ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดั่งต้องมนต์

    ลำดับตอนที่ #2 : ดั่งต้องมนต์ series : 01 ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 49


    ดั่งต้องมนต์  Series  :  01 
    ตอนที่  2
              "  ก๊อก..ก๊อก  คุณพ่อค่ะ  "  ปราณต์ฟ้าไม่รอให้คนในห้องเอ่ยอนุญาติ  เธอก็เปิดประตูผละเข้าไปทันทีแล้วก็ต้องชะงักงันเพราะผู้เป็นพ่อไม่ได้นั่งอยู่เพียงคนเดียวในห้อง
              "  ขอประทานโทษค่ะ  "  ฟ้ารีบกล่าวแล้วดึงประตูปิดโดยเร็ว  แต่ก็มีเสียงหนึ่งรั้งเหยุดไว้เสียก่อน
              "  ลูกฟ้าเข้ามาก่อนซิ  พ่อจะแนะนำให้หนูรู้จักเพื่อนพ่อ  " 
         ผู้เป็นพ่อลุกจากโซฟาตัวยาวเข้ามาเกาะไหล่ลูกสาวไว้แล้วพามานั่งลงข้างๆ  ฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายสามคนนั่งอยู่ในชุดสูทแต่งตัวดี  แต่ละคนมีวัยที่แตกต่างกันเล็กน้อยแต่มีเพียงชายหนุ่มที่นั่งตรงกับเธอเท่านั้นที่ดูจะอ่อนวัยสุด
              "  สวัสดีค่ะ  "  ฟ้ากล่าวทักทายยกมือก้มลงไหว้อย่างนอบน้อม  แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอได้มีโอกาสสบตากับบุคคลตรงหน้า
         เธอเห็นแววตาที่ฉายประกายของความฉงนและตกใจของชานหนุ่มจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดือดดาล  ชายหนุ่มในชุดสูทดสีดำมีอาการเกร็งกำปั้นตัวสั่นเทิ้มเหมือนเขากำลังระงับความโกรธ  ทุกกิริยาที่เธอเห็นนั้นได้เกิดขึ้นเพียงครู่เดียว
         และอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ที่ทำให้ฟ้ามีอาการหนาวสั่นและหวาดกลัวสายตาของบุรุษตรงหน้า  แต่ฉับพลันมีไอความร้อนซึ่งเกิดจากความโกรธแค้นจากเศษส่วนลึกของจิตใจได้พุดพุ่งขึ้นมาแทนที่ความกลัวนั้นจนหมดสิ้น  หนุ่มสาวทั้งสองจึงแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาทั้งคู่นั้นเกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แวบแรกที่เห็น  แต่เขาทั้งคู่ก็ยังฝืนเก็บพฤติกรรมของตัวเองไว้ในเมื่อมีบรรดาผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่
              "  เออ...ฟ้า...ลูกฟ้า  " 
         ฟ้ายังคงนั่งนิ่งทั้งยังไม่ละสายตาคู่งามจากชายหนุ่ม  เธอเงียบเฉยจนหน้ากลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงใดๆทั้งสิ้นอีกทั้งสายตาของลูกสาวก็แข็งกร้าวมากจนผู้เป็นพ่อเริ่มลังเลและสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้ 
              "  อะไรคะ...พ่อ  "  ฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและกระด้าง  สร้างความลำบากใจให้ผู้เป็นพ่ออย่างมาก
              "  ลูกมาส่งเอกสารใช่มั้ย  อยู่ไหนล่ะเอกสารน่ะ...พ่อกำลังต้องการอยู่พอดี  "  ผู้เป็นพ่อพยายามคะยั้นคะยอให้ลูกสาวหันกลับมาพูดกับตนเอง  แต่ก็เปล่าประโยชน์
         เพราะฟ้ายื่นเอกสารที่วางไว้บนตักยื่นส่งให้ตรงหน้าผู้เป็นพ่อ  ทั้งทียังคงจ้องอย่างไม่ลดละจนกระทั้งได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงข้าม
