ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดั่งต้องมนต์

    ลำดับตอนที่ #1 : ดั่งต้องมนต์ Series : 01ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 49


    ( คำชี้แจง ทุกเรื่องในนิยายฉบับนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงไม่เกี่ยวข้องกับ บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่มีอยู่จริง)

            ดั่งต้องมนต์  Series  :  01
         ตอนที่  1
            "  ในโบราณกาล  สมัยมนุษย์ยังพึ่งพาพลังธรรมชาติและนับถือเทพเจ้า  ได้เกิดประเพณีลี้ลับขึ้น  ณ. หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งซ้อนตัวอยู่ในหุบเขารกทึบ  โอบล้อมด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มและหุบเหวลึกชันซ้อนหลั่นกันหลายชั้น  ความสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินได้ทำให้สายฝนตกลงมาเกือบตลอดทั้งปี...  ในแต่ล่ะปีทำให้เกิดน้ำป่าจำนวนมากไหลมาบรรจบกันหลายสาย  
         เกิดเป็นศูนย์รวมของต้นน้ำสายใหญ่ไหลทะลักลงสู่เบื้องล่างขุนเขา  ผืนแผ่นดินเบื้องล่างได้ถูกแรงน้ำกัดเซอะจนเป็นอกแอ่งเกิดขึ้นหลายแห่งตราบเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปแอ่งต่างๆได้เชื่อมถึงกันจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตา   ...น้ำตกหลายสายยังได้พัดพาเอาความสมบูรณ์และภัยร้ายมาด้วยในทุกค่ำคืนที่เดือนดาวมืดมิด
         เหล่าสัตว์ร้ายกลายร่างครึ่งบกครึ่งน้ำต่างเข้าจู่โจมทำร้ายคนในหมู่บ้านอย่างโหดเหี้ยม  จนผู้คนในหมู่บ้านเหลือผู้สืบเชื้อสายเพียงน้อยนิด  และต่างหวาดกลัวถึงขีดสุดจึงได้อ้อนวอนขอเหล่าผู้คนบนฟ้าให้ลงมาช่วยด้วยการทำสัญญาสายโลหิตถวายเด็กทารกที่เกิดในคืนข้างขึ้นเป็นเชื้อสายสถิตของเหล่านางอัปสร...
         และเมื่อใดที่นางแต่งงานมีลูกเชื้อสายของนางอัปสรก็จะสืบต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน  เพื่อที่จะหยุดการรุกรานของสัตว์ร้ายในรุ่นต่อๆไป  "
              "  เป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ  เรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาของหมู่บ้านนี้  "
         เสียงหญิงวัยกลางคนหันกลับไปมองบุตรสาวและบุตรชายคนเล็กที่นั่งฟังกันอยู่บนโซฟาตัวยาวอย่างตั้งใจราวกับกำลังฟังนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่ง
              "  แหม  ดูทำเข้าซิพวกลูกๆเนี่ย  หึ  หึ  หึ  "
          เธอพูดพลางหัวเราะขำขันอย่างหญิงอ้วนอารมณ์ดี  เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของพวกเขาทั้งสอง  ไม่บ่อยนักที่ลูกสาวคนโตวัย  22 ปีเศษจะแสดงท่าทางน่าเอ็นดูซึ่งปรากฏชัดในแววตา  ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าวัยเยาว์ของลูกสาวที่ยังคงหลงเหลือความไร้เดียงสาให้เห็นอยู่  ส่วนลูกชายของเธอวัย เจ็ดขวบนั้นดูจะสนุกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
             "  แล้วเป็นยังไงต่อล่ะค่ะ  คุณแม่เล่ามาซิ  " 
          หญิงสาวเร่งเร้าผู้เป็นมารดา  เธอขยับเข้าไปใกล้เกาะที่ท้าวแขนผ้าหนังบุน่วมโซฟาอย่างใจจดจ่อ
             "  เรื่องต่อจากนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน  "
             " โธ่  คุณแม่  เล่ามาซะตั้งนานทำให้หนูอยากรู้เรื่อง...อย่างนี้หนูก็รู้เรื่องค้างเติ่งสิค่ะ  "
          หญิงสาวกล่าวอย่างงอนๆ
             "  แนะ..ลูกนี่  ก็รู้ว่าแม่ไม่ใช่คนที่นี่  แม่ก็ฟังคนแถวนี้เขาเล่าต่อมาอีกที  ถ้าเราอยากรู้ก็ลองไปถามคุณยายทวดที่ท้ายสวนหมู่บ้านดูซิ  เผื่อคุณยายทวดจะมีเรื่องเล่าสนุกๆให้ลูกฟังอีก  "
             "  แหม  หนูก็แค่อยากฟังให้มันจบเรื่องแค่นั้น  คุณแม่อย่าทำเสียงน้อยใจอย่างนั้นซิค่ะ...เอาไว้วันหลังคุณแม่ไปฟังแล้วมาเล่าให้หนูฟังใหม่ก็ได้  หนูจะคอยฟังที่คุณแม่เล่าคนเดียวเลยค่ะ  "
          หญิงสาวพูดแล้วยิ้มประจบเอาใจผู้เป็นแม่  คุณนายอิ่มฤดีจึงค้อนขวับให้
             "  เราน่ะทำพูดดี กว่าจะลางานมาหยุดอยู่กับแม่ได้ก็ตั้งนาน  "
                    "  อย่างอนซิค่ะ  หนูก็มาอยู่กับคุณแม่แล้วนี่ไง  "
