คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ดั่งต้องมนต์ series : 01 ตอนที่ 2
ดั่งต้องมนต์ Series : 01
ตอนที่ 2
" ก๊อก..ก๊อก คุณพ่อค่ะ " ปราณต์ฟ้าไม่รอให้คนในห้องเอ่ยอนุญาติ เธอก็เปิดประตูผละเข้าไปทันทีแล้วก็ต้องชะงักงันเพราะผู้เป็นพ่อไม่ได้นั่งอยู่เพียงคนเดียวในห้อง
" ขอประทานโทษค่ะ " ฟ้ารีบกล่าวแล้วดึงประตูปิดโดยเร็ว แต่ก็มีเสียงหนึ่งรั้งเหยุดไว้เสียก่อน
" ลูกฟ้าเข้ามาก่อนซิ พ่อจะแนะนำให้หนูรู้จักเพื่อนพ่อ "
ผู้เป็นพ่อลุกจากโซฟาตัวยาวเข้ามาเกาะไหล่ลูกสาวไว้แล้วพามานั่งลงข้างๆ ฝั่งตรงข้ามมีผู้ชายสามคนนั่งอยู่ในชุดสูทแต่งตัวดี แต่ละคนมีวัยที่แตกต่างกันเล็กน้อยแต่มีเพียงชายหนุ่มที่นั่งตรงกับเธอเท่านั้นที่ดูจะอ่อนวัยสุด
" สวัสดีค่ะ " ฟ้ากล่าวทักทายยกมือก้มลงไหว้อย่างนอบน้อม แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเธอได้มีโอกาสสบตากับบุคคลตรงหน้า
เธอเห็นแววตาที่ฉายประกายของความฉงนและตกใจของชานหนุ่มจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดือดดาล ชายหนุ่มในชุดสูทดสีดำมีอาการเกร็งกำปั้นตัวสั่นเทิ้มเหมือนเขากำลังระงับความโกรธ ทุกกิริยาที่เธอเห็นนั้นได้เกิดขึ้นเพียงครู่เดียว
และอะไรบางอย่างก็ไม่รู้ที่ทำให้ฟ้ามีอาการหนาวสั่นและหวาดกลัวสายตาของบุรุษตรงหน้า แต่ฉับพลันมีไอความร้อนซึ่งเกิดจากความโกรธแค้นจากเศษส่วนลึกของจิตใจได้พุดพุ่งขึ้นมาแทนที่ความกลัวนั้นจนหมดสิ้น หนุ่มสาวทั้งสองจึงแสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนว่าเขาทั้งคู่นั้นเกลียดขี้หน้ากันตั้งแต่แวบแรกที่เห็น แต่เขาทั้งคู่ก็ยังฝืนเก็บพฤติกรรมของตัวเองไว้ในเมื่อมีบรรดาผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่
" เออ...ฟ้า...ลูกฟ้า "
ฟ้ายังคงนั่งนิ่งทั้งยังไม่ละสายตาคู่งามจากชายหนุ่ม เธอเงียบเฉยจนหน้ากลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงใดๆทั้งสิ้นอีกทั้งสายตาของลูกสาวก็แข็งกร้าวมากจนผู้เป็นพ่อเริ่มลังเลและสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในขณะนี้
" อะไรคะ...พ่อ " ฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดและกระด้าง สร้างความลำบากใจให้ผู้เป็นพ่ออย่างมาก
" ลูกมาส่งเอกสารใช่มั้ย อยู่ไหนล่ะเอกสารน่ะ...พ่อกำลังต้องการอยู่พอดี " ผู้เป็นพ่อพยายามคะยั้นคะยอให้ลูกสาวหันกลับมาพูดกับตนเอง แต่ก็เปล่าประโยชน์
เพราะฟ้ายื่นเอกสารที่วางไว้บนตักยื่นส่งให้ตรงหน้าผู้เป็นพ่อ ทั้งทียังคงจ้องอย่างไม่ลดละจนกระทั้งได้ยินเสียงพูดจากฝ่ายตรงข้าม
" นี่คงจะเป็นบุตรสาวคนโตที่คุณอาเคยพูดถึงซินะครับ " น้ำเสียงที่กล่าวดูเคร่งขรึมดุดันไม่แพ้สีหน้าแต่ก็ดูจะผ่อนคลายลงไปมากซ้ำยังละสายตามองไปทางบุรุษสูงวัยกว่าที่นั่งอยู่เคียงข้างหญิงสาว
