ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์พระพาย โดย yนวิยา (yuri)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 หน้ากากจำยอม

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ย. 57


    บทที่ 2 หน้ากากจำยอม

    เสียงน้ำตกไหลหลากมาตามลานโขดหินที่ลดหลั่นกันเป็นชั้น ๆ พลอยทำให้กระท่อมยกเสาสูงหลังเล็ก ที่ปลูกอยู่บนฝั่งลำธารเหนือลานหินกว้างใหญ่ รับกระแสน้ำใสที่พุ่งแรงลงมา แตกกระเซ็นกระจายตัวอย่างสวยงาม ซึ่งเสียงน้ำตกซัดซ่านี่เอง ที่ช่วยขับกล่อมให้คนกำลังหลับสบายในกระท่อมรู้สึกเคลิบเคลิ้มผ่อนคลาย อยากจะซุกกายภายใต้ผ้าห่มอุ่นนาน ๆ

    อย่างไรก็ดี ด้วยความที่แขกสาวสวยมั่นของฟาร์มรักปายซึ่งเคยชินกับการตื่นเช้าขึ้นมาออกกำลังกาย พอสาย ๆ ถึงนั่งรถไฟใต้ดินไปทำงาน ดังนั้นหญิงเท่ลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กจึงจำใจลุกไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำไร้หลังคา อาศัยกอไผ่ลำมะลอกเขียวชอุ่มซึ่งปลูกไว้ใกล้กระท่อมเพื่อบังตา

    ไม่ช้า..สตรีสวยสุขุมในชุดสำลีสีขาวอบอุ่นได้ก้าวออกมาสูดอากาศตรงชานกระท่อมยกสูง เสยผมลวก ๆ เท้าแขนบนราวกั้น ทอดมองแมกไม้เขียวสดชื่นขึ้นแน่นขนัดริมธารใส พลอยทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า ตนตกอยู่ในอ้อมกอดของธรรมชาติอย่างแท้จริง มิใช่ภาพลวงตาทื่อ ๆ บนผนังคอนโดกลางเมือง แต่งด้วยวอลเปเปอร์ลายก่ออิฐสีครีม มีใบไม้เลี้ยวเลื้อย ซึ่งเห็นมาหลายปีดีดัก ครั้นสาวสายเลือดไทย-เดนมาร์กเผลอปล่อยภวังค์ถึงตรงนี้

    พลันภาพกัลยาสวยหวานแบบไทย ๆ ผิวลออเปล่งปลั่งสดใสพร้อม ยิ้มงามระยับประทับใจในวันรับน้องใหม่ของการเปิดภาคเรียนมหาวิทยาลัยปี 3 ก็เข้ามาแทนที่ แต่กลับโดนแทงกระซวกใจให้คนนึกปวดร้าวเหลือคณาด้วยคลิปการนัวเนียแลกลิ้นกันอย่างดูดดื่มคลั่งไคล้ ของสองสตรีที่แทบจะกระชากผ้าผ่อนออกจากร่าง ตั้งแต่หน้าประตูจนถึงเตียงซึ่งเป็นของเธอ

    หนึ่งคือ...หญิงที่เธอยอมมอบใจให้มาหลายปี

    สองคือ...เพื่อนสนิทที่แอบปักมีดทรยศตรงกลางหลังเธอ!

    แค่เผลอนึก คนถูกหักหลังจนแทบกระอักเลือดถึงกับขบกรามแน่น เผลอจิกเกร็งนิ้วลงบนราวไม้เพราะความรวดร้าวคั่งแค้นกลัดหนองเต็มหทัย ตาสีน้ำตาลเข้มที่เริ่มผ่อนคลายทีแรกแปรเป็นแข็งกร้าวดุดันด้วยความแค้น

    และนี่คือเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้หญิงเท่ผู้ปราดเปรื่องเรื่องหุ้นที่มีชื่อจริงตามบัตรว่า พรพระพาย ต้องลงทุนแฝงตัวเข้ามาในฟาร์มรักปาย!

    แม้เย็นวานจะผิดแผน เกิดเหตุระทึก แต่หลังจากตำรวจทางหลวงสอบปากคำพวกเธอในเรื่องที่เกิด และรอประสานงานให้เจ้าหน้าที่อีกฝ่ายเข้าจัดการเก็บกู้ซากศพสองผู้ร้าย ที่ไหม้เกรียมตรงด้านล่างหุบเขานั้นเอง คนของฟาร์มรักปายก็แล่นมาถึงพอดี แล้วพอเป้าหมายอย่างคุณหนูรักปาย ได้ยินว่าเธอยังไม่มีที่พัก เจ้าของฟาร์มแกะหน้าใสได้เอ่ยปากเชิญเธอว่า

    เอ่อ...คุณพระพายคะ คือ...นี่ก็ค่ำมืดแล้ว การที่คุณซึ่งเป็นผู้หญิงจะเดินทางคนเดียว รักเกรงว่าอาจจะไม่ปลอดภัยน่ะค่ะ ถ้า...คุณไม่รังเกียจ รักอยากจะเชิญคุณให้มาเป็นแขกของฟาร์มเรา รับรองว่า กระท่อมรับแขกของเราตรงริมลำธารนั้น ทั้งน่ารักสะอาดสะอ้าน และปลอดภัยแน่นอนค่ะ

    ขณะพูด ดูเหมือนสายตาของคุณหนูรักปายจะจดจ่ออยู่แค่สันจมูก  โด่ง ๆ ของเธอมากกว่าจะยอมสบตากันตรง ๆ แถมสีหน้ายังออกจะขัดเขิน

    แปลกจังสาวน้อยคนนี้...เมื่อกี้ตอนยืนคุยกับตำรวจก็ดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัวดี แต่ตอนนี้กลับทำตัวเป็นนางอาย ไม่กล้าสบตาคนไปได้ หึ ๆ

    ระหว่างเธอจะรับคำเชิญตามแผน เสียงหญิงร่างเล็กผิวขาวเหลืองผมหน้าม้าแค่คาง หน้าตาเซี้ยวใช่เล่นซึ่งยืนประกบคุณหนูรักปายขัดขึ้นว่า

    คือ...ขอโทษค่ะคุณหนูรัก ที่พริกลืมบอกไปว่า เครื่องทำน้ำอุ่นตรงกระท่อมหลังนั้น มันเสียมาหลายวันแล้ว เลยเกรงว่า อากาศเย็น ๆ แบบนี้ คุณพระพายอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร แต่ถ้าคุณพระพายต้องการพักในรีสอร์ตราคาไม่แพงและปลอดภัยล่ะก็...พริกยินดีจะพาไปค่ะ

    สิ่งที่ได้ยินพร้อมกันนั้น ทำให้เธอนึกขันในใจว่า

    ฮื่อ...แม่องครักษ์พริกหวานนี่แสบไม่ใช่เล่นเลยนะ หาเรื่องกันท่าคุณหนูตั้งแต่ตอนนี้เลย มิน่าล่ะ...ป่านนี้คุณหนูรักปายถึงยังไม่มีแฟนสักที    

    ซึ่งเธอไม่ใคร่จะแปลกใจในพฤติกรรมหวงเจ้านายแบบโอเวอร์ของพริกหวานเลยสักนิด เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เธอได้จ้างชายแก่ร่างผอมกะหร่องให้ไปดักรอเจ้าของฟาร์มรักปายอยู่ริมทาง ทำทีขอติดรถไปลงในเมือง เพื่อหยั่งอุปนิสัยใจคอของเป้าหมายว่าเป็นเช่นไร

