คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ( 0 ) i n t r o.
สายฝนพร่ำตกลงมา
เบาบาง..
ร่างสูงผอมของเด็กหนุ่มมัธยมปลายปีสามอยู่ในชุดนักเรียนโดยมีเสื้อสูทตัวนอกกางคลุมตัวเองจากฝนที่ตกลงมาในตอนเช้าเอาไว้ รองเท้าผ้าใบสีเทาเหยียบย่ำไปตามทางเดินเพื่อไปยังรถเมล์ ปาร์คชานยอลเกลียดวันนี้.. วันแรกของการเปิดเทอมสองของชั้นปีสุดท้ายที่จะได้เป็นเด็กม.ปลาย
เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ครึ้มมืดมนอย่างรู้สึกเซ็งในใจ แค่ปกติวันเปิดเรียนวันแรกก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว ช่วงเวลาของการปิดเทอมสั้นๆ ผ่านไปไวอย่างกับว่ามีใครมากดปุ่มเร่งเวลายังไงยังงั้น เผลอแป๊บเดียวก็ต้องกลับเข้าสู่วงจรนั่งเรียนทำการบ้านแล้วก็สอบเก็บคะแนนอีกครั้ง ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในใจออกมายังไง เอาเป็นว่าฝนฟ้าอากาศวันนี้ก็ดูท่าจะเป็นใจให้กับเขาดี
หมายถึง.. เป็นใจในการมาร่วมวัยอาลัยวันหยุดอันแสนหวานที่ต้องผ่านพ้นไปของเขาน่ะนะ
ป้ายรถเมล์มีคนเยอะกว่าที่คิดเอาไว้ คงเป็นเพราะหลายคนใช้หลังคาที่ไม่ได้กว้างเท่าไหร่เป็นที่หลบฝนปรอยๆ เช้านี้ และมันแย่ตรงที่ว่าปาร์คชานยอลเป็นเด็กผู้ชายตัวสูงที่มีเพียงแค่เสื้อสูทนอกตัวเดียวแต่กลับต้องโชว์ความแมนด้วยการเขยิบที่ให้กับผู้หญิงวัยทำงานคนนึงได้เข้าไปหลบด้านใน ส่วนตัวเขาก็ต้องมายืนตรงริมให้ฝนโดนตัวไปครึ่งท่อน ให้ตายเถอะ รู้อย่างนี้ก่อนออกจากบ้านมาน่าจะหยิบร่มออกมาก่อน ไม่น่าคิดว่าเดินนิดเดียวก็ได้ขึ้นรถเลย
เกือบสิบนาทีเห็นจะได้รถเมล์ที่ผ่านหน้าโรงเรียนก็มาจอด แต่นั่นก็เป็นตอนที่ชานยอลเปียกไปครึ่งตัวอย่างสมบูรณ์แบบ ถือว่าโชคยังช่วยอยู่บ้างเพราะไม่มีคนแย่งขึ้นกันมากนัก อาจจะเป็นเพราะว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามากอยู่ เด็กหนุ่มขึ้นไปยังตัวรถพร้อมกับหาที่นั่งริมหน้าต่างด้านหลังสุด จัดการส่างผมเผ้าตัวเองที่เปียกชื้นอย่างลวกๆ และกางเสื้อสูทที่เปียกน้ำฝนไว้กับหน้าตักตัวเอง กระเป๋านักเรียนที่สะพายอยู่ตอนแรกถูกเอามากอดไว้เพราะแอร์บนรถช่างหนาวเหลือเกิน
ก็ไม่ให้หนาวได้ยังไง.. เล่นตัวเปียกแล้วมาขึ้นแอร์แบบนี้
แขนยาวหันนาฬิกาข้อมือสีดำขึ้นมาดูและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้า เช้ามากๆ ชนิดที่ว่าหากขึ้นรถเมล์ช้ากว่านี้ไปอีกซักสองคันเขาก็ยังจะไปโรงเรียนทันแถมยังหาอะไรกินได้อีก แต่นั่นก็ไม่ใช่เพราะว่าปาร์คชานยอลเป็นคนชื่นชอบในการที่จะไปโรงเรียนเช้าหรอก โอเค มันเป็นเพียงแค่ผลพลอยได้ที่จะไม่มีโอกาสโดนเรียนเข้าห้องปกครองโทษฐานมาสายเลยจนกว่าจะเรียนจบ แต่เหตุผลจริงๆ มันก็มีอยู่แค่ว่าใครบางคนโทรปลุกเขาแต่เช้าให้มาเป็นเพื่อนกันเท่านั้น