              "  นี่คงจะเป็นบุตรสาวคนโตที่คุณอาเคยพูดถึงซินะครับ  "  น้ำเสียงที่กล่าวดูเคร่งขรึมดุดันไม่แพ้สีหน้าแต่ก็ดูจะผ่อนคลายลงไปมากซ้ำยังละสายตามองไปทางบุรุษสูงวัยกว่าที่นั่งอยู่เคียงข้างหญิงสาว
              "  อะ  ใช่ครับ  เธอยังเป็นเด็กอยู่มากนะครับ  "  คุณเปรม  พ่อของปราณต์ฟ้ากล่าวออกตัวถึงพฤติกรรมที่เสียมารยาทของหญิงสาว
         ส่วนฟ้า  เธอยังคงมองคนตรงหน้านิ่ง  คิดค้านคำพูดของผู้เป็นพ่อในใจ
              [  ฟ้าอายุ  22  แล้วค่ะพ่อ  มันไม่เด็กแล้วค่ะ  ]
         แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันอออกมา  ถึงแม้อาการแข็งกร้าวกับแรงกดดันจากทั้งสองฝ่ายจะผ่อนคลายลงไปบ้าง  แต่สายตาของความไม่ไว้ใจของเธอก็ยังเหมือนเดิม  ทั้งยิ่งหวาดระแวงและรู้สึกไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น  ปราณต์ฟ้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มหันกลับมาจ้องเธออีกครั้งและเธอมั่นใจด้วยว่าเห็นเขากระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย  ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น

              "  คุณอาครับผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีนัดอีกราย  ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณอาเปรม  คราวหลังผมจะมาตามคำที่คุณอาชวนรับประทานอาหารใหม่  สวัสดีครับ  " 
         ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณเปรมและคุณอาทั้งสอง
              "  ผมกลับก่อนนะครับคุณปราณต์ฟ้า...ผมหวังว่าเราคงได้พบกันใหม่เร็วๆนี้  "  ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่นจนพ่อของฟ้าสะดุ้ง  ฟ้าเองเสียอีกที่นั่งนิ่งจ้องตอบเขา
              "  ค่ะ...เช่นกัน  " 
         ฟ้าเอ่ยเสียงเรียบแต่เจือน้ำเสียงขุ่นมัวไว้  ความรู้สึกของเธอเป็นสาเหตุให้เธอกระทำท่าทีเสียมารยาทเช่นนั้นกับแขกของคุณพ่อ  แต่ที่แน่ๆและมั่นใจที่สุดก็คือผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย

    ...................................................................................................................................................................................
              "  ยัยฟ้า  หนูรู้ตัวบ้างมั้ย  ว่าทำอะไรลงไป  " 
         เสียงตวาดก้องดังขึ้นในห้องหลังจากที่แขกทั้งสองลากับแล้ว  ปราณต์ฟ้าก้มหน้านิ่งรับฟังคำว่ากล่าวจาผู้เป็นพ่อ  โดยธรรมดาแล้วคุณพ่อของเธอนั้นแสนจะเป็นคนอารมณ์ดีใจเย็นแต่ครั้งนี้การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น  ด้วยเหตุที่ว่าหญิงสาวทำตัวเหลวไหลไร้มารยาทและไม่มีเหตุผลใดๆมากล่าวคำอ้างแก้ตัว
               "  พ่ออุตสาห์หาโอกาส  กว่าพ่อจะนัดคุณพลัชได้ลูกรู้บ้างมั้ยว่าจะต้องใช้เวลารอคอยเท่าไหร่ผ่านขั้นตอนขนาดไหน  "  คุณเปรมเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด 
              "  ยิ่งโครงการที่ตั้งใจไว้ว่าจะแปรรูปหัตถกรรมมือเราจำเป็นจะต้องพึ่งบริษัทเอกชนรายใหญ่พัฒนาหมู่บ้านเรา  พ่อไม่หวังพึ่งรัฐฯฝ่ายเดียว  ฟ้า...ลูกน่าจะรู้ว่าเราต้องช่วยตัวเองด้วย  ต้องหาแหล่งงเงินทุนหมุนเวียนรองรับความเสี่ยง  แต่นี่...เรากำลังเสียแขนขาเพราะเราตัดกำลังของตัวเอง...  "  พ่อเปรมเงียบไปพร้อมอาการถอนหายใจ  แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า