" อะ ใช่ครับ เธอยังเป็นเด็กอยู่มากนะครับ " คุณเปรม พ่อของปราณต์ฟ้ากล่าวออกตัวถึงพฤติกรรมที่เสียมารยาทของหญิงสาว
ส่วนฟ้า เธอยังคงมองคนตรงหน้านิ่ง คิดค้านคำพูดของผู้เป็นพ่อในใจ
[ ฟ้าอายุ 22 แล้วค่ะพ่อ มันไม่เด็กแล้วค่ะ ]
แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันอออกมา ถึงแม้อาการแข็งกร้าวกับแรงกดดันจากทั้งสองฝ่ายจะผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่สายตาของความไม่ไว้ใจของเธอก็ยังเหมือนเดิม ทั้งยิ่งหวาดระแวงและรู้สึกไม่ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ปราณต์ฟ้าสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อชายหนุ่มหันกลับมาจ้องเธออีกครั้งและเธอมั่นใจด้วยว่าเห็นเขากระตุกยิ้มอย่างมีเลศนัย ชายหนุ่มเอ่ยเสียงนุ่มขึ้น
" คุณอาครับผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีนัดอีกราย ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณอาเปรม คราวหลังผมจะมาตามคำที่คุณอาชวนรับประทานอาหารใหม่ สวัสดีครับ "
ชายหนุ่มยกมือไหว้คุณเปรมและคุณอาทั้งสอง
" ผมกลับก่อนนะครับคุณปราณต์ฟ้า...ผมหวังว่าเราคงได้พบกันใหม่เร็วๆนี้ " ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่นจนพ่อของฟ้าสะดุ้ง ฟ้าเองเสียอีกที่นั่งนิ่งจ้องตอบเขา
" ค่ะ...เช่นกัน "
ฟ้าเอ่ยเสียงเรียบแต่เจือน้ำเสียงขุ่นมัวไว้ ความรู้สึกของเธอเป็นสาเหตุให้เธอกระทำท่าทีเสียมารยาทเช่นนั้นกับแขกของคุณพ่อ แต่ที่แน่ๆและมั่นใจที่สุดก็คือผู้ชายคนนี้เป็นตัวอันตราย
...................................................................................................................................................................................
" ยัยฟ้า หนูรู้ตัวบ้างมั้ย ว่าทำอะไรลงไป "
เสียงตวาดก้องดังขึ้นในห้องหลังจากที่แขกทั้งสองลากับแล้ว ปราณต์ฟ้าก้มหน้านิ่งรับฟังคำว่ากล่าวจาผู้เป็นพ่อ โดยธรรมดาแล้วคุณพ่อของเธอนั้นแสนจะเป็นคนอารมณ์ดีใจเย็นแต่ครั้งนี้การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุที่ว่าหญิงสาวทำตัวเหลวไหลไร้มารยาทและไม่มีเหตุผลใดๆมากล่าวคำอ้างแก้ตัว
" พ่ออุตสาห์หาโอกาส กว่าพ่อจะนัดคุณพลัชได้ลูกรู้บ้างมั้ยว่าจะต้องใช้เวลารอคอยเท่าไหร่ผ่านขั้นตอนขนาดไหน " คุณเปรมเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด
" ยิ่งโครงการที่ตั้งใจไว้ว่าจะแปรรูปหัตถกรรมมือเราจำเป็นจะต้องพึ่งบริษัทเอกชนรายใหญ่พัฒนาหมู่บ้านเรา พ่อไม่หวังพึ่งรัฐฯฝ่ายเดียว ฟ้า...ลูกน่าจะรู้ว่าเราต้องช่วยตัวเองด้วย ต้องหาแหล่งงเงินทุนหมุนเวียนรองรับความเสี่ยง แต่นี่...เรากำลังเสียแขนขาเพราะเราตัดกำลังของตัวเอง... " พ่อเปรมเงียบไปพร้อมอาการถอนหายใจ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า
