างโปร่งของเพื่อนสนิทก็รีบดันเขาไปทางประตูหลังของตึกนี้ แบคฮยอนทิ้งเขาไว้กับก๊อกน้ำเตี้ยๆ ก่อนจะวิ่งกลับเข้าไปข้างใน
ชานยอลจัดการเปิดก๊อกล้างหน้าล้างตาของตัวเองเพื่อให้รู้สึกสดชื่นขึ้น เขารู้สึกขอบคุณเพื่อนรักของเขาที่คอยช่วยเหลืออย่างนี้เสมอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชานยอลพาตัวเองมารบกวนที่บ้านแบคฮยอนแบบนี้ อันที่จริงเขาทำแบบนี้บ่อยซะด้วยซ้ำ ผิดตรงที่ว่านี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เขามาตอนกลางคืน
บยอนแบคฮยอนเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กที่ชานยอลเคยคิดว่าน่ากลัวเมื่อสามปีก่อน.. หลังจากที่ครอบครัวบยอนแร่ร่อนมาจากเมืองอื่นเข้ามาที่เมืองร้างเล็กๆ ที่นี่ ถึงจะมีคนไม่มากนักแต่ด้วยความที่ทรัพยากรและความอดุมสมบูรณ์มันแทบจะไม่เพียงพอ แน่นอนว่าครอบครัวนี้ถูกต่อต้านจากคนที่มาอยู่ก่อนหน้านี้ ชานยอลเจอแบคฮยอนบ่อยเพราะครอบครัวนี้เคยทำงานให้กับที่บ้านของเขา ที่ๆ เขาเรียกมันว่า ‘โรงงานนรก’
พวกเขาสนิทกันเพราะอะไรบางอย่างที่ชานยอลอธิบายไม่ถูก พวกเขาไม่เรียนหนังสือ เพราะเมืองนี้ไม่มีโรงเรียน อันที่จริงแค่ใช้ชีวิตอยู่ให้รอดไปวันนึงชานยอลก็คิดว่ามันเพียงพอแล้วสำหรับที่นี่ ดังนั้นตัดเรื่องที่เขาจะมีโอกาสสนิทกันเพราะเป็นเพื่อนร่วมห้องในชั้นปีเดียวกันอะไรแบบนั้นไปได้เลย แบคฮยอนเป็นคนเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมากตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ดวงตาคู่เล็กนั่นจะมองขวางไว้ก่อนเสมอหากมีคนเข้าใกล้ ราวกับป้องกันตัวเองจากอันตราย ชานยอลคิดว่าเพราะเบื้องหลังร่างโปร่งที่ไม่ได้แข็งแรงกำยำนั้นต้องปกป้องทั้งแม่และน้องสาวตัวเอง มันเป็นเหตุผลที่ทำให้แบคฮยอนต้องแข็งแกร่ง
และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเหมือนกันก็ได้.. คงจะเป็นอย่างนั้น
ชานยอลเลือกที่จะเดินอ้อมจากข้างตึกเพื่อไปด้านหน้า เขาค่อนข้างมั่นใจว่าแม่ของแบคฮยอนจะต้องทำอะไรซักอย่างอยู่ข้างหน้าแน่ๆ แต่เขากลับเห็นแอลลี่น้องสาวของแบคฮยอนวัยสิบห้าปีกำลังใช้มือบางบิดผ้าสีขาวสะอาดขึ้นตากตรงบริเวณที่กำลังจะผ่านไปข้างหน้าซะก่อน เด็กสาวผมสีบลอนด์หน้าฝรั่งหันมาเจอเขาก่อนที่จะได้ตั้งตัว ดวงตาสีฟ้านั่นมองเขาอย่างตกใจก่อนที่สาวน้อยจะยิ้มกว้างให้เขา มันเป็นยิ้มที่สดใสและน่ารักจนชานยอลต้องยิ้มบางๆ กลับไปให้