              "  พ่อไม่เข้าใจฟ้า...ทำไมลูกถึงทำเช่นนั้น  หนูไม่ใช่คนวู่วามและหยาบคาย...อะไรทำให้หนูเป็นอย่างนั้นหนูบอกพ่อได้ไหม  " 
         ปราณต์ฟ้านั่งก้มหน้านิ่วนิ่งเงียบ  สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ  เธอไม่เคยเห็นพ่อโกรธอะไรเท่ากับครั้งนี้มาก่อนมันทำให้เธอไม่กล้าพอที่จะบอกความรู้สึกนึกคิดที่มีให้พ่อเธอฟัง  เพราะมันช่างไร้เหตุผลมันอ้างไม่ขึ้นเอาเสียเลย  จะให้เธอบอกพ่อหรือว่า  เธอรู้สึกถึงแรงอาฆาต  ความจงเกลียดจงชัง  ที่มันมีอยู่โจ่งแจ้งจากชายคนนั้น  อีกทั้งเธอยังมีความรู้สึกรังเกียจและหวั่นกลัวคล้ายกับเจออสรพิษ  แค่เธอลองจิตนาการว่าครอบครัวเธอโดนสัตว์ดุร้ายตัวสูงใหญ่ฆ่าหรือไม่ก็โดนมนุษย์กักขฬะลวงหลอกไปฆ่า  จิตใจเธอก็ครุกรุ่นเต็มไปด้วยอารมณ์  มันผสมปนเปกันไปหมดทั้งความกลัวและความกล้า...เธอรู้เพียงว่า  จะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เข้าใกล้ครอบครัวของเธอเป็นอันขาด         
              "  ฟ้าไม่มีอะไรจะบอกคุณพ่อค่ะ  ฟ้ารู้แต่ว่าฟ้าไม่อยากให้คุณพ่อคบค้ากลับเค้า  "  ปราณต์ฟ้ายืนยันหนักแน่นจนผู้เป็นพ่อฉุนกึก
              "  ก็แล้วอะไรล่ะที่ทำให้หนูคิดอย่างนั้น  "
         ปราณต์ฟ้าจนปัญญาได้แต่อัดอัดตันใจ  เธอมีสีหน้ายุ่งยากมากมายที่จะคุยเรื่องนี้
               "  เอาเถอะค่ะ  พ่อทำตามที่ฟ้าขอได้ไหมค่ะ  "  ฟ้าตัดบทไม่อยากยืดเยื้อไปมากกว่านี้
              "  ยัยฟ้า  เรานี่โตๆกันแล้วนะ  ไม่ใช่เด็กๆถึงได้มาขอโน้นขอนี่โดยไม่ใช้เหตุผลคิดตรึกตรองน่ะ  " 
              "  โธ่คุณพ่อค่ะ  ฟ้ามีเหตุผลนะค่ะ  ฟ้ามีเหตุผลของฟ้า  " 
              "  แต่มันไม่ใช่เหตุผลของพ่อ  นี่ฟ้า  หนูน่ะกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะ  "
              "  โธ่คุณพ่อค่ะ  "  ฟ้ารู้ดีอยู่เต็มอกว่าสิ่งที่เธอทำมันเหลวไหล
              "  เอาล่ะพอๆ  พ่อไม่อยากเถียงกับเราแล้ว  พ่อให้ตามที่หนูขอไม่ได้ไปๆกลับบ้าน  พ่อจะทำงานต่อแล้ว  "     พ่อเปรมจับบ่าลูกสาวดึงดันออกจากห้อง  เขาพาเธอมาถึงหน้าประตูลุกบิด
              "  พ่อจะทำงานต่อ O.K.ไหม  "  เขาหันเหน้าข้าหาลูกสาวที่ทำสีหน้ายุ่งยากใจ
              "  ค่ะ O.K....แต่แค่ตอนนี้เท่านั้นนะค่ะ  ฟ้าจะคุยกับคุณพ่ออีกหลังจากที่คุณพ่อกลับถึงบ้านแล้ว  " 
         ปราณต์ฟ้ามองหน้าผู้เป็นพ่อจริงจังและมุ่งมั่นจนผู้เป็นพ่อหนักใจ  เขารู้จักลูกสาวดีว่าเป็นคนเช่นไรเธอไม่ใช่คนดึงดันเอาชนะโดยไม่ฟังความเห็นใดๆแต่ก็ไม่ยอมแพ้ไปซะทีเดียว      
              "  เอาก็ได้  เราจะคุยกันอีกแต่ลูกต้องหาสาเหตุดีๆกับเหตุผลงามๆเตรียมไว้ให้พ่อ   แล้วเจอกันจ๊ะ  "  พ่อเปรมก้มจูบลงบนเรือนผมที่มัดไว้อย่างเรียบร้อยแผ่วเบาพร้อมแววตาเอ็นดู
              "  ค่ะ  "  ปราณต์ฟ้ายิ้มกว้าง  ดวงตาสดใสขึ้นฉับพลันพ่อเปิดโอกาสให้เธออีกครั้ง  มันทำให้เธอมีเวลาคิดหาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