    แต่พริกหวานที่เป็นนักโภชนาการอาหารสัตว์ประจำฟาร์มกลับมีปฏิภาณไหวพริบดี หาเหตุไล่คนของเธอให้ลงจากรถได้อย่างแนบเนียน

    ประมาทคนชื่อพริกหวานไม่ได้จริง ๆ    

    แม้ในใจพรพระพายจะคิดเยี่ยงไร แต่เธอยังสามารถเก็บความรู้สึกได้ดีด้วยการคลี่ยิ้ม และตอบแบบไม่ให้เสียน้ำใจผู้เสนออย่างพริกหวานว่า

    พี่ขอบคุณคุณพริกมากค่ะ ที่อาสาจะพาไปพักรีสอร์ตดี ๆ อืม...แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ ก็คงต้องสารภาพว่า พี่เพิ่งจะลาออกจากงานได้ไม่นาน เลยเหลือเงินไม่มากนัก และถ้า...ไม่เป็นการรบกวนฟาร์มของพวกคุณมากเกินไป พี่อยากจะขอรับคำเชิญของคุณรักน่ะค่ะ ยังไง...ฝากตัวด้วยนะคะ

    วลีสุดท้าย เธอตั้งใจหันไปสบตาใสดุจกวางกับเจ้าของฟาร์มรักปาย ซึ่งคำตอบที่ได้จากหญิงสวยน่ารัก คือการเบี่ยงตาเก้อเขินไปด้านข้างแทน

    ซึ่งปฏิกิริยากระดากขวยเขินของรักปายนั้น ทำให้เธออดกระหยิ่มในใจไม่ได้ว่า บางที...งานของเธออาจจะสำเร็จเสร็จสิ้นในเร็ววันนี้ก็เป็นได้!  

    และยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิด เมื่อคุณหนูรักปายออกอาการประหม่าด้วยการตอบเธอแบบตะกุกตะกักว่า

    มะ...ไม่...ไม่เป็นการรบกวนเลยค่ะคุณพระพาย ทางฟาร์มของเรายินดีที่จะต้อนรับคุณอยู่แล้ว อ่า...พริกหวาน พี่หมอน้ำขิงคะ รักว่า...ตอนนี้เราขับรถกลับฟาร์มกันดีกว่านะคะ สงสัยป่านนี้ลุงถินกับนมเฟืองคงเดินเป็นหนูติดจั่นห่วงพวกเรากันใหญ่แล้ว...ไปกันเถอะค่ะ

    กระนั้นพอสาวเจ้าของฟาร์มหน้านวลหันมาทางเธออีกหน เสียงใส  กลับออกแนวเก้อเขินอีกหนว่า ส่วนคุณพระพาย...เอ่อ..เชิญทางนี้เลยค่ะ

    สิ้นคำชวน เจ้าของฟาร์มรักปายก็นำเธอมาขึ้นรถโฟร์วีลสีน้ำทะเลของสพ.ญ.น้ำขิง ซึ่งดูเหมือนจะนิ่งกว่าพริกหวาน แต่คงเอาเรื่องไม่ต่างกัน

    และเป็นอย่างที่เธอคาดคิดไว้ไม่มีผิด เรื่องเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ได้เสีย เพราะหลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่บนรถ พริกหวานก็รีบจัดแจงโทร.หามารดา ซึ่งก็คือแม่นมของคุณหนูรักปายที่ชื่อป้ามะเฟืองว่า ตอนบ่าย...     มีช่างมาซ่อมเครื่องทำน้ำอุ่นแล้วรึยัง แน่นอน...พริกหวานชิงตอบซะเองว่า

    อ๋อ...ซ่อมเสร็จแล้วหรือจ๊ะ งั้นพอดีเลยจ้ะแม่ แม่ช่วยบอกให้ใครไปทำความสะอาดกระท่อมริมธาร ไว้ต้อนรับแขกของคุณหนูหน่อยสิจ๊ะ    

    จากนั้นสาวน้อยตัวแสบอย่างพริกหวานได้หันเหความสนใจของมารดาที่อยู่ปลายสาย ถามไถ่ถึงกับข้าวกับปลา ว่าพอสำหรับแขกหรือไม่

    นี่จึงทำให้เธอต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้น และต้องหาวิธีแยกเหาฉลามแสนฉลาดอย่างพริกหวาน ออกจากคุณหนูรักปายให้จงได้!

    ครั้นเธอเหลือบตามองแผ่นหลังของสัตวแพทย์หญิงน้ำขิง ที่กำลังตั้งใจขับรถกลับฟาร์มรักปาย ประกายความคิดก็แวบเข้ามาในสมองเธอว่า  

    อืม...ถ้านำพริกหวานสุดแสบเม็ดนี้ไปปั่นรวมกับน้ำขิงรสเผ็ดร้อน จะเป็นไงน้า หึ ๆ น่าลองกันสักตั้งนะงานนี้

     

    ทว่าสิ่งที่เธอไม่ได้คาดไว้ คือการต้อนรับอันอบอุ่นของป้ามะเฟือง ผู้ใจดี ที่ตระเตรียมอาหารเหนืออร่อย ๆ ไว้คอยท่า ทั้งจัดกระท่อมห้องหับไว้เสร็จสรรพ และเป็นธุระจัดหาชุดนอนอุ่น ๆ ที่ทำจากผ้าสำลีชุดใหม่มาให้ เพราะเสื้อผ้าในเป้เธอนั้น ชื้นไปด้วยน้ำฝน ซึ่งอันนี้ก็ไม่อยู่ในแผนเหมือนกัน

    แม้เรื่องนี้จะทำให้เธอแอบชื่นชมในน้ำใจผู้คนของฟาร์มรักปาย

    ถึงกระนั้นทุกสิ่ง...จำต้องดำเนินไปตามแผนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!

    ดังนั้น...ทันทีที่เธออยู่ตามลำพังในกระท่อมริมธารของฟาร์มแห่งนี้เธอจึงนำซิมส่วนตัวที่ซ่อนในกระเป๋าสตางค์ ใส่แทนซิมใหม่ที่ตั้งใจซื้อใช้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ ครั้นเปลี่ยนซิมเสร็จและเปิดมือถือขึ้นอีกหน Sms นับร้อยจากเบอร์สองชู้รักก็ปรากฏบนหน้าจอ ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ว่า เธอรู้ความลับ!

    แววตาเย็นชาทีแรกจึงเปลี่ยนเป็นเครียดขรึมเฉียบพลัน

    หมดสิ้นแล้ว...ความไว้วางใจอันไร้ขอบเขตที่เคยมอบให้พวกเขา

    ปลายนิ้วแห่งความเคียดแค้นชิงชัง กดลบข้อความที่แสดงถึงความร้อนใจและห่วงใยที่จู่ ๆ เธอหายตัวไป โดยไม่คิดจะเปิดอ่านมันสักนิด

    จากนั้นเธอถึงจัดการโทร.หาบุรุษใหญ่วัยคราวพ่อ ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่สัปดาห์ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คาดหวังว่า คำพูดแสดงความห่วงใยเช่นนี้  จะดังมาตามสายโทรศัพท์ทันควันว่า

    โอ้...พระพายเป็นยังไงบ้างหลาน! นี่ลุงเป็นห่วงเราแทบตายแน่ะ ได้แต่งุ่นง่านอยู่ในห้องไม่กล้าออกไปพบใคร ทำไมเราเพิ่งจะติดต่อมาล่ะ?!’