                    "  แต่เดี๋ยวเราก็กลับ  ทำไมหนูไม่ย้ายเข้ามาอยู่กับแม่เลยล่ะ  หนูอยู่ตัวคนเดี๋ยวที่กรุงเทพน่ะแม่เป็นห่วงทุกวัน  เราย้ายเข้ามาอยู่กับแม่เถอะนะ  "
              [  คุณแม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว  เราไม่อยากให้ท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยเพราะมันจะทำให้เราใจอ่อนอยากจะละทิ้งทุกอย่างที่กรุงเทพมาทุกครั้ง  ยิ่งเวลานี้เรารู้สึกผิดหวังจากงานและจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เราเคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่แสนดีของเรา 
                   จนกระทั่งวันที่มีการเสนอแผนงานใหญ่ซึ่งเราสู้อุตสาห์ค้นคว้าหาแหล่งข้อมูลมาอย่างยากลำบากก็ถูกเพื่อนที่เราไว้ใจแย่งข้อมูลงานไปเสนอก่อนหน้าเราเพียงหนึ่งวัน  ทำให้เรากลายเป็นผู้ร้ายลอกเลียนผลงานคนอื่นแต่เมื่อเราทำเรื่องชี้แจ้งและของให้มีการตรวจสอบกับโดนปฏิเสธจากฝ่ายกรรมการด้วยเพราะเรารู้มาว่าเธอใช้ตัวเองเข้าแรกให้ได้งานนี้มา
               มันทำให้เรารู้สึกผิดหวังที่โดนทรยศจากเพื่อนรักจนอยากที่จะหลบหนีมาสักพักเพื่อที่จะทำใจไปสู้กับปัญหาใหม่ได้  และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราขอลางานมาพักร้อนสองเดือนในที่ห่างไกล  ] 
              "  ลูกจ๋า  เป็นอะไรไป  แม่เห็นหนูทำหน้าแบบนี้บ่อยครั้งแล้วตั้งแต่มาที่นี่  มีอะไรที่กรุงเทพหรือเปล่าจ๊ะ   "           คุณนายอิ่มฤดีเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวอย่างปลอบโยน
              "  ไม่มีอะไรค่ะ  "   หญิงสาวอมยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
              "  งานที่หมู่บ้านกำลังจะจัดขึ้นดูถ้าจะเป็นงานใหญ่นะค่ะ  หนูเห็นคุณพ่อคุยว่า  กรรมการธุรกิจท้องถิ่นจะมา  ดูเหมือนว่าเขาจะย้ายมาตรงกับวันที่ฟ้ามาใช่ไหมค่ะ  " 
         หญิงสาวถามพรางเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำเปล่าที่เย็นชื่นใจมาถือ  แล้วเอนหลังพึ่งโซฟายาวข้างน้องชาย 
               "  ใช่แม่เคยเจอคุณพลัชครั้งหนึ่ง  เขาหล่อไม่เบานะ  เป็นถึงเจ้าของธุรกิจทั้งในประเทศนอกประเทศที่สิงคโปร์กับออสเตรเลียด้วยล่ะมั๊ง  อายุก็ยังน้อยแค่สามสิบปลายๆเอง  แม่พวกสาวๆแถวนี้นะชมชอบกันน่าดู  ดีนะที่เขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วไม่อย่างนั้นคงตามติดกันเป็นพรวน  แถมภรรยาเขาก็สวยเชียวนะ...  แต่แม่ว่าเขาค่อยข้างจะเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์อยู่สักหน่อย  ก็เมื่อวันที่แม่เจอเขานะ  เธอกำลังมีปากเสียงอยู่กับคนที่หมู่บ้านวันนั้นรู้สึกว่าพ่อเรากับผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านจะไม่อยู่กัน
               เธอพาลูกชายมากันสองคนแม่ลูกบอกว่าจะเข้ามาดูงานแต่พวกชาวบ้านไม่ไว้ใจพยายามไม่ให้เธอเข้าไปมีคนวิ่งมาตามแม่เพื่อที่จะไประงับเหตุการณ์ที่กำลังจะบานปลาย  พอแม่ไปถึงก็พอดีกับที่คุณพลัช  พ่อของเราและพวกผู้ใหญ่กลับมาพอดี  ทำให้คุณพลัชต้องพาเธอกับลูกชายกลับไปก่อนเพราะภรรยาเขายังคงโวยวายและกล่าวร้ายอย่างหยาบคายต่อหน้าผู้คนในหมู่บ้าน....  เขากลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ผู้นำหมู่บ้านจึงให้ชาวบ้านหยุดงานทั้งหมดที่จะทำในวันนั้นเพื่อที่จะได้ระงับอารมณ์ไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีกับคุณพลัชเขาน่ะ   เรื่องมันก็เป็นอย่างงี้เหละจ๊ะ  "
              "  โอ้โฮ้  มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วย  เธอขี้โมโหขนาดนั้นเลยหรือค่ะแม่  "  
              "  ใช่จ๊ะ  เธอเกรี้ยวกราดใส่คุณพลัชใหญ่เลยตอนที่เธอถูกลากกลับไปน่ะ   ตอนนั้นแม่สงสารคุณพลัชเขามากกลับบ้านไปเพวกขาคงทะเลาะกันอีก  เฮ้ย...  เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆเธอไม่น่าทำให้ครอบครัวไม่มีความสุขเลย  แม่เห็นลูกชายเขานะ  มองพ่อแม่ทะเลาะกันตาปริบๆดีที่เด็กมันยังเล็กอยู่ยังไม่รู้ความมาก  แม่เห็นแล้วก็สงสารเจ้าหนูนั้นหน้าตาแกน่าเอ็นดูที่เดียวแหละ  "