" พ่อไม่เข้าใจฟ้า...ทำไมลูกถึงทำเช่นนั้น หนูไม่ใช่คนวู่วามและหยาบคาย...อะไรทำให้หนูเป็นอย่างนั้นหนูบอกพ่อได้ไหม "
ปราณต์ฟ้านั่งก้มหน้านิ่วนิ่งเงียบ สีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ เธอไม่เคยเห็นพ่อโกรธอะไรเท่ากับครั้งนี้มาก่อนมันทำให้เธอไม่กล้าพอที่จะบอกความรู้สึกนึกคิดที่มีให้พ่อเธอฟัง เพราะมันช่างไร้เหตุผลมันอ้างไม่ขึ้นเอาเสียเลย จะให้เธอบอกพ่อหรือว่า เธอรู้สึกถึงแรงอาฆาต ความจงเกลียดจงชัง ที่มันมีอยู่โจ่งแจ้งจากชายคนนั้น อีกทั้งเธอยังมีความรู้สึกรังเกียจและหวั่นกลัวคล้ายกับเจออสรพิษ แค่เธอลองจิตนาการว่าครอบครัวเธอโดนสัตว์ดุร้ายตัวสูงใหญ่ฆ่าหรือไม่ก็โดนมนุษย์กักขฬะลวงหลอกไปฆ่า จิตใจเธอก็ครุกรุ่นเต็มไปด้วยอารมณ์ มันผสมปนเปกันไปหมดทั้งความกลัวและความกล้า...เธอรู้เพียงว่า จะไม่ยอมให้ผู้ชายคนนี้เข้าใกล้ครอบครัวของเธอเป็นอันขาด
" ฟ้าไม่มีอะไรจะบอกคุณพ่อค่ะ ฟ้ารู้แต่ว่าฟ้าไม่อยากให้คุณพ่อคบค้ากลับเค้า " ปราณต์ฟ้ายืนยันหนักแน่นจนผู้เป็นพ่อฉุนกึก
" ก็แล้วอะไรล่ะที่ทำให้หนูคิดอย่างนั้น "
ปราณต์ฟ้าจนปัญญาได้แต่อัดอัดตันใจ เธอมีสีหน้ายุ่งยากมากมายที่จะคุยเรื่องนี้
" เอาเถอะค่ะ พ่อทำตามที่ฟ้าขอได้ไหมค่ะ " ฟ้าตัดบทไม่อยากยืดเยื้อไปมากกว่านี้
" ยัยฟ้า เรานี่โตๆกันแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆถึงได้มาขอโน้นขอนี่โดยไม่ใช้เหตุผลคิดตรึกตรองน่ะ "
" โธ่คุณพ่อค่ะ ฟ้ามีเหตุผลนะค่ะ ฟ้ามีเหตุผลของฟ้า "
" แต่มันไม่ใช่เหตุผลของพ่อ นี่ฟ้า หนูน่ะกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่นะ "
" โธ่คุณพ่อค่ะ " ฟ้ารู้ดีอยู่เต็มอกว่าสิ่งที่เธอทำมันเหลวไหล
" เอาล่ะพอๆ พ่อไม่อยากเถียงกับเราแล้ว พ่อให้ตามที่หนูขอไม่ได้ไปๆกลับบ้าน พ่อจะทำงานต่อแล้ว " พ่อเปรมจับบ่าลูกสาวดึงดันออกจากห้อง เขาพาเธอมาถึงหน้าประตูลุกบิด
" พ่อจะทำงานต่อ O.K.ไหม " เขาหันเหน้าข้าหาลูกสาวที่ทำสีหน้ายุ่งยากใจ
" ค่ะ O.K....แต่แค่ตอนนี้เท่านั้นนะค่ะ ฟ้าจะคุยกับคุณพ่ออีกหลังจากที่คุณพ่อกลับถึงบ้านแล้ว "
ปราณต์ฟ้ามองหน้าผู้เป็นพ่อจริงจังและมุ่งมั่นจนผู้เป็นพ่อหนักใจ เขารู้จักลูกสาวดีว่าเป็นคนเช่นไรเธอไม่ใช่คนดึงดันเอาชนะโดยไม่ฟังความเห็นใดๆแต่ก็ไม่ยอมแพ้ไปซะทีเดียว
" เอาก็ได้ เราจะคุยกันอีกแต่ลูกต้องหาสาเหตุดีๆกับเหตุผลงามๆเตรียมไว้ให้พ่อ แล้วเจอกันจ๊ะ " พ่อเปรมก้มจูบลงบนเรือนผมที่มัดไว้อย่างเรียบร้อยแผ่วเบาพร้อมแววตาเอ็นดู
" ค่ะ " ปราณต์ฟ้ายิ้มกว้าง ดวงตาสดใสขึ้นฉับพลันพ่อเปิดโอกาสให้เธออีกครั้ง มันทำให้เธอมีเวลาคิดหาข้อแก้ต่างให้ตัวเอง
