เขาว่าเธอประหลาด
แต่แค่เธอยิ้ม ผมก็พบเธอในแบบที่ต่างไป
*********************************
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับตัวจริงๆของ‘เธอ’ ผู้หญิงที่แปลกประหลาด
อย่างน้อยก็ในความคิดของเพื่อนผมล่ะ 
ผมได้ยินกิตติศัพท์ของเธอมาก็นานกว่าจะได้พบตัวจริงเสียงจริง ก็อย่างที่บอกแต่แรก เพื่อนผมเขาว่าเธอประหลาด
เมื่อตอนที่เธอเดินพ้นมุมตึกออกมาพร้อมๆกับเพื่อนผมและคนอื่นๆ เธอก็ดูเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้มีขา 3 ขามีเขาหรือมีหางงอกออกมาแต่อย่างใด  เวลารวมอยู่กับคนอื่นเธอดูแสนจะสามัญ เพราะการแต่งกายที่แม้แต่ผมยังมั่นใจว่าถ้าคุณยายที่บ้านเห็นก็ต้องออกปากมาได้ทันทีว่า ‘เชยสนิท’
แต่ท่าเดินที่สง่าผ่าเผย ไหล่ตั้ง หลังตึงอันแสดงชัดถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้ผมมองข้ามความเรียบง่ายของเชิ้ตสีขาวแขนยาว กระโปรงกรอมเท้า กับคัชชูสีดำแบบที่จำได้ว่าคุณครูประจำชั้นของผมใช้ตอนที่ผมอยู่ ป.1ไป และเริ่มมองหาความประหลาดตามที่ถูกเพื่อนเป่าหูมา
ยามเมื่อเธอเดินตามเพื่อนผมมาและสุดท้ายก็มาหยุดยืนนิ่งๆอยู่เกือบจะตรงหน้าของผม มือของเธอก็ยังประสานกันอยู่ด้านหน้าอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ไอ้ความประหลาดที่เพื่อนผมมันว่า อาจจะเป็นเรื่องทำนองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสาวไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลมารยาทงาม ความประพฤติเรียบร้อยเป็นเวลา 10 ปีติดกันล่ะมั้ง
โอ้! แต่อย่าเชื่อผมเลยครับเพราะผมก็เดามั่วไปเรื่อยเปื่อยตามสภาพการณ์ที่เห็นกันอยู่
หลังจากที่เพื่อนผมกล่าวแนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้ผมและเธอรู้จักกันแล้ว ผมก็กล่าวสวัสดีกับเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้มแบบที่ผมถนัดจะใช้ในการมัดใจสาว ซึ่งกล้าการันตีว่าได้ผลสำเร็จถึง 90 % 
แต่เชื่อไหมล่ะว่าเธอยังคงนิ่งสนิท! เธอแค่กล่าวสวัสดีตอบเท่านั้น จะกระดกมุมปากยิ้มให้ผมสักนิดก็ไม่มี
แม้เธอจะทำผมเสียความมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองไปหน่อย แต่ผมก็ขุ่นข้องหมองใจไม่นานหรอกเพราะผมไม่ใช่พวกคิดมากอยู่แล้ว
ครั้นพอคำสวัสดีของเธอหลุดมาเข้าหูผมรวมทั้งท่าทางนิ่งๆเฉยๆที่หลุดเข้ามาในสายตาผมสักประมาณครึ่งนาทีเห็นจะได้  คำอำลาก็ตามออกมาเลย
ผมก็ยอมรับล่ะนะว่าช็อคอยู่หน่อยๆเหมือนกัน  ก็เพิ่งจะรู้จักกันยังไม่ถึง 2 นาทีเลย เธอเล่นจะไปเสียแล้ว อย่างนี้มีหรือที่ผมจะยอม เพราะถ้าขืนยอมผมก็ไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ดั้นด้นมาพบเธอวันนี้น่ะสิ
“จะรีบไปไหนหรือครับ?”  ผมถาม
“ไม่รีบไปไหนหรอกค่ะ แต่ดิฉันจะกลับบ้าน”
เธอตอบผมมาแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นผมก็คงจะปล่อยให้กลับไปแล้วเพราะน้ำเสียงราบเรียบราวกับดังมาจากการเปิดเทปเทศนาอย่างนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่  แต่กับเธอ
แม้ไม่ชอบผมก็ไม่ปล่อย
“ถ้าไม่รีบก็อย่าเพิ่งกลับเลยครับ ให้เกรียติไปทานข้าวกับเพื่อนใหม่อย่างผมสักนิดเถอะ” ผมเอ่ย  เมื่อกี้เธอตรงมาตอนนี้ผมก็ตรงกลับ  รุกมันตรงๆแบบนี้ล่ะ (แต่ต้องบอกให้รู้ว่าปรกติผมไม่ตรงแบบนี้หรอกเวลาจีบสาวน่ะ  มันห่ามไป)
ผมเองก็มีวิญญาณนักสังเกตอยู่ในตัวเหมือนกัน แม้มันจะหลับๆตื่นๆจนทำให้ผมไม่สามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเพื่อนผมได้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ ผมก็รู้สึกว่าวิญญาณนักสังเกตมันตื่นตัวจนแอบเห็นได้ว่าแววตาของเธอมีประกายกล้าขึ้นมานิดหนึ่ง
เพื่อนผมเองมันก็คงจะเห็นเหมือนกัน เลยช่วยหว่านล้อมเต็มที่จนเธอยอมมากับผมในที่สุด
ผมขับรถพาเธอไปยังสวนอาหารริมบึง บรรยากาศแสนเงียบสงบแห่งหนึ่ง ทันทีที่ผมดับเครื่องยนต์หลังจากเลี้ยวรถเข้าจอดในซองเรียบร้อย  เธอก็เปิดประตูและก้าวลงไปอย่างไม่รีรอ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือเปล่าว่าเธอทำลายความมั่นใจของผมไปอีกแล้ว เพราะปกติผมต้องเป็นสุภาพบุรุษคอยเปิดประตูให้ตุ๊กตาหน้ารถของผมเสมอ
แต่เอาเถอะ!
