คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ดั่งต้องมนต์ Series : 01ตอนที่ 1
( คำชี้แจง ทุกเรื่องในนิยายฉบับนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงไม่เกี่ยวข้องกับ บุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์ที่มีอยู่จริง)
ดั่งต้องมนต์ Series : 01
ตอนที่ 1
" ในโบราณกาล สมัยมนุษย์ยังพึ่งพาพลังธรรมชาติและนับถือเทพเจ้า ได้เกิดประเพณีลี้ลับขึ้น ณ. หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งซ้อนตัวอยู่ในหุบเขารกทึบ โอบล้อมด้วยผืนป่าเขียวชอุ่มและหุบเหวลึกชันซ้อนหลั่นกันหลายชั้น ความสมบูรณ์ของพื้นแผ่นดินได้ทำให้สายฝนตกลงมาเกือบตลอดทั้งปี... ในแต่ล่ะปีทำให้เกิดน้ำป่าจำนวนมากไหลมาบรรจบกันหลายสาย
เกิดเป็นศูนย์รวมของต้นน้ำสายใหญ่ไหลทะลักลงสู่เบื้องล่างขุนเขา ผืนแผ่นดินเบื้องล่างได้ถูกแรงน้ำกัดเซอะจนเป็นอกแอ่งเกิดขึ้นหลายแห่งตราบเวลาได้ล่วงเลยผ่านไปแอ่งต่างๆได้เชื่อมถึงกันจนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ...น้ำตกหลายสายยังได้พัดพาเอาความสมบูรณ์และภัยร้ายมาด้วยในทุกค่ำคืนที่เดือนดาวมืดมิด
เหล่าสัตว์ร้ายกลายร่างครึ่งบกครึ่งน้ำต่างเข้าจู่โจมทำร้ายคนในหมู่บ้านอย่างโหดเหี้ยม จนผู้คนในหมู่บ้านเหลือผู้สืบเชื้อสายเพียงน้อยนิด และต่างหวาดกลัวถึงขีดสุดจึงได้อ้อนวอนขอเหล่าผู้คนบนฟ้าให้ลงมาช่วยด้วยการทำสัญญาสายโลหิตถวายเด็กทารกที่เกิดในคืนข้างขึ้นเป็นเชื้อสายสถิตของเหล่านางอัปสร...
และเมื่อใดที่นางแต่งงานมีลูกเชื้อสายของนางอัปสรก็จะสืบต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน เพื่อที่จะหยุดการรุกรานของสัตว์ร้ายในรุ่นต่อๆไป "
" เป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ เรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาของหมู่บ้านนี้ "
เสียงหญิงวัยกลางคนหันกลับไปมองบุตรสาวและบุตรชายคนเล็กที่นั่งฟังกันอยู่บนโซฟาตัวยาวอย่างตั้งใจราวกับกำลังฟังนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่ง
" แหม ดูทำเข้าซิพวกลูกๆเนี่ย หึ หึ หึ "
เธอพูดพลางหัวเราะขำขันอย่างหญิงอ้วนอารมณ์ดี เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของพวกเขาทั้งสอง ไม่บ่อยนักที่ลูกสาวคนโตวัย 22 ปีเศษจะแสดงท่าทางน่าเอ็นดูซึ่งปรากฏชัดในแววตา ทำให้เธอนึกถึงใบหน้าวัยเยาว์ของลูกสาวที่ยังคงหลงเหลือความไร้เดียงสาให้เห็นอยู่ ส่วนลูกชายของเธอวัย เจ็ดขวบนั้นดูจะสนุกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
" แล้วเป็นยังไงต่อล่ะค่ะ คุณแม่เล่ามาซิ "
หญิงสาวเร่งเร้าผู้เป็นมารดา เธอขยับเข้าไปใกล้เกาะที่ท้าวแขนผ้าหนังบุน่วมโซฟาอย่างใจจดจ่อ
" เรื่องต่อจากนี้แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน "
" โธ่ คุณแม่ เล่ามาซะตั้งนานทำให้หนูอยากรู้เรื่อง...อย่างนี้หนูก็รู้เรื่องค้างเติ่งสิค่ะ "
หญิงสาวกล่าวอย่างงอนๆ
" แนะ..ลูกนี่ ก็รู้ว่าแม่ไม่ใช่คนที่นี่ แม่ก็ฟังคนแถวนี้เขาเล่าต่อมาอีกที ถ้าเราอยากรู้ก็ลองไปถามคุณยายทวดที่ท้ายสวนหมู่บ้านดูซิ เผื่อคุณยายทวดจะมีเรื่องเล่าสนุกๆให้ลูกฟังอีก "
" แหม หนูก็แค่อยากฟังให้มันจบเรื่องแค่นั้น คุณแม่อย่าทำเสียงน้อยใจอย่างนั้นซิค่ะ...เอาไว้วันหลังคุณแม่ไปฟังแล้วมาเล่าให้หนูฟังใหม่ก็ได้ หนูจะคอยฟังที่คุณแม่เล่าคนเดียวเลยค่ะ "
หญิงสาวพูดแล้วยิ้มประจบเอาใจผู้เป็นแม่ คุณนายอิ่มฤดีจึงค้อนขวับให้
" เราน่ะทำพูดดี กว่าจะลางานมาหยุดอยู่กับแม่ได้ก็ตั้งนาน "
" อย่างอนซิค่ะ หนูก็มาอยู่กับคุณแม่แล้วนี่ไง "
" แต่เดี๋ยวเราก็กลับ ทำไมหนูไม่ย้ายเข้ามาอยู่กับแม่เลยล่ะ หนูอยู่ตัวคนเดี๋ยวที่กรุงเทพน่ะแม่เป็นห่วงทุกวัน เราย้ายเข้ามาอยู่กับแม่เถอะนะ "
