คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : INTRO
เดือนพฤศจิกายน
รองเท้าผ้าใบสีดำเช่นเดียวกับทั้งชุดของเด็กหนุ่มตัวสูงผมสีแดงเข้มเหยียลงบนแอ่งน้ำเล็กๆ บนท้องถนนที่เกิดขึ้นเพราะฝนที่เพิ่งตกอย่างหนักก่อนจะซาลงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ขายาวก้าวผ่านความมืดมิดในท้องถนนยามค่ำคืนด้วยความหวาดหวั่นเหมือนกับกำลังเดินผ่านถ้ำเสือ รู้สึกราวกับเขาอยู่คนเดียวในโลกใบนี้แม้แสงไฟอ่อนๆ จากร้านกาแฟ 24 ชั่วโมงที่เดินผ่านจะปลอบใจเขาเมื่อมองเข้าไปแล้วเห็นคนนั่งอยู่ประปรายบ้างก็ตาม
เงยหน้ามองป้ายบอกทางที่แทบจะมองไม่เห็นหากไม่มีแสงไฟริมถนนช่วยเอาไว้ ชื่อสถานที่ที่เขาต้องการจะไปขึ้นหราบอกให้เลี้ยวไปทางซ้ายหลังจากผ่านสี่แยกนี้ไป หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นรัวเมื่อเดินข้ามถนนที่ไม่มีแม้แต่รถซักคันขับผ่าน ด้วยความที่แทบจะขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองร้าง มันไม่แปลกที่จะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดออกมาเผ่นพ่านตอนตีสามครึ่งแบบเขา
และแน่นอนว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเสี่ยงตายที่สุดในชีวิตของเด็กหนุ่มก็ได้ เพราะเขากล้าที่จะออกมาเดินยามวิกาลแบบนี้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากฎของเมืองนี้คือ ‘ห้ามออกนอกบริเวณที่อยู่อาศัยหลังเที่ยงคืนถึงตีห้า’
มันไม่ใช่ความเผด็จการของคนที่คิดกฎนี้ขึ้นมา.. หากแต่ว่ามันคือการป้องกันภัยอันตรายจากบางสิ่งที่หากไม่มีกฎนี้ ใครที่รักตัวกลัวตายก็คงจะทำแบบนี้กฎตั้งไว้อยู่แล้ว แต่ ‘เขา’ กลับแตกต่างออกไป
เพราะเขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุด โดยที่เขาเองก็ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น
ท้องฟ้ายามค่ำคืนเป็นสีเดิมเพียงแต่ว่ากลุ่มก้อนเมฆสีเทาที่ล่องลอยจนเหมือนกับว่าฝนจะตกลงมาอีกรอบทำให้ขายาวเพิ่มความเร็วและความยาวในการก้าวขาขึ้นไปอีก แทบหยุดหายใจหากได้ยินเสียงอะไรซักอย่างทั้งที่บางครั้งมันก็เป็นเสียงเท้าของเขาที่เผลอไปเสียดสีพื้นเอง
และสุดท้ายร่างสูงก็มาหยุดอยู่ที่ตึกเก่าทรงโบราณที่ดูจากสภาพแล้วอายุคงไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี ประตูไม้ที่จางเพราะความเก่าของมันแต่ก็ยังหลงเหลือพอให้เห็นบ้างว่าแต่ก่อนเคยเป็นสีเขียวเข้มถูกปิดสนิท มือหนาของเด็กหนุ่มถือวิสาสะจับลูกบิดหมุนเปิดประตูเพราะรู้ดีกว่ามันไม่เคยล็อค
“...”