              [  คุณแม่เล่าเรื่องไปพลางก็จับผมเราขึ้นมาทักเปียไปพลาง  เราฟังคุณแม่พูดไปก็อดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ารักใคร่หลงใหลเด็กน้อยคนนั้นมาก  ]
              "  แม่ว่าภรรยาคุณพลัชแกยังสาวยังสวยเกินกว่าจะมามีลูกมีสามีนะ  เห็นเค้าว่าเธอจบโทจากเมืองนอกมาด้วย  เธอน่าจะชอบที่จะทำงานมากกว่าจะมาติดตามสามีที่ย้ายเข้ามาเปิดธุรกิจเอากลางป่ากลางดอยแบบนี้  เรียนมาก็สูงแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร...  สู้ลูกของแม่ก็ไม่ได้  "  คุณนายปลัดเอียงคอมองลูกสาว
              "  อะไรกันค่ะอยู่ดีดีก็มาชมหนูซะงั้น  "  หญิงสาวพูดติดหัวเราะเสียงใส
              "  ก็หนูเป็นความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่นี่จ๊ะ  ที่หนูคว้าเกียรตินิยมมาได้  แม่ไม่คิดเลยว่าลูกของแม่จะทำได้ขนาดนี้  แม่แค่อยากให้ลูกเรียนจบและมีงานดีๆทำเท่านั้น  แต่หนูฟ้าก็ให้แม่มากกว่านั้นแม่ไม่รู้ว่าหนูพยายามขนาดไหนถึงได้มันมาทั้งที่ลูกไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร  แล้วยังทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนอีกตอนแรกแม่คิดว่าหนูมุ่งกับงานจนไม่เป็นอันเรียนแล้ว...  "  คุณนายอิ่มฤดีลูบผมลูกสาวอย่างสุดรัก
              "  แล้วหนูก็ทำให้แม่ดีใจ  " 
         เธอโอบกอด ศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่
              "  จำไว้นะ  ลูกทั้งสองเป็นสิ่งเดียวที่แม่รักเท่าชีวิต  ถ้าลูกของแม่ทุกข์ใจแม่ก็ทุกข์ใจยิ่งกว่า  "
         ปราณต์ฟ้าเอื้อมมือเย็นชื้นนั้นบีบตอบฝ่ามืออุ่นๆของผู้เป็นแม่
              "  ขอบคุณค่ะแม่หนูรักแม่ที่สุดเลยค่ะ  " 
         เธอยิ้มละมุนรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ
              "  คุณแม่มีส่วนช่วยหนูค่ะ  นั่นเพราะแม่ไว้ใจและเชื่อใจหนูค่ะ  คุณแม่ปล่อยให้หนูมีอิสระทางความคิดและการกระทำคุณแม่เชื่อว่า  หนูจะต้องเดินในทางที่ถูกที่ควรและรู้จักแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดเป็นค่ะ  หนูต้องขอบพระคุณคุณแม่มากค่ะที่ทำให้หนูมีวันนี้  "
          สองแม่ลูกกอดกันกลมแต่อยู่ๆคุณแม่ลูกสองก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
              "  ตายแล้วแม่มัวทำอะไรอยู่เนี่ย  มันใกล้ถึงเวลาที่แม่ต้องไปสมาคมชุมชนแม่บ้านแล้วดูซิเหลือเวลาอีกนิดเดียวเองแม่ต้องเข้าไปเตรียมของก่อนล่ะ  แย่จริงเชียวจะทันไหมเนี่ย   "
          คุณนายอิ่มฤดีบ่นอุบขนาดที่เดินเข้าไปภายในห้องครัว
              "  คุณแม่มีอะไรให้หนูช่วยไหมค่ะ  "  ฟ้าตะโกนตามหลังแม่ของเธอไป
              "  ไม่เป็นไรจ๊ะ  หนูมีอะไรก็ไปทำเถอะ  "  เสียงหญิงสาววัยกลางคนตอบกลับมาไกลๆ
              "  ถ้าอย่างนั้นหนูขึ้นห้องก่อนนะค่ะ  "
              "  พี่ฟ้าผมขึ้นไปเล่นบนห้องพี่ฟ้าด้วยนะ  "
          เด็กชายดึงรั้งแขนของพี่สาวไว้
              " ได้ซิ  แต่ห้ามซนนะ  พี่จะทำงาน  "  ฟ้าหันไปปรามน้องก่อนจะยอมให้ตามขึ้นไป
              "  อืม  อ๋องไม่ซนหรอกน่า    พี่ฟ้าก็อย่าแกล้างอ๋องแล้วกัน  "
          น้องชายยืนประจันหน้ากับเธอเป็นการต่อรอง  ฟ้ามองน้องชายแล้วครุ่นคิด
              [  ยังจะกลัวอยู่อีกหรือ  ]
         ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพวกจิ้งจก  ตุ๊กแก  เด็กชายจะร้องไห้จ้าและมีไข้ขึ้นสูงทุกครั้งไป  เธอรู้สึกผิดกับการแกล้งน้องเพียงครั้งเดียวของเธอเมื่อตอนที่เด็กชายอายุได้เพียงสองขวบ   และมักแปลกใจกับพฤติกรรมของน้อง  เวลาที่มีสัตว์ประเภทนี้อยู่ใกล้ๆมองดูแล้วมันอาจดูธรรมดาที่เด็กจะกลัวสัตว์พวกนี้แต่ก็ไม่น่าจะฝังใจขนาดนั้น
              "  พี่ไม่แกล้งเธอหรอกอ๋อง  อ๋องเลิกกลัวมันได้แล้วล่ะนะ  " 
              "  ไม่เอาก็อ๋องกลัว  "
              "  ทำไมอ๋องถึงกลัวมันนักล่ะครับ  พี่ว่ามันก็น่ารักดีออก  " 
         ปราณต์ฟ้าลงไปนั่งย่องๆให้อยู่ในระดับเดียวกันกับน้องชาย
              "  อ๋อง..ไม่รู้  ก็อ๋องกลัวนี่น่า  "  เด็กชายทำสีหน้าจะร้องไห้สองมือน้อยก็กำทึ้งเสื้อผ้าอย่างไม่รู้ตัว