“พี่ชานยอล อยู่นี่เอง” เด็กสาวโบกมือทั้งที่ยังถือผ้าผืนใหญ่ให้เขา ชานยอลเดินเข้าไปหาแอลลี่ที่รอบตัวมีกะละมังสองสามใบแถมยังมีผ้าที่ต้องตากอยู่เต็มไปหมด “พี่แบคฮยอนบอกว่าพี่มาเมื่อเช้า แล้วนี่พี่ไปไหนมาคะ”
“ไปงีบมาน่ะ เราไม่เห็นพี่หรอสาวน้อย” ใบหน้าสวยหวานของแอลลี่ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเพื่อตอบคำถามของชานยอลที่ตั้งใจจะแหย่ ร่างสูงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมสีบลอนด์ของเด็กสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู แอลลี่ไม่ใช่น้องแท้ๆ ของแบคฮยอน เพื่อนสนิทเคยเล่าให้ฟังว่าแอลลี่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาตอนที่แบคฮยอนกับแม่หนีออกมาจากเมืองเก่า
เมืองที่ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตแล้ว
“พี่ช่วยนะ” เมื่อเห็นว่าร่างบางของเด็กสาวตรงหน้าดูจะต้องใช้พลังงานไปเยอะกับการบิดผ้าผื่นใหญ่ (กว่าตัวเอง) ชานยอลก็เลยอาสาช่วยอีกแรงเพราะจำนวนผ้าก็ไม่ได้เรียกว่าจะน้อยๆ เลย อีกทั้งแอลลี่ทั้งผอมแห้งดูบอบบางซะจนถ้าเป็นลูกหรือน้องสาวของเขาเองเขาจะไม่มีทางให้ทำงานอะไรหนักแน่ๆ
ร่างสูงช่วยแอลลี่ตากผ้าพลางชวนเด็กสาวคุยโน่นคุยนี่ไปตามประสา เขาค่อนข้างจะสนิทกับเธอเพราะสาวน้อยข้างๆ เป็นเด็กน่ารัก ไม่นานนักผ้าทั้งหมดก็ถูกตากไว้ที่ราวอย่างเป็นระเบียบด้วยฝีมือของทั้งสอง แน่นอนว่ามันไม่ใช่ผ้าของเธอหรือคนในบ้านหรอก ผ้าเนื้อดีแบบนั้นไม่มีทางเป็นของแอลลี่ได้แน่ๆ เว้นแต่ว่าเธอจะเป็นลูกคนมีตังค์ในเมือง ไม่ใช่เด็กสาวที่รับจ้างซักผ้าเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
แอลลี่กล่าวขอบคุณชานยอลก่อนจะพาเพื่อนพี่ชายเดินไปหาแม่ ชานยอลคิดผิดที่บอกว่านางบยอนจะอยู่ข้างหน้าตึก เพราะแอลลี่พาเขาเดินเข้ามาในตึกขึ้นบันไดมาที่ชั้นสองที่พื้นที่น้อยกว่าด้านล่างเพราะเว้นช่องไว้ตรงบริเวณห้องโถงที่ทำให้เขามองเห็นหน้าต่างใบใหญ่ได้เมื่อคืน ชานยอลกล่าวทักทายร่างผอมแห้งของคุณนายบยอนที่ดูเหมือนกำลังนั่งผสมอะไรซักอย่างลงในขวดใสสีทึบ
“สวัสดีจ้ะชานยอล” หล่อนวางขวดลงบนกล่องไม้เก่าๆ ที่ถูกดัดแปลงมาทำเป็นโต๊ะก่อนจะปิดฝาขวด “นั่งสิ เอาขนมปังไหม”