ก็เธอไม่เหมือนคนอื่นนี่
ผมเลือกโต๊ะที่คิดว่าบรรยากาศดีที่สุด อยู่ติดรั้วไม้ของศาลาลอยที่ยื่นออกไปในบึงน้ำซึ่งทางร้านขุดขึ้น  เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผมไม่ได้เลือนเก้าอี้ในร้านอาหารให้ผู้หญิงนั่ง  ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไม ก็เธอไม่รอผมน่ะสิ
ผมเลื่อนรายการอาหารไปตรงหน้าเธอ  น่าแปลกที่ครั้งนี้เธอไม่ได้ใช้ความมั่นใจของตัวเองเพื่อสั่งอาหาร  เธอแค่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเรียบๆตามแบบของเธอว่า
“คุณสั่งเถอะค่ะ”
แม้ผมจะพยายามอ้างว่ากลัวเธอจะไม่ถูกปาก แต่เธอก็ยังยืนยันประโยคเดิม  อย่างนี้ก็ได้โอกาสผมล่ะสิ!
แต่ไม่ต้องคิดมากไปครับ  ผมไม่ได้สั่งเหล้ายาอะไรมามอมเมาเธอแม้แต่นิดแน่นอน
ผมไม่เคยรู้สึกว่าการทานอาหารค่ำกับสาวคนไหนจะให้ความรู้สึกเงียบสงบได้เท่ากับเธอคนนี้
แม้ผมจะเป็นนักสร้างบรรยากาศตัวฉกาจ แต่ผมก็ยอมรับเลยล่ะว่าเธอเองก็เป็นนักเงียบตัวฉกาจเหมือนกัน 
พอหนักๆเข้าผมก็อึดอัดสิ
“คุณจะไม่ชวนผมคุยมั่งเลยหรือ ให้ผมพูดอยู่คนเดียว น้ำลายผมเหนียวหมดแล้ว”
เธอเงยหน้าขึ้นมองผม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงจากโคมไฟที่ริมรั้วหรือเปล่าที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูนวลสวย  ดวงตามีประกายจนทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ แบบที่ไม่เคยมีสาวไหนทำได้มาก่อน  แล้วเธอก็ละสายตาที่ผมเริ่มติดตรึงใจมองลงไปยังบึงน้ำเบื้องล่าง
“น้ำในบึงนี้ดูแย่เต็มทนนะคะ เขียวขนาดนี้ ถ้าเก็บตัวอย่างไปส่องดู คงพบจุลินทรีย์เป็นล้านๆเชียว”
ผมแทบจะหัวเราะออกมา เพราะสีหน้าของเธอดูจริงจังมากยามเอ่ยประโยคนั้น ผมเลยอดแซวถึงหน้าที่การงานของเธอไม่ได้
“ขอโทษครับคุณนักวิทยาศาสตร์สาว คุณเคยพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตาเปล่าเข้าถึงบ้างไหมครับ?”
เธอละสายตาจากบึงน้ำกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง 
โฮ้!เหมือนยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวมาลงจอดต่อหน้าผมอย่างนั้นแหล่ะ!