              "  คุณพ่อค่ะ  หนูดีใจจังค่ะที่หนูเกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ  สวัสดีค่ะหนูไปนะค่ะ  " 
         ปราณต์ฟ้าพนมมือไหว้ซบอกผู้เป็นพ่อ  แล้วก้าวไปเปิดประตูออกไปซึ่งก่อนที่เธอจะปิดประตูลงสนิทนั้นเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะทำงานแต่เธอก็ไม่ได้สนใจเดินจากไปอย่างโล่งใจกลับบ้านแม้จะเพียงชั่วครู่ก็ตาม
              "  สวัสดีครับ  ผมเปรมพูดครับ  "  คุณเปรมกรอกเสียงลงไปตามสายแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง
              "  คุณพลัชเองหรือครับ...อ๋อ  ได้ครับ  ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับที่คุณสนใจโครงการของเรา...ที่ประชุมเห็นพ้องหรือครับ...ได้ครับ  นัดวันเซ็นสัญญาพร้อมโอนเงินทุนได้ในวันเดียวกันเลยครับ...ไม่ขัดข้องครับ  พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงก็ได้ครับ...ครับ..ครับ  สวัสดีครับ  "  คุณเปรมวางโทรศัพท์ลงอย่างดีใจเมื่อสัญญาต่างๆเป็นไปได้ด้วยดีแล้วก็ต้องฉุกนึกถึงลูกสาวที่มีดวงหน้าวิงวอนของร้อง
              "  แล้วเราจะบอกยัยฟ้ายังไงดีล่ะเนี่ย   " 
         คุณเปรมนึกเขาไม่เคยเห็นลูกสาวแสดงอาการร้องขออะไรจากเขาแบบนี้เลย  มันทำให้เขาคิดว่าอะไรเป็นเหตุทำให้ลูกสาวกระทำเช่นนั้น  ผู้เป็นพ่อคิดหาสาเหตุไปเรื่อยๆหยุดชะงักกับความคิดของตัวเองบางอย่างก่อนจะสรุปออกมา
              [  ยัยหนูต้องเคยรู้จักกับคุณพลัชเป็นแน่  ไม่เช่นนั้นแกจะมีท่าทางอย่างนั้นหรือ  แล้วบางที่แกอาจจะมีอะไรปิดบังเราไว้  ]
         คุณเปรมยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลเป็นอันว่าตลอดบ่ายวันนั้นพ่อของฟ้าแทบจะไม่มีกะใจทำงานเลย
         ตลอดช่วงหัวค่ำวันนั้นเธอกับพ่อทุ่มถียงกันถึงเรื่องนี้  เมื่อหญิงสาวรู้ว่าความพยายามของเธอไม่สำเร็จมันล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ  ทำให้เธอผิดหวังหญิงสาวเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ  เธอนอนซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มบรรยากาศภายในห้องนอนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับจิตใจที่ฟุ้งซ่านผลของความไม่ชอบใจยิ่งคิดยิ่งทำให้เธออึดอัดคับข้องใจรู้สึกกระส่ำกระส่ายร้อนลุ่มเหมือนโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา
              "  ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้นะ  "  ฟ้าลุกพรวดจากที่นอนขึ้นมานั่งชันเขา  แล้วก็ล้มตัวตะแคงข้างกลับไปที่นอนใหม่สีหน้าและแววตาเธอขุ่นมัวคิ้วเรียวขมวดมุ่ย
              "  เราคิดมากไปเองหรือเปล่า....คิดไปเองหรือเปล่าฟ้า  "  เธอพึมพำสายตาเหม่อลอยอยู่เป็นนานกว่าความเมื่อยล้าจะนำพาเธอหลับใหลและจมลงในห้วงฝันอย่างกระส่ำกระส่ายจนประกายดาวเปล่งแสงจรัสขึ้นระยับ
    เติมเต็มฟากฟ้า
    ..................................................................................................................................................................................