“ไม่ล่ะครับ ผมกินมาจากที่บ้านแล้วล่ะ” ชานยอลโกหกก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเก่าแต่สะอาดตรงข้ามกับนางบยอน เขายิ้มให้หล่อนที่นั่งลงที่เดิมจากตอนแรกที่ทำท่าจะไปหยิบขนมปังมาให้เขา มันคงไม่ใช่เรื่องหากต้องมาแย่งอาหารของบ้านบยอนที่หาเช้ากินค่ำในขณะที่บ้านของเขามีทุกอย่างพร้อม การมาขอแบคฮยอนช่วยเหลือเมื่อคืนเขาก็เกรงใจพอแล้ว
“เห็นแบคฮยอนบอกว่ามาแต่เช้า มีเรื่องอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ดวงตาแบบเดียวกับแบคฮยอนบนใบหน้าตอบที่ดูโทรมนิดหน่อยแต่ก็ยังสวยแบบผู้หญิงมีอายุสบตากับเขา ดูผิวเผินอาจเหมือนเป็นการสบตาคู่สนทนาตามมารยาท แต่ชานยอลรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังอ่านความคิดเขาอยู่ด้วย
“ก็.. เรื่องเดิมๆ แหละครับ” ชานยอลตอบอย่างผ่อนคลายราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นเป็นปกติแต่เขาเหนื่อยหน่ายที่จะเจอมันเต็มทน รอยยิ้มจางๆ เกิดขึ้นบนใบหน้านางบยอนก่อนที่หญิงสาวจะก้มลงไปหยิบขวดสีทึบใบเดิมมาเขย่าเบาๆ เขาคิดว่ามันคงจะต้องเป็นยาอะไรซักอย่าง เพราะหล่อนรู้เรื่องทางการแพทย์พอสมควรจนกลายเป็นหมอคนนึงของเมืองนี้ไปแล้ว
“มันเป็นเรื่องของความอยู่รอดนะชานยอล เธอรู้ใช่ไหมจ๊ะว่าสิ่งพวกนั้นทำให้เธออยู่ได้โดยไม่ต้องดิ้นรน”
“ผมยอมอยู่อย่างดิ้นรนถ้าต้องทำอะไรแบบนั้นครับ มันไม่ถูกต้อง คุณก็รู้”
“ฉันรู้ดีเลยล่ะชานยอล” นางบยอนหัวเราะราวกับมันเป็นเรื่องน่าตลก “แต่เธอรู้ไหม การอยู่ที่เมืองนี้ เมืองที่มีแต่อันตราย เมืองที่มีคำสาป เมืองที่มีแต่การแก่งแย่งกันเพื่ออยู่รอดมันไม่มีอะไรถูกหรือผิดที่สุดหรอกนะ”
“...”
“ฉันแค่อยากบอกเธอว่าการที่พ่อแม่เธอทำแบบนั้นอาจดูโหดร้ายเหลือเกิน แต่มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องทำ การหาเด็กสาวอายุปีเดียวในทุกๆ หกเดือนไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไม่ได้เตรียมการอะไรเลย ดังนั้นการที่เธอต้องได้ยินเสียงร้องอย่างทรมาณทุกวันฉันรู้ว่ามันทำใจลำบาก แต่เธอต้องอดทนนะชานยอล”
