เมื่อผมอยากเป็นส่วนผสมในรักของเธอ - เมื่อผมอยากเป็นส่วนผสมในรักของเธอ นิยาย เมื่อผมอยากเป็นส่วนผสมในรักของเธอ : Dek-D.com - Writer

    เมื่อผมอยากเป็นส่วนผสมในรักของเธอ

    เรื่องนี้มีเพียงผมและเธอ...

    ผู้เข้าชมรวม

    670

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    670

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ต.ค. 47 / 00:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เขาว่าเธอประหลาด…แต่แค่เธอยิ้ม ผมก็พบเธอในแบบที่ต่างไป
      *********************************

      วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับตัวจริงๆของ‘เธอ’ ผู้หญิงที่แปลกประหลาด… อย่างน้อยก็ในความคิดของเพื่อนผมล่ะ  
      ผมได้ยินกิตติศัพท์ของเธอมาก็นานกว่าจะได้พบตัวจริงเสียงจริง ก็อย่างที่บอกแต่แรก เพื่อนผมเขาว่าเธอประหลาด…

      เมื่อตอนที่เธอเดินพ้นมุมตึกออกมาพร้อมๆกับเพื่อนผมและคนอื่นๆ เธอก็ดูเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่ได้มีขา 3 ขามีเขาหรือมีหางงอกออกมาแต่อย่างใด  เวลารวมอยู่กับคนอื่นเธอดูแสนจะสามัญ เพราะการแต่งกายที่แม้แต่ผมยังมั่นใจว่าถ้าคุณยายที่บ้านเห็นก็ต้องออกปากมาได้ทันทีว่า ‘เชยสนิท’

      แต่ท่าเดินที่สง่าผ่าเผย ไหล่ตั้ง หลังตึงอันแสดงชัดถึงความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้ผมมองข้ามความเรียบง่ายของเชิ้ตสีขาวแขนยาว กระโปรงกรอมเท้า กับคัชชูสีดำแบบที่จำได้ว่าคุณครูประจำชั้นของผมใช้ตอนที่ผมอยู่ ป.1ไป และเริ่มมองหาความประหลาดตามที่ถูกเพื่อนเป่าหูมา

      ยามเมื่อเธอเดินตามเพื่อนผมมาและสุดท้ายก็มาหยุดยืนนิ่งๆอยู่เกือบจะตรงหน้าของผม มือของเธอก็ยังประสานกันอยู่ด้านหน้าอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

      ไอ้ความประหลาดที่เพื่อนผมมันว่า อาจจะเป็นเรื่องทำนองว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสาวไทยเพียงคนเดียวที่ได้รับรางวัลมารยาทงาม ความประพฤติเรียบร้อยเป็นเวลา 10 ปีติดกันล่ะมั้ง…
      โอ้! แต่อย่าเชื่อผมเลยครับเพราะผมก็เดามั่วไปเรื่อยเปื่อยตามสภาพการณ์ที่เห็นกันอยู่

      หลังจากที่เพื่อนผมกล่าวแนะนำชื่อเสียงเรียงนามให้ผมและเธอรู้จักกันแล้ว ผมก็กล่าวสวัสดีกับเธอเบาๆพร้อมรอยยิ้มแบบที่ผมถนัดจะใช้ในการมัดใจสาว ซึ่งกล้าการันตีว่าได้ผลสำเร็จถึง 90 %  
      แต่เชื่อไหมล่ะว่าเธอยังคงนิ่งสนิท! เธอแค่กล่าวสวัสดีตอบเท่านั้น จะกระดกมุมปากยิ้มให้ผมสักนิดก็ไม่มี

      แม้เธอจะทำผมเสียความมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเองไปหน่อย แต่ผมก็ขุ่นข้องหมองใจไม่นานหรอกเพราะผมไม่ใช่พวกคิดมากอยู่แล้ว
      ครั้นพอคำสวัสดีของเธอหลุดมาเข้าหูผมรวมทั้งท่าทางนิ่งๆเฉยๆที่หลุดเข้ามาในสายตาผมสักประมาณครึ่งนาทีเห็นจะได้  คำอำลาก็ตามออกมาเลย