รถเมล์ชะลอจอดลงตรงป้ายพอดิบพอดีกับตอนที่ชานยอลหันไปมองทางประตูเพราะคุ้นข้างทาง หรือไม่ก็เพราะว่าเขารู้ดีว่าจะมีใครบางคนที่รู้จักกันกำลังจะขึ้นมาจากประตูนั้น
และนั่นไง.. พอพูดถึง ร่างที่สวมชุดนักเรียนแบบเดียวกันแป๊ะก็ก้าวขึ้นมาบนรถเมล์พอดี
ไม่ต้องเสียเวลาเรียก ดวงตากลมโตของอีกคนหันมาสบตากับเขาทันทีที่ขึ้นมาราวกับรู้ว่าชานยอลจะต้องนั่งอยู่ตรงนี้ เด็กผู้ชายส่วนสูงไม่มากเท่าไหร่เดินเข้ามานั่งข้างๆ พร้อมกับร่มสีน้ำตาลคันใหญ่ที่ดูก็รู้ว่าเพิ่งถูกหุบมาอยู่ในมือซ้ายนั่น
และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้โดคยองซูไม่ตัวเปียกเหมือนลูกหมาตกน้ำเหมือนปาร์คชานยอล
“ไง” อีกคนเริ่มทักทายเขาก่อนพร้อมกับสีหน้าที่ดูเหมือนจะแปลกใจที่ทำไมชุดนักเรียนของเพื่อนสนิทอย่างเขาถึงได้มีสภาพดูไม่ได้แบบนั้น ชานยอลไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาทำเพียงแค่ตีสีหน้าเซ็งสุดโต่งใส่อีกคนเท่านั้น แล้วคยองซูก็หัวเราะ
“อย่ามาหัวเราะนะ แกมีร่มนี่”
“แล้วใครสั่งให้แกไม่พกร่มล่ะ”
“ก็ใครจะไปคิดว่าฝนมันจะตกหนักขึ้นตอนที่เดินออกมาแล้วได้ครึ่งทางล่ะ” ชานยอลเถียงอย่างหงุดหงิด ในเมื่อเขาไม่สามารถโทษฟ้าฝนได้ก็เลยขอหงุดหงิดใส่คยองซูเอาล่ะกัน ถึงแม้จะเป็นการหงุดหงิดที่ดูเหมือนแกล้งทำมากกว่าของจริงก็ตาม แต่บรรยากาศตึงๆ ทั้งหมดทั้งมวลก็จบลงเท่านั้นเมื่อกล่องนมรสจืดถูกยื่นมาตรงหน้าจากกระเป๋านักเรียนของอีกคน
“อ่ะ กินแล้วหุบปากซะ” เสียงหัวเราะในลำคอของเพื่อนสนิททำให้ชานยอลยอมรับกล่องนมมาเจาะดูดเข้าปากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
คยองซูหยิบนมอีกกล่องจากกระเป๋ามาเจาะดูดด้วยเหมือนกัน ทั้งคู่ดื่มนมอย่างนั้นเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาจนกระทั่งชานยอลดื่มมันจนหมดกล่อง
รถเมล์ยังคงเคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ผ่านตามเส้นทางที่คุ้นชิน ชานยอลมองออกไปนอกริ่มหน้าต่างพลางคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย
“นี่เทอมสุดท้ายละเนาะ ที่จะได้นั่งรถเมล์ไปโรงเรียนแบบนี้อีก” เขาเริ่มต้นพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้หันหน้าหนีออกจากริมหน้าต่าง มองเห็นร้านนมสดที่ชอบไปกินบ่อยๆ สมัยม.ต้นกับคยองซูที่ยังคงสภาพเดิมผ่านไปตามความเร็วของรถ
“อือ อีกแค่สามเดือนเท่านั้นแหละ” คยองซูขยับปากตอบโดยที่ยังคาบหลอดนมเอาไว้อยู่
“แป๊บเดียวนี่ผ่านไปหกปีแล้วหรอวะเนี่ย.. ฉันยังจำวันแรกที่เจอแกตอนม.ต้นได้อยู่เลย”
“ตอนนั้นเรายังตัวเท่ากัน” ชานยอลหันมาขำเมื่อคยองซูพูดประโยคนั้นขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แล้วดูตอนนี้สิ..”