              "  อ๋อง..อ๋องไม่รู้ว่ากลัวเพราะอะไร  อ๋องรู้แต่ว่าเวลามันมาอยู่ใกล้ๆอ๋องจะกลัวมาก...อ๋องกลัวมันมากมาก  จริงๆนะพี่ฟ้า  "
         สองมือของพ่อหนูน้อยขยุ้มเสื้อผ้าแน่น  ดวงตาเอ่อคลอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่สั่นระริก  ทั้งยังมีแววประหวั่นอยู่ในนั้นร่างกายเกิดอาการแข็งเกร็งและสั่นสะท้านขึ้นตามมา  
         ฟ้าสงสารน้องจับใจ  เธอเอื้อมมือไปสวมกอดเด็กชายไว้แน่นพลางลูบศีรษะปลอบโยน  กระซิบแผ่วเบาข้างหูอย่างท่องมนตร์
              "  ไม่เป็นไรแล้วนะ  ไม่เป็นไรแล้ว...น้องพี่  ไม่เป็นไรแล้วคนเก่งของพี่  ถ้าอ๋องกลัวอ๋องบอกพี่  พี่จะช่วยอ๋องเองพี่จะไล่มันไปเอง  อ๋องบอกพี่นะ  ไม่เป็นไรแล้วนะไม่เป็นไรแล้ว   "
         ฟ้ายังคงลูบหลังปลอบโยนต่อไปจนกระทั่งอาการสั่นสะอื้นหายไป  เธอจึงดันน้องออกแล้วเช็ดคราบน้ำมูกน้ำตาให้หลังจากนั้นจึงจูงมือน้อยขึ้นห้องไปกันเงียบๆ
    ................................................................................................................................................................................
         ปราณต์ฟ้านั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในห้องได้สักพักหนึ่งก็หันไปเหลียวมองน้องชาย  ที่นั่งเล่นหุ่นยนต์อยู่บนเตียง  หญิงสาวละสายตากลับมามองเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง  เธอครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาเวลาสามปีที่เธอทุ่มให้กลับงานดูมันช่างศูนย์เปล่าไปเลย  ความคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวแล่นเข้ามาอีกครั้งเธอเป็นสุขเมื่ออยู่ที่นี่  มีพ่อมีแม่มีน้องชายที่รัก  ...นิ้วมือสวยนั้นจับหมุนปากาเล่นสายตาเริ่มเหม่อลอยไร้จุดหมาย...จากนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังเฮือกใหญ่  หญิงสาวหันกลับไปมองน้องชายอีกครั้ง
              "  อ้าวหลับไปซะแล้ว  เมื่อกี้ยังเล่นอยู่เลย  หึ..เด็กหนอเด็ก  "
          ฟ้าอมยิ้ม  เธอเดินไปอุ้มเด็กน้อยจัดท่านอนให้เข้าที่แล้วจัดการห่มผ้าห่มให้  เธอยิ้มมองใบหน้าที่พริ้มหลับอีกครั้งก่อนจะหันมาจัดการกับของเล่นที่เกลื่อนที่นอน
              "  เอ๊ะ  Crocodile  Toys  นี่ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งของคุณพลัชซินะ  บริษัทใหญ่ซะด้วย  หุ้นต่างประเทศก็มีมาก  เอ๊ะ...นี่มันบริษัทที่เราทำงานอยู่ก็เครือเดียวกันหรือนี่  นายคนนี้ถ้าจะรวยจริงแฮะ  "
          ฟ้านึกโลกมันช่างกลมดีแท้  เธอเอาของเล่นทั้งหมดวางไว้ที่ตู้เก็บของแล้วจึงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเริ่มงานที่ค้างไว้ต่อ
         ครอบครัวของปราณต์ฟ้าต้องย้ายตามพ่อซึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ที่นี่ในหมู่บ้านเล็กๆ  ซึ่งห่างไกลความเจริญเป็นอย่างมากมันอยู่ในกิ่งอำเภอและหลบซ่อนตัวอยู่ในทิวเขาป่าเบญจพรรณซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยคุณพ่อของเธอเคยคุยกับเธอมาก่อนที่จะตัดสินใจย้ายรกรากมาอยู่ที่นี่เลย
              {  เราไม่จำเป็นต้องเข้ามาตั้งรกรากที่นี้ก็ได้  ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่กลางหุบเขากลางป่ากลางดง  แต่ถ้าเราต้องการรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วเราจำเป็นต้องประสพกับมัน  เราต้องไปอยู่ในจุดที่ลำบากนั้น  ฟ้าเห็นด้วยกับพ่อไหมลูก  }
              {  ฟ้าเห็นด้วยค่ะ  พ่อไปไหน  ฟ้าคุณแม่และก็น้องจะตามไปด้วยทุกที่แหละค่ะ  คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะค่ะ  ฟ้าไม่ทิ้งคุณพ่อหรอกค่ะ  ฟ้าสัญญา  ถึงอยู่นี่จะลำบากหน่อยแต่ฟ้าก็ทนได้ค่ะ  }
              {  แหม..ลูกสาวพ่อปากหวานจริง  } 
         เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้หนึ่งปีปราณฟ้าก็ต้องไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ  เธอกลับมาเยี่ยมบ้านอยู่ตลอดตอนช่วงปิดเทมอจนจบ 4 ปีจากนั้นเธอก็หางานได้ทันที