[ คุณแม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกแล้ว เราไม่อยากให้ท่านเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยเพราะมันจะทำให้เราใจอ่อนอยากจะละทิ้งทุกอย่างที่กรุงเทพมาทุกครั้ง ยิ่งเวลานี้เรารู้สึกผิดหวังจากงานและจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เราเคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่แสนดีของเรา
จนกระทั่งวันที่มีการเสนอแผนงานใหญ่ซึ่งเราสู้อุตสาห์ค้นคว้าหาแหล่งข้อมูลมาอย่างยากลำบากก็ถูกเพื่อนที่เราไว้ใจแย่งข้อมูลงานไปเสนอก่อนหน้าเราเพียงหนึ่งวัน ทำให้เรากลายเป็นผู้ร้ายลอกเลียนผลงานคนอื่นแต่เมื่อเราทำเรื่องชี้แจ้งและของให้มีการตรวจสอบกับโดนปฏิเสธจากฝ่ายกรรมการด้วยเพราะเรารู้มาว่าเธอใช้ตัวเองเข้าแรกให้ได้งานนี้มา
มันทำให้เรารู้สึกผิดหวังที่โดนทรยศจากเพื่อนรักจนอยากที่จะหลบหนีมาสักพักเพื่อที่จะทำใจไปสู้กับปัญหาใหม่ได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เราขอลางานมาพักร้อนสองเดือนในที่ห่างไกล ]
" ลูกจ๋า เป็นอะไรไป แม่เห็นหนูทำหน้าแบบนี้บ่อยครั้งแล้วตั้งแต่มาที่นี่ มีอะไรที่กรุงเทพหรือเปล่าจ๊ะ " คุณนายอิ่มฤดีเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะลูกสาวอย่างปลอบโยน
" ไม่มีอะไรค่ะ " หญิงสาวอมยิ้มให้ผู้เป็นมารดา
" งานที่หมู่บ้านกำลังจะจัดขึ้นดูถ้าจะเป็นงานใหญ่นะค่ะ หนูเห็นคุณพ่อคุยว่า กรรมการธุรกิจท้องถิ่นจะมา ดูเหมือนว่าเขาจะย้ายมาตรงกับวันที่ฟ้ามาใช่ไหมค่ะ "
หญิงสาวถามพรางเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำเปล่าที่เย็นชื่นใจมาถือ แล้วเอนหลังพึ่งโซฟายาวข้างน้องชาย
" ใช่แม่เคยเจอคุณพลัชครั้งหนึ่ง เขาหล่อไม่เบานะ เป็นถึงเจ้าของธุรกิจทั้งในประเทศนอกประเทศที่สิงคโปร์กับออสเตรเลียด้วยล่ะมั๊ง อายุก็ยังน้อยแค่สามสิบปลายๆเอง แม่พวกสาวๆแถวนี้นะชมชอบกันน่าดู ดีนะที่เขาแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วไม่อย่างนั้นคงตามติดกันเป็นพรวน แถมภรรยาเขาก็สวยเชียวนะ... แต่แม่ว่าเขาค่อยข้างจะเป็นผู้หญิงเจ้าอารมณ์อยู่สักหน่อย ก็เมื่อวันที่แม่เจอเขานะ เธอกำลังมีปากเสียงอยู่กับคนที่หมู่บ้านวันนั้นรู้สึกว่าพ่อเรากับผู้ใหญ่ที่หมู่บ้านจะไม่อยู่กัน
เธอพาลูกชายมากันสองคนแม่ลูกบอกว่าจะเข้ามาดูงานแต่พวกชาวบ้านไม่ไว้ใจพยายามไม่ให้เธอเข้าไปมีคนวิ่งมาตามแม่เพื่อที่จะไประงับเหตุการณ์ที่กำลังจะบานปลาย พอแม่ไปถึงก็พอดีกับที่คุณพลัช พ่อของเราและพวกผู้ใหญ่กลับมาพอดี ทำให้คุณพลัชต้องพาเธอกับลูกชายกลับไปก่อนเพราะภรรยาเขายังคงโวยวายและกล่าวร้ายอย่างหยาบคายต่อหน้าผู้คนในหมู่บ้าน.... เขากลัวเรื่องจะไปกันใหญ่ผู้นำหมู่บ้านจึงให้ชาวบ้านหยุดงานทั้งหมดที่จะทำในวันนั้นเพื่อที่จะได้ระงับอารมณ์ไม่ให้เกิดผลกระทบที่ไม่ดีกับคุณพลัชเขาน่ะ เรื่องมันก็เป็นอย่างงี้เหละจ๊ะ "
" โอ้โฮ้ มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วย เธอขี้โมโหขนาดนั้นเลยหรือค่ะแม่ "
" ใช่จ๊ะ เธอเกรี้ยวกราดใส่คุณพลัชใหญ่เลยตอนที่เธอถูกลากกลับไปน่ะ ตอนนั้นแม่สงสารคุณพลัชเขามากกลับบ้านไปเพวกขาคงทะเลาะกันอีก เฮ้ย... เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆเธอไม่น่าทำให้ครอบครัวไม่มีความสุขเลย แม่เห็นลูกชายเขานะ มองพ่อแม่ทะเลาะกันตาปริบๆดีที่เด็กมันยังเล็กอยู่ยังไม่รู้ความมาก แม่เห็นแล้วก็สงสารเจ้าหนูนั้นหน้าตาแกน่าเอ็นดูที่เดียวแหละ "
[ คุณแม่เล่าเรื่องไปพลางก็จับผมเราขึ้นมาทักเปียไปพลาง เราฟังคุณแม่พูดไปก็อดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ารักใคร่หลงใหลเด็กน้อยคนนั้นมาก ]
