ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : -ตกต่ำ-
9 เดือนก่อน...
“คุณควบคุมลูกน้องภาษาอะไร! ทำไมถึงลาออกกันตั้งหลายคน!”
ชายหัวล้านผู้บริหารฝ่ายการผลิต หน้าแดงตาปลิ้นตะคอกอัดหน้าผมจนแทบจะหงายหลัง แต่ด้วยความที่ผมไม่อยากทนฟังเสียงก่นด่าแต่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว ผมจึงสวนกลับไปบ้างพอทำเนา
“ก็คุณผู้บริหารอย่างคุณไม่ใช่เหรอที่ไปสัญญากับพวกเขาเอาก่อนโดยไม่ฟังผมว่าจะปรับเงินเดือนให้น่ะ แล้วพวกคุณก็ไม่ทำตามที่พูดไว้ ผมเป็นหัวหน้าก็จริง แต่เล่นผิดกันโต้งๆ แบบนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ!”
แต่อนิจจา ดูเหมือนว่าคำพูดไล่ให้ย้อนไปดูตัวของผมจะไม่เกิดผลประโยชน์ แต่ผลเสียน่ะเต็มๆ
“นั่นมันหน้าที่คุณที่ต้องคอยควบคุมและอธิบายเหตุผลที่ยังปรับเงินเดือนไม่ได้ให้ลูกน้องคุณเข้าใจ!” ตามด้วยทุบโต๊ะสบถหัวเสียลุกขึ้นยืนชี้หน้าด่าผมต่อ “บริษัทเราอยู่ในภาวะย่ำแย่ การเงินยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แล้วพอจังหวะลูกค้าสั่งงานเพิ่มเข้ามาแผนกต้นทางการผลิตอย่างคุณกลับขาดคน!”
คำพูดของท่านผู้บริหารพาลให้สติที่คอยคุมปากมันขาดผึง
“การเงินไม่ดีแต่ปีใหม่ที่ผ่านมาจัดเที่ยวงบเฉี่ยว 3 แสน แล้วเมื่อ 2 เดือนก่อนก็ขึ้นเงินให้ฝั่งออฟฟิส! ฝั่งโรงงานคุณไม่มาเห็นหัว แล้วทีงี้จะมาโยนขี้ให้ผม! ลูกน้องก็คนมีตามองมีสมองคิด รู้เห็นนะครับว่าอะไรผิดอะไรถูก!”
ไอ้หัวล้านผู้จัดการควบคุมการผลิตถึงกับนิ่งอึ้ง ตาเขียวปั้ดหมัดกำแน่นแต่ขัดลำผมไม่ถนัดจึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ มองหน้าผมด้วยความเดือดดาล บรรยากาศสุดเครียดระหว่างผมกับเขายังคงนิ่งไปอีกราวนาทีกว่าๆ เมื่อผมเห็นว่าเปล่าประโยชน์จึงกลับหลังสะบัดตูดย้ายตัวออกไป และทิ้งท้ายไว้ให้เจ็บใจเล่นว่า
“หมดเรื่องแล้วแจ้งฝ่ายบุคคลขอคนเพิ่มด้วย คนน้อยผมกลับไปทำงานต่อล่ะ.. เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ”
3 เดือนก่อน...
“คุณจะลดขั้นผม!” ผมทุบโต๊ะตัวเดิมกับที่ไอ้หัวล้านเคยยัวะแล้วทุบใส่ผม “หมายความว่าไงผมทำอะไรผิด!”
มันนั่งแคะขี้เล็บโยกเก้าอี้หมุนหนุนคอขึ้นมามองหน้าผมด้วยสายตาสุดจะเหยียดหยาม
“ก็ไม่ผิดอะไรมากหรอก เพียงแต่ความสามารถของคุณมันสู้น้องคนใหม่ที่ผมจะรับมาแทนไม่ได้ อีกครึ่งเดือนก็รับเงินแล้วลากันแค่นี้เลยนะ”
อ้าวเฮ้ย! ไอ้ล้านนี่ได้ดีแล้วถีบหัวส่งกันเลยนี่หว่า!
“คุณพูดแบบนี้ แล้วไอ้ที่ผ่านมาช่วงวิกฤตินั่นใครเป็นคนแก้กัน!”
“จุ๊ๆ” มันยกนิ้วขึ้นโยกไปมาตรงหน้าผม “มันถูกต้องที่คุณแก้ปัญหา แต่นั่นแหละคือปัญหาล่ะ คุณไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนอะไร และนั่นทำให้ผมไม่ชอบใจ และนั่นอีกที่เป็นเหตุผลที่ผมเชิญคุณออก”
หน็อย! มันย้ำเสียง ผมกำหมัดกัดฟันมองหน้ายิ้มเยาะของมันแบบเดือดกว่านี้มีอีกมั้ย ขนาดที่ให้เสือมาจ้องสู้ผมยังขู่ชนะ แต่กับไอ้หมาหัวล้านสันดานแร้งนี่ไม่ได้ผล กูสุดทนแล้ว!!!