“แกต้องเงยหน้าคุยกับฉัน”
“ทุเรศจริงๆ”
“เอาน่า” เอื้อมมือไปตบไหล่อีกคนปุๆ อย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องส่วนสูงเป็นข้อเสียข้อเดียวที่คยองซูคิดว่าตัวเองมี แต่สำหรับชานยอลแล้ว เขากลับคิดว่าการที่คยองซูตัวแค่นี้คือเรื่องที่ดีซะอีก แม้ว่ามันจะลำบากตอนที่เจ้าตัวอยากจะเข้าชมรมบาสกับเด็กผู้ชายตัวสูงๆ เขาแต่ก็ไม่มีโอกาสหรือตอนที่ไปปิ๊งรุ่นพี่โรงเรียนหญิงล้วนใกล้ๆ แต่จีบไม่ติดเพราะคุณเธอเล่นสูงซะเกือบจะเท่าเขา
แต่ยังไงก็ตาม ไม่ว่าคยองซูจะตัวเท่าลูกหมาหรือตัวโตเป็นช้าง ปาร์คชานยอลก็คุ้นชินกับการที่มีคยองซูอยู่ใกล้ๆ ไปไหนมาไหนด้วยกันตามประสาเด็กผู้ชายที่โดนเลือกที่นั่งให้นั่งติดกันตอนม.ต้นอยู่ดี
ก็คยองซูน่ะ คือเพื่อนที่สนิทที่สุดของปาร์คชานยอลแล้วนี่
.
.
.
เสียงออดบอกเข้าชั้นเรียนดังขึ้นตรงเวลาแปดโมงครึ่งพอดิบพอดี แต่มัธยมปลายปีสามห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านักเรียนเกือบสี่สิบคนยังนั่งจับกลุ่มคุยกันตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมาตลอดช่วงปิดเทอม ต่างคนต่างแชร์เรื่องราวต่างๆ ที่ได้ไปทำมาให้กันและกันอย่างไม่หยุดพักราวกับว่าพวกเขากลัวว่าจะไม่ได้พูดมันอีก
ชานยอลกับคยองซูนั่งอยู่บนโต๊ะประจำที่คือมุมริมหน้าต่างแถวที่สามจากข้างหน้า พวกเขาไม่ต้องเสียแรงเดินไปหาคนอื่นเพราะโอเซฮุนกับหวงจือเทาเพื่อนในแก๊งได้ย้ายก้นของตัวเองมานั่งที่โต๊ะข้างหน้าเพื่อเม้ามอยเป็นที่เรียบร้อย
“ถึงป้าแกจะขี้บ่นไปหน่อยแต่ก็คุ้มกับเงินที่ได้มาละวะ อย่างน้อยฉันก็ได้รองเท้าคู่ที่เล็งไว้แล้ว” จื่อเทาพูดปิดท้ายเป็นการจบเรื่องเล่าที่ตัวเองไปทำงานพิเศษเป็นเด็กคอยบริการลูกค้าในร้านรองเท้าตลอดช่วงปิดเทอมจนไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน
“ผมเรียนพิเศษอย่างเดียวอ่ะ” ส่วนโอเซฮุนก็พูดขึ้นมาบ้างหลังจากที่จื่อเทาเล่าจบ ปาร์คชานยอลพยักหน้าหงึกๆ เขาไม่แปลกใจหรอกที่กิจกรรมที่เซฮุนทำตอนปิดเทอมจะเป็นการเรียนพิเศษ และมันแทบจะไม่ผิดกับที่คิดเอาไว้เลยเพราะคนตรงหน้าอายุน้อยกว่าพวกเขาสองปี แต่กลับได้กระโดดข้ามชั้นสอบมาเรียนด้วยกันจนคนเป็นรุ่นพี่ยังรู้สึกอาย
จะว่าเด็กมันฉลาดก็ย่อมได้.. ก็โอเซฮุนมันเป็นอิจฉริยะนี่หว่า
“เออๆ นับถือ ไอ้ลูกคุณหนูมีพรสวรรค์ ฉันละอยากจะได้สมองแกจริงๆ”
“คนเรามันเก่งไม่เหมือนกันดิ” คยองซูพูดพร้อมกับยกมือโบกหัวเทาไปหนึ่งทีเพราะพูดจาเพ้อเจ้อไม่เข้าหู ไอ้นี่ แทนที่จะพูดอะไรสร้างสรรค์มากกว่าการตัดพ้อที่ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้นมา
“คยองซูโหดตัลหลอด”
ครืด
ยังไม่ทันที่ใครในกลุ่มจะได้สวนตอบจื่อเทาไป ทุกคนก็ต้องหันไปให้ความสนใจกับเสียงเปิดประตูห้องเรียนที่ดังขึ้น ผู้ชายตัวสูงผอมใบหน้าดูมีอายุยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับกวาดสายตามาทั่วห้องเรียนที่เงียบสงัด..