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับเพราะครั้งนี้เธอยิ้ม! เป็นยิ้มที่สดใสน่ารัก ทำให้ก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายของผมเต้นตูมๆอย่างกับวง linkin Park มาเปิดคอนเสิร์ตแสดงสดข้างในนั้นเลย
“รู้สึกเหมือนจะไม่เคย” เธอตอบผม และมันก็แปลกมากๆที่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่าเสียงของเธอคล้ายกับบทเพลงอ่อนหวานอันแสนไพเราะ ไม่ใช่เทปแสดงพระธรรมเทศนาอีกต่อไปแล้ว
“คุณมีแฟนไหมครับ?” ผมถามคำถามนั้นออกไป  ตรงและทื่อ  แต่ออกมาจากใจอย่างอัตโนมัติโดยที่ผมบังคับไม่ได้
ครั้งนี้เธอละสายตาจากผมและทอดมองไปยังโคมไฟสีเหลืองนวลที่ริมรั้ว
“เคยมีค่ะ แต่เลิกกันนานแล้ว”
“ทำไมล่ะครับ” ผมถามออกไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้ง แล้ววินาทีต่อมาผมก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่ามันไม่ควร
“ขอโทษครับ ผมไม่ควรถามเลย ถ้าคุณไม่อยากตอบ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เป็นครั้งแรกที่เธอสวนคำพูดผมอย่างรวดเร็ว  แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเธอยังคงยิ้มละไมให้กับผม
“แฟนเก่าของฉันเป็นดอกเตอร์ด้านจุลชีวะค่ะ” เธอเริ่มเล่า การที่อดีตแฟนของเธอเป็นถึงดอกเตอร์ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจเลย เพราะรู้ดีว่านักวิทยาศาสตร์อย่างเธอวันๆก็เจอแต่กับคนพวกนี้ 
“แต่คุณจะเชื่อไหมคะว่าฉันเป็นคนขอเลิกกับเขาเอง” เธอหันมาถามผม
“เชื่อสิครับ” ผมรีบตอบ ก่อนเอ่ยถามต่อว่า “แล้วทำไมคุณถึง
”
“เพราะเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับงานของเขาได้ แต่เขาไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับฉันได้เลยน่ะสิคะ” น้ำเสียงของเธอแปรเปลี่ยนจากบทเพลงอ่อนหวานกลายเป็นท่วงทำนองแสนเศร้าได้อย่างจับจิตผมจริงๆ
“อย่าหาว่าผมใส่ไคล้เขาเลยนะครับ แต่คนเก่งมากๆแบบพวกนี้ก็อย่างนี้แหล่ะครับ งานที่เขาชอบต้องสำคัญเสมอ
แม้แต่ตัวคุณผมก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น”
ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง จ้องมองผมอย่างงงงวย
“ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ ท่าทางของคุณบ่งบอกว่าคุณเป็นคนประเภทมุ่งมั่น  เอาจริงเอาจังกับชีวิต คุณเป็นคนอย่างนั้นมั้ย?” ผมถาม เธอพยักหน้ารับ
“แล้วนายดอกเตอร์อดีตแฟนคุณก็เป็นคนอย่างคุณด้วยใช่ไหม?” ผมถามอีก เธอก็พยักหน้าให้อีก
“นั่นเป็นเหตุผลแท้จริงที่คุณทนเขาไม่ได้” ผมเอ่ยอย่างราบเรียบแต่จริงจัง “หลายต่อหลายครั้งที่ความรักต้องการส่วนผสมที่แตกต่าง ก็เหมือนกับการปรุงอาหารให้อร่อยนั่นแหล่ะครับ ถ้าคุณเป็นน้ำตาลแล้วคุณจะใช้น้ำตาลกับน้ำตาลมาทำให้รสชาติมันดีขึ้นไม่ได้หรอก มันต้องลองใช้มะนาวหรือน้ำปลาอย่างผมมาผสมกับน้ำตาลอย่างคุณ ถึงจะลงตัว”
“ฮ้า? อะไรนะคะ?”
ผมรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรครับ”
เธอยิ้มละไมให้ผมอีกครั้ง ก่อนดันตัวลุกขึ้น
“ฉันคงต้องกลับแล้วค่ะ ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอกนะคะและก็... ขอบคุณสำหรับอาหารค่ำ” เธอกล่าวเรียบๆ แล้วเริ่มออกเดิน
“เดี๋ยวครับ” ผมร้อง  เธอชะงักฝีเท้า หันมองผมด้วยสายตาตั้งคำถาม
“ผมจะเจอคุณอีกได้ไหม?”
“พรุ่งนี้ฉันก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วค่ะ เพราะฉันจะได้เข้าไปทำงานในโครงการหลวงฯ” เธอทอดสายตาอ่อนโยนมองผม
“ถ้าคุณมีโอกาสขึ้นไปเชียงใหม่ล่ะก็ ฉันยินดีเจอคุณเสมอค่ะ”
กล่าวจบเธอก็หมุนตัวแล้วเดินจากผมไป  ผมไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินคำพูดสุดท้ายของผมหรือเปล่า
แต่คุณที่เป็นคนอ่านน่ะ  รู้แน่ๆว่าผมพูดอะไร
งั้นผมฝากบอกเธอด้วยแล้วกันว่า
วันอาทิตย์นี้เจอกันที่เชียงใหม่ครับ!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น