“จะไล่ผมออกใช่มั้ยครับ ขอตรงๆ” ด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องอย่างที่สุดเลยล่ะคุณสมศักดิ์” ด้วยรอยยิ้มที่เบ่งบานกว่า
“ขอเหตุผลตรงๆ ด้วยครับ เอาแบบตรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วน่ะครับ” ยังคงยิ้มให้แบบไทยแท้
“ผมไม่ชอบขี้หน้าคุณไงล่ะครับ เถียงทุกคำเลย” แย้ยิ้มมันเป็นแบบไอ้ล้าน
“อ้า ชัดเจนเลย ผมเข้าใจแล้วครับ”
มันยังคงยิ้มอย่างเหนือกว่ากลับมา ซึ่งมันก็เหนือกว่าผมไปทุกอย่างในสถานการณ์นี้ แต่มันคาดการณ์พลาดไปอย่างหนึ่งตรงที่ว่า... ผมจะไม่ต่อยมัน!
ฮุคซ้ายเข้าปลายคาง เสียงหมัดดังพอจะทำให้คนที่อยู่นอกห้องหันมามอง เสียงมันล้มลงไปกองพร้อมเก้าอี้ดังพอที่จะทำให้คนข้างนอกพุ่งเข้ามารวบตัวผม
“กูก็เหม็นหน้ามึงเหมือนกันเว้ย! ไอ้ทุ่งหมาลืมทางเอ๊ย!”
3 สัปดาห์ก่อน...
เรื่องจบลงแค่ยอมความกันก่อนถึงชั้นศาล สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะกรรมการบริษัทคนอื่นที่ผมพอจะสนิทช่วยไกล่เกลี่ยให้ แต่ด้วยความคะนองเกินไปการไล่ออกจึงยังมีผลบังคับใช้ ซึ่งมันทำให้ผมตกงานมานานจนกระเป๋าตังค์เริ่มแฟ่บ ขนาดแฟ้บจะซักผ้ายังไม่อยากควักเงินซื้อ
ช่วงเวลานั้นผมคิดถึงว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนั้นเลย น่าจะให้เขามาช่วยเคลียร์ตั้งแต่แรก ชีวิตคนเรานี่ถ้าไม่ยั้งคิดตั้งจิตชิดสติก็มีอันต้องดิ่งลงเหวไปซะทุกรายไป ทุกข์ใจจริงหนอ
3 วันก่อน...
หน็อยไอ้หัวล้าน! มันวางยาผมเอาไว้ด้วยนี่หว่า บริษัทไหนที่ผมไปสัมภาษณ์โดนแม่งโทรมาดักก่อนทุกรอบ มันเอาเรื่องที่ผมตะบันหน้าไปเผาซะดำเมี่ยม!
3 ชั่วโมงก่อน...
วันนี้ฝนตกหนักพายุเข้า มรสุมความซวยจากที่ไหนซักแห่ง ใช่ มรสุมความซวยของผม... แฟนโทรมาบอกเลิก ก็นั่นสินะใครมันจะไปทนอยู่กับไอ้บ้าหน้าไม่หล่อแถมตกท่อน้ำคลำหางานทำไม่ได้แบบนี้อีก
ทั้งๆ ที่ทำใจมาก่อนแล้วว่าอาจเป็นแบบนี้เข้าซักวันนึง แต่ไอ้น้ำที่หยดออกมาจากตานี่มันก็ยังแข่งกับสายฝนข้างนอกไม่มีหยุด เงินจะจ่ายค่าเช่าห้องก็ไม่มี ยุคสมัยนี้จะไปหาขุดมันก็ไม่มีให้ขุดแล้วด้วย ชีวิตคนเรานี่มันมีแต่ความทุกข์จริงๆ
“เปิดตู้เย็นกินน้ำเก๊กฮวย.. ฮ่วยมีแต่น้ำเปล่า!”