" แม่ว่าภรรยาคุณพลัชแกยังสาวยังสวยเกินกว่าจะมามีลูกมีสามีนะ เห็นเค้าว่าเธอจบโทจากเมืองนอกมาด้วย เธอน่าจะชอบที่จะทำงานมากกว่าจะมาติดตามสามีที่ย้ายเข้ามาเปิดธุรกิจเอากลางป่ากลางดอยแบบนี้ เรียนมาก็สูงแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร... สู้ลูกของแม่ก็ไม่ได้ " คุณนายปลัดเอียงคอมองลูกสาว
" อะไรกันค่ะอยู่ดีดีก็มาชมหนูซะงั้น " หญิงสาวพูดติดหัวเราะเสียงใส
" ก็หนูเป็นความภาคภูมิใจของพ่อกับแม่นี่จ๊ะ ที่หนูคว้าเกียรตินิยมมาได้ แม่ไม่คิดเลยว่าลูกของแม่จะทำได้ขนาดนี้ แม่แค่อยากให้ลูกเรียนจบและมีงานดีๆทำเท่านั้น แต่หนูฟ้าก็ให้แม่มากกว่านั้นแม่ไม่รู้ว่าหนูพยายามขนาดไหนถึงได้มันมาทั้งที่ลูกไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไร แล้วยังทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนอีกตอนแรกแม่คิดว่าหนูมุ่งกับงานจนไม่เป็นอันเรียนแล้ว... " คุณนายอิ่มฤดีลูบผมลูกสาวอย่างสุดรัก
" แล้วหนูก็ทำให้แม่ดีใจ "
เธอโอบกอด ศีรษะลูกสาวอย่างรักใคร่
" จำไว้นะ ลูกทั้งสองเป็นสิ่งเดียวที่แม่รักเท่าชีวิต ถ้าลูกของแม่ทุกข์ใจแม่ก็ทุกข์ใจยิ่งกว่า "
ปราณต์ฟ้าเอื้อมมือเย็นชื้นนั้นบีบตอบฝ่ามืออุ่นๆของผู้เป็นแม่
" ขอบคุณค่ะแม่หนูรักแม่ที่สุดเลยค่ะ "
เธอยิ้มละมุนรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งใจ
" คุณแม่มีส่วนช่วยหนูค่ะ นั่นเพราะแม่ไว้ใจและเชื่อใจหนูค่ะ คุณแม่ปล่อยให้หนูมีอิสระทางความคิดและการกระทำคุณแม่เชื่อว่า หนูจะต้องเดินในทางที่ถูกที่ควรและรู้จักแยกแยะสิ่งถูกสิ่งผิดเป็นค่ะ หนูต้องขอบพระคุณคุณแม่มากค่ะที่ทำให้หนูมีวันนี้ "
สองแม่ลูกกอดกันกลมแต่อยู่ๆคุณแม่ลูกสองก็ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
" ตายแล้วแม่มัวทำอะไรอยู่เนี่ย มันใกล้ถึงเวลาที่แม่ต้องไปสมาคมชุมชนแม่บ้านแล้วดูซิเหลือเวลาอีกนิดเดียวเองแม่ต้องเข้าไปเตรียมของก่อนล่ะ แย่จริงเชียวจะทันไหมเนี่ย "
คุณนายอิ่มฤดีบ่นอุบขนาดที่เดินเข้าไปภายในห้องครัว
" คุณแม่มีอะไรให้หนูช่วยไหมค่ะ " ฟ้าตะโกนตามหลังแม่ของเธอไป
" ไม่เป็นไรจ๊ะ หนูมีอะไรก็ไปทำเถอะ " เสียงหญิงสาววัยกลางคนตอบกลับมาไกลๆ
" ถ้าอย่างนั้นหนูขึ้นห้องก่อนนะค่ะ "
" พี่ฟ้าผมขึ้นไปเล่นบนห้องพี่ฟ้าด้วยนะ "
เด็กชายดึงรั้งแขนของพี่สาวไว้
" ได้ซิ แต่ห้ามซนนะ พี่จะทำงาน " ฟ้าหันไปปรามน้องก่อนจะยอมให้ตามขึ้นไป
" อืม อ๋องไม่ซนหรอกน่า พี่ฟ้าก็อย่าแกล้างอ๋องแล้วกัน "
น้องชายยืนประจันหน้ากับเธอเป็นการต่อรอง ฟ้ามองน้องชายแล้วครุ่นคิด
[ ยังจะกลัวอยู่อีกหรือ ]
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มีลักษณะใกล้เคียงกับพวกจิ้งจก ตุ๊กแก เด็กชายจะร้องไห้จ้าและมีไข้ขึ้นสูงทุกครั้งไป เธอรู้สึกผิดกับการแกล้งน้องเพียงครั้งเดียวของเธอเมื่อตอนที่เด็กชายอายุได้เพียงสองขวบ และมักแปลกใจกับพฤติกรรมของน้อง เวลาที่มีสัตว์ประเภทนี้อยู่ใกล้ๆมองดูแล้วมันอาจดูธรรมดาที่เด็กจะกลัวสัตว์พวกนี้แต่ก็ไม่น่าจะฝังใจขนาดนั้น
" พี่ไม่แกล้งเธอหรอกอ๋อง อ๋องเลิกกลัวมันได้แล้วล่ะนะ "
" ไม่เอาก็อ๋องกลัว "
" ทำไมอ๋องถึงกลัวมันนักล่ะครับ พี่ว่ามันก็น่ารักดีออก "
ปราณต์ฟ้าลงไปนั่งย่องๆให้อยู่ในระดับเดียวกันกับน้องชาย
" อ๋อง..ไม่รู้ ก็อ๋องกลัวนี่น่า " เด็กชายทำสีหน้าจะร้องไห้สองมือน้อยก็กำทึ้งเสื้อผ้าอย่างไม่รู้ตัว
" อ๋อง..อ๋องไม่รู้ว่ากลัวเพราะอะไร อ๋องรู้แต่ว่าเวลามันมาอยู่ใกล้ๆอ๋องจะกลัวมาก...อ๋องกลัวมันมากมาก จริงๆนะพี่ฟ้า "
สองมือของพ่อหนูน้อยขยุ้มเสื้อผ้าแน่น ดวงตาเอ่อคลอเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่สั่นระริก ทั้งยังมีแววประหวั่นอยู่ในนั้นร่างกายเกิดอาการแข็งเกร็งและสั่นสะท้านขึ้นตามมา
