คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : เภตราทยาวีร์ ตอน เหตุเกิด ณ ถ้ำรังนกขาว
ชั่วโมงต่อมา ดวงตากลมโตสองคู่ภายใต้หน้ากากสีส้มของทยาวีร์ และสีชมพูเข้มของเภตรา กำลังมองภาพเบื้องหน้าอย่างตะลึงพรึงเพริด
ภาพ อาณาจักรตามแนวปะการังน้อยใหญ่แซมสลับกันด้วยสีฟ้าอ่อน เขียว ม่วงและเหลือง ช่างงดงามตระการตายิ่งนัก ดั่งสวรรค์บรรจงสร้างเฉดสีมหัศจรรย์ไว้ที่ใต้ท้องทะเลลึกด้วยความสุนทรี ละเมียดละไมไปทั่วทุกตารางนิ้ว
โดย เชื้อเชิญสายตาทั้งคู่ให้หยุดชื่นชมความงามด้วยปะการังอ่อนแท่งเรียวยาว เหมือนเขาสัตว์หลากสีสัน ทั้งที่เป็นกอและเป็นแผ่นกำลังสะบัดพลิ้วไปมาตาม กระแสน้ำเฉกเช่นนักเต้นระบำใต้น้ำชั้นยอด ยังมีปลาผีเสื้อปากยาวลายส้มกำลังใช้ปากสอดเข้าไปในกิ่งก้านปะการังเพื่อถอด เอาตัวปะการังไปกินทีละตัว ข้าง ๆ กันนั้นมีดาวมงกุฎหนามค่อย ๆ แทะเล็มปะการังเขากวางอย่างสุขขี ถัดมามีปลาการ์ตูนตัวเล็กสีส้มเข้มสลับแถบสีขาวหลายตัวพากันอวดโฉมออกจากดง ดอกไม้ทะเล ไม่ไกลกันนักยังมีปลาการ์ตูนลายปล้องหางเหลืองที่ลำตัวมีสีดำ ส่วนหางมีสีเหลืองสลับแถบขาวกำลังโผล่ขึ้นมาจากดงดอกไม้ทะเลชนิดที่ฝังทราย สีน้ำตาล โดยมีลูกเล็ก ๆ 3 - 4 ตัวแอบซุกอยู่ข้างกันเป็นครอบครัวที่น่ารักน่าชม
ทยา วีร์ในชุดเวทสูทสีดำคาดแถบสีส้มสะท้อนแสง ดำน้ำเคียงมากับเภตราซึ่งชุดเป็นแบบแถบคาดสีชมพูบานเย็น พวกเธอว่ายเข้าไปใกล้กัลปังหายักษ์สีแดงสดสวยรูปทรงเรียวยาว แผ่กิ่งก้านสาขาคล้ายต้นไม้ความยาวเกือบเมตร ฟองน้ำ ที่เป็นก้อนสีเขียวอ่อนช่างตัดกับสีแดงสดของกัลปังหาได้อย่างลงตัว แล้วยังมีหอยเบี้ย หอยสังข์แตร ปูปะการังกระดองสีแดงสลับเหลืองอ่อนขาว เดินเฉเกไปมาน่าเอ็นดู
เท้า เรียวเล็กในชุดตีนกบของสองสาวยังแหวกว่ายไปข้างหน้าอย่างเพลิดเพลิน เมื่อปลาหลากสีหลายสายพันธุ์ประชันความงามกันราวกับนางงามจักรวาลในรอบสุด ท้าย ยากเกินจะตัดสินว่า
ปลาชนิดใดสมควรได้รับตำแหน่ง ‘ราชินีแห่งโลกใต้สมุทร’
ไม่ ว่าจะเป็นปลานกขุนทองรูปร่างเรียวยาว ลำตัวเป็นลายเส้นส้มน้ำเงินเข้มสลับกัน เพิ่มเสน่ห์ด้วยครีบหลัง หาง ก้น เป็นสีเขียวสลับกับสีส้มสานกันเป็นรวง โดยมีคู่แข่งตัวฉกาจ อย่างปลาสลิดหินตัวเล็กสีเหลืองเขียวที่มีลายเป็นบั้งสีสดใส มันกำลังกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ใกล้ ๆ และพลาดไม่ได้กับตัวเก็งคนสำคัญอย่างเจ้าปลาสินสมุทรบั้งเหลือง ซึ่งไม่ยอมน้อยหน้าปลาตัวใด มันแกล้งแหวกว่ายไปมาตามแนวผาหิน เพื่ออวดสีสันสดสวย
จู่ ๆ ทยาวีร์ก็สะกิดเภตราให้มองอีกด้าน เพื่อชื่นชมลีลารักของเจ้าปลาขุนทองแฟลชเชอร์ ที่กำลังเปลี่ยนแถบสีบนลำตัวและครีบที่เหยียดตรงให้เป็นสีฟ้าสว่างจ้า ล่อให้ปลามาตัวเมียว่ายปรี่เข้ามา พลางพ่นไข่ออกมากลุ่มใหญ่พร้อม ๆ กับที่มันฉีดน้ำเชื้อออกมาผสม
แต่ ทันทีที่ภารกิจรักเสร็จสิ้น ปลามาสาวคู่รักก็รีบว่ายหนีเข้าไปซ่อนตัวในแนวปะการัง หมดความสนใจที่จะสานสัมพันธ์ต่อ ส่วนตัวมันเองก็กลับกลายเป็นสีน้ำตาลตามเดิม เพราะช่วงเวลาของการสำแดงสีสันอันบรรเจิดนั้น อาจทำให้นักล่าจอมโหดซุ่มโจมตีได้ง่าย ๆ
ภาษารักของปลานั้น แม้จะเป็นเพียงระยะสั้น ๆ ทว่าผลผลิตแห่งรักของมัน จะยังสืบสายพันธุ์ไปอีกนานเท่านาน
“โอ้โห! สูงจัง”
เสียง อุทานเล็กแหลมดังมาจากปากอิ่มชมพูที่เผยอค้างนิด ๆ ของเภตราซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายสก็อตชมพูขาวกางเกงยีนสีฟ้าซีด เธอกำลังแหงนหน้าจนคอตั้ง พลางป้องตาบังแสงจ้ายามตะวันบ่าย เพื่อดูหน้าผาสูงชันของถ้ำรังนกขาว โดยไล่สายตามองตามบันไดไม้ไผ่ซึ่งทอดยาวทบกันไว้ 2 - 3 ชั้น มัดด้วยเชือก ไนล่อนเก่า ๆ สีเขียว พาดตั้งชันกับหน้าผาที่สูงราว ๆ ตึกสามสี่ชั้น ความสูงตระหง่านเช่นนี้ทำให้เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า
ทำไมเขาต้องดั้นด้นขึ้นไปทำพิธีกันบนนั้นด้วย?