    แทนที่พรพระพายจะตอบ หญิงสวยมั่นย้อนถามเสียงเข้มว่า

    คุณลุงคะ...ทำไมมันไม่เป็นไปตามแผน คนของลุงหายไปไหนคะ?! เพราะพอถึงเวลานัดกัน จู่ ๆ ก็มีจิ๊กโก๋ที่ไหนไม่รู้เข้ามาพอดี แถมยังเกือบจะยิงหัวพระพาย และผู้หญิงที่ชื่อรักปายตายกลางป่าซะแล้วสิคะ

    ห๊ะ...อะไรนะ! นี่พวกมันเป็นใคร?! เดี๋ยวลุงจะไปจัดการให้

    น้ำเสียงคนพูดตระหนกตกใจ ดั่งคนไม่รู้เรื่องราวอันใดจริง ๆ

    ดังนั้นหญิงลูกครึ่งซึ่งอดคิดหวาดระแวงไม่ได้ว่า ถ้าลุงเกิดคิดไม่ซื่อซ้อนแผนฆ่าเธอเพื่อผลประโยชน์ล่ะ เพราะเวลานี้...เธอไม่สามารถไว้วางใจใครได้จริง ๆ รอบกายเต็มไปด้วยคนรู้หน้าไม่รู้ใจ ซึ่งสามารถควักมีดที่ซ่อนไว้ขึ้นมาจ้วงแทงเธอไม่ยั้งเมื่อไรก็ได้ ถ้าเพียงแต่คนพวกนั้น...สบช่องโหว่!

    นี่จึงทำให้เธอต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่งกว่านี้ คิดได้ดังนั้นเธอจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจเก็บงำความรู้สึกไว้ แล้วเล่าให้ผู้เป็นลุงฟังว่า

    ไม่...ไม่ต้องแล้วล่ะค่ะคุณลุง เพราะพวกมันรีบซิ่งมอเตอร์ไซค์หนีตำรวจทางหลวงเร็วไปหน่อย ทั้งรถทั้งคนเลยพุ่งลงมาตกเหวตายโหงไปล่ะ อือ...ว่าแต่ ทำไมคนของคุณลุงถึงไม่มาตามนัดคะ? ทั้งที่กำชับกันไว้ดิบดี

    ชายผมดำสลับขาวที่รออย่างร้อนใจมาหลายชั่วโมง ถึงพูดให้ฟังว่า

    เฮ้อ...ก็เรื่องนี้แหละที่ลุงอยากบอกเราใจจะขาด แต่ก็ต้องอดใจรอให้เราติดต่อมาเอง คืองี้นะพระพาย...พอใกล้ถึงเวลานัด ไอ้นักเลงต่างถิ่นพวกนั้นน่ะสิ มันดันขี่มอเตอร์ไซค์ไปเจอะด่านตรวจที่เพิ่งเข้ามาตั้งพอดี พวกมันเลยถูกกักตัวโทษฐานเมาแล้วขับ เฮ้อ...ไม่น่าเล้ย...ลุงไม่น่าคิดแผน ฮีโร่อะไรแบบนี้เล้ย ทั้ง ๆ ที่แผนของหลาน...น่าจะเข้าท่าและแนบเนียนกว่าอยู่แล้ว ขอโทษจริง ๆ นะพระพายที่ทำให้หลานต้องมาเสี่ยงแบบนี้

    ช่างเถอะค่ะคุณลุง ยังไงพระพายก็แฝงตัวเข้ามาในฟาร์มนี้ได้แล้ว ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง ไว้พระพายจะติดต่อ...

    ฉับพลัน! ห้วงภวังค์ของพรพระพายที่เผลอนึกถึงคำสนทนาเมื่อคืน  ก็สะดุด เมื่ออีกาขนดำเมี่ยมส่งเสียงแหบร้องกา...กา...กา เรียกความสนใจ

    ก่อนร่างปราดเปรียวตัวดำขลับของอีกา จะโฉบลงมาใกล้พื้นหญ้าริมลำธารใกล้กระท่อม และใช้ปากดำยาวใหญ่แหลมคม จิกกินหนอนนกอย่างรวดเร็วง่ายดาย ซึ่งภาพนี้ทำให้พรพระพายแวบนึกถึงฉายาของอีกาว่า

    มันเป็นนกหัวขโมย นกเกเร และนกเจ้าเล่ห์แสนกลบ้างล่ะ แต่ว่าในความเป็นจริง อีกาเป็นนกฉลาดที่แฝงความเจ้าเล่ห์ไว้เต็มเปี่ยม เพราะมันสามารถเลียนเสียงต่าง ๆ ได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเสียงนกชนิดอื่น หรือแม้กระทั่งเสียงของมนุษย์ แม้นไม่ชัดเจนเท่านกแก้วและนกขุนทองก็ตามที

    นอกจากนั้น ยังมีคนนำนกตัวเล็ก ๆ อย่างมันมากระทบกระเทียบเปรียบเปรยอย่างเจ็บแสบว่า ใจดำเหมือนอีกา

    ครั้นพระพายเผลอปล่อยความคิดมาถึงตรงนี้ ภาพหนี้บุญคุณที่ไม่ได้ตั้งใจของสาวเจ้าของฟาร์มรักปาย ซึ่งตอนนั้นตกใจผลักเธอซะกระเด็นเพราะกลัวหนอน แต่ดันทำให้เธอพ้นจากวิถีกระสุนมรณะของจิ๊กโก๋หื่นกาม

    นี่เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้จิตสำนึกดีของสาวลูกครึ่งผู้ต้องสวมใส่หน้ากากจำยอม ซึ่งหลายปีในชีวิตทำงาน มุ่งมั่นอยู่แต่คำว่า กำไร-ขาดทุน หวนคิดถึงสิ่งที่ต้องทำ พร้อมระบายลมหายใจที่เต็มไปด้วยความไม่สบายใจกับเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ก่อนตั้งพันธะสัญญาในใจตนว่า

    รักปาย...แม้ฉันจะไม่ได้เป็นคนดี 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หัวใจของฉันก็ยังไม่ดำเหมือนกับอีกาหรอกนะ ยังไงก็ตาม...ต่อไปไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น  ฉันจะจัดการฟาร์มของเธอให้ได้รับความยุติธรรมมากที่สุด...ฉันสัญญา

    เพียงสิ้นสัตย์สัญญาในใจ พรพระพายก็ได้ยินเสียงกุบกับ ๆ ดังมาจากทางถนนดินลูกรังอีกฟาก ครั้นชะเง้อตามองฝ่าแสงแดดอ่อน ๆ ถึงเห็นสตรีร่างบางกำลังควบม้าสีขาวประเปรียวไปทางแปลงนาข้าวสีเหลืองสุก  

    หึ ๆ เดี๋ยวเจอกันน้าคุณหนูรักปาย ^ ^

     

    ภาพอรุณแรกทอดแสงงามฉาบลงบนรวงข้าวเรียงเมล็ดสีเหลืองทองอร่ามเต็มท้องทุ่ง หรือที่เรียกว่า ข้าวระยะพลับพลึง แสดงว่าถึงช่วงระยะเวลาของการเก็บเกี่ยวของชาวนาทางภาคเหนือแล้ว