      ผมก็ยอมรับล่ะนะว่าช็อคอยู่หน่อยๆเหมือนกัน  ก็เพิ่งจะรู้จักกันยังไม่ถึง 2 นาทีเลย เธอเล่นจะไปเสียแล้ว อย่างนี้มีหรือที่ผมจะยอม เพราะถ้าขืนยอมผมก็ไม่บรรลุจุดประสงค์ที่ดั้นด้นมาพบเธอวันนี้น่ะสิ
      “จะรีบไปไหนหรือครับ?”  ผมถาม
      “ไม่รีบไปไหนหรอกค่ะ แต่ดิฉันจะกลับบ้าน”
      เธอตอบผมมาแบบนั้น ถ้าเป็นคนอื่นผมก็คงจะปล่อยให้กลับไปแล้วเพราะน้ำเสียงราบเรียบราวกับดังมาจากการเปิดเทปเทศนาอย่างนี้ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่  แต่กับเธอ…แม้ไม่ชอบผมก็ไม่ปล่อย

      “ถ้าไม่รีบก็อย่าเพิ่งกลับเลยครับ ให้เกรียติไปทานข้าวกับเพื่อนใหม่อย่างผมสักนิดเถอะ” ผมเอ่ย  เมื่อกี้เธอตรงมาตอนนี้ผมก็ตรงกลับ  รุกมันตรงๆแบบนี้ล่ะ (แต่ต้องบอกให้รู้ว่าปรกติผมไม่ตรงแบบนี้หรอกเวลาจีบสาวน่ะ  มันห่ามไป)

      ผมเองก็มีวิญญาณนักสังเกตอยู่ในตัวเหมือนกัน แม้มันจะหลับๆตื่นๆจนทำให้ผมไม่สามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์อย่างเพื่อนผมได้ แต่เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ ผมก็รู้สึกว่าวิญญาณนักสังเกตมันตื่นตัวจนแอบเห็นได้ว่าแววตาของเธอมีประกายกล้าขึ้นมานิดหนึ่ง
      เพื่อนผมเองมันก็คงจะเห็นเหมือนกัน เลยช่วยหว่านล้อมเต็มที่จนเธอยอมมากับผมในที่สุด

      ผมขับรถพาเธอไปยังสวนอาหารริมบึง บรรยากาศแสนเงียบสงบแห่งหนึ่ง ทันทีที่ผมดับเครื่องยนต์หลังจากเลี้ยวรถเข้าจอดในซองเรียบร้อย  เธอก็เปิดประตูและก้าวลงไปอย่างไม่รีรอ
      ผมก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะรู้หรือเปล่าว่าเธอทำลายความมั่นใจของผมไปอีกแล้ว เพราะปกติผมต้องเป็นสุภาพบุรุษคอยเปิดประตูให้ตุ๊กตาหน้ารถของผมเสมอ

      แต่เอาเถอะ!… ก็เธอไม่เหมือนคนอื่นนี่

      ผมเลือกโต๊ะที่คิดว่าบรรยากาศดีที่สุด อยู่ติดรั้วไม้ของศาลาลอยที่ยื่นออกไปในบึงน้ำซึ่งทางร้านขุดขึ้น  เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ผมไม่ได้เลือนเก้าอี้ในร้านอาหารให้ผู้หญิงนั่ง  ไม่ต้องสงสัยหรอกครับว่าทำไม ก็เธอไม่รอผมน่ะสิ
      ผมเลื่อนรายการอาหารไปตรงหน้าเธอ  น่าแปลกที่ครั้งนี้เธอไม่ได้ใช้ความมั่นใจของตัวเองเพื่อสั่งอาหาร  เธอแค่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเรียบๆตามแบบของเธอว่า
      “คุณสั่งเถอะค่ะ”