ฟ้าสงสารน้องจับใจ เธอเอื้อมมือไปสวมกอดเด็กชายไว้แน่นพลางลูบศีรษะปลอบโยน กระซิบแผ่วเบาข้างหูอย่างท่องมนตร์
" ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว...น้องพี่ ไม่เป็นไรแล้วคนเก่งของพี่ ถ้าอ๋องกลัวอ๋องบอกพี่ พี่จะช่วยอ๋องเองพี่จะไล่มันไปเอง อ๋องบอกพี่นะ ไม่เป็นไรแล้วนะไม่เป็นไรแล้ว "
ฟ้ายังคงลูบหลังปลอบโยนต่อไปจนกระทั่งอาการสั่นสะอื้นหายไป เธอจึงดันน้องออกแล้วเช็ดคราบน้ำมูกน้ำตาให้หลังจากนั้นจึงจูงมือน้อยขึ้นห้องไปกันเงียบๆ
................................................................................................................................................................................
ปราณต์ฟ้านั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะในห้องได้สักพักหนึ่งก็หันไปเหลียวมองน้องชาย ที่นั่งเล่นหุ่นยนต์อยู่บนเตียง หญิงสาวละสายตากลับมามองเอกสารที่กองอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เธอครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆที่เคยผ่านเข้ามาเวลาสามปีที่เธอทุ่มให้กลับงานดูมันช่างศูนย์เปล่าไปเลย ความคิดที่จะย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวแล่นเข้ามาอีกครั้งเธอเป็นสุขเมื่ออยู่ที่นี่ มีพ่อมีแม่มีน้องชายที่รัก ...นิ้วมือสวยนั้นจับหมุนปากาเล่นสายตาเริ่มเหม่อลอยไร้จุดหมาย...จากนั้นเสียงถอนหายใจก็ดังเฮือกใหญ่ หญิงสาวหันกลับไปมองน้องชายอีกครั้ง
" อ้าวหลับไปซะแล้ว เมื่อกี้ยังเล่นอยู่เลย หึ..เด็กหนอเด็ก "
ฟ้าอมยิ้ม เธอเดินไปอุ้มเด็กน้อยจัดท่านอนให้เข้าที่แล้วจัดการห่มผ้าห่มให้ เธอยิ้มมองใบหน้าที่พริ้มหลับอีกครั้งก่อนจะหันมาจัดการกับของเล่นที่เกลื่อนที่นอน
" เอ๊ะ Crocodile Toys นี่ก็เป็นอีกบริษัทหนึ่งของคุณพลัชซินะ บริษัทใหญ่ซะด้วย หุ้นต่างประเทศก็มีมาก เอ๊ะ...นี่มันบริษัทที่เราทำงานอยู่ก็เครือเดียวกันหรือนี่ นายคนนี้ถ้าจะรวยจริงแฮะ "
ฟ้านึกโลกมันช่างกลมดีแท้ เธอเอาของเล่นทั้งหมดวางไว้ที่ตู้เก็บของแล้วจึงเดินกลับไปที่โต๊ะทำงานเริ่มงานที่ค้างไว้ต่อ
ครอบครัวของปราณต์ฟ้าต้องย้ายตามพ่อซึ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ที่นี่ในหมู่บ้านเล็กๆ ซึ่งห่างไกลความเจริญเป็นอย่างมากมันอยู่ในกิ่งอำเภอและหลบซ่อนตัวอยู่ในทิวเขาป่าเบญจพรรณซึ่งอุดมสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทยคุณพ่อของเธอเคยคุยกับเธอมาก่อนที่จะตัดสินใจย้ายรกรากมาอยู่ที่นี่เลย
{ เราไม่จำเป็นต้องเข้ามาตั้งรกรากที่นี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาอยู่กลางหุบเขากลางป่ากลางดง แต่ถ้าเราต้องการรู้ปัญหาที่แท้จริงแล้วเราจำเป็นต้องประสพกับมัน เราต้องไปอยู่ในจุดที่ลำบากนั้น ฟ้าเห็นด้วยกับพ่อไหมลูก }
{ ฟ้าเห็นด้วยค่ะ พ่อไปไหน ฟ้าคุณแม่และก็น้องจะตามไปด้วยทุกที่แหละค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะค่ะ ฟ้าไม่ทิ้งคุณพ่อหรอกค่ะ ฟ้าสัญญา ถึงอยู่นี่จะลำบากหน่อยแต่ฟ้าก็ทนได้ค่ะ }
{ แหม..ลูกสาวพ่อปากหวานจริง }
เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ได้หนึ่งปีปราณฟ้าก็ต้องไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เธอกลับมาเยี่ยมบ้านอยู่ตลอดตอนช่วงปิดเทมอจนจบ 4 ปีจากนั้นเธอก็หางานได้ทันที