     "  เอาเร็วๆๆ  รีบๆช่วยกันหน่อย  " 
         เสียงลุงหมอบเร่งลุกบ้านอย่างแข็งขันพร้อมเสียงลูกบ้านดังเซ็นแซ่ไปหมด  เพื่อที่จะช่วยกันตอกเสาเรือนสร้างกระโจมและซุ่มต่างๆให้ทันวันงานที่กำลังใกล้เข้ามา
              "  เออๆ  เสามันยังเอียง  เออ...นั่นแหละ  จัดมันให้ตรงๆนั้นแหละๆ  อืมไม้ไผ่ป่าบ้านเรานี่มันดีจริงๆลายก็สวยสดลำต้นก็หนาใหญ่ทั้งยังเงางามเชียว  " 
         ลุงหมอบลูบลำต้นหนาใหญ่ของลำไผ่แล้วมองสูงขึ้นไปที่มุมเสาของซุ้มไม้ไผ่ที่แกะสลักลวดลายกนกอันอ่อนช้อยลงทองที่ขับให้ลายและสีของไม้เด่นเป็นสง่าน่าชื่นชม
              "  ลุงหมอบๆ  ยายทวดเฒ่าแกเรียกหาแน่ะ  แกให้ข้ามาตามรีบไปเลยนะ  เดี๋ยวข้าจะไปตามปู่จอบ  ปู่เมี่ยงกับยายฝักก่อน  "
              "  เดี๋ยวไอ้ผัน  ยายทวดให้ไปตามปู่จอบ  ปู่เมี่ยงกับยายฝักด้วยหรือ  "
              "  ใช่  ไปแล้วนะลุง  " 
         เมื่อเด็กหนุ่มในหมู่บ้านวิ่งจากไปสีหน้าลุงหมอบหัวหน้าหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยความกังวล จากนั้นก็รีบสั่งงานแล้วเร่งเดินตรงไปยังท้ายหมู่บ้านเมื่อตะวันยังมีแดดสีแสดทอดทออยู่เหนือยอดดงไม้
              "  ยายทวดเฒ่า  เรียกหากระผมหรือครับ  "  สุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาที่ข้างเสาเอกริมทางเข้าออกที่เป็นเพิงพักเชิงหมาแหงนเปิดโล่ง
         ภาพของผู้สูงอายุวัยประมาณเจ็ดสิบแปดสิบปีสี่คนกำลังคลานเข้าหาหญิงชราผู้สูงวัยยิ่งกว่า  ซึ่งกำลังนั่งหลาวใบทางมะพร้าวไว้สำหรับใช้กวาดลานบ้าน  ตัวหญิงชราผู้นี้ดูคลับคล้ายเปลือกเก่าแก่ของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งโค้งงอผิวเป็นกระตะปุ่มตะป่ำเคลื่อนย้ายตัวอย่างช้าๆ  แกเงยหน้าอันสั่นเทาขึ้นมามอง แต่มืออันเหี่ยวย่นและสั่นไหวนั้นยังคงค่อยๆลากสาวทางมะพร้าวขึ้นไปยาวๆอย่างชำนาญและเที่ยงตรง  แววตาที่เคลื่อนมองมาคาดว่าสมัยกาลก่อนคงส่องสว่างสุกใสเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและอำนาจบารมี  ถึงแม้ว่าปัจจุบันนัยต์ตาคู่งามนั้นจะเหี่ยวย่นและฝ้าฟางมองแทบไม่เห็นแล้วก็ตาม  ยายทวดเฒ่าในชุดคอกระเช้าผ้าไหมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนนุ่มแผ่วเบา
                "  ...ใช่...  "  แกตอบสั้นๆแล้วนิ่งเงียบไปอีกนานกว่าจะเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบขึ้นอีกครั้ง
                "  นานมากแล้ว  มันนานมากแล้วจริงๆ  ที่ข้ามีชีวิตอยู่มาทุกวันนี้  "
          แกเงียบไปอีก  จนชายเฒ่าและหญิงชราต่างมองสบกันด้วยความสงสัย
              "  ข้าเฝ้ารออย่างหวาดหวั่นเหลือเกิน...ความหวาดระแวงมันกินใจข้ามานาน  จนข้าคิดว่าข้าคงจะตายไปซะก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินแก้  "   ผู้สูงวัยต่างไม่กล้ามองหน้ายายาทวดเฒ่าทั้งหมดต่างหมอบกราบตัวสั่นด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวอย่างดุดัน
              "  สิ่งที่ข้าจะบอกพวกเจ้าก็คือ...มีคนทำลายเขตคุมขังลงแล้ว  "
              "  อ้า  ว่ากระไรนะยายทวด  "  ชายและหญิงชราเงยหน้าร้องอย่างตกใจทั้งแสดงสีหน้าประหวั่นพลันพรึงเป็นอย่างยิ่ง
              "  ข้ากระผมคงไม่หูเฝื่อนไปหรอกนะกระผม  "  ปู่เมี่ยงพูดขึ้นด้วยเสียงอันหย่อนยานตะกุกตะกัก
              "  ไม่เลย...แกฟังไม่ผิดหรอกเจ้าเมี่ยง  "  ยายทวดเฒ่าเอ่ยอย่างผู้ชรากล่าวกับเด็ก