ผมเปิดโทรทัศน์ดู รายการช่องทางรวยวันนี้นำเสนอการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าทำกำไรได้มหาศาล ฮะฮะฮะ ขนาดสัตว์ที่ได้แต่ลอยไปลอยมารอวันตายยังมีประโยชน์กว่าเราตอนนี้ซะอีก
พูดถึงไรน้ำแล้วผมก็ย้อนกลับมาดูตัวเอง มันช่างน่ารันทดเสียจริงไอ้การมีชีวิตอยู่เนี่ย ถึงจะมีคนมากมายหลายหน้าบรรยายให้คิดบวก บวกบ้าอะไรล่ะวะ บวกด้วยค่าติดลบมันก็ดันลบไปหมดนั่นแหละเว้ย สิ่งที่ผิดพลาดจริงๆ ไม่ใช่การคิดในแง่ลบ แต่เป็นการมีอยู่ของการคิดต่างหาก
ก็จริงไม่ใช่เหรอ? ถ้าเราไม่คิดซะตั้งแต่แรกเราจะมีเรื่องให้เครียดใหม? ก็ไม่มีแน่นอน แต่เพราะไอ้การมีสมองใหญ่ๆ ที่ใส่ข้อมูลได้มากเกินไปกับความสามารถในการประเมินข้อมูลได้ดีเสียเหลือเกินนี่แหละที่ทำให้คนเราต่างเป็นทุกข์ อา หลุดโลกไปแล้วเรา ฮ่าฮ่าฮ่า
ในขณะที่ผมคิดอะไรไร้สาระอยู่นี้ร่างกายมันก็พาลขยับไปหยิบกระปุกยาทุกชนิดที่มีมาเทรวมกันในเครื่องปั่นไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่คิดซะตั้งแต่แรกก็ดีไปแล้ว แต่จะทำยังไงล่ะวะ ก็ดันเกิดมาเป็นคนเองนี่หว่า รู้งี้เกิดเป็นปลาทองซะก็ดี จำเรื่องราวได้มากสุดประมาณ 15 นาที ไม่สิจำได้มันก็ยังนานไปอยู่ดีล่ะ นั่นสิเป็นไรน้ำดีสุด เอ๋อ ทำไมคิดงั้นได้ล่ะเนี่ยเรา?
ตามด้วยเทสารพันยาใช้ภายนอกลงไปผสม แล้วเปิดเครื่องปั่นจนได้ที่ เทลงแก้ว
ไรน้ำน่ะดีนะ เกิดมาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ลอยไปลอยมาลอยหน้าลอยตารอเวลากลายเป็นอาหาร รอดมาได้ก็ผสมพันธ์แล้วตาย แถมมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันอีกต่างหาก ช่างเป็นชีวิตที่ไม่ต้องคิดอะไรเล้ย ต่อให้คิดได้ก็ไม่มีประโยชน์ แค่ไม่กี่อาทิตย์ก็ตายแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
“แก้วนี้ขอมอบให้แก่ไรน้ำอันสูงค่า!”
ผมจัดการกระดกของเหลวปริศนาผสมยาสารพัดลงท้องไปแบบกล้ำกลืน แล้วฝืนใจไม่สำรอกออก แต่กระดกน้ำตามไปล้างกลิ่นสุดจะชวนอ้วก
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาการปวดท้องก็ตามมา แต่ลูกกะตากลับเกร็งไว้ไม่ได้พาลจะปิดเอาท่าเดียว คงเพราะพารากับยาแก้แพ้ อา สติเริ่มจะเลือนลาง ความปวดเริ่มชาชิน ขอพูดอะไรทิ้งทวนไว้นิดนึง...
“ชาติหน้าฉันใดขอเกิดใหม่เป็นไรน้ำ!!!”
เปรี้ยง!!! ฟ้าผ่าลงมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่ตาปิด...
...
...
...
อา รู้สึกว่าตัวหนักไปหมด นี่เราคงตายแล้วสินะ ตกลงว่าโลกหลังความตายมีอยู่จริงล่ะสิท่า ไม่งั้นคงไม่มีทางสำนึกได้ถึงตัวตนแบบนี้
“ว่าแต่ ที่นี่มันนรกหรือสวรรค์กันหว่า?”
หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่ทุ่งดอกไม้หรือหุบเหวเปลวไฟ แต่ลักษณะมันเป็น
“ห้องพยาบาล?”
เตียงเดี่ยวด้วย มีผมนอนอยู่คนเดียว มาตรวัดชีพจรและถุงน้ำเกลือ ตกลงนี่เรายังไม่ตายหรอกเหรอเนี่ย ใครใจดีช่วยลากเรามาถึงโรงพยาบาลได้กันหว่า เออช่างมันเถอะ
ผมพยุงตัวลุกขึ้น ฉับพลันก็ต้องรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมแขนเรามันสั้นแปลกๆ แถมอวบขึ้นด้วย แล้วเสียงก็ดังมาจากหน้าประตู
“คุณอลันตื่นฟื้นแล้วสินะครับ เป็นยังไงบ้างกับการท่องอดีต”
เสียงของชายวัยรุ่นใกล้เข้ามา เสียงนั่นแสดงความสนิทสนม อลันนี่ใครกัน ในห้องก็มีเราอยู่คนเดียวนี่นา ผมซึ่งตั้งหลักชันตัวขึ้นนั่งได้แล้วจึงหันไปดู...
“แว้กกกกกกกกกกก!!!”