ช่วงที่ครอบครัวปราณต์ฟ้าย้ายเข้ามานั้น ครอบครัวเธอเป็นคนต่างถิ่นครอบครัวเดียวที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ตอนแรกที่ย้ายมาชาวบ้านต่างไม่ตอนรับทั้งขับไล่ต่างๆนานา สารพัดที่จะทำได้เนื่องจากที่หมู่บ้านนี้มีธรรมเนียมและวิถีทางดำรงชีวิตที่ผิดแผกจากที่อื่น เป็นที่ๆยังคงเอกลักษณ์ด้านประเพณีอันเก่าแก่ซึ่งตกทอดมาหลายชั่วอายุคน และค่อนข้างปิดตัวเองเป็นอย่างมาก ซ้ำยังไม่เคยให้ความร่วมมือใดๆกับรัฐบาล เอกชนและมูลนิธิต่างๆที่พร้อมจะช่วยเหลือ เขามีผู้นำในหมู่บ้านที่จะเป็นคนชี้เป็นชี้ตายของทุกคนในหมู่บ้าน
แต่เพราะไมตรีจิต ความบริสุทธิ์ใจและสัตย์ซื่อของครอบครัวปราณต์ฟ้า ทำให้ผู้นำของหมู่บ้านยินยอมต้อนรับสกุลพฤกษ์สลาเข้ามาเป็นครอบครัวใหญ่ของพวกเขาด้วย ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีและจะค่อยๆพัฒนาสายสัมพันธ์จนมาถึงทุกวันนี้ ที่เริ่มสามารถให้มีการติดต่อประสานงานกับเอกชนและรัฐบาลได้
ประเพณีการประกวดสาวงามในหมู่บ้านทำกันทุกปีอยู่แล้วแต่ปีนี้ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง เพราะได้มีการยินยอมให้คนในตำบลอื่นเข้ามาเที่ยวชมงานอย่างเป็นทางการ เนื่องจากในปีก่อนๆนั้นได้มีหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยต่างลักลอบเข้ามาชมงานในหมู่บ้านเป็นจำนวนมาก ด้วยคำเล่าลือต่อๆกันมาว่าความงามของหญิงสาวในหมู่บ้านนี้ หญิงที่ว่าขี้เหล่ที่สุดยังสวยกว่าหญิงงามชาวบ้านธรรมดา ฉะนั้นทุกคนจึงคาดการว่างานในปีนี้ผู้คนจากทั่วตำบลจะต้องหลั่งไหลกันมาอย่างมากแน่ๆ
ที่ทุกอย่างสำเร็จมาได้ขนาดนี้เพราะพ่อของปราณต์ฟ้าเป็นตัวกลางสำคัญ คอยจัดการประสานงานจากทุกๆฝ่ายโดยเฉพาะการหาแหล่งรายได้ที่จะนำเข้ามาพัฒนาหมู่บ้าน ถึงหมู่บ้านนี้จะไม่ทุระกันดานแต่ก็ยังขาดการพัฒนาอีกหลายอย่างซึ่งการสนับสนุนอย่างแรกที่ได้มาจากเอกชนรายหนึ่งก็คือจานดาวเทียนสื่อสาร รายได้ส่วนใหญ่ที่ได้มาก็จะมาจากการขายสินค้าที่มีในหมู่บ้าน รวมถึงผลผลิตแปรรูปที่หญิงสาวในหมู่บ้านช่วยกันจัดทำขึ้นโดยมีคุณแม่ของปราณต์ฟ้าเป็นแกนนำ และยังมีสินค้าตื่นตาอื่นๆอีกมาก ซึ่งยังไม่เคยมีคนนอกหมู่บ้านกลุ่มไหนได้เห็นนั้นก็คือผ้าไหมทองอัมพัน อันทำจากเส้นใยของตัวหนอนไหมทองที่มีลักษณะเฉพาะภายในหมู่บ้านนี้เท่านั้น
ด้วยว่าตัวหนอนชนิดนี้ต้องดำรงอยู่กับการดำรงชีวิตในรูปแบบเก่าแก่โบราณกาลของธรรมชาติซึ่งยังคงสภาพไม่เสียสมดุล
ส่วนไฮไลท์ของงานดูจะเป็นช่วงกลางคืนที่มีการจุดพลุดอกไม้ไฟและการประกวดเทพี การจัดงานเลยต้องดีพร้อมและลื่นไหลช่วงนี้ทุกคนเลยดูวุ่นวาย แม้แต่ฟ้าเองยังต้องมาช่วยงานคุณพ่อกับคุณแม่เลย
" เอาล่ะ....เสร็จแล้ว " ฟ้ารวบรวมเอกสารบนโต๊ะแล้วเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบแล้วเดินเข้าไปทางห้องส่วนกลาง
" คุณแม่ค่ะ..หนูไปส่งเอกสารให้คุณพ่อก่อนนะค่ะ เย็นๆหนูจะกลับแล้วกันค่ะ อ้อ..น้องนอนอยู่บนห้องนะค่ะคุณแม่ "
" ขับรถไปดีๆนะ " เสียงคุณแม่ตะโกนออกมาจากด้านในครัว
" ค่ะ "
ฟ้าหันกลับไปกล่าวลาแล้วก้าวออกจากตัวบ้านสู่เรือนชานซึ่งก่อสร้างจากอิฐปูนแดงแซมไม้เนื้อแข็งผสมผสานกันอย่างลงตัว บริเวณโดยรอบร่มรื่นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ถูกธรรมชาติรังสรรค์ไว้ เธอเดินลงบันไดไม้ผ่านซี่กรงไม้สลักที่ชาวบ้านได้ร่วมลงมือประดับปะดาตกแต่งบ้านให้อย่างวิจิตรสวยงามและเก็บรายละเอียดในทุกชิ้นส่วนอย่างบรรจง เธอเดินมาจนถึงประตูรถเปิดเข้าไปนั่งแล้วจึงกดโทรศัพท์มือถือ
" คุณพ่อหรือค่ะ หนูกำลังไปส่งเอกสารให้ค่ะ...ค่ะ...ค่ะ...เสร็จแล้วค่ะ ตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหนค่ะ...ค่ะ...เดี๋ยวเจอกันนะค่ะ "
...................................................................................................................................................................................