    พลอยทำให้เจ้าของผืนนาคนใหม่อย่างรักปายที่เพิ่งควบม้ามาถึง หวนนึกถึงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนที่คุณพ่อน้ำปายใช้ ต๋าแหลวหรือ ตาเหลว ซึ่งเป็นเครื่องจักสานทำจากไม้ไผ่ผูกติดกับหลักไม้ ปักลงดินทั้ง 4 มุมของแปลงนา ป้องกันสัตว์และสิ่งร้าย ๆ ไม่ให้มารบกวนข้าวที่กำลังจะเก็บเกี่ยว

    จากนั้นบิดาถึงกล่าวคำโวหารด้วยเสียงทุ้มกังวานที่เปี่ยมด้วยพลังและศรัทธา ซึ่งยังคงก้องอยู่ในโสตลูกสาวคนเดียวอย่างรักปายว่า  

    สัตว์เสด็จไปในอากาศ สัตว์อย่าล่าเหนือดิน อย่าหื้อสูมาใกล้  สัตว์ร้องไห้หนีไป โอมเห เห สวาหะ โอมอ้ายสามตาจุ่งหื้อมึงมาอยู่รักษานา และรักษาไร่กู มีสัตว์สองตา หื้อมึงไล่ไปไกลตกดง หื้อขับไปส่งเสียขุนห้วย โอมอะเลโอมเล สัตว์ทั้งฝูงหื้อหนีไป โอมปุอุเขตตัง อะนุตตะรัง ฮ่าเพี้ยง  หัวแดง แมงบ้งหัวสั่น หื้อหนีไปดอย

    เสร็จแล้ว คุณพ่อน้ำปายถึงหันมายิ้มละไมอย่างใจดีให้เธอที่คอยเดินตามใกล้ ๆ ทั้งจับหัวเธอโยกไปมาอย่างเอ็นดูรักใคร่ และเย้าว่า

    หึ ๆ ไง...ลูก ดูพ่อทำมาตั้งนานแล้ว จำคำที่พ่อพูดได้แม่นหรือยัง? ปีหน้า...รักต้องทำแทนพ่อแล้วน้า ไขข้อพ่อชักเสื่อมคงเดินปักไม้ไม่ไหวล่ะ

    ได้ยินเช่นนั้น เธอถึงกับย่นจมูกนิด ๆ แซวบิดากลับด้วยความรักว่า

    คิก ๆ แหม ๆ คุณพ่อของรักยังไม่แก่สักหน่อย วันก่อนน้า...รักยังแอบเห็นคุณพ่อกอดและหอมแก้มคุณแม่อยู่ในครัว แถมยังทำตาเยิ้มบอกว่า เมื่อคืนคุณพ่อเตะปี๊บเก่งไหม...คิก ๆ

    สิ้นคำแซวพร้อมเสียงหัวเราะชอบใจ เธอต้องรีบหันหลังวิ่งแจ้นหนีไปตามคันนา โดยมีเสียงตะโกนไล่หลังปนขำขันของคุณพ่อน้ำปายว่า

    หน็อยแน่...ไอ้ลูกคนนี้ ชักเซี้ยวใหญ่แล้วนะเรา เดี๋ยวถ้าพ่อจับได้เมื่อไหร่ล่ะก็...น่าดู อ้าว...เฮ้ย! หยุดก่อนหยุดดด...

    พลันเสียงหัวร่อคิกมีความสุขในอดีต ที่ฝังในห้วงคำนึงของรักปายได้สิ้นสุดลง เมื่ออยู่ ๆ เสียงนุ่มนวลสงสัยจากแขกของฟาร์มเอ่ยถามว่า

    “เอ...ที่นี่กำลังจะมีพิธีอะไรหรือคะคุณรัก?

    ที่พรพระพายถามออกไปเช่นนั้น เพราะตรงหน้าแปลงนามีการจัดแท่นบูชา ซึ่งบนนั้น...มีกระทงบรรจุอาหารคาวหวาน หมาก เมี่ยง บุหรี่ พลู กล้วย อ้อย จำนวน 5 กระทง กรวยดอกไม้บรรจุข้าวตอก ดอกไม้ธูปเทียน โดยข้างกันนั้น มีลุงกระถินและกลุ่มคนงานนับสิบ ยืนยิ้มเผล่อยู่ไม่ไกล

    ส่วนสาวสวยน่ารักเจ้าของปศุสัตว์ที่จู่ ๆ ถูกตั้งคำถาม กลับได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้นตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก แถมยังไหวระรัวขึ้นเรื่อย ๆ  ส่วนสองมือเล็กบางเริ่มเย็นชื้นอย่างห้ามไม่อยู่ เจ้าตัวถึงกับร้องโอดในใจว่า

    โอ๊ย...เป็นยังงี้อีกแล้วน้ารักปาย ทำไมเราต้องตื่นเต้นทุกทีที่อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ด้วยนะ ควบคุมอาการหน่อยสิ เมื่อวานนี้ก็ทีนึงแล้ว อั๋ย...

    ยิ่งคิด ยิ่งสั่นไหว

    ดังนั้นหญิงหน้าพริ้มร่างสมส่วนผิวสีน้ำผึ้งจึงต้องพยายามควบคุมอาการหวั่นไหว ด้วยการยกมือลูบเหนือทรวงเพื่อบรรเทาเบาบางความรู้สึกตื่นเต้นลง ก่อนจะแสร้งมองไปข้างหน้า ดูแปลงนาสีทองเพริศแพร้วเพื่อฝืนไม่ให้หันไปมองวงหน้าสาวสวยเท่นัยน์ตาคมเข้มดูเร้นลับที่รู้แต่ชื่อพระพาย และพยายามบังคับเสียงตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุด แล้วตอบเขาว่า

    “เอ่อ...เรากำลังจะทำพิธีแฮกนาเกี่ยวข้าวกันน่ะค่ะคุณพระพาย”

    “แฮกนา?” พรพระพายย้ำถึงสิ่งที่ได้ยิน เพราะไม่คุ้นภาษาเหนือ

    “ค่ะ...แฮกนา ซึ่งพิธีนี้...มันก็คล้าย ๆ พิธีทำขวัญข้าวของชาวนาในภาคกลางน่ะค่ะคุณพระพาย โดยชาวนาในภาคเหนืออย่างเราจะจัดทำพิธีแฮกนา ก่อนที่จะทำการเกี่ยวข้าวจริง ทั้งอาหารคาวหวาน กรวยดอกไม้ ธูปเทียนต่าง ๆ จะจัดวางไว้ตรงบริเวณที่เคยทำเป็นค้างข้าวแรก เสร็จแล้วเราจะนำไปเซ่นสรวงแม่ธรณีเจ้าที่ และแม่โพสพ เพื่อบอกกล่าวท่านว่า    ขออนุญาตเกี่ยวข้าว จากนั้นรัก...ซึ่งเป็นเจ้าของนาก็ต้องไปทำพิธีเกี่ยวข้าวเอาฤกษ์ซัก 9 กอนำไปวางบนแท่นบูชาตรงหน้านั้นน่ะค่ะ แล้วสัก2 – 3 วัน รักและคนอื่น ๆ จะช่วยกันลงแขกเกี่ยวข้าวที่เหลือทั้งหมดเองค่ะ หรือที่เราชาวเหนือเรียกกันว่า ประเพณีเกี่ยวข้าวเอาเฟือง

    ที่รักปายสามารถกลั้นใจอธิบายสาวชาวกรุงให้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของชาวนาภาคเหนือได้อย่างจะแจ้งโดยไม่ติดขัด เป็นเพราะหญิงสาวพยายามสะกดใจจดจ่ออยู่ตรงแปลงนาสีทองเพริศพรายเบื้องหน้า

    ถึงกระนั้นคำพูดถัดมาของสาวสวยสมาร์ตนัยน์ตาสีกาแฟ ที่เตะตาตั้งแต่แรกเห็น ทำให้ใจของรักปายเต้นตูมตามด้วยความดีใจ เมื่อเขาเอ่ยว่า

    “เกี่ยวข้าวเอาเฟืองงั้นหรือคะ อืม...ฟังแล้วน่าสนุกจังเลยค่ะคุณรัก  แล้วไม่ทราบว่า คนที่จบทางด้านเศรษฐศาสตร์การเงินอย่างพี่...พอจะมีคุณสมบัติยื่นใบสมัครงานกับฟาร์มรักปายได้ไหมคะ?