“เอ้า! อะไรกันเนี่ย ทำไมนั่งกันไม่เป็นทีเป็นทางแบบนี้ ออดดังมาจะสิบนาทีแล้วนะ?”
ปัง!
เสียงไม้เรียวที่ถือติดมือมาด้วยกระทบกับโต๊ะเรียนด้านหน้าทำให้เด็กทั้งห้องรีบวิ่งกลับไปนั่งที่ตัวเองกันแทบจะไม่ทัน ปาร์คชานยอลก้มลงใต้โต๊ะเพื่อกลั้นขำจื่อเทากับเซฮุนที่รีบมากจนวิ่งชนกันดังปึ้ก แต่สุดท้ายแล้วเซฮุนก็ไปนั่งโต๊ะด้านหน้าสุดของตัวเองได้ทันพอดีที่อาจารย์ประจำชั้นสุดโหดไปเดินไปตำแหน่งหน้ากระดานเหมือนกันกับเทาที่ไปนั่งอยู่ท้ายห้อง
ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ทุกคนจ้องมองไปที่อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้ากระดานด้วยใบหน้าที่เกร็งให้น่าเกรงขาม คยองซูที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมากลอกตาส่งสัญญาณต้อนรับความน่าเบื่อกับคาบโฮมรูมของเช้าวันแรกที่คงไม่พ้นการบ่นเรื่องต่างๆ ที่แม้จะมีสาระยังไงก็ไม่น่าฟัง
และระหว่างที่พูดคุยกันทางสายตานั่นเอง พวกเขาก็เลยไม่ได้สังเกตว่ามีใครบางคนค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องเรียน
“เอาล่ะ” เสียงอาจารย์ดังขึ้นเรียกความสนใจให้เด็กหนุ่มทั้งคู่หันกลับไปสนใจกระดานอีกครั้ง ตอนนั้นเองแหละที่สายตาของชานยอลได้เห็นว่านอกจากอาจารย์แล้ว ข้างๆ ยังมีร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมยาวหน้าตาน่ารักยืนอยู่ด้วยกัน
“ยินดีตอนรับเข้าสู่ภาคเรียนสุดท้ายในมัธยมปลายของพวกเธอ ครูจะไม่พูดอะไรมาก.. นี่คิมเยจิน..”
“เด็กไหมกลางเทอมหรอว..”
“น่ารักจังวะ..”
เสียงพูดของคยองซูดังสวนขึ้นมากับตอนที่ชานยอลถาม..
ดวงตากลมโตดูเหม่อลอยอย่างกับหลุดเข้าภวังค์ตอนที่ปาร์คชานยอลหันหน้าไปมองเพื่อน คยองซูดูไร้สติที่สุดในตอนนี้ สายตานั่นจับจ้องไปที่เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่เขาว่าอย่างเปิดเผย และไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ จากที่เป็นเพื่อนกันมาหกปี ชานยอลฉลาดพอที่จะมองออกว่าคยองซูคิดอะไร..
นี่มันมันสายตาเดียวกับตอนที่คยองซูปิ๊งผู้หญิงรุ่นพี่โรงเรียนหญิงล้วนตัวสูงชะลูดชัดๆ..
TBC.
โผล่มาเเกก็ไปปิ๊งคนอื่นเฉยเลยอ่ะ
ความคิดเห็น