ผมตะโกนเสียงหลง ส่งให้ตัวตนตรงหน้าผงะถอยออกไป ไอ้นั่นมันตัวห่าอะไรวะเฮ้ย!!!
ที่ผมเห็นอยู่คือตัวประหลาดที่มีหัวโล้นใหญ่โผล่เลยชุดคลุมสีขาวขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นกลมโตอยู่ตรงจุดที่ควรจะเป็นหู คล้ายปลาแต่ไมใช่ ตรงปากนั่นก็เหมือนถูกมีดกรีดให้เป็นร่องเผยฟันที่ดูเหมือนเข็มเรียงชิดกันนับไม่ถ้วน แขนขาของมันสั้นเต่อและอ้วนพองเหมือนคนจมน้ำตาย ผิวกายของมันไม่มีขนซักเส้นแถมยังรู้สึกว่ามันเลื่อมน่าหยะแหยงอย่างแรง
“เป็นอะไรไปครับคุณอลัน! นี่ผมเอง หมอซีดอน ไงครับ”
มันเข้ามาใกล้ผมแบบระวัง ซึงผมก็
“อย่าเข้ามานะเว้ยไอ้สัตว์ประหลาด! เอเลี่ยนพันธุ์ไหนวะเฮ้ย!”
มันยังไม่ยอมหยุด พุ่งเข้ามาล็อกตัวผมกดลงกับเตียงแล้วพูดขึ้นดังลั่น
“นี่หมอซีดอนฉุกเฉิน! ผู้ทดลองหมายเลข SA017 มีปัญหาภาวะทางจิต รีบขนเครื่องมือมาเร็ว!” มันใส่แรงกดแล้วหันตาดำกลมโตคู่นั้นมาจ้องผม “ใจเย็นนะครับคุณอลัน หมออยู่กับคุณแล้วครับ!”
“หมอบ้าอะไรวะไอ้สัตว์ประหลาด! ปล่อยกู!!”
ผมออกแรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออกไปจนล้มชนอุปกรณ์ข้างหลัง แล้วรีบพุ่งออกนอกห้องไป โอ้ว!!! ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยไอ้ตัวประหลาดพวกนี้เต็มไปหมด
พวกมันที่ใส่ชุดสีฟ้าช่วงขาสีดำมีหมวกวิ่งเข้ามาหมายจะรวบตัวผม ไอ้พวกนี้คงเป็นยาม! ผมไม่รอให้มันมาหา รีบวิ่งหนีสุดฝีเท้าที่สั้นลงอย่างประหลาดเลี้ยวขวาเข้าห้องน้ำและปิดประตูล็อค
เสียงโวยวายและทุบประตูสั่งให้เปิดดังไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับเหงื่อเป็นสายไหลลงจากหัวผม หันซ้ายไปเปิดก๊อกน้ำ ขอล้างหน้าให้ชื่นใจหน่อยนึ..
“นี่มันอะไร.. อะไรวะเนี่ย!”
ภาพที่สะท้อนกลับมาจากกระจกติดผนังตรงหน้าสร้างความตะลึงงันให้ผมอีกครั้ง ที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่ผมแต่เป็น
“ไอ้หัวโตตาพองนี่มันใครวะ หรือว่า?!”
ผมทดลองขยับแขนซ้าย ไอ้หัวโตตาพองในกระจกก็ขยับตาม ความร้อนผ่าวตีเข้าหน้า ดวงตามองเห็นภาพซ้อนเป็นชั้นๆ หายใจติดขัดไม่ทั่วท้อง ตัวประหลาดในกระจกยังคงจ้องมองกลับมา ทำให้คิดถึงประโยคเด็ดจากการ์ตูนที่เคยดูสมัยก่อน...
“บางคนมองกระจก แต่ไม่คิดมองปิศาจ” มืออ้วนประหลาดที่สั่นเทาทาบลงบนกระจก “กระจกไม่ได้สะท้อนภาพปิศาจ แต่สร้างมันขึ้นมาต่างหาก”
โครม! ประตูพังลงพร้อมที่คุณหมอซีดอนก้าวเข้ามา
“ขอแค่มองผ่าน แต่อย่าได้ใส่ใจจริงจัง... ใช่มั้ยครับคุณอลัน แหม่เรื่องนี้ผมก็เคยดู เก่ามากเลยนะครับ” น้ำเสียงหมอนิ่มลึก
“สมศักดิ์ต่างหาก” ถึงจะตั้งสติได้บ้างแล้วก็เถอะ แต่พอเห็นหัวโตตาพองเรียงหน้ากันเข้ามาแล้วมัน มัน..
โอยเป็นลม คร่อก...
“คุณควบคุมลูกน้องภาษาอะไร! ทำไมถึงลาออกกันตั้งหลายคน!”