      แม้ผมจะพยายามอ้างว่ากลัวเธอจะไม่ถูกปาก แต่เธอก็ยังยืนยันประโยคเดิม  อย่างนี้ก็ได้โอกาสผมล่ะสิ!
      แต่ไม่ต้องคิดมากไปครับ  ผมไม่ได้สั่งเหล้ายาอะไรมามอมเมาเธอแม้แต่นิดแน่นอน

      ผมไม่เคยรู้สึกว่าการทานอาหารค่ำกับสาวคนไหนจะให้ความรู้สึกเงียบสงบได้เท่ากับเธอคนนี้
      แม้ผมจะเป็นนักสร้างบรรยากาศตัวฉกาจ แต่ผมก็ยอมรับเลยล่ะว่าเธอเองก็เป็นนักเงียบตัวฉกาจเหมือนกัน  

      พอหนักๆเข้าผมก็อึดอัดสิ

      “คุณจะไม่ชวนผมคุยมั่งเลยหรือ ให้ผมพูดอยู่คนเดียว น้ำลายผมเหนียวหมดแล้ว”

      เธอเงยหน้าขึ้นมองผม ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะแสงจากโคมไฟที่ริมรั้วหรือเปล่าที่ทำให้ใบหน้าของเธอดูนวลสวย  ดวงตามีประกายจนทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ แบบที่ไม่เคยมีสาวไหนทำได้มาก่อน  แล้วเธอก็ละสายตาที่ผมเริ่มติดตรึงใจมองลงไปยังบึงน้ำเบื้องล่าง

      “น้ำในบึงนี้ดูแย่เต็มทนนะคะ เขียวขนาดนี้ ถ้าเก็บตัวอย่างไปส่องดู คงพบจุลินทรีย์เป็นล้านๆเชียว”

      ผมแทบจะหัวเราะออกมา เพราะสีหน้าของเธอดูจริงจังมากยามเอ่ยประโยคนั้น ผมเลยอดแซวถึงหน้าที่การงานของเธอไม่ได้
      “ขอโทษครับคุณนักวิทยาศาสตร์สาว คุณเคยพูดถึงอะไรที่เกี่ยวกับสิ่งที่ตาเปล่าเข้าถึงบ้างไหมครับ?”

      เธอละสายตาจากบึงน้ำกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง  
      โฮ้!เหมือนยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวมาลงจอดต่อหน้าผมอย่างนั้นแหล่ะ!
      ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับเพราะครั้งนี้เธอยิ้ม! เป็นยิ้มที่สดใสน่ารัก ทำให้ก้อนเนื้อในหน้าอกข้างซ้ายของผมเต้นตูมๆอย่างกับวง linkin Park มาเปิดคอนเสิร์ตแสดงสดข้างในนั้นเลย

      “รู้สึกเหมือนจะไม่เคย” เธอตอบผม และมันก็แปลกมากๆที่คราวนี้ผมกลับรู้สึกว่าเสียงของเธอคล้ายกับบทเพลงอ่อนหวานอันแสนไพเราะ ไม่ใช่เทปแสดงพระธรรมเทศนาอีกต่อไปแล้ว

      “คุณมีแฟนไหมครับ?” ผมถามคำถามนั้นออกไป  ตรงและทื่อ  แต่ออกมาจากใจอย่างอัตโนมัติโดยที่ผมบังคับไม่ได้
      ครั้งนี้เธอละสายตาจากผมและทอดมองไปยังโคมไฟสีเหลืองนวลที่ริมรั้ว