ชานยอลนั่งฟังนางบยอนพูดนิ่งๆ ก่อนที่ฝ่ามือหนาสองข้างจะยกขึ้นมาปิดจมูก เขาสูดหายใจลึก มองไปที่พื้นปูนสีเทาด้วยความว่างเปล่า สมองหวนคิดถึงช่วงเวลาที่เขาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไม่ใหญ่มากของตัวเอง เขาใช้เวลาอยู่ในนั้นแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น ส่วนตอนกลางวันเขาต้องช่วยพ่อและแม่ที่ไม่ได้ให้กำเนิดเขาออกมาเลี้ยงดูเด็กสาวเกือบสิบคนที่ต้องตั้งท้อง เหมือนที่เขาคิดเสมอว่ามันคือโรงงานนรก พวกเธอไม่เต็มใจที่ต้องรับชะตาแบบนี้ การท้องกับใครก็ไม่รู้เป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงสำหรับชานยอล แต่ก็ต้องทำไปแบบนั้นเพราะอย่างที่นางบยอนว่า พวกเขาต้องเตรียมเด็กสาวอายุหนึ่งปีสองคนในทุกๆ หกเดือนเพื่อสังเวยให้กับตัวอะไรซักอย่าง ใช่ ได้ยินไม่ผิดหรอก สังเวย
เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร หน้าตาแบบไหน ตั้งแต่จำความได้เขาก็รู้จักมันจากที่คนในเมืองเรียกกันว่า ‘อ็อคเคิร์ท’ แล้ว มันเป็นสาเหตุที่ทำให้คนในเมืองไม่กล้าออกมาเดือนข้างนอกยามวิกาล เป็นสาเหตุที่ทำให้ที่บ้านของเขาต้องรับภาระหาเด็กสาวอายุหนึ่งปีในทุกหกเดือนนั่น ตอนแรกเขาก็ไม่เชื่อและพยายามพิสูจน์ว่าไอ้สิ่งนั้นน่ะมันมีตัวตนจริงไหม แต่แล้วคำตอบที่เกือบจะพิสูจน์ได้ก็กลับว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน เขาไม่เห็นมัน แต่รับรู้ว่ามันมีตัวตนได้จากการที่ผู้คนเริ่มตายด้วยวิธีที่แปลกประหลาดหากเราไม่สังเวยเด็กให้ หรือคนที่ลองดีโดยการเดินออกไปท้าทายตอนดึกและอาจจะได้เจอกับมันแต่ไม่มีโอกาสกลับมาเล่าให้ใครฟัง
และแบคฮยอนกับแม่ของเขาก็คงรู้ดี เพราะเมืองที่จากมาก็พังพินาศเพราะไอ้สิ่งเร้นลับนั้นแหละ
เสียงร้องอย่างทรมาณของเด็กสาวหลายคนที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ว่าพวกเขาจะเลี้ยงเธออย่างดีเพราะความเป็นแม่ที่ตั้งท้องทั้งที่รู้ดีกว่าต้องเสียลูกไป บางคนถ้าได้เด็กผู้ชายก็จะไม่ได้รับการเลี้ยงดูอีก ถูกโยนทิ้งอย่างไร้ค่า เขาไม่ได้มีความรู้สึกสงสารหรือเมตตาพวกเธอขนาดนั้น การที่ต้องเจอมันมาตลอดทำให้เขาชินชา แต่ความรู้สึกที่เป็นคือขยะแขยง เขาเกลียดเหลือเกินที่ต้องทนดูความไม่ยุติธรรมที่พวกเธอได้รับเพื่อที่คนในเมืองจะได้ใช้ชีวิตต่อไป หลายครั้งที่เสียงเคาะประตูในห้องดังขึ้นตอนกลางคืนเรียกให้เขาไปจัดการกับเด็กสาวบางคนที่พยายามจะฆ่าตัวตาย มันคงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้หญิงพวกนั้นฟังเขา บางที พวกเธออาจจะคิดว่าเขาเมตตาเธอที่สุดในที่แห่งนั้นแล้วก็ได้