         ช่วงที่ครอบครัวปราณต์ฟ้าย้ายเข้ามานั้น  ครอบครัวเธอเป็นคนต่างถิ่นครอบครัวเดียวที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน  ตอนแรกที่ย้ายมาชาวบ้านต่างไม่ตอนรับทั้งขับไล่ต่างๆนานา  สารพัดที่จะทำได้เนื่องจากที่หมู่บ้านนี้มีธรรมเนียมและวิถีทางดำรงชีวิตที่ผิดแผกจากที่อื่น  เป็นที่ๆยังคงเอกลักษณ์ด้านประเพณีอันเก่าแก่ซึ่งตกทอดมาหลายชั่วอายุคน  และค่อนข้างปิดตัวเองเป็นอย่างมาก  ซ้ำยังไม่เคยให้ความร่วมมือใดๆกับรัฐบาล  เอกชนและมูลนิธิต่างๆที่พร้อมจะช่วยเหลือ  เขามีผู้นำในหมู่บ้านที่จะเป็นคนชี้เป็นชี้ตายของทุกคนในหมู่บ้าน
         แต่เพราะไมตรีจิต  ความบริสุทธิ์ใจและสัตย์ซื่อของครอบครัวปราณต์ฟ้า  ทำให้ผู้นำของหมู่บ้านยินยอมต้อนรับสกุลพฤกษ์สลาเข้ามาเป็นครอบครัวใหญ่ของพวกเขาด้วย  ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและจะค่อยๆพัฒนาสายสัมพันธ์จนมาถึงทุกวันนี้  ที่เริ่มสามารถให้มีการติดต่อประสานงานกับเอกชนและรัฐบาลได้ 
         ประเพณีการประกวดสาวงามในหมู่บ้านทำกันทุกปีอยู่แล้วแต่ปีนี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง  เพราะได้มีการยินยอมให้คนในตำบลอื่นเข้ามาเที่ยวชมงานอย่างเป็นทางการ  เนื่องจากในปีก่อนๆนั้นได้มีหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยต่างลักลอบเข้ามาชมงานในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก  ด้วยคำเล่าลือต่อๆกันมาว่าความงามของหญิงสาวในหมู่บ้านนี้  หญิงที่ว่าขี้เหล่ที่สุดยังสวยกว่าหญิงงามชาวบ้านธรรมดา  ฉะนั้นทุกคนจึงคาดการว่างานในปีนี้ผู้คนจากทั่วตำบลจะต้องหลั่งไหลกันมาอย่างมากแน่ๆ
         ที่ทุกอย่างสำเร็จมาได้ขนาดนี้เพราะพ่อของปราณต์ฟ้าเป็นตัวกลางสำคัญ  คอยจัดการประสานงานจากทุกๆฝ่ายโดยเฉพาะการหาแหล่งรายได้ที่จะนำเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน  ถึงหมู่บ้านนี้จะไม่ทุระกันดานแต่ก็ยังขาดการพัฒนาอีกหลายอย่างซึ่งการสนับสนุนอย่างแรกที่ได้มาจากเอกชนรายหนึ่งก็คือจานดาวเทียนสื่อสาร  รายได้ส่วนใหญ่ที่ได้มาก็จะมาจากการขายสินค้าที่มีในหมู่บ้าน  รวมถึงผลผลิตแปรรูปที่หญิงสาวในหมู่บ้านช่วยกันจัดทำขึ้นโดยมีคุณแม่ของปราณต์ฟ้าเป็นแกนนำ  และยังมีสินค้าตื่นตาอื่นๆอีกมาก  ซึ่งยังไม่เคยมีคนนอกหมู่บ้านกลุ่มไหนได้เห็นนั้นก็คือผ้าไหมทองอัมพัน  อันทำจากเส้นใยของตัวหนอนไหมทองที่มีลักษณะเฉพาะภายในหมู่บ้านนี้เท่านั้น 
          ด้วยว่าตัวหนอนชนิดนี้ต้องดำรงอยู่กับการดำรงชีวิตในรูปแบบเก่าแก่โบราณกาลของธรรมชาติซึ่งยังคงสภาพไม่เสียสมดุล      
         ส่วนไฮไลท์ของงานดูจะเป็นช่วงกลางคืนที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟและการประกวดเทพี  การจัดงานเลยต้องดีพร้อมและลื่นไหลช่วงนี้ทุกคนเลยดูวุ่นวาย  แม้แต่ฟ้าเองยังต้องมาช่วยงานคุณพ่อกับคุณแม่เลย
              "  เอาล่ะ....เสร็จแล้ว  "  ฟ้ารวบรวมเอกสารบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบแล้วเดินเข้าไปทางห้องส่วนกลาง 
              "  คุณแม่ค่ะ..หนูไปส่งเอกสารให้คุณพ่อก่อนนะค่ะ  เย็นๆหนูจะกลับแล้วกันค่ะ  อ้อ..น้องนอนอยู่บนห้องนะค่ะคุณแม่  "
              "  ขับรถไปดีๆนะ  "  เสียงคุณแม่ตะโกนออกมาจากด้านในครัว
              "  ค่ะ  " 
         ฟ้าหันกลับไปกล่าวลาแล้วก้าวออกจากตัวบ้านสู่เรือนชานซึ่งก่อสร้างจากอิฐปูนแดงแซมไม้เนื้อแข็งผสมผสานกันอย่างลงตัว  บริเวณโดยรอบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ถูกธรรมชาติรังสรรค์ไว้  เธอเดินลงบันไดไม้ผ่านซี่กรงไม้สลักที่ชาวบ้านได้ร่วมลงมือประดับปะดาตกแต่งบ้านให้อย่างวิจิตรสวยงามและเก็บรายละเอียดในทุกชิ้นส่วนอย่างบรรจง  เธอเดินมาจนถึงประตูรถเปิดเข้าไปนั่งแล้วจึงกดโทรศัพท์มือถือ
              "  คุณพ่อหรือค่ะ  หนูกำลังไปส่งเอกสารให้ค่ะ...ค่ะ...ค่ะ...เสร็จแล้วค่ะ  ตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหนค่ะ...ค่ะ...เดี๋ยวเจอกันนะค่ะ  "
    ...................................................................................................................................................................................