      “เคยมีค่ะ แต่เลิกกันนานแล้ว”
      “ทำไมล่ะครับ” ผมถามออกไปโดยควบคุมตัวเองไม่ได้อีกครั้ง แล้ววินาทีต่อมาผมก็เพิ่งจะสำนึกได้ว่ามันไม่ควร
      “ขอโทษครับ ผมไม่ควรถามเลย ถ้าคุณไม่อยากตอบ”
      “ไม่เป็นไรค่ะ” เป็นครั้งแรกที่เธอสวนคำพูดผมอย่างรวดเร็ว  แต่ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเธอยังคงยิ้มละไมให้กับผม
      “แฟนเก่าของฉันเป็นดอกเตอร์ด้านจุลชีวะค่ะ” เธอเริ่มเล่า การที่อดีตแฟนของเธอเป็นถึงดอกเตอร์ไม่ได้ทำให้ผมประหลาดใจเลย เพราะรู้ดีว่านักวิทยาศาสตร์อย่างเธอวันๆก็เจอแต่กับคนพวกนี้  
      “แต่คุณจะเชื่อไหมคะว่าฉันเป็นคนขอเลิกกับเขาเอง” เธอหันมาถามผม
      “เชื่อสิครับ” ผมรีบตอบ ก่อนเอ่ยถามต่อว่า “แล้วทำไมคุณถึง…”
      “เพราะเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับงานของเขาได้ แต่เขาไม่เคยจำอะไรเกี่ยวกับฉันได้เลยน่ะสิคะ” น้ำเสียงของเธอแปรเปลี่ยนจากบทเพลงอ่อนหวานกลายเป็นท่วงทำนองแสนเศร้าได้อย่างจับจิตผมจริงๆ

      “อย่าหาว่าผมใส่ไคล้เขาเลยนะครับ แต่คนเก่งมากๆแบบพวกนี้ก็อย่างนี้แหล่ะครับ งานที่เขาชอบต้องสำคัญเสมอ…แม้แต่ตัวคุณผมก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น”

      ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกกว้าง จ้องมองผมอย่างงงงวย

      “ครั้งแรกที่ผมเห็นคุณ ท่าทางของคุณบ่งบอกว่าคุณเป็นคนประเภทมุ่งมั่น  เอาจริงเอาจังกับชีวิต คุณเป็นคนอย่างนั้นมั้ย?” ผมถาม เธอพยักหน้ารับ
      “แล้วนายดอกเตอร์อดีตแฟนคุณก็เป็นคนอย่างคุณด้วยใช่ไหม?” ผมถามอีก เธอก็พยักหน้าให้อีก

      “นั่นเป็นเหตุผลแท้จริงที่คุณทนเขาไม่ได้” ผมเอ่ยอย่างราบเรียบแต่จริงจัง “หลายต่อหลายครั้งที่ความรักต้องการส่วนผสมที่แตกต่าง ก็เหมือนกับการปรุงอาหารให้อร่อยนั่นแหล่ะครับ ถ้าคุณเป็นน้ำตาลแล้วคุณจะใช้น้ำตาลกับน้ำตาลมาทำให้รสชาติมันดีขึ้นไม่ได้หรอก มันต้องลองใช้มะนาวหรือน้ำปลาอย่างผมมาผสมกับน้ำตาลอย่างคุณ ถึงจะลงตัว”
      “ฮ้า? อะไรนะคะ?”
      ผมรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไรครับ”
      เธอยิ้มละไมให้ผมอีกครั้ง ก่อนดันตัวลุกขึ้น
      “ฉันคงต้องกลับแล้วค่ะ ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอกนะคะและก็... ขอบคุณสำหรับอาหารค่ำ” เธอกล่าวเรียบๆ แล้วเริ่มออกเดิน
      “เดี๋ยวครับ” ผมร้อง  เธอชะงักฝีเท้า หันมองผมด้วยสายตาตั้งคำถาม
      “ผมจะเจอคุณอีกได้ไหม?”
      “พรุ่งนี้ฉันก็จะไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วค่ะ เพราะฉันจะได้เข้าไปทำงานในโครงการหลวงฯ” เธอทอดสายตาอ่อนโยนมองผม
      “ถ้าคุณมีโอกาสขึ้นไปเชียงใหม่ล่ะก็ ฉันยินดีเจอคุณเสมอค่ะ”

      กล่าวจบเธอก็หมุนตัวแล้วเดินจากผมไป  ผมไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินคำพูดสุดท้ายของผมหรือเปล่า…
      แต่คุณที่เป็นคนอ่านน่ะ  รู้แน่ๆว่าผมพูดอะไร
      งั้นผมฝากบอกเธอด้วยแล้วกันว่า…
      วันอาทิตย์นี้เจอกันที่เชียงใหม่ครับ!

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×