ชายหัวล้านผู้บริหารฝ่ายการผลิต หน้าแดงตาปลิ้นตะคอกอัดหน้าผมจนแทบจะหงายหลัง แต่ด้วยความที่ผมไม่อยากทนฟังเสียงก่นด่าแต่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว ผมจึงสวนกลับไปบ้างพอทำเนา
“ก็คุณผู้บริหารอย่างคุณไม่ใช่เหรอที่ไปสัญญากับพวกเขาเอาก่อนโดยไม่ฟังผมว่าจะปรับเงินเดือนให้น่ะ แล้วพวกคุณก็ไม่ทำตามที่พูดไว้ ผมเป็นหัวหน้าก็จริง แต่เล่นผิดกันโต้งๆ แบบนี้ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ!”
แต่อนิจจา ดูเหมือนว่าคำพูดไล่ให้ย้อนไปดูตัวของผมจะไม่เกิดผลประโยชน์ แต่ผลเสียน่ะเต็มๆ
“นั่นมันหน้าที่คุณที่ต้องคอยควบคุมและอธิบายเหตุผลที่ยังปรับเงินเดือนไม่ได้ให้ลูกน้องคุณเข้าใจ!” ตามด้วยทุบโต๊ะสบถหัวเสียลุกขึ้นยืนชี้หน้าด่าผมต่อ “บริษัทเราอยู่ในภาวะย่ำแย่ การเงินยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แล้วพอจังหวะลูกค้าสั่งงานเพิ่มเข้ามาแผนกต้นทางการผลิตอย่างคุณกลับขาดคน!”
คำพูดของท่านผู้บริหารพาลให้สติที่คอยคุมปากมันขาดผึง
“การเงินไม่ดีแต่ปีใหม่ที่ผ่านมาจัดเที่ยวงบเฉี่ยว 3 แสน แล้วเมื่อ 2 เดือนก่อนก็ขึ้นเงินให้ฝั่งออฟฟิส! ฝั่งโรงงานคุณไม่มาเห็นหัว แล้วทีงี้จะมาโยนขี้ให้ผม! ลูกน้องก็คนมีตามองมีสมองคิด รู้เห็นนะครับว่าอะไรผิดอะไรถูก!”
ไอ้หัวล้านผู้จัดการควบคุมการผลิตถึงกับนิ่งอึ้ง ตาเขียวปั้ดหมัดกำแน่นแต่ขัดลำผมไม่ถนัดจึงได้แต่กัดฟันกรอดๆ มองหน้าผมด้วยความเดือดดาล บรรยากาศสุดเครียดระหว่างผมกับเขายังคงนิ่งไปอีกราวนาทีกว่าๆ เมื่อผมเห็นว่าเปล่าประโยชน์จึงกลับหลังสะบัดตูดย้ายตัวออกไป และทิ้งท้ายไว้ให้เจ็บใจเล่นว่า
“หมดเรื่องแล้วแจ้งฝ่ายบุคคลขอคนเพิ่มด้วย คนน้อยผมกลับไปทำงานต่อล่ะ.. เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ”
3 เดือนก่อน...
“คุณจะลดขั้นผม!” ผมทุบโต๊ะตัวเดิมกับที่ไอ้หัวล้านเคยยัวะแล้วทุบใส่ผม “หมายความว่าไงผมทำอะไรผิด!”
มันนั่งแคะขี้เล็บโยกเก้าอี้หมุนหนุนคอขึ้นมามองหน้าผมด้วยสายตาสุดจะเหยียดหยาม
“ก็ไม่ผิดอะไรมากหรอก เพียงแต่ความสามารถของคุณมันสู้น้องคนใหม่ที่ผมจะรับมาแทนไม่ได้ อีกครึ่งเดือนก็รับเงินแล้วลากันแค่นี้เลยนะ”
อ้าวเฮ้ย! ไอ้ล้านนี่ได้ดีแล้วถีบหัวส่งกันเลยนี่หว่า!
“คุณพูดแบบนี้ แล้วไอ้ที่ผ่านมาช่วงวิกฤตินั่นใครเป็นคนแก้กัน!”
“จุ๊ๆ” มันยกนิ้วขึ้นโยกไปมาตรงหน้าผม “มันถูกต้องที่คุณแก้ปัญหา แต่นั่นแหละคือปัญหาล่ะ คุณไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่บนอะไร และนั่นทำให้ผมไม่ชอบใจ และนั่นอีกที่เป็นเหตุผลที่ผมเชิญคุณออก”
หน็อย! มันย้ำเสียง ผมกำหมัดกัดฟันมองหน้ายิ้มเยาะของมันแบบเดือดกว่านี้มีอีกมั้ย ขนาดที่ให้เสือมาจ้องสู้ผมยังขู่ชนะ แต่กับไอ้หมาหัวล้านสันดานแร้งนี่ไม่ได้ผล กูสุดทนแล้ว!!!