         ที่หมู่บ้าน  ประเพณีการบวงสรวงนางอัปสรนั้นจะจัดขึ้นช่วงต้นฤดูวสันต์ซึ่งเป็นช่วงน้ำหลาก  น้ำในป่าไหลมาสมทบกันมาก  ทั้งจากลำห้วยและหนองน้ำทุกสายในขุนเขาต่างหลั่งไหลมาบรรจบกันที่ทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน
         ซึ่งน่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจไม่ว่าปีนั้นน้ำจะมากเพียงไหน  น้ำในทะเลสาบก็จะไม่เอ่อล้นออกมา  และยิ่งในสมัยอดีตบรรพบุรุษนั้นได้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยกันบนผิวน้ำ  ใกล้ริมตลิ่งล้อมรอบชายฝั่งตลอดแนวของทะเลสาบ  บ้างก็ปลูกเคลื่อนลอยติดฝั่งขุนเขา  สร้างคล้ายเพริมน้ำที่มีโครงไม้แข็งแรงยื่นออกไปยึดติดพื้นดินไว้อย่างแน่นหนา  บางหลังก็ต่อกันเป็นแพเรียงแถวเป็นแนวยาวจรดถึงปลายทะเลสาบ  ซึ่งสมัยก่อนนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่
         แต่ในปัจจุบันได้มีการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นจุดเดียวและย้ายขึ้นบนบกสร้างเป็นบ้านไม้สองชั้นยกพื้นสูง  ประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยฝีมือแกะสลักอันปราณีและลวดลายที่แปลกตาหาที่ใดเสมอเหมือนได้ว่ากันว่าบ้านของคนที่ยากจนในหมู่บ้านยังดูมีราคาค่างงวดเมื่อตีออกมาเป็นเงิน
         ทุกคนในหมู่บ้านต่างทำมาหากินด้วยการแลกเปลี่ยนของป่ากันกับหมู่บ้านใกล้เคือง  ใครหาอะไรมาได้ก็มักจะมาวางขายกันใต้ถุนเรือนของตน  การค้าขายของที่นี่ก็ถูกแสนถูก  เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินอะไรมากมายนักแค่พอมีพอเก็บ  เมื่อเป็นเช่นนั้นหมู่บ้านนี้จึงไม่มีใครรวยที่สุดและจนที่สุด  แต่นั้นต้องไม่นับรวมถึงครอบครัวของปราณต์ฟ้าที่ย้ายเข้ามา
         ยิ่งเป็นวัตถุนิยมความทันสมัยต่างๆแทบจะไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในหมู่บ้านนี้ได้  เพราะความเคร่งครัดและเชื่อในจารีตประเพณีของทุกคนในหมู่บ้านที่มีมายาวนานกว่า 800 ร้อยปี 
    '  บริสุทธิ์ผ่องใสดั่งกระจกส่องฟ้าธารากลางหุบผา  เข้มแข็งและเป็นหนึ่งดั่งนทีที่บรรจบลงกลางทะเลสาบ  '
         ความดีงามของที่นี้มีค่ายิ่งกว่าเงินทองในธนาคารโลกซะอีกและยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติและกระทำอย่างเคร่งครัด  ทุกบ้านจะสั่งห้ามลูกหลานของตนเข้าไปใกล้น้ำในทะเลสาบไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม  โดยเฉพาะผู้หญิงในหมู่บ้าน  ..ทั้งๆที่ระยะทางระหว่างท้ายหมู่บ้านกับทะเลสาบนั้นห่างกันเพียงสองกิโลเมตรเท่านั้น 
         ฟ้าเองก็ไม่ได้สงสัยหรือซักถามอะไรมากมายนัก  ก็ได้แต่ปฏิบัติตามมาโดยตลอดแม้เธอจะอดเสียดายไม่ได้  เพราะเธอชอบการแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ  เมื่อครั้งยังเรียนมัธยมปลายเธอเคยได้ลงแข่งเป็นนักกีฬาประจำเขตชิงถ้วยพระราชทานซึ่งจัดแข่งขันทั่วประเทศ  เธอไม่ได้ชัยชนะในครั้งนั้นแต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอเสียใจเลยกลับดีใจเสียอีกเพราะเธอของแค่ได้มีโอกาสว่ายน้ำเท่านั้น  เธอก็เป็นสุขและพอใจมากแล้ว
         เมื่อเธอขับรถจี๊ปแล่นผ่านหมู่บ้านมาได้ระยะหนึ่งก็จะพบถนนดินลูกรังซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันทำทางสายนี้ขึ้น  ทางซ้ายมือเป็นสันผาตั้งตระหง่านตลอดแนวถนนมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นซอนไซตามหินผาและยืนต้นสูงใหญ่ทอดตัวแผ่กิ่งก้านยื่นเป็นโพรงพุ่มเข้าหาถนน  จนมองดูคล้ายอุโมงค์สีเขียงครึ้ม  ซึ่งก็หมายความว่าฝั่งขวามือของเธอนั้นคือ...