    พรพระพายทอดเสียงถาม ก่อนจะโปรยเสน่ห์ด้วยการจ้องตานิ่ง พลางเพ่งพิศวงหน้าเรียวลออด้านข้างของรักปาย เล่นเอาคนถูกจ้องเก้อเขินจนทำหน้าไม่ถูก กระนั้นเสียงใสแจ๋วของพริกหวานก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะว่า

    “เอ...เมื่อสักครู่พริกได้ยินแว่ว ๆ ว่าคนที่ขลุกอยู่แต่วงการธนาคารอย่างคุณพระพาย อยากจะเข้าร่วมงานกับฟาร์มของเราจริง ๆ หรือคะ?

    สาวลูกครึ่งไทย-เดนมาร์กลอบยิ้มทันที ที่ได้ยินเสียงแหลมใสของเหาฉลามที่ชื่อพริกหวานพูดถึง พาลทำให้เธอนึกถึงแฟ้มประวัติส่วนตัวที่เธอจำต้องเมคไว้ล่วงหน้า เพื่อให้คนในฟาร์มรักปายเชื่อว่า

    ตัวเธอเพิ่งลาออกจากงานเจ้าหน้าที่ธนาคารในกรุงเทพฯ เพราะรู้สึกอิ่มตัวและเบื่อหน่ายกับการเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดในเมืองหลวงมาหลายปี ประกอบกับเธออยากจะลองค้นหาตัวตนโดยการแบกเป้เที่ยวแบบแบ๊กแพ๊ก จึงเริ่มต้นเดินทางท่องไปตามจังหวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือ เผื่อว่าเธอจะได้ไอเดีย หรือพบลู่ทางทำมาหากินก็เป็นได้

    ครั้นคิดถึงเรื่องที่แต่งไว้ล่วงหน้าเสร็จ พรพระพายจึงหันไปโปรยยิ้ม ทักทายนักโภชนาการอาหารสัตว์อย่างพริกหวาน พร้อมยอมรับว่า

    “อ๋อ...ใช่ค่ะคุณพริก และยิ่งเห็นความสวยงามบริสุทธิ์ของที่นี่แล้ว ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้สัมผัสวีถีชีวิตธรรมชาติแบบเรียบ ๆ ง่าย ๆ อย่างนี้ มานานแล้ว เลยอยากจะลองเปลี่ยนแนวมาทำงานในฟาร์มดูบ้าง ว่าแต่...ยังพอมีตำแหน่งให้พี่ยื่นใบสมัครไหมคะ...คุณรัก”

    พรพระพายหันไปโยนคำถามให้เจ้าของฟาร์มหน้าเนียนสวยตอบ พลางส่งยิ้มพรายร่ายเสน่ห์ พิศด้วยแววตาสกาวแสง

    แต่กลับเป็นพรพระพายเองที่เปิดยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู เมื่อใบหน้าผุดผาดด้านข้างของคุณหนูรักปายกลายเป็นสีระเรื่อ จำนรรจ์อย่างเขิน ๆว่า

    “อ่า...คือ...คุณ...คุณพระพายลองยื่นใบสมัครมาก่อนแล้วกันนะคะ เดี๋ยวรักจะดูให้อีกที ว่าพอจะมีตำแหน่งอะไรในฟาร์ม...ให้คุณช่วยได้บ้าง”

    หากทว่าคำตอบ ที่เต็มไปด้วยอาการประหม่าตื่นเต้นของคุณหนูรักปายนี้เอง ที่ทำให้พริกหวานซึ่งเปรียบเสมือนฝาแฝดคลานตามกันมา เริ่มไม่สบายใจ สาวเชื้อสายปกาเกอะญอจึงชิงกล่าวแทนคุณหนูเสียเองว่า

    “แต่...พริกว่า อยู่ ๆ ถ้าหากเจ้าหน้าที่ธนาคารผิวบางมือบางอย่างคุณพระพาย ลงมือทำงานเกษตรหนัก ๆ ร่างกายของคุณอาจจะรับไม่ไหว ก็ได้มั้งคะ ถ้างั้น...คุณลองมาชิมลางเกี่ยวข้าวเอาเฟืองกับเราก่อนดีไหมคะ? ไว้ถ้ามีใจรักจริง ๆ ...ค่อยยื่นใบสมัครกัน”

    พริกหวานเสนอ พลางส่งยิ้มสดใส แต่นัยน์ตากลับเปล่งแสงในเชิงท้าทาย เพราะลางสังหรณ์เธอบอกว่า หญิงลูกครึ่งเค้าหน้าสวย ตาคมกริบ ดูมีเสน่ห์ลึกลับผู้นี้ มีบางสิ่งที่คลุมเครือไปด้วยม่านหมอกปริศนา

    ส่วนเหยี่ยวตาคมอย่างพรพระพายก็รู้ดีเหมือนกันว่า

    คนฉลาดทันคนอย่างพริกหวานกำลังรู้สึกระแวงบางอย่างในตัวเธอ   จึงสรรหาบททดสอบให้เธอถอดใจออกไปจากฟาร์มรักปายเสียเอง

    ดังนั้นสาวมั่นผู้มากประสบการณ์ในการอ่านภาษากายและใจคน จึงรับคำท้าของพริกหวานแบบเนียน ๆ พร้อมรอยยิ้มแจ่มใสเช่นกันว่า

    “อื้ม...ดีจังเลยค่ะคุณพริก เพราะพี่ก็อยากจะลองเกี่ยวข้าวแบบนี้     มานานแล้ว และหวังว่า คุณพริกจะยอมเป็นพี่เลี้ยงให้พี่ในวันนั้นนะคะ”

    “ยินดีอย่างยิ่งเลยค่ะคุณพระพาย และพริกขอรับรองเลยนะคะว่า การเกี่ยวข้าวเอาเฟืองของพวกเราที่นี่...ต้องสนุกแน่นอนค่ะ”

    พริกหวานตอบรับด้วยรอยยิ้มย่องผ่องใสไม่ต่างกัน

    อย่างไรก็ตาม แม้นภาพภายนอกคือการที่สองสาวต่างสไตล์กำลังส่งยิ้มให้กันด้วยไมตรีจิตนั้น แต่ลึก ๆ ในใจของคนทั้งคู่รู้ดีว่า

    มวยยกแรก...กำลังจะเริ่มต้น!