“จะไล่ผมออกใช่มั้ยครับ ขอตรงๆ” ด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องอย่างที่สุดเลยล่ะคุณสมศักดิ์” ด้วยรอยยิ้มที่เบ่งบานกว่า
“ขอเหตุผลตรงๆ ด้วยครับ เอาแบบตรงกว่านี้ไม่มีอีกแล้วน่ะครับ” ยังคงยิ้มให้แบบไทยแท้
“ผมไม่ชอบขี้หน้าคุณไงล่ะครับ เถียงทุกคำเลย” แย้ยิ้มมันเป็นแบบไอ้ล้าน
“อ้า ชัดเจนเลย ผมเข้าใจแล้วครับ”
มันยังคงยิ้มอย่างเหนือกว่ากลับมา ซึ่งมันก็เหนือกว่าผมไปทุกอย่างในสถานการณ์นี้ แต่มันคาดการณ์พลาดไปอย่างหนึ่งตรงที่ว่า... ผมจะไม่ต่อยมัน!
ฮุคซ้ายเข้าปลายคาง เสียงหมัดดังพอจะทำให้คนที่อยู่นอกห้องหันมามอง เสียงมันล้มลงไปกองพร้อมเก้าอี้ดังพอที่จะทำให้คนข้างนอกพุ่งเข้ามารวบตัวผม
“กูก็เหม็นหน้ามึงเหมือนกันเว้ย! ไอ้ทุ่งหมาลืมทางเอ๊ย!”
3 สัปดาห์ก่อน...
เรื่องจบลงแค่ยอมความกันก่อนถึงชั้นศาล สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะกรรมการบริษัทคนอื่นที่ผมพอจะสนิทช่วยไกล่เกลี่ยให้ แต่ด้วยความคะนองเกินไปการไล่ออกจึงยังมีผลบังคับใช้ ซึ่งมันทำให้ผมตกงานมานานจนกระเป๋าตังค์เริ่มแฟ่บ ขนาดแฟ้บจะซักผ้ายังไม่อยากควักเงินซื้อ
ช่วงเวลานั้นผมคิดถึงว่าตัวเองไม่ควรทำแบบนั้นเลย น่าจะให้เขามาช่วยเคลียร์ตั้งแต่แรก ชีวิตคนเรานี่ถ้าไม่ยั้งคิดตั้งจิตชิดสติก็มีอันต้องดิ่งลงเหวไปซะทุกรายไป ทุกข์ใจจริงหนอ
3 วันก่อน...
หน็อยไอ้หัวล้าน! มันวางยาผมเอาไว้ด้วยนี่หว่า บริษัทไหนที่ผมไปสัมภาษณ์โดนแม่งโทรมาดักก่อนทุกรอบ มันเอาเรื่องที่ผมตะบันหน้าไปเผาซะดำเมี่ยม!
3 ชั่วโมงก่อน...
วันนี้ฝนตกหนักพายุเข้า มรสุมความซวยจากที่ไหนซักแห่ง ใช่ มรสุมความซวยของผม... แฟนโทรมาบอกเลิก ก็นั่นสินะใครมันจะไปทนอยู่กับไอ้บ้าหน้าไม่หล่อแถมตกท่อน้ำคลำหางานทำไม่ได้แบบนี้อีก
ทั้งๆ ที่ทำใจมาก่อนแล้วว่าอาจเป็นแบบนี้เข้าซักวันนึง แต่ไอ้น้ำที่หยดออกมาจากตานี่มันก็ยังแข่งกับสายฝนข้างนอกไม่มีหยุด เงินจะจ่ายค่าเช่าห้องก็ไม่มี ยุคสมัยนี้จะไปหาขุดมันก็ไม่มีให้ขุดแล้วด้วย ชีวิตคนเรานี่มันมีแต่ความทุกข์จริงๆ
“เปิดตู้เย็นกินน้ำเก๊กฮวย.. ฮ่วยมีแต่น้ำเปล่า!”