แบคฮยอนที่เพิ่งขึ้นมาหลังจากที่ตัดไม้เสร็จมองเห็นแม่ของตัวเองนั่งอยู่กับเพื่อนสนิท นาวบยอนหันมายิ้มให้ลูกชายตัวเองโดยที่ชานยอลยังไม่เห็นเพราะนั่งหันหลังให้เขา
“..เป็นอะไรวะ” เดินเข้าไปจับไหล่อีกคน ไหล่กว้างสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะเงยหน้ามามองเขาพร้อมกับส่ายหน้า ร่างสูงถอดถอนหายใจยาวๆ เหมือนกำลังแบกโลกทั้งโลกไว้ หันไปมองแม่ตัวเองเพื่อที่จะถามว่ามีอะไร และคำตอบทางสายตาก็ทำให้แบคฮยอนพอเดาได้ดี
“แกอยากออกไปข้างนอกไหม ฉันทำงานอีกทีก็บ่าย” เขาไม่ใช่เพื่อนที่ดีมากนัก แต่เวลาที่ชานยอลเป็นแบบนี้เขารู้ดีว่าจะทำยังไงให้ร่างสูงรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะต้องกลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดนักหนาก็เหอะ
แต่ชีวิตมันก็แบบนี้ การทำในสิ่งที่ไม่ชอบเป็นเรื่องจำเป็นในหลายครั้ง
ไม่มีใครเลือกที่จะทำได้ทุกอย่างหรอก
เด็กหนุ่มสองคนก้มตัวลงต่ำหลบลวดหนามที่กั้นอาณาเขตของเมืองไว้ เบื้องหน้าเป็นทุ่งหญ้าสีน้ำตาลอ่อนก่อนที่เดินไปอีกไม่เท่าไหร่จะกลายเป็นทางเข้าป่า แบคฮยอนโยนก้อนขนมปังแข็งๆ ที่หยิบติดตัวมาให้ร่างสูงเพราะเขารู้ว่าอีกคนยังไม่ได้กินอะไรเลย
“ขอบใจ” ชานยอลรับมันมาก่อนจะหักครึ่งชิ้นแล้วยื่นกลับไปให้แบคฮยอน แต่อีกคนส่ายหน้าไม่ยอมรับส่วนแบ่งคืน
“ฉันกินแค่นี้ก็พอ อันที่จริงไม่กินก็ยังได้ เอาไปเถอะ”
“ไม่หิวว่ะ”
“ไม่หิวก็เอาเก็บไว้กินทีหลัง อย่าให้ฉันต้องรู้สึกเหมือนมารบกวนแกเลย” พอพูดแบบนั้นแหละ แบคฮยอนถึงได้รับก้อนขนมปังที่ถูกแบ่งครึ่งคืนมาก่อนจะกัดมันเข้าปาก พวกเขานั่งลงตรงทางลาดเล็กๆ ที่มีต้นไม้ใหญ่บังแสงแดดตอนเกือบจะเที่ยงแบบนี้ มันไม่ได้ร้อนมากเพราะมันเป็นหน้าหนาว เด็กหนุ่มสองคนนั่งกินขนมปังโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ชานยอลกลืนขนมปังคำสุดท้ายลงคอ เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นหลังจากที่ได้มาที่นี่ มันเป็นที่ๆ เขากับแบคฮยอนมาด้วยกันบ่อยเพราะมันเหมือนได้หลุดพ้นจากความวุ่นวายหลังลวดที่กั้นเอาไว้ ความรู้สึกไม่ดีหายไปชั่วคราว ตอนนี้สมองเขาโล่งเพราะทุ่งหญ้าข้างหน้ากับสายลมหนาวที่พัดมากระทบหน้าเบาๆ แต่แล้วภาพดวงตาสีดำก็หวนกลับเข้ามาในความคิดอีกครั้ง
“...”
ผู้ชายใส่ชุดสีขาว.. ใช่ เขาเห็นผู้ชายใส่ชุดสีขาวนั่งอยู่บนหลังคา
..บนหลังคาเนี่ยนะ?