         ทะเลสาบกว้างใหญ่สีน้ำเงินครามที่ส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดดกล้า  มันทอดตัวยาวสงบนิ่งมีเพียงริ้วคลื่นที่เกิดจากลมพัดโชย  จากฝูงนกกระยาง  และนกน้ำนานาชนิดต่างกำลังบินโฉบหาปลาบางตัวก็ร่อนลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน  ที่ริมตลิ่งมีต้นหญ้าขนนกแผ่ภู่สีขาวส่ายระบำไปตามแรงลงที่เกิดจากตัวรถวิ่งผ่าน
              "  อื้ม..อากาศเย็นสบายจัง  "
          ฟ้ารำพันออกมาอย่างอารมณ์ดี  เธอชอบที่จะได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้
         แต่เมื่อเธอขับรถเลียบชายฝั่งมาได้  6-7 กิโลเมตร  ก็มีเหตุทำให้เธอต้องหยุดรถอย่างรีบด่วน  เนื่องจากหน้ากระโปรงรถเกิดกลุ่มควันสีดำลอยขึ้นโขมง
              "  ว้าย...แย่แล้ว  "  เธอโวยวายอย่างตกใจเพราะเมื่อเปิดฝาหน้ารถที่ร้องฉ่าก็พบว่าน้ำในหม้อน้ำแทบจะไปเหลือติดก้นหม้อด้วยซ้ำ
         เธอรีบกุรีกุจอควานหาแกลลอนใต้เบอะหลังรถ  แล้ววิ่งตะลุยเข้าพงหญ้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะเจอกับสัตว์มีพิษจากนั้นก็เร่งรองน้ำเข้าแกลลอนจนเต็ม  แล้วพยายามปีนป่ายขึ้นจากตลิ่งอย่างทุลักทุเลเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นดินที่อ่อนนุ่มการเคลื่อนย้ายจึงเป็นไปได้ยากเต็มที  ฟ้าวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่หลายรอบกว่าน้ำในหม้อจะเต็ม
              "  โอ๊ยเหนื่อย   "    เธอโยนแกลลอนทิ้งอย่างหมดแรงพลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างสิ้นท่า 
         เธอรู้สึกเหนื่อยหอบจนสำลักอากาศที่สูบฉีดเข้าปอดอย่างรวดเร็วจนไอโขรกๆอยู่หลายทีกว่าจะหายใจได้อย่างสม่ำเสมอ  แขนขาเธอเปียกปอนและเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้โคลนขี้เลนริมตลิ่ง  เป็นเพราะเธอไถลลงไปเกือบครึ่งน่อง
         แต่ยังดีที่วันนี้เธอใส่ชุดสบายๆ  เป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าผ้าใบ  เธอมองสภาพตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเนือยๆจากนั้นจัดการเก็บแกลลอนที่คว้าขึ้นมาด้วยไว้หลังรถ  แล้วค่อยเดินเข้าพงหญ้าที่ตอนนี้เรียบเตียนเป็นช่องยาวไปถึงตลิ่ง  เธอย้ำเข้าไปในพงหญ้ากอใหม่เพื่อที่จะเดินไปล้างมือล้างหน้าและล้างขาพร้อมรองเท้าผ้าใบที่เปื้อนโคลนคู่โปรดของเธอ  เธอถอดมันออกมาแล้วมองดูมันที่ถูกหิ้วอยู่ในมือก็ต้องเบ้หน้า 
              "  โธ่  เจ้ารองเท้าสุดโปรดของชั้น  เจ้าไม่สวยสดใสอีกต่อไปแล้ว  "  เธอบ่นพึมแล้ววางมันลงใกล้ลำตัว
    จากนั้นเธอก็วักน้ำขึ้นมาล้างคราบเหงื่อไคลที่ท่อนแขนและข้อศอกที่ยังคงเลอะดินโคลน
              "  อุบซื้ด  " 
         ฟ้าอุทานออกมาเบาๆ  เมื่อน้ำเย็นฉ่ำโดนบาดแผลจากการลุยฝ่าดงหญ้าซึ่งก็โดนบาดอยู่หลายแห่งทั้งน่องขา  ท้องแขน  หรือแม้แต่ข้างแก้มก็มีรอยเลือดซึม
              "  แสบจัง...ล้างน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยกลับไปล้างแผลอีกทีก็แล้วกัน  " 
         เธอพึมพำกับตัวเองอยู่สักครู่หนึ่งขณะที่ล้างแผล  คราบเลือดเพียงน้อยนิดและเหงื่อไคลของหญิงสาวถูกชะล้างจนเจือจางหายไปกับสายน้ำ  เมื่อการชำระล้างร่างกายเสร็จ