     

    ในที่สุด...วันเกี่ยวข้าวเอาเฟืองของฟาร์มรักปายก็มาถึง

    แม้นแสงสีทองผ่องอำไพในวันนี้ จะสาดแสงแรงกล้าลงมายังทุ่งนาสีทองสุกปลั่งเพียงไร ทว่าเสียงขับร้องเพลงพื้นบ้านค่าวจ๊อยซอในแบบฉบับคนเชียงรายของป้ามะเฟือง หรือนมเฟืองของคุณหนูรักปาย ยังคงดำเนินท่วงทำนองไปอย่างช้า ๆ มีการเอื้อนน้อย ๆ เสนาะหูว่า

    “สาวบ้านหมู่นี้ หน้าเหมือนแคบหมู เอาหัวปลาทู จุ๊เอาก็ได้...”

    จากนั้นเอกลักษณ์มุขปาฐะของลุงกระถินซึ่งรับหน้าที่เป็นคู่โต้กับป้ามะเฟืองเมียรัก เริ่มกล่าวคำคล้องหยอกเอินเกี้ยวพาราสีกันต่อไป โดยมีเสียงหัวร่อคิกคักชอบใจในการปล่อยมุขฮา ๆ ของคู่เพลงสามีภรรยาดังเป็นระยะ โดยชาวบ้านต่างเดินเรียงหน้ากระดาน ขมีขมันก้มหน้าช่วยกันเกี่ยวตามวิถีชาวนาภาคเหนือที่เป็นแบบเกี่ยวต่ำ คือเกี่ยวเอาต้นข้าวไว้ยาว

    และเมื่อเกี่ยวเต็มกำมือก็วางไว้กับตอข้าวที่เกี่ยวแล้ว เรียกข้าวที่วางไว้ 1 กำมือนี้ว่า ข้าวเฟ่า ซึ่งการเกี่ยวข้าวไปพลาง ร้องเย้าแหย่ไปพลางช่วยทำให้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าของชาวนาที่ต้องทำงานกลางแสงแดดแรงจ้าชนิดหันหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน สามารถผ่อนคลายลงอย่างไม่น่าเชื่อ

    ตรงข้ามกับความรู้สึกของหญิงลูกครึ่งรูปร่างสูงโปร่งผิวขาวเนียนที่เพิ่งลองเกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรก ดังนั้นพรพระพายจึงเงยหน้าซีดสลับแดงขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามไรผม เพราะแดดแรงกล้าเวลานี้ ช่างแผดเผาร่างเธอจนแทบไหม้เกรียม ทั้งที่เธออุตส่าห์ใส่เสื้อผ้าเนื้อชิฟฟ่อนคอกลมแขนยาวสีขาวโปร่งเบาสบาย แต่ความร้อนระอุยังทะลุเลียผิวอ่อน ๆ จนได้

    ฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไร ที่พรพระพายซึ่งชินกับการทำงานในห้องแอร์เย็นฉ่ำ จะร้องโอดในใจว่า โอ๊ย...ร้อน ๆ จนจะบ้าตายอยู่แล้ว แต่ทำไมชาวบ้านพวกนี้ถึงอึดนัก เกี่ยวไป ร้องไป ไม่รู้สึกรู้สาอะไรมั่งรึยังไง เงินทองสักบาทก็ไม่ได้ แถมยิ้มหัวเราะให้กันตลอดเวลา นับถือจริง ๆ สิพับผ่า  

    พรพระพายซึ่งมีอาชีพท้าทายแท้จริง คือการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า โบรกเกอร์ และชีวิตโบรกเกอร์อย่างเธอก็ต้องจัดการทุกสิ่งอย่างรวดเร็วฉับไวในการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ ทั้งต้องเคร่งกับการอ่านบทวิเคราะห์การลงทุน เพื่อนำมาประมวลผลให้แก่ลูกค้าอีก

    ซึ่งดัชนีหุ้นในระยะนี้ก็ผันผวนตลอด เวลาเคี้ยวข้าวนั้นแทบไม่มี เพราะบ่อยครั้งที่เธอมักติดสายให้คำปรึกษาทางการเงินกับบริษัทฯ ลูกค้า ชีวิตการทำงานที่ผ่านมาหลายปี จึงมีแต่คำว่า เร่งรีบ – จริงจัง

    ไม่เคยมีคำว่า เบาสบายในหัวใจเข้ามากล้ำกรายสักนิด

    ฉะนั้นโชคชะตาเธอเวลานี้ เปรียบได้ดั่งการเล่นตลกของพระเจ้า

    นาฬิกาชีวิตของเธอในฟาร์มรักปาย ถึงเดินช้าลงอย่างไม่น่าเชื่อ!

    ความคิดพรพระพายสะดุดลง เมื่อสาวน่ารักเจ้าของฟาร์มรักปาย ซึ่งก้มหน้าเกี่ยวข้าวอยู่ข้าง ๆ แถมเป็นพี่เลี้ยงสอนเกี่ยวแทนพริกหวานซึ่งท้องไม่ดี ปู้ดป้าดตั้งแต่เช้า ได้เงยหน้าขึ้นทักนักเกี่ยวข้าวมือใหม่ด้วยเสียงตระหนกว่า “อ๊ะ! คุณพระพายเป็นอะไรรึเปล่าคะ...อุ๊ย! หน้าซีดจัง พักก่อนไหมคะ?!” รักปายมัวแต่ห่วง เลยลืมอาการเขินอายที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกัน

    ส่วนสาวเท่ผมซอยสไลด์สีน้ำตาลอ่อนเคลียต้นคอที่เพิ่งจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับเป้าหมายอย่างคุณหนูรักปาย โดยไม่จำเป็นต้องเปลืองสมองคิดแผนแยกเหาฉลามอย่างพริกหวานซึ่งท้องไส้ไม่ดีตั้งแต่เช้า สาวลูกครึ่งจำต้องฝืนยิ้มเซียว ๆ ให้รักปาย ทั้งที่ตนหน้าซีดลงเรื่อย ๆ และตอบว่า

    “ไม่...ไม่ต้องเสียเวลาพักหรอกค่ะคุณรัก หน้าพี่ก็ดูขาว ๆ ซีด ๆ อย่างนี้เอง ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ช่วยกันเกี่ยวอีกสักแปลงสองแปลงก็ยังไหว”

    “เอ่อ...แต่ท่าทางคุณพระพายดูจะเหนื่อยมากเลยนะคะ ยังไงรักว่า เราไปพักกันที่เพิงตรงคันนาดีกว่า...ไปเถอะค่ะ”

    ชวนแกมบังคับกลาย ๆ เสร็จ สาวสวยน่ารักร่างเล็กอย่างรักปายก็ลืมตัวแสดงความเป็นห่วงแขกของฟาร์ม โดยการคว้าแขนเรียวขาวของ  พรพระพายขึ้นมาคล้องไหล่ แล้วหิ้วปีกไปยังเพิงตรงหัวนา หรือคันนา

    ซึ่งคันนานี้ มีการทำรั้วนาแตกต่างจากรั้วนาของชาวนาทั่ว ๆ ไป นั่นเพราะชาวนาเหล่านั้น ต่างสมัครใจจะปลูกพืชเศรษฐกิจยอดฮิตอย่าง ต้นกระดาษไว้ตามคันนา มากกว่าจะปลูกพืชผักที่ใช้บริโภคได้ในครัวเรือนเหมือนอย่างฟาร์มรักปาย ที่ปลูกทั้งต้นกล้วยน้ำว้าเครืองามสลับกันกับ   ต้นอ้อยแตกกอสวย ลำต้นสีม่วงแดงสูงเป็นทิวแถวราว 2 – 5 เมตร