ที่หมู่บ้าน ประเพณีการบวงสรวงนางอัปสรนั้นจะจัดขึ้นช่วงต้นฤดูวสันต์ซึ่งเป็นช่วงน้ำหลาก น้ำในป่าไหลมาสมทบกันมาก ทั้งจากลำห้วยและหนองน้ำทุกสายในขุนเขาต่างหลั่งไหลมาบรรจบกันที่ทะเลสาบท้ายหมู่บ้าน
ซึ่งน่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันได้แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจไม่ว่าปีนั้นน้ำจะมากเพียงไหน น้ำในทะเลสาบก็จะไม่เอ่อล้นออกมา และยิ่งในสมัยอดีตบรรพบุรุษนั้นได้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยกันบนผิวน้ำ ใกล้ริมตลิ่งล้อมรอบชายฝั่งตลอดแนวของทะเลสาบ บ้างก็ปลูกเคลื่อนลอยติดฝั่งขุนเขา สร้างคล้ายเพริมน้ำที่มีโครงไม้แข็งแรงยื่นออกไปยึดติดพื้นดินไว้อย่างแน่นหนา บางหลังก็ต่อกันเป็นแพเรียงแถวเป็นแนวยาวจรดถึงปลายทะเลสาบ ซึ่งสมัยก่อนนั้นเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่
แต่ในปัจจุบันได้มีการโยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ร่วมกันเป็นจุดเดียวและย้ายขึ้นบนบกสร้างเป็นบ้านไม้สองชั้นยกพื้นสูง ประดับตกแต่งอย่างสวยงามด้วยฝีมือแกะสลักอันปราณีและลวดลายที่แปลกตาหาที่ใดเสมอเหมือนได้ว่ากันว่าบ้านของคนที่ยากจนในหมู่บ้านยังดูมีราคาค่างงวดเมื่อตีออกมาเป็นเงิน
ทุกคนในหมู่บ้านต่างทำมาหากินด้วยการแลกเปลี่ยนของป่ากันกับหมู่บ้านใกล้เคือง ใครหาอะไรมาได้ก็มักจะมาวางขายกันใต้ถุนเรือนของตน การค้าขายของที่นี่ก็ถูกแสนถูก เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินอะไรมากมายนักแค่พอมีพอเก็บ เมื่อเป็นเช่นนั้นหมู่บ้านนี้จึงไม่มีใครรวยที่สุดและจนที่สุด แต่นั้นต้องไม่นับรวมถึงครอบครัวของปราณต์ฟ้าที่ย้ายเข้ามา
ยิ่งเป็นวัตถุนิยมความทันสมัยต่างๆแทบจะไม่อาจแทรกซึมเข้ามาในหมู่บ้านนี้ได้ เพราะความเคร่งครัดและเชื่อในจารีตประเพณีของทุกคนในหมู่บ้านที่มีมายาวนานกว่า 800 ร้อยปี
' บริสุทธิ์ผ่องใสดั่งกระจกส่องฟ้าธารากลางหุบผา เข้มแข็งและเป็นหนึ่งดั่งนทีที่บรรจบลงกลางทะเลสาบ '
ความดีงามของที่นี้มีค่ายิ่งกว่าเงินทองในธนาคารโลกซะอีกและยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต้องปฏิบัติและกระทำอย่างเคร่งครัด ทุกบ้านจะสั่งห้ามลูกหลานของตนเข้าไปใกล้น้ำในทะเลสาบไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม โดยเฉพาะผู้หญิงในหมู่บ้าน ..ทั้งๆที่ระยะทางระหว่างท้ายหมู่บ้านกับทะเลสาบนั้นห่างกันเพียงสองกิโลเมตรเท่านั้น
ฟ้าเองก็ไม่ได้สงสัยหรือซักถามอะไรมากมายนัก ก็ได้แต่ปฏิบัติตามมาโดยตลอดแม้เธอจะอดเสียดายไม่ได้ เพราะเธอชอบการแหวกว่ายอยู่ในสายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อครั้งยังเรียนมัธยมปลายเธอเคยได้ลงแข่งเป็นนักกีฬาประจำเขตชิงถ้วยพระราชทานซึ่งจัดแข่งขันทั่วประเทศ เธอไม่ได้ชัยชนะในครั้งนั้นแต่นั้นไม่ได้ทำให้เธอเสียใจเลยกลับดีใจเสียอีกเพราะเธอของแค่ได้มีโอกาสว่ายน้ำเท่านั้น เธอก็เป็นสุขและพอใจมากแล้ว
เมื่อเธอขับรถจี๊ปแล่นผ่านหมู่บ้านมาได้ระยะหนึ่งก็จะพบถนนดินลูกรังซึ่งชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันทำทางสายนี้ขึ้น ทางซ้ายมือเป็นสันผาตั้งตระหง่านตลอดแนวถนนมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นซอนไซตามหินผาและยืนต้นสูงใหญ่ทอดตัวแผ่กิ่งก้านยื่นเป็นโพรงพุ่มเข้าหาถนน จนมองดูคล้ายอุโมงค์สีเขียงครึ้ม ซึ่งก็หมายความว่าฝั่งขวามือของเธอนั้นคือ...