ปิดประตูกลับโดยส่งเสียงให้เบาที่สุดหลังจากที่พาตัวเองเข้ามาด้านในได้แล้ว กลิ่นอับชื้นข้างในไม่ส่งผลอะไรให้คนที่เพิ่งเข้ามาระแคะระคายอะไร เพราะเขาคิดว่าการอยู่ในที่อับๆ แบบนี้ย่อมดีกว่าสถานที่ๆ เขาอาศัยอยู่ทุกวันเป็นไหนๆ
พื้นที่กว้างขวางของห้องโถงที่ดูเหมือนโบส์ถหากแต่ว่าถูกวางด้วยของที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ระเกะระกะ ข้างในอยู่ในความมืดมิดเพราะไม่มีแสงไฟใดเข้ามาช่วยให้มองอะไรเห็นนอกจากแสงของดวงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างใหญ่บนชั้นสองที่มองแล้วให้ความรู้สึกน่ากลัวแปลกๆ บรรยากาศโดยรอบบ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้เก่าและทรุดโทรมมาก การที่ถูกทิ้งร้างไว้แบบนี้บอกได้ดีว่าคงไม่มีใครมาอยู่อาศัย
แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
“ใครน่ะ..” เสียงหนึ่งดังมากจากตรงไหนซักทีที่เขามองไม่เห็นเพราะรอบตัวมืดสนิท แต่เป็นเสียงที่เขาคุ้นหูดี เด็กหนุ่มยืนนิ่งๆ ฟังเสียงเท้าของคนที่อยู่ข้างในก่อนแล้วเดินมาหาเขาเพราะจากจุดที่เขายืนตรงกับจุดสว่างที่สุดที่แสงจันทร์สอดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา
ร่างของเด็กหนุ่มอีกคนที่อายุใกล้เคียงกันแต่ตัวเล็กกว่าในชุดแขนยาวสีเทากับกางเกงขายาวสีดำสนิทปรากฏขึ้นจากทางขวามือของมุมห้องโถง ใบหน้าขาวที่ถูกแสงจันทร์ส่องลงมาทำให้เห็นว่าคนๆ นั้นกำลังมองเขาด้วยสายตาแบบไหน มันดูตื่นตระหนกและตกใจ
“ชานยอล! แกมาที่นี้ตอนนี้ทำไม มาได้ยังไง” ดวงตาเล็กเบิกกว้างก่อนจะส่งเสียงถามเขาอย่างตกใจแต่มันก็อยู่ในระดับที่เบามากอยู่ดี เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกส่งยิ้มที่ดูเหมือนกำลังพยายามขยับปากเฉยๆ มากกว่าไปให้อีกคน ดวงตาที่แทบจะไม่มีความรู้สึกอยู่ในนั้นหันมามองจนคนตัวสูงน้อยกว่ารู้สึกได้ว่ามันดูเหนื่อยล้าเต็มที
“เรื่องเดิม..”
“แล้วทำไมแกถึงไม่รอให้เช้าก่อนแล้วค่อยมา มันอันตรายชิบหายแกไม่รู้หรอ ถ้าหากว่ามันเจอแกขึ้นม..”
“เงียบน่าแบคฮยอน” ชานยอลพูดสวนเด็กหนุ่มตัวเล็กกว่าข้างหน้าก่อนจะปัดมือบอกให้อีกคนหยุดพูด เขารู้ว่าแบคฮยอนที่เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวต้องบ่นยาวๆ แน่ๆ ที่เห็นเขาตอนนี้ ถึงแม้จะเอาเหตุผลเรื่องเดิมที่แบคฮยอนก็รู้ดีมาบอกก็เถอะ “ฉันเหนื่อยมาก เดินมาก็แทบแรงจะหมดแล้ว อย่าให้ต้องเสียพลังงานไปกับการฟังแกบ่นได้ไหม”
“ฉันจะไม่บ่นเลยถ้าการที่แกมาที่นี่มันจะเสี่ยงต่อการที่พรุ่งนี้ฉันอาจจะได้ยินข่าวแกตาย”
“แต่ฉันอยู่นี่แล้ว แบคฮยอน และยังไม่ตาย”
“แกมันก็อย่างนี้” แบคฮยอนถอนใจจบประเด็นและเขายอมแพ้เรื่องที่จะบ่นเพื่อนตัวดีคนนี้ เด็กหนุ่มตัวเล็กพยักหน้าไปทางที่ตัวเองเดินออกมาเพื่อบอกให้ชานยอลเดินตามเขาไป แบคฮยอนเดินเข้ามาในความมืดอย่างคุ้นเคยโดยมีชานยอลเดินตามอย่างเงียบๆ คนสองคนพยายามลงฝีเท้าให้เบาที่สุดเพื่อที่จะไม่ให้ใครคนอื่นที่อยู่ในนี้นอกเหนือจากแบคฮยอนคือครอบครัวของเขาเองตื่นขึ้นมาอีก