    บางคันนาก็ปลูกต้นหม่อนใบเขียวสดแต่ผลสุกกลับมีสีม่วงแดงเข้มเกือบดำฉ่ำน้ำ รสหวานอมเปรี้ยวน่าชิม และยังมีพืชตระกูลถั่วอีก

    ดังนั้นรั้วนาของฟาร์มรักปายจึงเปรียบเสมือนซูเปอร์มาร์เก็ตดี ๆ นี่เอง ซึ่งพรพระพายคิดว่า การเกษตรที่นี่คงยึดหลักทฤษฎีพอเพียงเป็นแน่

    แม้นจะคิดเยี่ยงไร หากทว่าพรพระพายจำต้องหาหัวข้อสนทนา มาทำความสนิทสนมกับคุณหนูรักปาย ที่แสนจะขี้อายและพยายามหลบลี้หนีหน้าเธอมาหลายวัน กว่าจะมีโอกาสใกล้ชิดกันในวันเกี่ยวข้าวเอาเฟืองนี้

    ฉะนั้นพอโบรกเกอร์สาวลูกครึ่งผิวบางนั่งพักเหนื่อยตรงเพิงคันนาไม่นาน คุณหนูรักปายก็มีน้ำใจ นำน้ำลอยดอกมะลิมาให้เธอดื่ม มันทั้งหอม ทั้งหวาน ชื่นใจอย่างไม่น่าเชื่อ จนพรพระพายที่เพิ่งเคยดื่มน้ำมะลิจากขันเป็นครั้งแรก ถึงกับคลี่ยิ้มละไม แววตาพร่างพราย ก่อนจะเอ่ยชมว่า

    “อื้อหือ...น้ำนี่ มีรสชาติหอมหวานชื่นใจจังค่ะ แต่คุณรักไม่น่าจะต้องลำบากทำมาให้พี่ดื่มเลย...เกรงใจจัง แค่ตักน้ำใส่ขันให้พี่ก็พอ”

    ครั้นสองกัลยาประสานตากันจริงจัง คุณหนูรักปายก็กลับสู่โหมดนางอายเหมือนเดิม จากนั้นสาวร่างอ้อนแอ้นผมเปียยาวสวยเก๋ถึงบั้นเอว ผิวสีน้ำผึ้งต้องเสตาเก้อ ๆ ไปทางอื่น และตอบด้วยน้ำเสียงเก้อเขินว่า

    “เอ่อ...รัก...รักไม่ได้ลำบากอะไรนี่คะคุณพระพาย รักก็แค่ไปตักน้ำที่นมเฟืองเตรียมไว้ในกระติกเท่านั้นเอง อ่า...แล้วตอนนี้..คุณดีขึ้นไหมคะ?

    ทว่าอาการเคอะเขินเอียงอายดูบริสุทธิ์น่ารักของคุณหนูรักปายนี้ พลอยทำให้พรพระพายเผลอนึกถึงรอยยิ้มพิมพ์ใจของหญิงงามในดวงใจที่ทรยศหักหลังเธออย่างเลือดเย็น ดังนั้นรอยแย้มยิ้มที่ตั้งใจหว่านเสน่ห์ของสาวลูกครึ่งจึงค่อย ๆ เจื่อนลง แววตาสดใสคราแรกกลายเป็นเย็นชาชิงชัง

    กระนั้นท่าทีที่เปลี่ยนไปของโบรกเกอร์สาว...เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที พรพระพายก็สามารถสลัดความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวนั้นทิ้งไป และเริ่มต้นพูดคุยกับสาวน้อยโลกสวยข้าง ๆ ซึ่งมีอายุน้อยกว่าเธอราว 5 ปีว่า

    “พี่ดีขึ้นแล้วล่ะค่ะคุณรัก ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยดูแล เอ...แต่คุณรักคะ...ทำไมคันนาของฟาร์มรักปายถึงเลือกที่จะปลูกไม้ล้มลุกอย่าง กล้วย อ้อย มาทำเป็นรั้วนา แทนที่จะปลูกต้นกระดาษที่ตัดไปขายได้ละคะ เพราะพี่เห็นหลายจังหวัด ตามคันนามักจะปลูกต้นกระดาษกันเป็นแถว”

    พอสาวเท่พรพระพายเปลี่ยนไปพูดคุยในเรื่องที่เจ้าของฟาร์มอย่างรักปายถนัด สาวน่ารักเอวบางผมเปียยาวสีน้ำตาลช็อกโกแลต ค่อยคลายอาการประหม่าขัดเขิน แล้วเล่าให้ฟังด้วยเสียงแจ่มใสว่า

    “อ๋อ...อันนี้ต้องยกความดีให้คุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ที่ท่านไม่หวั่นไหว เห็นเรื่องเงินเป็นหลัก ซ้ำท่านยังยึดหลักทฤษฎีเกษตรพอเพียงของพ่อหลวงด้วยนะคะ อย่างถ้าเราตัดต้นกระดาษไปขาย...ได้เงินมา เราก็ต้องนำเงินนั้นไปซื้อหาอาหารในชีวิตประจำวันอยู่ดีใช่ไหมคะ? แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นทำไมเราไม่ปลูกพืชผักสวนครัวตามคันนากันละคะ ซึ่งผลที่ได้นั้นมีมากมายมหาศาล เหมือนเรามีร้านขายของชำส่วนตัวที่สามารถเก็บกินได้ตลอดเวลา และถ้าเหลือกิน...เราก็สามารถเก็บผลหมากรากไม้พวกนี้ไปขายได้ด้วยค่ะ”

    พอได้ฟังแบบนี้ พรพระพายถึงกับย่นคิ้วเข้าหากันนิด ๆ อย่างคิดทบทวนว่า ทำไม...ข้อมูลที่เธอได้มา ถึงกล่าวว่า ก่อนคุณน้ำปายจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในลาวพร้อมภรรยา เขาแอบมาติดต่อขายกิจการฟาร์มรักปาย ซึ่งมีที่ดินแค่ 49 ไร่ แถมยังโขกราคาหน้าเลือดถึง 4,900 ล้าน เพราะมั่นใจว่า ฟาร์มเพชรนาคาอยากได้ที่นี่มากขนาดไหน

    ถึงเช่นนั้นฟาร์มใหญ่โตอย่างเพชรนาคาที่มีอาณาบริเวณล้อมรอบฟาร์มรักปายซึ่งเป็นเสมือนไข่แดง ก็เห็นว่า ราคาที่ดินพร้อมกิจการนั้น   มันแพงมากเกินไป หากซื้อมาพัฒนาตอนนี้...ก็ไม่คุ้มทุนอยู่ดี โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองผันผวนเช่นนี้ เลยยังไม่มีการตอบตกลงอันใด

    ครั้นคุณหนูรักปายขึ้นมาสืบทอดกิจการ ก็ยังคงยืนกรานขายฟาร์มในราคาเดียวกันกับบิดา ฉะนั้นคุณปู่นาคาซึ่งแบ่งมรดกไว้แล้ว จึงใช้เรื่องนี้เป็นข้อแม้...แลกกับการที่เธอจะได้รับมรดกในส่วนของบิดาที่เพิ่งสิ้นใจว่า

    เธอต้องทำให้ฟาร์มรักปายยอมขายกิจการในราคายุติธรรม!  