              "  มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันล่ะจ๊ะยายทวด  "  ยายฝักกล่าวสอดขึ้นเสียงสั่น
               "  ข้าก็ไมรู้เหมือนกัน....ข้ารู้แต่ว่า  เขตแดนที่พวกพี่ข้าทำไว้มันขาดแล้วเท่านั้น  แต่ว่าใครทำนั้นข้าก็ไม่อาจรู้ได้  ข้ายังคิด..ข้ายังสงสัย..หญิงชายในหมู่บ้านเราไม่มีใครคิดกล้าเข้าไปใกล้ในทะเลสาบนั้นแน่  "  ยายทวดหยุดแล้วพ่นลมหายใจกล่าวเสียงระห้อยเหมือนหมดกำลัง
              "  ข้าแก่เกินไป...ข้ารอคอยมานานเกินไป  " 
         ทุกคนต่างนิ่งเงียบเป็นนานกว่าเสียงแห่งอำนาจปลุกห้วงแห่งความพะวงให้มลายไป
              "  เจ้าหมอบ  แกพาชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมาหาข้า  ข้าจะบอกวิธีที่จะรับมือกับพวกมันยังไง ..พาพวกผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานมีลูกมีผัวมาหาข้าด้วย  พามาให้หมดทั้งหมู่บ้านนั้นแหละบอกไปว่าเกี่ยวกับพิธีกรรมวันงามก็พอ...พวกเขาจะได้ไม่แตกตื่นกัน  "
              "  ข้ายังพอทำอะไรได้อยู่บ้าง  ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะทำให้มันเสื่อมถอยลงไปก็เถอะ  " 
    ดวงตาฝ้าฟางนั้นทอแสงแรงกล้าขึ้น  ความตั้งมั่นจะเป็นจริงขึ้นมาอย่างแน่นอนถ้าเรายังมีหวังยายทวดเฒ่ากล่าวออกมาก่อนที่ลุงหมอบ  ปู่จอบ  ปู่เมี่ยง  และยายฝักจะจากไปพร้อมกับกำลังใจที่ยังไม่สิ้นหวังเสียหมด
    .................................................................................................................................................................................

         เสียงลงส้นเท้าดังกึกก้องสะท้านไปมาจากทางระเบียงผนังหินธรรมชาติที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ผู้มีอารยะธรรมตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ  ตัวอาคารถูกผสมผสานสร้างขึ้นจากเสาไม้ใหญ่หลายต้นผนึกเข้ากับแผ่นหินใหญ่น้อยอย่างปราณีและบรรจงดูโดดเด่นเกินการออกแบบอาคารสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องการดีไซต์  มันให้ความโอ่อ่าและเย็นสบายคล้ายโถงถ้ำน่าพักอาศัยผิดกับบุรุษผู้เป็นเจ้าของ  ณ.ขณะนี้สายตาเด็ดเดี่ยวของเขาดูจะแข้งกร้าวกว่าทุกคราว
              [  ผู้หญิงคนนั้นมีเชื้อสายของบรรพบุรุษที่น่ารังเกียจอยู่ในกาย  ]
         ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ  ปลายเท้าก็ก้าวยาวๆเดินไปยังห้องหนึ่งซึ่งแยกตัวออกมาอยู่ด้านนอกอาคาร  ซึ่งเป็นห้องที่ไม่กว้างใหญ่นัก  ตัวอาคารอยู่ติดกับขุนเขาสูงใหญ่เยื้องไปทางด้านซ้ายของอาคารมีแอ่งน้ำที่มีกระแสน้ำเย็นไหลผ่านมันไม่กว้างใหญ่นักแต่ก็พอที่คนประมาณสี่ห้าคนจะสามารถลงไปว่ายเล่นได้อย่างสบายพื้นที่ทางเดินส่วนใหญ่เป็นโขดหินซึ่งถูกกัดเซอะกระจายบริเวณกว้างยื่นลงไปในทะเลสาบ
          ถัดไปเป็นหน้าผาน้ำตกที่มีสายน้ำไหลลงมาอย่างรุนแรง มันไหลลงมาจากสันเขาฝั่งตรงข้ามอาคารไปสมทบกับน้ำในทะเลสาบที่ใสกระจ่างดั่งกระจก  พื้นที่รอบด้านถูกแนวสันหินของภูผาตีวงคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวปลายแหลมของสันผาทั้งสองด้านถูกเว้นระยะด้วยแอ่งบึงที่เกิดจากน้ำในทะเลสาบซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพียงแห่งเดียว สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่พักอย่างดีสำหรับคนที่ต้องการหลบลี้จากสังคมภายนอก
         ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบานสลักเขาพยายามระงับอารมณ์ที่ผุดพุ่งอยู่ในขณะนี้ให้สงบลงให้ได้  แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะลบภาพหญิงสาวไปจากใจ...เขารู้สึกแย่  เมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับภรรยาที่สืบสายเลือดมาจากเผ่าพงษ์เดียวกัน  แม้ว่าเชื้อสายบรรพบุรุษของเขานั้นจะเป็นปลายแถวผิดกับเชื้อสายของภรรยาที่ยังคงเข้มข้น  ลักษณะนิสัยแห่งความดุร้ายจึงรุนแรงกว่าเขามากถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกดีที่มีเธออยู่ข้างกายถึงแม้ว่าเขาและเธอต่างก็รู้ดีว่า
          ต่างก็ไม่ได้รักและไว้เนื้อเชื่อใจกัน  ด้วยเพราะความเป็นสัตว์เลือดเย็นหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจรู้เพียงสัญชาติญาณแห่งการสืบพันธุ์เท่านั้นที่เป็นตัวชักจูงเขาและเธอให้มาอยู่ร่วมกัน  เขานึกและถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป  
         ชายหนุ่มยิ้มๆนิดให้หญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องจากนั้นก็ลงนั่งที่เก้าอี้ริมผนังไม้ฝั่งตรงข้ามเตียงแล้วดื่มน้ำจากคนโฑที่เธอหยิบยื่นให้มาดื่มอึกใหญ่ 
              "  ใครทำให้คุณโมโหขนาดนี้ค่ะ  " 
         น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยหวานไพเราะน่าฟัง  ซ้ำจริตจะก้านยังชดช้อยงดงาม  ใบหน้าขาวนวลเรียวงาม  สัดส่วนได้รูปทุกสิ่งในตัวเธอดูสวยน่าหลงใหลผิดแผกก็ที่มีสายตาอันเย็นชาดุร้ายแฝงเร้นอยู่
    เขาไม่ตอบได้แต่นิ่งมองยอดไม้ภายนอกหน้าต่างทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวได้เอ่ยถาม  คิ้วเรียวสวยขมวดเล็กน้อย
              "  หรือมีสิ่งที่คุณไม่อยากให้ชั้นรับรู้....อะไรล่ะที่คุณไม่อยากให้ชั้นรู้  ถ้าชั้นเดาไม่ผิดคงเป็นเรื่องเศษสวะพวกนั้น  ทำไมค่ะ  มันทำอะไรบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้ชั้นจะได้ไปฆ่าพวกมัน  ให้พวกมันได้เห็นอำนาจของชั้นบ้างจะได้รู้กันว่าอีนังอัปสรเฒ่าชรานั้นกับชั้นใครมันจะเก่งกล้ากว่ากัน  "
              "  คุณสงบอารมณ์ก่อนดีกว่า  "  ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว
         จากหญิงที่สวยสง่ากลายเป็นร่างของอมนุษย์   ผิวหน้าเป็นสีน้ำตาลอ่อนดวงตาปูดโปนสีเหลืองแก่  ม่านนัยต์ตาสีดำหรี่แคบ  ทั่งร่างปรากฏร่องหนังคล้ายจระเข้  สภาพของเธอดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก
              "  คุณบอกชั้นมาซิว่ามันเกิดอะไร  "  หญิงสาวขู่คำราม
         ชายหนุ่มมองเธอนิ่ง  เขาคิดว่าที่เธอมีสภาพเป็นเช่นนี้ก็เพราะสายเลือดที่เข้มข้นของเธอ  ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมการกลายร่างได้ในเวลาที่อารมณ์ถูกฉุดขึ้นสูงบวกกับความแปรปรวนของจิตใจหญิงสาว  ที่มีอยู่ตลอดเวลา
         ทั้งที่เมื่อก่อนนี้เธอยังสามารถควบคุมมันได้ดี  แต่เมื่อเขตคุมขังถูกปลดปล่อยอำนาจที่เคยกดทับเขาและเธออยู่ก็ถูกสลัดหลุดจนสิ้น  เพียงแต่เขามีสายเลือดไม่เข้มข้นเท่าเธอ  นั้นย่อมหมายความว่าเขามีพลังและอำนาจด้อยกว่าเธออยู่มาก  แค่การกลายร่างเป็นจระเข้ในแต่ละครั้งเขาก็สูญเสียพลังไปตั้งมากมายแถมยังเหนื่อยแทบขาดใจ
              "  อัยสุรีย์  ใจเย็นก่อนดีไหม  ผมไม่อยากให้คุณกลายร่างบ่อยถ้าลูกมาเห็นแกจะตกใจกลัว  และที่ผมนิ่งก็ไม่ใช่เพราะผมมีเรื่องอะไรที่จะปิดบังคุณ  แค่ผมคิดว่าผมจะเริ่มเรื่องที่ตรงไหนดี  "