ทะเลสาบกว้างใหญ่สีน้ำเงินครามที่ส่องประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดดกล้า มันทอดตัวยาวสงบนิ่งมีเพียงริ้วคลื่นที่เกิดจากลมพัดโชย จากฝูงนกกระยาง และนกน้ำนานาชนิดต่างกำลังบินโฉบหาปลาบางตัวก็ร่อนลงเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน ที่ริมตลิ่งมีต้นหญ้าขนนกแผ่ภู่สีขาวส่ายระบำไปตามแรงลงที่เกิดจากตัวรถวิ่งผ่าน
" อื้ม..อากาศเย็นสบายจัง "
ฟ้ารำพันออกมาอย่างอารมณ์ดี เธอชอบที่จะได้อยู่กับธรรมชาติแบบนี้
แต่เมื่อเธอขับรถเลียบชายฝั่งมาได้ 6-7 กิโลเมตร ก็มีเหตุทำให้เธอต้องหยุดรถอย่างรีบด่วน เนื่องจากหน้ากระโปรงรถเกิดกลุ่มควันสีดำลอยขึ้นโขมง
" ว้าย...แย่แล้ว " เธอโวยวายอย่างตกใจเพราะเมื่อเปิดฝาหน้ารถที่ร้องฉ่าก็พบว่าน้ำในหม้อน้ำแทบจะไปเหลือติดก้นหม้อด้วยซ้ำ
เธอรีบกุรีกุจอควานหาแกลลอนใต้เบอะหลังรถ แล้ววิ่งตะลุยเข้าพงหญ้าอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะเจอกับสัตว์มีพิษจากนั้นก็เร่งรองน้ำเข้าแกลลอนจนเต็ม แล้วพยายามปีนป่ายขึ้นจากตลิ่งอย่างทุลักทุเลเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นดินที่อ่อนนุ่มการเคลื่อนย้ายจึงเป็นไปได้ยากเต็มที ฟ้าวิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่หลายรอบกว่าน้ำในหม้อจะเต็ม
" โอ๊ยเหนื่อย " เธอโยนแกลลอนทิ้งอย่างหมดแรงพลางทิ้งตัวลงนั่งอย่างสิ้นท่า
เธอรู้สึกเหนื่อยหอบจนสำลักอากาศที่สูบฉีดเข้าปอดอย่างรวดเร็วจนไอโขรกๆอยู่หลายทีกว่าจะหายใจได้อย่างสม่ำเสมอ แขนขาเธอเปียกปอนและเปรอะเปื้อนไปด้วยขี้โคลนขี้เลนริมตลิ่ง เป็นเพราะเธอไถลลงไปเกือบครึ่งน่อง
แต่ยังดีที่วันนี้เธอใส่ชุดสบายๆ เป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสามส่วนกับรองเท้าผ้าใบ เธอมองสภาพตัวเองแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเนือยๆจากนั้นจัดการเก็บแกลลอนที่คว้าขึ้นมาด้วยไว้หลังรถ แล้วค่อยเดินเข้าพงหญ้าที่ตอนนี้เรียบเตียนเป็นช่องยาวไปถึงตลิ่ง เธอย้ำเข้าไปในพงหญ้ากอใหม่เพื่อที่จะเดินไปล้างมือล้างหน้าและล้างขาพร้อมรองเท้าผ้าใบที่เปื้อนโคลนคู่โปรดของเธอ เธอถอดมันออกมาแล้วมองดูมันที่ถูกหิ้วอยู่ในมือก็ต้องเบ้หน้า
" โธ่ เจ้ารองเท้าสุดโปรดของชั้น เจ้าไม่สวยสดใสอีกต่อไปแล้ว " เธอบ่นพึมแล้ววางมันลงใกล้ลำตัว
จากนั้นเธอก็วักน้ำขึ้นมาล้างคราบเหงื่อไคลที่ท่อนแขนและข้อศอกที่ยังคงเลอะดินโคลน
" อุบซื้ด "
ฟ้าอุทานออกมาเบาๆ เมื่อน้ำเย็นฉ่ำโดนบาดแผลจากการลุยฝ่าดงหญ้าซึ่งก็โดนบาดอยู่หลายแห่งทั้งน่องขา ท้องแขน หรือแม้แต่ข้างแก้มก็มีรอยเลือดซึม
" แสบจัง...ล้างน้ำให้สะอาดก่อนแล้วค่อยกลับไปล้างแผลอีกทีก็แล้วกัน "
เธอพึมพำกับตัวเองอยู่สักครู่หนึ่งขณะที่ล้างแผล คราบเลือดเพียงน้อยนิดและเหงื่อไคลของหญิงสาวถูกชะล้างจนเจือจางหายไปกับสายน้ำ เมื่อการชำระล้างร่างกายเสร็จ
เธอก็นั่งรับลมอยู่บริเวณริมตลิ่งนั้น เหม่อมองสิ่งต่างๆที่อยู่เบื้องงหน้าแล้วปล่อยความคิดให้ลอยออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่สายลมพาพัดเอาความสดชื่นแผ่พลิวมาต้องกระทบยอดไม้และยอดหญ้าให้ส่ายไหวโอนเอนลู่ลมคล้าย...เป็นที่สำราญใจยิ่งนัก