ผมเปิดโทรทัศน์ดู รายการช่องทางรวยวันนี้นำเสนอการเลี้ยงไรน้ำนางฟ้าทำกำไรได้มหาศาล ฮะฮะฮะ ขนาดสัตว์ที่ได้แต่ลอยไปลอยมารอวันตายยังมีประโยชน์กว่าเราตอนนี้ซะอีก
พูดถึงไรน้ำแล้วผมก็ย้อนกลับมาดูตัวเอง มันช่างน่ารันทดเสียจริงไอ้การมีชีวิตอยู่เนี่ย ถึงจะมีคนมากมายหลายหน้าบรรยายให้คิดบวก บวกบ้าอะไรล่ะวะ บวกด้วยค่าติดลบมันก็ดันลบไปหมดนั่นแหละเว้ย สิ่งที่ผิดพลาดจริงๆ ไม่ใช่การคิดในแง่ลบ แต่เป็นการมีอยู่ของการคิดต่างหาก
ก็จริงไม่ใช่เหรอ? ถ้าเราไม่คิดซะตั้งแต่แรกเราจะมีเรื่องให้เครียดใหม? ก็ไม่มีแน่นอน แต่เพราะไอ้การมีสมองใหญ่ๆ ที่ใส่ข้อมูลได้มากเกินไปกับความสามารถในการประเมินข้อมูลได้ดีเสียเหลือเกินนี่แหละที่ทำให้คนเราต่างเป็นทุกข์ อา หลุดโลกไปแล้วเรา ฮ่าฮ่าฮ่า
ในขณะที่ผมคิดอะไรไร้สาระอยู่นี้ร่างกายมันก็พาลขยับไปหยิบกระปุกยาทุกชนิดที่มีมาเทรวมกันในเครื่องปั่นไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ
ถ้าไม่คิดซะตั้งแต่แรกก็ดีไปแล้ว แต่จะทำยังไงล่ะวะ ก็ดันเกิดมาเป็นคนเองนี่หว่า รู้งี้เกิดเป็นปลาทองซะก็ดี จำเรื่องราวได้มากสุดประมาณ 15 นาที ไม่สิจำได้มันก็ยังนานไปอยู่ดีล่ะ นั่นสิเป็นไรน้ำดีสุด เอ๋อ ทำไมคิดงั้นได้ล่ะเนี่ยเรา?
ตามด้วยเทสารพันยาใช้ภายนอกลงไปผสม แล้วเปิดเครื่องปั่นจนได้ที่ เทลงแก้ว
ไรน้ำน่ะดีนะ เกิดมาก็ทำอะไรไม่ได้มาก ลอยไปลอยมาลอยหน้าลอยตารอเวลากลายเป็นอาหาร รอดมาได้ก็ผสมพันธ์แล้วตาย แถมมีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่วันอีกต่างหาก ช่างเป็นชีวิตที่ไม่ต้องคิดอะไรเล้ย ต่อให้คิดได้ก็ไม่มีประโยชน์ แค่ไม่กี่อาทิตย์ก็ตายแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า
“แก้วนี้ขอมอบให้แก่ไรน้ำอันสูงค่า!”
ผมจัดการกระดกของเหลวปริศนาผสมยาสารพัดลงท้องไปแบบกล้ำกลืน แล้วฝืนใจไม่สำรอกออก แต่กระดกน้ำตามไปล้างกลิ่นสุดจะชวนอ้วก
ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาการปวดท้องก็ตามมา แต่ลูกกะตากลับเกร็งไว้ไม่ได้พาลจะปิดเอาท่าเดียว คงเพราะพารากับยาแก้แพ้ อา สติเริ่มจะเลือนลาง ความปวดเริ่มชาชิน ขอพูดอะไรทิ้งทวนไว้นิดนึง...
“ชาติหน้าฉันใดขอเกิดใหม่เป็นไรน้ำ!!!”
เปรี้ยง!!! ฟ้าผ่าลงมาในเวลาไล่เลี่ยกับที่ตาปิด...
...
...
...
อา รู้สึกว่าตัวหนักไปหมด นี่เราคงตายแล้วสินะ ตกลงว่าโลกหลังความตายมีอยู่จริงล่ะสิท่า ไม่งั้นคงไม่มีทางสำนึกได้ถึงตัวตนแบบนี้
“ว่าแต่ ที่นี่มันนรกหรือสวรรค์กันหว่า?”
หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ภาพรอบด้านก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่ทุ่งดอกไม้หรือหุบเหวเปลวไฟ แต่ลักษณะมันเป็น
“ห้องพยาบาล?”
เตียงเดี่ยวด้วย มีผมนอนอยู่คนเดียว มาตรวัดชีพจรและถุงน้ำเกลือ ตกลงนี่เรายังไม่ตายหรอกเหรอเนี่ย ใครใจดีช่วยลากเรามาถึงโรงพยาบาลได้กันหว่า เออช่างมันเถอะ
ผมพยุงตัวลุกขึ้น ฉับพลันก็ต้องรู้สึกแปลกใจ ว่าทำไมแขนเรามันสั้นแปลกๆ แถมอวบขึ้นด้วย แล้วเสียงก็ดังมาจากหน้าประตู
“คุณอลันตื่นฟื้นแล้วสินะครับ เป็นยังไงบ้างกับการท่องอดีต”
เสียงของชายวัยรุ่นใกล้เข้ามา เสียงนั่นแสดงความสนิทสนม อลันนี่ใครกัน ในห้องก็มีเราอยู่คนเดียวนี่นา ผมซึ่งตั้งหลักชันตัวขึ้นนั่งได้แล้วจึงหันไปดู...