         เธอก็นั่งรับลมอยู่บริเวณริมตลิ่งนั้น  เหม่อมองสิ่งต่างๆที่อยู่เบื้องงหน้าแล้วปล่อยความคิดให้ลอยออกไปเรื่อยๆ  ในขณะที่สายลมพาพัดเอาความสดชื่นแผ่พลิวมาต้องกระทบยอดไม้และยอดหญ้าให้ส่ายไหวโอนเอนลู่ลมคล้าย...เป็นที่สำราญใจยิ่งนัก 
              [  ทะเลสาบนี้จะกว้างไกลเท่าไหร่หนอ...ห้วยน้ำที่นี่จะชื่นฉ่ำใจขนาดไหนนะเวลาที่ได้ดำพุดดำว่าย...จะลึกมากไหมน้า...ใต้ผิวน้ำคงจะมีปลาชุมน่าดู...อยากเห็นจัง  ] 
         และอีกมากมายคำถามเกี่ยวกับทะเลสาบแห่งนี้ที่ก้องกังวานอยู่ในใจแต่มิได้เอ่อออกมาเป็นคำพูดใดๆ  มีเพียงเสียงถอนหายใจกับสายตาที่เหม่อลอยทอดออกไปไกลเท่านั้น
              "  ได้เวลาไปได้แล้วมั้ง  เรามัวเสียเวลาอยู่กับที่นี่นานแล้วนะ  "  เธอพูดแล้วลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ก้มลงไปคีบรองเท้าผ้าใบสองข้างซึ่งยังเปียกโชกมาหิ้ว 
         พร้อมกับเดินเท้าเปล่ากระย่องกระแย่งออกไปที่รถ  วางรองเท้าผ้าใบไว้ใต้เบอะรถข้างซ้ายแล้วโหนตัวขึ้นนั่งฝั่งคนขับ  บิดกุญแจสตารถอย่างแรงและออกตัวไปอย่างรวดเร็วคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นอิฐแดงตลบฟุ้งกระจายทิ้งบริเวณนั้นไว้เบื้องหลัง  จนกระทั่งรถแล่นลดเลี้ยวอยู่ไกลลิบและเลี้ยวหายเข้าไปทางโค้งของลืบเขาซึ่งพ้นช่วงปลายสุดด้านหนึ่งของทะเลสาบ
         ปราณต์ฟ้าไม่รู้เลยว่าคราบเลือดและเหงื่อไคลอันน้อยนิดที่เจือจางไปกับสายน้ำของเธอนั้น  มันหอมหวานและน่าชิงชังขนาดไหน  ทั้งยังขจรขจายได้รวดเร็วยิ่งกว่ากลิ่นกำจายใดๆที่เคยร่วงหล่นลงในทะเลสาบแห่งนี้ 
         เกิดเสียงผุดๆปุๆขึ้นที่ผิวน้ำรอบทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งไม่รู้ที่สิ้นสุดที่ตรงไหน  มีการสั่นไหวของระลอกคลื่นอย่างรุนแรงต่อเนื่องอย่างกับน้ำที่กำลังเดือดพล่าน  สิ่งที่ปรากฏตามมาคือแสงเรืองสีเหลืองอ่อนเกิดขึ้นเป็นเส้นบางนับล้านเส้นพันเกี่ยวตวัด  ก่อตัวดั่งเส้นตะข่ายโปร่งเปล่งแสงสว่างขึ้นที่ริมขอบตลิ่งแล้วโพยพุ่งสูงขึ้นไปบนฟากฟ้ามิรู้จบรอบทะเลสาบ
         แต่เพียงไม่นานม่านนั้นก็สั่นไหวเป็นลอนคลื่นอย่างรุนแรง  ตรงส่วนริมตลิ่งยังที่ๆฟ้าชำระร่างกายเกิดเส้นแสงสีแดงอ่อนกลืนกินแสงสีเหลืองบริเวณนั้นเป็นวงกว้างแล้วลุกไหม้เป็นลูกเพลิงลามเลียไปทั่งท้องทะเลสาบในช่วงพริบตาแสงสีเหลืองลุกไหม้ไปหมดสิ้นเหลือแต่เพลิงแสงสีแดงสดเต้นไหวเปล่งประกายระยับ  ไม่นานนักก็ทอแสงอ่อนลงและลับหายไป  ทิ้งให้ทะเลสาบเกิดความอ้างว้างวังเวง  ไม่มีแม้เสียงนกร้องและฝูงห่านป่าที่มักจะมาร่อนเล่นและหากินปลาเล็ก ไม่มีสรรพสัตว์ย่างกายเข้ามาในบริเวณนี้อีกแล้ว  แม้แต่สายลมที่เคยพัดเฉื่อยฉิวเย็นสบายก็แปรเปลี่ยนไป  ทุกสิ่งทุกอย่างที่บริเวณโดยรอบทะเลสาบเปลี่ยนแปรไปจนหมดสิ้นแล้ว 
         และฟ้าเองก็ไม่รู้เลยว่า ระลอกคลื่นแห่งความโกรธ  เกลียด  อาฆาต   และความชั่วช้าหนักหนาในครั้งอดีตกาลได้โหมกระพือขึ้นจากใต้ทะเลสาบลึกทั่วทุกแห่งหน  เธอไม่รู้หรอกว่าเธอได้นำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านอันสงบนี้อีกครั้ง  ซึ่งก็เหลือเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะถึงวันงานบวงสรวง
    ................................................................................................................................................................................

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×