[ ทะเลสาบนี้จะกว้างไกลเท่าไหร่หนอ...ห้วยน้ำที่นี่จะชื่นฉ่ำใจขนาดไหนนะเวลาที่ได้ดำพุดดำว่าย...จะลึกมากไหมน้า...ใต้ผิวน้ำคงจะมีปลาชุมน่าดู...อยากเห็นจัง ]
และอีกมากมายคำถามเกี่ยวกับทะเลสาบแห่งนี้ที่ก้องกังวานอยู่ในใจแต่มิได้เอ่อออกมาเป็นคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงถอนหายใจกับสายตาที่เหม่อลอยทอดออกไปไกลเท่านั้น
" ได้เวลาไปได้แล้วมั้ง เรามัวเสียเวลาอยู่กับที่นี่นานแล้วนะ " เธอพูดแล้วลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ก้มลงไปคีบรองเท้าผ้าใบสองข้างซึ่งยังเปียกโชกมาหิ้ว
พร้อมกับเดินเท้าเปล่ากระย่องกระแย่งออกไปที่รถ วางรองเท้าผ้าใบไว้ใต้เบอะรถข้างซ้ายแล้วโหนตัวขึ้นนั่งฝั่งคนขับ บิดกุญแจสตารถอย่างแรงและออกตัวไปอย่างรวดเร็วคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นอิฐแดงตลบฟุ้งกระจายทิ้งบริเวณนั้นไว้เบื้องหลัง จนกระทั่งรถแล่นลดเลี้ยวอยู่ไกลลิบและเลี้ยวหายเข้าไปทางโค้งของลืบเขาซึ่งพ้นช่วงปลายสุดด้านหนึ่งของทะเลสาบ
ปราณต์ฟ้าไม่รู้เลยว่าคราบเลือดและเหงื่อไคลอันน้อยนิดที่เจือจางไปกับสายน้ำของเธอนั้น มันหอมหวานและน่าชิงชังขนาดไหน ทั้งยังขจรขจายได้รวดเร็วยิ่งกว่ากลิ่นกำจายใดๆที่เคยร่วงหล่นลงในทะเลสาบแห่งนี้
เกิดเสียงผุดๆปุๆขึ้นที่ผิวน้ำรอบทะเลสาบกว้างใหญ่ซึ่งไม่รู้ที่สิ้นสุดที่ตรงไหน มีการสั่นไหวของระลอกคลื่นอย่างรุนแรงต่อเนื่องอย่างกับน้ำที่กำลังเดือดพล่าน สิ่งที่ปรากฏตามมาคือแสงเรืองสีเหลืองอ่อนเกิดขึ้นเป็นเส้นบางนับล้านเส้นพันเกี่ยวตวัด ก่อตัวดั่งเส้นตะข่ายโปร่งเปล่งแสงสว่างขึ้นที่ริมขอบตลิ่งแล้วโพยพุ่งสูงขึ้นไปบนฟากฟ้ามิรู้จบรอบทะเลสาบ
แต่เพียงไม่นานม่านนั้นก็สั่นไหวเป็นลอนคลื่นอย่างรุนแรง ตรงส่วนริมตลิ่งยังที่ๆฟ้าชำระร่างกายเกิดเส้นแสงสีแดงอ่อนกลืนกินแสงสีเหลืองบริเวณนั้นเป็นวงกว้างแล้วลุกไหม้เป็นลูกเพลิงลามเลียไปทั่งท้องทะเลสาบในช่วงพริบตาแสงสีเหลืองลุกไหม้ไปหมดสิ้นเหลือแต่เพลิงแสงสีแดงสดเต้นไหวเปล่งประกายระยับ ไม่นานนักก็ทอแสงอ่อนลงและลับหายไป ทิ้งให้ทะเลสาบเกิดความอ้างว้างวังเวง ไม่มีแม้เสียงนกร้องและฝูงห่านป่าที่มักจะมาร่อนเล่นและหากินปลาเล็ก ไม่มีสรรพสัตว์ย่างกายเข้ามาในบริเวณนี้อีกแล้ว แม้แต่สายลมที่เคยพัดเฉื่อยฉิวเย็นสบายก็แปรเปลี่ยนไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่บริเวณโดยรอบทะเลสาบเปลี่ยนแปรไปจนหมดสิ้นแล้ว
และฟ้าเองก็ไม่รู้เลยว่า ระลอกคลื่นแห่งความโกรธ เกลียด อาฆาต และความชั่วช้าหนักหนาในครั้งอดีตกาลได้โหมกระพือขึ้นจากใต้ทะเลสาบลึกทั่วทุกแห่งหน เธอไม่รู้หรอกว่าเธอได้นำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านอันสงบนี้อีกครั้ง ซึ่งก็เหลือเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนก็จะถึงวันงานบวงสรวง
................................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น