“แว้กกกกกกกกกกก!!!”
ผมตะโกนเสียงหลง ส่งให้ตัวตนตรงหน้าผงะถอยออกไป ไอ้นั่นมันตัวห่าอะไรวะเฮ้ย!!!
ที่ผมเห็นอยู่คือตัวประหลาดที่มีหัวโล้นใหญ่โผล่เลยชุดคลุมสีขาวขึ้นมา ดวงตาคู่นั้นกลมโตอยู่ตรงจุดที่ควรจะเป็นหู คล้ายปลาแต่ไมใช่ ตรงปากนั่นก็เหมือนถูกมีดกรีดให้เป็นร่องเผยฟันที่ดูเหมือนเข็มเรียงชิดกันนับไม่ถ้วน แขนขาของมันสั้นเต่อและอ้วนพองเหมือนคนจมน้ำตาย ผิวกายของมันไม่มีขนซักเส้นแถมยังรู้สึกว่ามันเลื่อมน่าหยะแหยงอย่างแรง
“เป็นอะไรไปครับคุณอลัน! นี่ผมเอง หมอซีดอน ไงครับ”
มันเข้ามาใกล้ผมแบบระวัง ซึงผมก็
“อย่าเข้ามานะเว้ยไอ้สัตว์ประหลาด! เอเลี่ยนพันธุ์ไหนวะเฮ้ย!”
มันยังไม่ยอมหยุด พุ่งเข้ามาล็อกตัวผมกดลงกับเตียงแล้วพูดขึ้นดังลั่น
“นี่หมอซีดอนฉุกเฉิน! ผู้ทดลองหมายเลข SA017 มีปัญหาภาวะทางจิต รีบขนเครื่องมือมาเร็ว!” มันใส่แรงกดแล้วหันตาดำกลมโตคู่นั้นมาจ้องผม “ใจเย็นนะครับคุณอลัน หมออยู่กับคุณแล้วครับ!”
“หมอบ้าอะไรวะไอ้สัตว์ประหลาด! ปล่อยกู!!”
ผมออกแรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออกไปจนล้มชนอุปกรณ์ข้างหลัง แล้วรีบพุ่งออกนอกห้องไป โอ้ว!!! ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยไอ้ตัวประหลาดพวกนี้เต็มไปหมด
พวกมันที่ใส่ชุดสีฟ้าช่วงขาสีดำมีหมวกวิ่งเข้ามาหมายจะรวบตัวผม ไอ้พวกนี้คงเป็นยาม! ผมไม่รอให้มันมาหา รีบวิ่งหนีสุดฝีเท้าที่สั้นลงอย่างประหลาดเลี้ยวขวาเข้าห้องน้ำและปิดประตูล็อค
เสียงโวยวายและทุบประตูสั่งให้เปิดดังไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับเหงื่อเป็นสายไหลลงจากหัวผม หันซ้ายไปเปิดก๊อกน้ำ ขอล้างหน้าให้ชื่นใจหน่อยนึ..
“นี่มันอะไร.. อะไรวะเนี่ย!”
ภาพที่สะท้อนกลับมาจากกระจกติดผนังตรงหน้าสร้างความตะลึงงันให้ผมอีกครั้ง ที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ใช่ผมแต่เป็น
“ไอ้หัวโตตาพองนี่มันใครวะ หรือว่า?!”
ผมทดลองขยับแขนซ้าย ไอ้หัวโตตาพองในกระจกก็ขยับตาม ความร้อนผ่าวตีเข้าหน้า ดวงตามองเห็นภาพซ้อนเป็นชั้นๆ หายใจติดขัดไม่ทั่วท้อง ตัวประหลาดในกระจกยังคงจ้องมองกลับมา ทำให้คิดถึงประโยคเด็ดจากการ์ตูนที่เคยดูสมัยก่อน...
“บางคนมองกระจก แต่ไม่คิดมองปิศาจ” มืออ้วนประหลาดที่สั่นเทาทาบลงบนกระจก “กระจกไม่ได้สะท้อนภาพปิศาจ แต่สร้างมันขึ้นมาต่างหาก”
โครม! ประตูพังลงพร้อมที่คุณหมอซีดอนก้าวเข้ามา
“ขอแค่มองผ่าน แต่อย่าได้ใส่ใจจริงจัง... ใช่มั้ยครับคุณอลัน แหม่เรื่องนี้ผมก็เคยดู เก่ามากเลยนะครับ” น้ำเสียงหมอนิ่มลึก
“สมศักดิ์ต่างหาก” ถึงจะตั้งสติได้บ้างแล้วก็เถอะ แต่พอเห็นหัวโตตาพองเรียงหน้ากันเข้ามาแล้วมัน มัน..
โอยเป็นลม คร่อก...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น