    ดังนั้นเพื่อความกระจ่าง พรพระพายจึงเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่า

    “อืม...คุณรักคะ ที่ดินตรงฟาร์มรักปายนี่ สวยมาก ๆ เลยนะคะ ด้านหน้าติดถนนสายรอง ด้านข้างก็ติดลำธาร แถมด้านหลังยังติดเขาอีก”

    “หึ ๆ อย่าลืมเติมคำว่า ฟาร์มติดหนี้แบงก์ด้วยนะคะคุณพระพาย”

    รักปายเผลอปล่อยมุขขี้เล่นตามนิสัยพร้อมหัวเราะคิกสดใส พลอยทำให้พรพระพายอดเอ็นดูไม่ได้ จึงส่ายหัวอย่างขัน ๆ และคุยต่อว่า

    “หึ ๆ นั่นสิคะ ที่ไหน ๆ ก็ติดหนี้แบงก์ด้วยกันทั้งนั้น...ลืมได้ไงน้า อื้อ...ว่าแต่...ที่สวย ๆ อย่างนี้ เคยมีคนมาติดต่อขอซื้อหรือเปล่าคะเนี่ย?

    แต่ทว่าคำถามนี้ กลับทำให้เจ้าของฟาร์มรักปายค่อย ๆ หุบยิ้มลง ใบหน้าผ่องใสเมื่อครู่กลายเป็นนิ่งงัน อย่างไรก็ดี ไม่ช้าสาววงหน้าเรียวเล็กผมเปียช็อกโกแลตก็สามารถปรับสีหน้าให้เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้ม ตอบทีเล่น   ทีจริงว่า “ก็เคยมีคนมาขอซื้อเหมือนกันค่ะ แต่เขาคงสู้ราคาไม่ไหวมั้งคะ”

    “เอ...แล้วเคยบอกขายสักเท่าไหร่ละคะคุณรัก”

    พรพระพายแสร้งหลอกล่อวกเข้าเรื่อง เพราะอยากทราบความจริง

    ว่าครอบครัวพันธุ์บริบูรณ์นี้...ปากปราศรัยใจเชือดคออย่างที่คุณปู่นาคาว่ารึไม่ และคำตอบที่ได้จากทายาทคนเดียวก็ทำให้พรพระพายอึ้งว่า

    “ก็...หลายพันล้านล่ะค่ะ แต่ก็เหมาะกันแล้วสำหรับคนไม่รู้จักพอ”

    “เอ๋...นายทุนใหญ่แถวนี้หรือคะคุณรัก?” พรพระพายพยายามรุก

    ถึงเช่นนั้น คุณหนูรักปายกลับกลั้วขำในลำคอ พูดต่อว่า

    “หึ ๆ เมื่อกี้รักพูดเล่นน่ะค่ะ อีกอย่างฟาร์มรักปายก็มีแค่ไม่กี่ไร่เอง เลยไม่มีใครกล้าทุ่มซื้อด้วยราคาแพงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้าจะขายจริง ๆ ล่ะก็...ราคาก็คงแพงมาก เพราะมันรวมทั้งเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของผู้ที่ร่วมพลิกฟื้นผืนดินมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ ซึ่งรักจะไม่มีวันทรยศพวกเขาแน่”

    แต่วาจาที่เปี่ยมไปด้วยปฏิภาณแรงกล้าของรักปายในตอนหลังนั้น กลับทำให้พรพระพายคิดทบทวนไปถึงคำเตือนของคุณปู่นาคาว่า

    เชื่อไหมพระพาย ถ้าหลานลองถามนังหนูรักปายว่าจะขายกิจการเท่าไหร่ อีนังหนูนี่มันฉลาด...มันจะปั้นแต่งคำพูดให้สวยหรูดูดีว่า มันไม่มีวันคิดคดทรยศพรรคพวกมัน ด้วยการขายกิจการแน่นอน หึ ๆ...แต่ลับหลังสิ นังหนูนี่กลับติดต่อขายกิจการที่มีแต่หนี้สินกับปู่ซะเอง แถมโขกราคาแพงเกินเหตุ ปู่สู้ไม่ไหวหรอก ยังไง...ปู่เตือนไว้ก่อนนะว่า หลานอย่าไปหลงเชื่อ ไอ้หน้าซื่อ ๆ ตาใส ๆ ของนังหนูนี่เด็ดขาด เพราะครอบครัวนี้เชื้อไม่ทิ้งแถวกันจริง ๆ ต่อหน้ามะพลับ...ลับหลังตะโก! เก่งแต่หาเรื่องใส่ร้ายคนอื่น

    อะไรจริง...อะไรเท็จ?! นั่นคือสิ่งที่พรพระพายต้องหาคำตอบ

    อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือการสร้างความสนิทสนมกับสาวน้อยเจ้าของฟาร์ม โดยการชวนคุยต่อด้วยน้ำเสียงชื่นชมว่า

    “อืม...ท่าทางคุณรักจะรักฟาร์มนี้มาก ๆ เลยนะคะ”

    “ค่ะ...เพราะรักเกิดที่นี่และโตที่นี่นี่คะ อืม...ว่าแต่...คุณพระพายอยากจะลองมีความสุขแบบเรียบง่าย โดยไม่ต้องใช้เงินสักบาทไหมละคะ?

    “เอ๋? มีด้วยหรือคะ...มีความสุขได้โดยไม่ต้องใช้เงิน”

    สาวสวยห้าวพรพระพายถาม ทั้งโก่งคิ้วอย่างสงสัย

    คำตอบที่ได้จากดรุณีน่ารักเจ้าของปศุสัตว์ คือการแบสองมือเล็ก ๆมาด้านหน้าพรพระพาย พร้อมรอยยิ้มสดชื่นแจ่มใส นัยน์ตาระยับซุกซนเปล่งประกายในตอนรักปายเอ่ยว่า

    “แล้วถ้าคุณพระพายอยากเรียนรู้ชีวิตเรียบง่ายอย่างมีความสุขของพวกเราชาวเกษตรกรล่ะก็...รักอยากจะขอเก็บโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ของคุณไว้ก่อนเป็นเวลา 3 วันนะคะ”

    “หืม...เอางั้นหรือคะ?” พรพระพายถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ

    “แน่สิคะ...” รักปายเอ่ยน้ำเสียงสดใส นั่นคงเป็นเพราะพอเธอได้มีเวลาพูดคุยกับคุณพระพายมากขึ้น อาการประหม่าจึงคลายลงเป็นลำดับ พลอยทำให้เธอกลับมาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น และรักปายรู้เพียงว่า

    เวลาได้อยู่ใกล้ผู้หญิงหน้าตาสวยเท่มีเสน่ห์คนนี้...แม้นเธอจะรู้สึกตื่นเต้นมือไม้เย็นไปบ้าง แต่มันก็มีความสุขใจอย่างประหลาด

    อา...ทุกอย่างมันกะทันหันจริง ๆ

    อ๊าย...ขออย่าให้ยัยพริก...รู้ความลับนี้เลยน้า (>///<)

    แล้วคุณหนูรักปายจะปกปิดความลับในใจไว้ได้นานแค่ไหน...

    ในเมื่อพริกหวานออกจะแสนรู้ฉลาดล้ำขนาดนั้น...อั๋ยย่ะ!

    ส่วนโบรกเกอร์สาวอย่างพรพระพายก็ได้แต่งุนงงในใจว่า

     

    ความสุขที่ไม่ต้องใช้เงินสักบาท...เป็นยังไง???

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×