" คุณพ่อค่ะ หนูดีใจจังค่ะที่หนูเกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อ สวัสดีค่ะหนูไปนะค่ะ "
ปราณต์ฟ้าพนมมือไหว้ซบอกผู้เป็นพ่อ แล้วก้าวไปเปิดประตูออกไปซึ่งก่อนที่เธอจะปิดประตูลงสนิทนั้นเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่โต๊ะทำงานแต่เธอก็ไม่ได้สนใจเดินจากไปอย่างโล่งใจกลับบ้านแม้จะเพียงชั่วครู่ก็ตาม
" สวัสดีครับ ผมเปรมพูดครับ " คุณเปรมกรอกเสียงลงไปตามสายแล้วก็ต้องยิ้มกว้าง
" คุณพลัชเองหรือครับ...อ๋อ ได้ครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับที่คุณสนใจโครงการของเรา...ที่ประชุมเห็นพ้องหรือครับ...ได้ครับ นัดวันเซ็นสัญญาพร้อมโอนเงินทุนได้ในวันเดียวกันเลยครับ...ไม่ขัดข้องครับ พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงก็ได้ครับ...ครับ..ครับ สวัสดีครับ " คุณเปรมวางโทรศัพท์ลงอย่างดีใจเมื่อสัญญาต่างๆเป็นไปได้ด้วยดีแล้วก็ต้องฉุกนึกถึงลูกสาวที่มีดวงหน้าวิงวอนของร้อง
" แล้วเราจะบอกยัยฟ้ายังไงดีล่ะเนี่ย "
คุณเปรมนึกเขาไม่เคยเห็นลูกสาวแสดงอาการร้องขออะไรจากเขาแบบนี้เลย มันทำให้เขาคิดว่าอะไรเป็นเหตุทำให้ลูกสาวกระทำเช่นนั้น ผู้เป็นพ่อคิดหาสาเหตุไปเรื่อยๆหยุดชะงักกับความคิดของตัวเองบางอย่างก่อนจะสรุปออกมา
[ ยัยหนูต้องเคยรู้จักกับคุณพลัชเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นแกจะมีท่าทางอย่างนั้นหรือ แล้วบางที่แกอาจจะมีอะไรปิดบังเราไว้ ]
คุณเปรมยิ่งคิดก็ยิ่งกังวลเป็นอันว่าตลอดบ่ายวันนั้นพ่อของฟ้าแทบจะไม่มีกะใจทำงานเลย
ตลอดช่วงหัวค่ำวันนั้นเธอกับพ่อทุ่มถียงกันถึงเรื่องนี้ เมื่อหญิงสาวรู้ว่าความพยายามของเธอไม่สำเร็จมันล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ ทำให้เธอผิดหวังหญิงสาวเข้าห้องนอนแต่หัวค่ำ เธอนอนซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มหนานุ่มบรรยากาศภายในห้องนอนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองพร้อมกับจิตใจที่ฟุ้งซ่านผลของความไม่ชอบใจยิ่งคิดยิ่งทำให้เธออึดอัดคับข้องใจรู้สึกกระส่ำกระส่ายร้อนลุ่มเหมือนโดนไฟเผาอยู่ตลอดเวลา
" ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ได้นะ " ฟ้าลุกพรวดจากที่นอนขึ้นมานั่งชันเขา แล้วก็ล้มตัวตะแคงข้างกลับไปที่นอนใหม่สีหน้าและแววตาเธอขุ่นมัวคิ้วเรียวขมวดมุ่ย
" เราคิดมากไปเองหรือเปล่า....คิดไปเองหรือเปล่าฟ้า " เธอพึมพำสายตาเหม่อลอยอยู่เป็นนานกว่าความเมื่อยล้าจะนำพาเธอหลับใหลและจมลงในห้วงฝันอย่างกระส่ำกระส่ายจนประกายดาวเปล่งแสงจรัสขึ้นระยับ
เติมเต็มฟากฟ้า
..................................................................................................................................................................................