“แบค แกเคยขึ้นไปนั่งบนหลังคาไหม” แบคฮยอนเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ชานยอลก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมคำถามนั่นออกจะพิลึกเอาการด้วย
“จะเคยได้ยังไง แกจะให้ฉันขึ้นไปยังไง ถ้าไม่มีบันไดปีนก็ขึ้นไปไม่ได้หรอก อีกอย่าง ฉันก็ไม่ใช่ว่าจะอยากรับลมชมวิวขนาดต้องขึ้นไปแตะขอบฟ้าบนหลังคาหรอกนะ”
“..ก็ใช่” พึมพาอยู่คนเดียวก่อนที่จะเงียบอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าอะไรติดใจให้เขาต้องพยายามคิดถึงสิ่งที่เห็นเมื่อคืนอีกครั้ง ทั้งที่บางทีมันอาจจะเป็นความฝัน แบคฮยอนมองคนข้างๆ อย่างสงสัย คิ้วหนาขมวดเป็นปมดูเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ปกติถ้าพาชานยอลมาทีนี้จะไม่เป็นแบบนี้ เพราะพวกเขาจะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังกำแพงลวดเพื่อออกมาทำสมองให้โล่ง
“มีอะไรนอกจากเรื่องนั้นอีกหรือเปล่าวะ”
“เมื่อคืนก่อนจะนอนฉันเห็นคนนั่งที่หลังคาตรงหน้าต่าง..” ชานยอลพูดออกมาเสียงแผ่วโดยที่ไม่ได้มองหน้าคนข้างๆ เหมือนกับว่ากำลังพูดกับตัวเองมากกว่า “มันแปลก.. แปลกมาก”
“ผี?”
“ไม่ ไม่ใช่ผี คน”
“คนที่ไหนจะไปนั่งบนหลังคาตอนนั้น ท้าทายพวกอ็อคเคิร์ทหรือไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันเห็นตอนที่กำลังจะหลับ”
“ฝันแล้วล่ะเพื่อน” แบคฮยอนตบไหล่ร่างสูง “ฉันว่าแกอาจจะแยกมันไม่ออกเพราะตอนนั้นแกใกล้จะหลับ”
“แต่มัน..”
“อย่าคิดมากน่า”
“...”
ชานยอลสบตากับดวงตาเรียวเล็กของแบคฮยอน รอยยิ้มบางๆ ถูกส่งมาให้พร้อมกับแรงบีบที่ไหล่ที่เหมือนกำลังบอกเขาว่ามันไม่เป็นไรทำให้ชานยอลยิ้มตอบแม้ว่าจะยังรู้สึกค้างคาอยู่บ้างก็ตาม
บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความฝันที่เขาแยกไม่ออกจริงๆ ก็ได้
ชานยอลปิดประตูไม้เก่าลงก่อนจะเดินตามทางมืดๆ เพื่อไปยังที่ๆ เขานอนเมื่อคืนก่อน วันนี้เขาจะนอนทีนี้เพราะยังไม่อยากกลับบ้าน ถึงแม้จะรู้ดีว่าอาจจะโดนอัดน่วมแน่ๆ หากพ่อรู้ว่าเขาหนีออกมาแบบนี้ แต่ชานยอลเลือกที่จะขอหนีจากที่นั่นซักพัก อาจจะสองสามวันหลังจากนี้นั่นแหละถึงจะมีคนออกมาตามให้เขากลับไป
คุณนายบยอนกับแอลลี่นอนอยู่ชั้นสอง ที่นี่ไม่มีไฟและไม่มีพัดลม หน้าต่างใบเล็กที่มีอยู่ไม่กี่ใบจึงเป็นตัวช่วยเดียวให้อากาศได้ผ่านเข้ามาได้ แต่หน้าต่างใบใหญ่เดิมตรงนั้นก็ยังปิดสนิท ชานยอลคิดว่าควรปิดไว้แบบนั้นแหละดีแล้ว คืนนี้แบคฮยอนต้องหาที่นอนใหม่เพราะที่เดิมที่ใช้นอนเมื่อคืนลมพัดผ่านจนหนาวไปหมด เขาบอกให้แบคฮยอนมานอนด้วยกันแล้วแต่เพื่อนตัวเล็กปฎิเสธ แบคฮยอนบอกว่าไม่ชอบนอนกับคนอื่นเท่าไหร่นัก เวลาเกือบๆ เที่ยงคืนเขาแยกจากแบคฮยอนมายังที่นอนตัวเอง หนังสือเล่มหนายังถูกวางที่เดิม ร่างสูงนั่งลงแล้วหยิบมันขึ้นมาดู