แบคฮยอนพาชานยอลเดินเข้ามาจนเกือบจะเป็นด้านในสุดที่มีของใช้เก่าๆ เหลือทิ้งวางอยู่เต็มไปหมด มันแทบจะเรียกว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ของเขาเลยก็ได้หากเทียบกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเขามี แน่นอนว่ารวมถึงตึกเก่าๆ นี่ด้วยเช่นกัน
มันไม่ใช่ของๆ เขาหรือครอบครัวเขาตั้งแต่แรก แต่เพราะถูกทิ้งร้างพอๆ กับเมืองนี้ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าบ้านของครอบครัวแร่ร่อนอย่างพวกเขาไปโดยปริยายเมื่อสามปีก่อน
“แกนอนนี่แล้วกัน ตอนสายพรุ่งนี้ฉันจะมาเรียก มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ถ้าแม่ฉันรู้ว่านายมาที่นี่ตอนนี้ เพราะงั้นอย่าให้ใครหาเจอล่ะ” แบคฮยอนชี้ไปตรงที่พื้นโล่งเพียงพอสำหรับสองคนเข้าไปนอนหรือนั่งได้โดยมีตู้วางของกับกล่องใบใหญ่บังหากมองมาจากด้านนอก
“อืม แกไปนอนเถอะ ขอบคุณ” ชานยอลยกมือให้แบคฮยอนก่อนที่เพื่อนตัวเล็กจะหายเข้าไปในความมืดอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงเท้าที่เบามากค่อยๆ ห่างออกไปทีละก้าว จนสุดท้ายมันก็เงียบลง ที่นอนของแบคฮยอนคืนนี้คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขามานัก
ร่างสูงของเด็กหนุ่มนั่งลงกับพื้นก่อนที่เขาจะพยายามมองหาอะไรซักอย่างมาหนุนหัวในความมืด และมันก็เป็นโชคดีที่ชานยอลเห็นหนังสือเล่มหนาวางอยู่ที่ปลายเท้าของเขาพอดี มือหนาหยิบมันมาวางก่อนจะล้มหัวลงหนุน มันแข็งมากก็จริงแต่มันก็อาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในคืนนี้ก่อนที่เขาจะหลับ
“..”
ดวงตากลมของชานยอลเหม่อมองไปที่หน้าต่างชั้นสองที่ๆ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามา เขาเห็นครึ่งหนึ่งของหลังคาตึกข้างๆ กับท้องฟ้าที่ดูจะสว่างกว่าตอนที่เขาเดินมาที่นี่นิดหน่อยและมันทำให้ใจเขาสงบลง ร่างสูงสลัดเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ๆ เขามาเพราะมันมีแต่จะทำให้เขาฝันร้ายไปเท่านั้น คืนนี้ปาร์คชานยอลแค่ต้องการนอนหลับโดยไร้จากเสียงร้องที่อย่างทรมาณหรือเสียงเคาะประตูห้องของเขาอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าตอนนี้จะมีเพียงหนังสือเล่มหนาแข็งๆ หนุนหัวเขาอยู่ก็ตาม
ชานยอลยังคงมองไปที่หน้าต่างใหญ่ พระจันทร์ด้านนอกดูเหมือนจะเป็นดั่งนิทานกล่อมเด็กนอน เพราะมันทำให้เขาเคลิ้มจนกำลังจะหลับ เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ พร้อมกับสติของเด็กหนุ่มที่เข้าสู่หวงนิทรา
โดยที่ภาพสุดท้ายก่อนที่สติจะดับลง คือภาพร่างของเด็กผู้ชายที่มีดวงตากลมโตกำลังนั่งอยู่บนหลังคาในชุดสีขาว พร้อมกับสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ที่เขาไม่รู้ว่าคืออะไรอยู่ข้างๆ
และดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมาทางชานยอล ราวกับกำลังรอให้เขาหลับใหล..
ไม่ใช่ฟิคผีนะคะ อย่าเข้าใจเค้าผิด แฟนตาซีก็พอเนอะT_T
ความคิดเห็น