" เอาเร็วๆๆ รีบๆช่วยกันหน่อย "
เสียงลุงหมอบเร่งลุกบ้านอย่างแข็งขันพร้อมเสียงลูกบ้านดังเซ็นแซ่ไปหมด เพื่อที่จะช่วยกันตอกเสาเรือนสร้างกระโจมและซุ่มต่างๆให้ทันวันงานที่กำลังใกล้เข้ามา
" เออๆ เสามันยังเอียง เออ...นั่นแหละ จัดมันให้ตรงๆนั้นแหละๆ อืมไม้ไผ่ป่าบ้านเรานี่มันดีจริงๆลายก็สวยสดลำต้นก็หนาใหญ่ทั้งยังเงางามเชียว "
ลุงหมอบลูบลำต้นหนาใหญ่ของลำไผ่แล้วมองสูงขึ้นไปที่มุมเสาของซุ้มไม้ไผ่ที่แกะสลักลวดลายกนกอันอ่อนช้อยลงทองที่ขับให้ลายและสีของไม้เด่นเป็นสง่าน่าชื่นชม
" ลุงหมอบๆ ยายทวดเฒ่าแกเรียกหาแน่ะ แกให้ข้ามาตามรีบไปเลยนะ เดี๋ยวข้าจะไปตามปู่จอบ ปู่เมี่ยงกับยายฝักก่อน "
" เดี๋ยวไอ้ผัน ยายทวดให้ไปตามปู่จอบ ปู่เมี่ยงกับยายฝักด้วยหรือ "
" ใช่ ไปแล้วนะลุง "
เมื่อเด็กหนุ่มในหมู่บ้านวิ่งจากไปสีหน้าลุงหมอบหัวหน้าหมู่บ้านก็เต็มไปด้วยความกังวล จากนั้นก็รีบสั่งงานแล้วเร่งเดินตรงไปยังท้ายหมู่บ้านเมื่อตะวันยังมีแดดสีแสดทอดทออยู่เหนือยอดดงไม้
" ยายทวดเฒ่า เรียกหากระผมหรือครับ " สุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบาที่ข้างเสาเอกริมทางเข้าออกที่เป็นเพิงพักเชิงหมาแหงนเปิดโล่ง
ภาพของผู้สูงอายุวัยประมาณเจ็ดสิบแปดสิบปีสี่คนกำลังคลานเข้าหาหญิงชราผู้สูงวัยยิ่งกว่า ซึ่งกำลังนั่งหลาวใบทางมะพร้าวไว้สำหรับใช้กวาดลานบ้าน ตัวหญิงชราผู้นี้ดูคลับคล้ายเปลือกเก่าแก่ของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งโค้งงอผิวเป็นกระตะปุ่มตะป่ำเคลื่อนย้ายตัวอย่างช้าๆ แกเงยหน้าอันสั่นเทาขึ้นมามอง แต่มืออันเหี่ยวย่นและสั่นไหวนั้นยังคงค่อยๆลากสาวทางมะพร้าวขึ้นไปยาวๆอย่างชำนาญและเที่ยงตรง แววตาที่เคลื่อนมองมาคาดว่าสมัยกาลก่อนคงส่องสว่างสุกใสเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและอำนาจบารมี ถึงแม้ว่าปัจจุบันนัยต์ตาคู่งามนั้นจะเหี่ยวย่นและฝ้าฟางมองแทบไม่เห็นแล้วก็ตาม ยายทวดเฒ่าในชุดคอกระเช้าผ้าไหมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนนุ่มแผ่วเบา
" ...ใช่... " แกตอบสั้นๆแล้วนิ่งเงียบไปอีกนานกว่าจะเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบขึ้นอีกครั้ง
" นานมากแล้ว มันนานมากแล้วจริงๆ ที่ข้ามีชีวิตอยู่มาทุกวันนี้ "
แกเงียบไปอีก จนชายเฒ่าและหญิงชราต่างมองสบกันด้วยความสงสัย
" ข้าเฝ้ารออย่างหวาดหวั่นเหลือเกิน...ความหวาดระแวงมันกินใจข้ามานาน จนข้าคิดว่าข้าคงจะตายไปซะก่อนที่อะไรๆมันจะสายเกินแก้ " ผู้สูงวัยต่างไม่กล้ามองหน้ายายาทวดเฒ่าทั้งหมดต่างหมอบกราบตัวสั่นด้วยน้ำเสียงที่เอ่ยกล่าวอย่างดุดัน
" สิ่งที่ข้าจะบอกพวกเจ้าก็คือ...มีคนทำลายเขตคุมขังลงแล้ว "
" อ้า ว่ากระไรนะยายทวด " ชายและหญิงชราเงยหน้าร้องอย่างตกใจทั้งแสดงสีหน้าประหวั่นพลันพรึงเป็นอย่างยิ่ง
" ข้ากระผมคงไม่หูเฝื่อนไปหรอกนะกระผม " ปู่เมี่ยงพูดขึ้นด้วยเสียงอันหย่อนยานตะกุกตะกัก
" ไม่เลย...แกฟังไม่ผิดหรอกเจ้าเมี่ยง " ยายทวดเฒ่าเอ่ยอย่างผู้ชรากล่าวกับเด็ก
" มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกันล่ะจ๊ะยายทวด " ยายฝักกล่าวสอดขึ้นเสียงสั่น
" ข้าก็ไมรู้เหมือนกัน....ข้ารู้แต่ว่า เขตแดนที่พวกพี่ข้าทำไว้มันขาดแล้วเท่านั้น แต่ว่าใครทำนั้นข้าก็ไม่อาจรู้ได้ ข้ายังคิด..ข้ายังสงสัย..หญิงชายในหมู่บ้านเราไม่มีใครคิดกล้าเข้าไปใกล้ในทะเลสาบนั้นแน่ " ยายทวดหยุดแล้วพ่นลมหายใจกล่าวเสียงระห้อยเหมือนหมดกำลัง
" ข้าแก่เกินไป...ข้ารอคอยมานานเกินไป "
ทุกคนต่างนิ่งเงียบเป็นนานกว่าเสียงแห่งอำนาจปลุกห้วงแห่งความพะวงให้มลายไป
" เจ้าหมอบ แกพาชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมาหาข้า ข้าจะบอกวิธีที่จะรับมือกับพวกมันยังไง ..พาพวกผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานมีลูกมีผัวมาหาข้าด้วย พามาให้หมดทั้งหมู่บ้านนั้นแหละบอกไปว่าเกี่ยวกับพิธีกรรมวันงามก็พอ...พวกเขาจะได้ไม่แตกตื่นกัน "
" ข้ายังพอทำอะไรได้อยู่บ้าง ถึงแม้ว่ากาลเวลาจะทำให้มันเสื่อมถอยลงไปก็เถอะ "
ดวงตาฝ้าฟางนั้นทอแสงแรงกล้าขึ้น ความตั้งมั่นจะเป็นจริงขึ้นมาอย่างแน่นอนถ้าเรายังมีหวังยายทวดเฒ่ากล่าวออกมาก่อนที่ลุงหมอบ ปู่จอบ ปู่เมี่ยง และยายฝักจะจากไปพร้อมกับกำลังใจที่ยังไม่สิ้นหวังเสียหมด
.................................................................................................................................................................................
เสียงลงส้นเท้าดังกึกก้องสะท้านไปมาจากทางระเบียงผนังหินธรรมชาติที่ถูกรังสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ผู้มีอารยะธรรมตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ ตัวอาคารถูกผสมผสานสร้างขึ้นจากเสาไม้ใหญ่หลายต้นผนึกเข้ากับแผ่นหินใหญ่น้อยอย่างปราณีและบรรจงดูโดดเด่นเกินการออกแบบอาคารสมัยใหม่ที่เน้นเรื่องการดีไซต์ มันให้ความโอ่อ่าและเย็นสบายคล้ายโถงถ้ำน่าพักอาศัยผิดกับบุรุษผู้เป็นเจ้าของ ณ.ขณะนี้สายตาเด็ดเดี่ยวของเขาดูจะแข้งกร้าวกว่าทุกคราว
[ ผู้หญิงคนนั้นมีเชื้อสายของบรรพบุรุษที่น่ารังเกียจอยู่ในกาย ]
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ ปลายเท้าก็ก้าวยาวๆเดินไปยังห้องหนึ่งซึ่งแยกตัวออกมาอยู่ด้านนอกอาคาร ซึ่งเป็นห้องที่ไม่กว้างใหญ่นัก ตัวอาคารอยู่ติดกับขุนเขาสูงใหญ่เยื้องไปทางด้านซ้ายของอาคารมีแอ่งน้ำที่มีกระแสน้ำเย็นไหลผ่านมันไม่กว้างใหญ่นักแต่ก็พอที่คนประมาณสี่ห้าคนจะสามารถลงไปว่ายเล่นได้อย่างสบายพื้นที่ทางเดินส่วนใหญ่เป็นโขดหินซึ่งถูกกัดเซอะกระจายบริเวณกว้างยื่นลงไปในทะเลสาบ
ถัดไปเป็นหน้าผาน้ำตกที่มีสายน้ำไหลลงมาอย่างรุนแรง มันไหลลงมาจากสันเขาฝั่งตรงข้ามอาคารไปสมทบกับน้ำในทะเลสาบที่ใสกระจ่างดั่งกระจก พื้นที่รอบด้านถูกแนวสันหินของภูผาตีวงคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยวปลายแหลมของสันผาทั้งสองด้านถูกเว้นระยะด้วยแอ่งบึงที่เกิดจากน้ำในทะเลสาบซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อกับโลกภายนอกเพียงแห่งเดียว สถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่พักอย่างดีสำหรับคนที่ต้องการหลบลี้จากสังคมภายนอก
ชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบานสลักเขาพยายามระงับอารมณ์ที่ผุดพุ่งอยู่ในขณะนี้ให้สงบลงให้ได้ แต่ชายหนุ่มรู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะลบภาพหญิงสาวไปจากใจ...เขารู้สึกแย่ เมื่อจะต้องเผชิญหน้ากับภรรยาที่สืบสายเลือดมาจากเผ่าพงษ์เดียวกัน แม้ว่าเชื้อสายบรรพบุรุษของเขานั้นจะเป็นปลายแถวผิดกับเชื้อสายของภรรยาที่ยังคงเข้มข้น ลักษณะนิสัยแห่งความดุร้ายจึงรุนแรงกว่าเขามากถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นเขาก็รู้สึกดีที่มีเธออยู่ข้างกายถึงแม้ว่าเขาและเธอต่างก็รู้ดีว่า
ต่างก็ไม่ได้รักและไว้เนื้อเชื่อใจกัน ด้วยเพราะความเป็นสัตว์เลือดเย็นหรือเปล่าเขาไม่แน่ใจรู้เพียงสัญชาติญาณแห่งการสืบพันธุ์เท่านั้นที่เป็นตัวชักจูงเขาและเธอให้มาอยู่ร่วมกัน เขานึกและถอนหายใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผลักบานประตูเข้าไป
ชายหนุ่มยิ้มๆนิดให้หญิงสาวที่ยืนอยู่กลางห้องจากนั้นก็ลงนั่งที่เก้าอี้ริมผนังไม้ฝั่งตรงข้ามเตียงแล้วดื่มน้ำจากคนโฑที่เธอหยิบยื่นให้มาดื่มอึกใหญ่
" ใครทำให้คุณโมโหขนาดนี้ค่ะ "
น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยหวานไพเราะน่าฟัง ซ้ำจริตจะก้านยังชดช้อยงดงาม ใบหน้าขาวนวลเรียวงาม สัดส่วนได้รูปทุกสิ่งในตัวเธอดูสวยน่าหลงใหลผิดแผกก็ที่มีสายตาอันเย็นชาดุร้ายแฝงเร้นอยู่
เขาไม่ตอบได้แต่นิ่งมองยอดไม้ภายนอกหน้าต่างทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวได้เอ่ยถาม คิ้วเรียวสวยขมวดเล็กน้อย
" หรือมีสิ่งที่คุณไม่อยากให้ชั้นรับรู้....อะไรล่ะที่คุณไม่อยากให้ชั้นรู้ ถ้าชั้นเดาไม่ผิดคงเป็นเรื่องเศษสวะพวกนั้น ทำไมค่ะ มันทำอะไรบอกชั้นมาเดี๋ยวนี้ชั้นจะได้ไปฆ่าพวกมัน ให้พวกมันได้เห็นอำนาจของชั้นบ้างจะได้รู้กันว่าอีนังอัปสรเฒ่าชรานั้นกับชั้นใครมันจะเก่งกล้ากว่ากัน "
" คุณสงบอารมณ์ก่อนดีกว่า " ชายหนุ่มกล่าวขึ้นเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของหญิงสาว
จากหญิงที่สวยสง่ากลายเป็นร่างของอมนุษย์ ผิวหน้าเป็นสีน้ำตาลอ่อนดวงตาปูดโปนสีเหลืองแก่ ม่านนัยต์ตาสีดำหรี่แคบ ทั่งร่างปรากฏร่องหนังคล้ายจระเข้ สภาพของเธอดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก
" คุณบอกชั้นมาซิว่ามันเกิดอะไร " หญิงสาวขู่คำราม
ชายหนุ่มมองเธอนิ่ง เขาคิดว่าที่เธอมีสภาพเป็นเช่นนี้ก็เพราะสายเลือดที่เข้มข้นของเธอ ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมการกลายร่างได้ในเวลาที่อารมณ์ถูกฉุดขึ้นสูงบวกกับความแปรปรวนของจิตใจหญิงสาว ที่มีอยู่ตลอดเวลา
ทั้งที่เมื่อก่อนนี้เธอยังสามารถควบคุมมันได้ดี แต่เมื่อเขตคุมขังถูกปลดปล่อยอำนาจที่เคยกดทับเขาและเธออยู่ก็ถูกสลัดหลุดจนสิ้น เพียงแต่เขามีสายเลือดไม่เข้มข้นเท่าเธอ นั้นย่อมหมายความว่าเขามีพลังและอำนาจด้อยกว่าเธออยู่มาก แค่การกลายร่างเป็นจระเข้ในแต่ละครั้งเขาก็สูญเสียพลังไปตั้งมากมายแถมยังเหนื่อยแทบขาดใจ