มันเป็นหนังสือเก่าๆ ที่หน้าปกจางจนแทบจะมองไม่ออกแล้วว่าชื่อหนังสือคืออะไร ชานยอลเปิดหน้าหนังสือผ่านๆ เห็นว่าข้างในเป็นรูปตัวอะไรซักอย่างที่เหมือนจะเป็นข้อความที่ใช้สื่อสาร มันดูโบราณและดูขลังดีแต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก พอพลิกปิดหน้าสุดท้ายจบร่างสูงก็วางมันลงพร้อมกับทิ้งศีรษะลงหนุน
และมองไปยังหน้าต่างที่เห็นครึ่งหนึ่งของหลังคากับพระจันทร์อีกครั้ง
เขาจ้องมองมันเหมือนจะหาอะไรบางอย่าง แอบคิดในใจตัวเองเล่นๆ ว่าถ้าสิ่งนั้นที่เขาเห็นไม่ใช่ความฝันจริงก็ให้มาปรากฏเอาตอนนี้เลย แต่ผ่านไปแล้วหลายนาทีก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชานยอลเกือบจะละทิ้งความสงสัยนั้นไปและหลับตาลงนอนแล้ว ถ้าเกิดวินาทีที่เขากำลังจะหลับตาลง เขาไม่เห็นบางสิ่งบางอย่าง
“!!”
ดวงตากลมเบิกโพลงอย่างตกใจก่อนจะมองไปที่เดิมอีกครั้ง แต่มันก็กลับว่างเปล่าเหมือนก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่ก่อนจะหลับตาลงเขาเห็นจริงๆ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีแต่เขาก็มั่นใจว่าเขาเห็นมัน
และครั้งนี้สติเขาก็อยู่ครบถ้วน เขาไม่ได้ง่วง ไม่ได้กำลังจะจมเขาสู้นิทราแบบเมื่อคืนก่อน นั่นทำให้เขามั่นใจได้ว่า ผู้ชายชุดขาวที่นั่งอยู่บนหลังคาเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน
ร่างโปร่งร่างเดิมในชุดสีขาวอยู่ในตำแหน่งเดิม เพียงแค่ร่างนั้นยืนขึ้น ในมือถือโซ่ที่ใช้คล้องอะไรซักอย่างที่เขามองไม่เห็นเพราะกำแพงบัง และเหมือนเมื่อคืน ดวงตาโตนั่นจ้องมองมาที่เขา
ชานยอลนอนนิ่งสายตาจับจ้องไปที่เดิมอย่างไม่ละสายตา เขาไม่หันหน้าไปไหนเพราะกลัวจะพลาดแบบเมื่อกี้อีก เนิ่นนานเป็นชั่วโมงที่เขาอยู่อย่างนั้น ความเมื่อยล้าจากการเผลอเกร็งใบหน้าและคอทำให้เขารู้สึกเหนื่อย ร่างสูงพยายามที่จะฝืนลืมตาแม้ว่าความง่วงกำลังจะพาให้เขาหลับไปหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่จนแล้วจนรอด ภาพที่เขาเห็นเมื่อกี้ก็ไม่เกิดขึ้นให้เห็นอีก
ตกลงมันคืออะไรกันแน่
ความคิดพันยุ่งเยิงในหัวสมองในขณะที่สติค่อยๆ เลือนหาย ชานยอลหลับตาลงโดยที่ไม่รู้ตัวทั้งที่ใบหน้าไม่ได้ละไปจากองศาเดิม สิ่งสุดท้ายที่เขานึกได้ก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่ภูตผีปีศาจ มันก็มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาพอจะนึกออกได้ว่ามันคืออะไร สิ่งที่เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับตัวตนของมันมาโดยตลอด
..อ็อคเคิร์ท
ความคิดเห็น