         หญิงสาวได้ฟังก็ฉุกคิดถึงลูกน้อยที่ยังไม่รู้เดียงสาขึ้นมา  ร่างที่กลายก็แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวแสนสวยคนเดิม  เธอยืนกอดอกอยู่ใกล้ชายหนุ่มอารมณ์ยังไม่ได้สงบโดยดี
              "  คุณก็ว่ามาเร็วเข้าซิ  ชั้นอยากรู้  "
              "  ผมได้พบนางอัปสรอีกคน "
              "  คุณว่าอะไรนะ  นอกจากอีแก่นั้นยังมีนางอัปสรหลงเหลืออีกหรือ  มันเป็นใคร  ทำไมชั้นไม่รู้สึกว่ามีมันอยู่ที่หมู่บ้านนั้น  "
              "  ก็น่าที่คุณและผมจะไม่รู้อยู่หรอก  ในเมื่อนางพึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้ห้าวัน  นางเป็นลูกสาวคนโตของคุณเปรมชื่อปราณต์ฟ้า  "
              "  ลูกคุณเปรม  ชั้นไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าคุณเปรมกับคุณอิ่มฤดีเป็นสายเลือดสกปรกนั่น  "
              "  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  จนกระทั่งได้เจอกันจังๆวันนี้....เธอดูอันตรายอยู่ไม่น้อยเลยเพราะสัญชาติญาณของนางสวรรค์ล่ะมั้งถึงทำให้เธอจ้องตอบผมเขม็ง  "
              "  และคุณจัดการนางยังไง  "
              "  ผมก็ได้แต่ดูทีท่านางไปก่อน  เพราะผมรู้สึกว่าอำนาจที่ติดตัวเธอมายังไม่ปรากฏ  "
              "  ถ้าอย่างนั้นคุณควรฉวยโอกาสนี้เล่นงานมันก่อนที่มันจะรับรู้ถึงพลังอันมหาศาล  "
              "  แต่ผมไม่เห็นด้วย...  "
              "  ทำไมค่ะ  "  หญิงสาวแหวดเสียงร้องลั่นที่ผู้เป็นสามีกล่าวออกมาเช่นนั้น
              "  ผมรู้สึก...ไม่อยากที่จะยุ่งกลับเธอ  ผมสังหรณ์ว่าเธอจะเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวเราพิบัติ  "
              "  คุณพูดออกมาอย่างนี้ได้ยังไง   คุณลืมแล้วหรือว่าคุณกับชั้นและบรรดาญาติๆของเราโดนพวกมันทรมานยังไงคุณจำไม่ได้แล้วหรือว่าตอนคุณเป็นเด็กพ่อแม่คุณโดนฆ่ายังไง  คุณลืมมันไปแล้วหรือ  "
          หญิงสาวโก่งคอตะเบ็งใส่หน้าชายหนุ่มสุดเสียง  เธอกลายร่างอันน่าเกียจอีกครั้ง
              " ผมไม่มีวันลืมหรอก  "  ชายหนุ่มกล่าวอย่างดุดันเขาจ้องตอบหญิงสาวเคร่งเครียด
              "  ผมไม่มีวันลืมสิ่งที่คุณกล่าวมา  แต่ที่ผมต้องการจะบอกก็คือผมเป็นห่วงคุณกับลูก  ผมไม่อยากให้คุณก่อสงครามกับพวกนางอัปสรอีก  "
              "  คุณไม่ต้องห่วงชั้นหรอกชั้นกับลูกดูแลตัวเองได้  "  หญิงสาวพูดอย่างหยิ่งยโส
              "  และชั้นก็จะไม่มีวันปล่อยให้อีนังอัปสรสวรรค์หน้าไหนมันลอยคออยู่ได้  คุณจำไว้  ถ้าชั้นไม่ได้ฆ่ามันให้หมดไปจากโลกนี้  ชั้นจะไม่มีวันมีความสุขเด็ดขาด  "
              "  คอยดูเถอะ  ชั้นจะรวมร่วมพรรคพวกแล้วไปกัดกินมันให้หมดทั้งหมู่บ้านเลยคอยดู  "
         หญิงสาวประกาศก้องก่อนจะสะบัดกายเดินออกไป  ทิ้งให้ชายหนุ่มมีสีหน้าผิดหวังระคนว้าวุ่นใจ  เขาไม่อยากให้เธอต้องกระทำในสิ่งที่มันจะซ้ำรอยเดิมเลย...  ชายหนุ่มนั่งนิ่งและคิดตรึกตรองอย่างหนักกับการตัดสินใจในครั้งนี้ว่าเขาจะทำนิ่งเฉยหรือว่าจะเข้าร่วมกับการแก้แค้นที่กินระยะเวลามาเป็นหลายร้อยปี
    .................................................................................................................................................................................

     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×