" อัยสุรีย์ ใจเย็นก่อนดีไหม ผมไม่อยากให้คุณกลายร่างบ่อยถ้าลูกมาเห็นแกจะตกใจกลัว และที่ผมนิ่งก็ไม่ใช่เพราะผมมีเรื่องอะไรที่จะปิดบังคุณ แค่ผมคิดว่าผมจะเริ่มเรื่องที่ตรงไหนดี "
หญิงสาวได้ฟังก็ฉุกคิดถึงลูกน้อยที่ยังไม่รู้เดียงสาขึ้นมา ร่างที่กลายก็แปรเปลี่ยนเป็นหญิงสาวแสนสวยคนเดิม เธอยืนกอดอกอยู่ใกล้ชายหนุ่มอารมณ์ยังไม่ได้สงบโดยดี
" คุณก็ว่ามาเร็วเข้าซิ ชั้นอยากรู้ "
" ผมได้พบนางอัปสรอีกคน "
" คุณว่าอะไรนะ นอกจากอีแก่นั้นยังมีนางอัปสรหลงเหลืออีกหรือ มันเป็นใคร ทำไมชั้นไม่รู้สึกว่ามีมันอยู่ที่หมู่บ้านนั้น "
" ก็น่าที่คุณและผมจะไม่รู้อยู่หรอก ในเมื่อนางพึ่งกลับมาเยี่ยมบ้านได้ห้าวัน นางเป็นลูกสาวคนโตของคุณเปรมชื่อปราณต์ฟ้า "
" ลูกคุณเปรม ชั้นไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าคุณเปรมกับคุณอิ่มฤดีเป็นสายเลือดสกปรกนั่น "
" ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน จนกระทั่งได้เจอกันจังๆวันนี้....เธอดูอันตรายอยู่ไม่น้อยเลยเพราะสัญชาติญาณของนางสวรรค์ล่ะมั้งถึงทำให้เธอจ้องตอบผมเขม็ง "
" และคุณจัดการนางยังไง "
" ผมก็ได้แต่ดูทีท่านางไปก่อน เพราะผมรู้สึกว่าอำนาจที่ติดตัวเธอมายังไม่ปรากฏ "
" ถ้าอย่างนั้นคุณควรฉวยโอกาสนี้เล่นงานมันก่อนที่มันจะรับรู้ถึงพลังอันมหาศาล "
" แต่ผมไม่เห็นด้วย... "
" ทำไมค่ะ " หญิงสาวแหวดเสียงร้องลั่นที่ผู้เป็นสามีกล่าวออกมาเช่นนั้น
" ผมรู้สึก...ไม่อยากที่จะยุ่งกลับเธอ ผมสังหรณ์ว่าเธอจะเป็นคนที่ทำให้ครอบครัวเราพิบัติ "
" คุณพูดออกมาอย่างนี้ได้ยังไง คุณลืมแล้วหรือว่าคุณกับชั้นและบรรดาญาติๆของเราโดนพวกมันทรมานยังไงคุณจำไม่ได้แล้วหรือว่าตอนคุณเป็นเด็กพ่อแม่คุณโดนฆ่ายังไง คุณลืมมันไปแล้วหรือ "
หญิงสาวโก่งคอตะเบ็งใส่หน้าชายหนุ่มสุดเสียง เธอกลายร่างอันน่าเกียจอีกครั้ง
" ผมไม่มีวันลืมหรอก " ชายหนุ่มกล่าวอย่างดุดันเขาจ้องตอบหญิงสาวเคร่งเครียด
" ผมไม่มีวันลืมสิ่งที่คุณกล่าวมา แต่ที่ผมต้องการจะบอกก็คือผมเป็นห่วงคุณกับลูก ผมไม่อยากให้คุณก่อสงครามกับพวกนางอัปสรอีก "
" คุณไม่ต้องห่วงชั้นหรอกชั้นกับลูกดูแลตัวเองได้ " หญิงสาวพูดอย่างหยิ่งยโส
" และชั้นก็จะไม่มีวันปล่อยให้อีนังอัปสรสวรรค์หน้าไหนมันลอยคออยู่ได้ คุณจำไว้ ถ้าชั้นไม่ได้ฆ่ามันให้หมดไปจากโลกนี้ ชั้นจะไม่มีวันมีความสุขเด็ดขาด "
" คอยดูเถอะ ชั้นจะรวมร่วมพรรคพวกแล้วไปกัดกินมันให้หมดทั้งหมู่บ้านเลยคอยดู "
หญิงสาวประกาศก้องก่อนจะสะบัดกายเดินออกไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมีสีหน้าผิดหวังระคนว้าวุ่นใจ เขาไม่อยากให้เธอต้องกระทำในสิ่งที่มันจะซ้ำรอยเดิมเลย... ชายหนุ่มนั่งนิ่งและคิดตรึกตรองอย่างหนักกับการตัดสินใจในครั้งนี้ว่าเขาจะทำนิ่งเฉยหรือว่าจะเข้าร่วมกับการแก้แค้นที่กินระยะเวลามาเป็นหลายร้อยปี
.................................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น