ราวกับคำถามคาใจปรากฏอยู่บนหน้าของเภตรา อาจารย์สาวจึงได้ยินคำเฉลยถัดมาของทยาวีร์ โดยมิต้องเอ่ยปาก
“ที่ ต้องขึ้นไปบนนั้น เพราะเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวบ้านน่ะ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการทำพิธีปูหยาเกาะเป็นอย่างมาก ต้องทำก่อนการเก็บรังนกนางแอ่นทุกครั้ง โดยขอจากเจ้าที่ ที่เป็นเจ้าของเกาะและนกนางแอ่นด้วย เพื่อให้ปลอดภัยจากการเก็บรังนกในปีนั้น ส่วนเครื่องเซ่น ก็จะมีควายที่เชือดมาจากหมู่บ้าน เอาส่วนที่เป็นหู หาง หลอดลม เลือด และชิ้นส่วนอย่างอื่นเอาไปเสียบไม้ และยังมีไก่ทั้งตัวย่างขมิ้น น้ำมะพร้าวอ่อน หมากพลูอีก”
เมื่อเห็นเจ้ากรมความรู้ตอบได้อย่างฉาดฉาน เภตราจึงกล้าซักต่อ
“แล้วปีนึง ๆ เขาจะเก็บรังนกได้ซักกี่ครั้งล่ะจ๊ะ?”
“พวก นี้เขาจะมีฤดูกาลเก็บนะ ปีละ 4 ครั้ง ครั้งแรกก็ประมาณช่วงเดือนมกรา และเว้นอีกหนึ่งเดือน จากนั้นถึงเก็บครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 แล้วเว้นไปอีก 1 เดือน แต่พอเก็บได้ครบ 3 ครั้งแล้ว เขาก็จะเว้นยาวไปถึง 4 เดือนเลย เพื่อให้เวลานกวางไข่ และฟักเป็นตัวนก จนกระทั่งบินได้ถึงจะเก็บเป็นครั้งสุดท้าย”
“อื้อหือ... ทำไมวีร์รู้ดีจังเลยล่ะ?”
อาจารย์สาวรู้สึกทึ่งในความรอบรู้ของทยาวีร์นัก
“อ๋อ...วีร์ ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก แต่เพราะงานที่ทำอยู่ มันต้องตระเวนไปทั่ว เลยรู้โน่นรู้นี่อย่างละนิดอย่างละหน่อยเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องพิธีปูหยาเกาะนี่ ก็เคยเห็นชาวบ้านเขาทำกัน แต่ไม่ใช่ที่เกาะนี้หรอก”
น้ำ เสียงห้าวน้อย ๆ ของทยาวีร์ช่างมีเสน่ห์น่าฟังนัก ยิ่งเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพาสเทลสุดเท่ไม่ติดกระดุม สวมทับเสื้อยืดสีขาวสะอาดพอดีตัว ใส่กางเกงยีนขาสั้นทรงกระบอก ฟอกสีเล็กน้อยในโทนน้ำเงิน ทำให้เขาดูดีและสมาร์ตในสไตล์ผู้หญิงเท่ รอยยิ้มแจ่มใส สายตาอ่อนโยนที่ทอดมาก็อบอุ่นเหลือเกิน จนหัวใจเภตราเริ่มวูบไหวขึ้นอีกครา แต่ต้องชะงักงันเมื่อได้ยินคำท้าถัดมา
“กล้าขึ้นไปดูกันมั้ย?” ทยาวีร์หันมาพูดและหรี่ตามองอย่างท้าทาย แถมรอยยิ้มร้าย ๆ ยังปรากฏตรงมุมปาก ช่างยียวนกวนประสาทอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นแทนการตอบรับ เภตราจึงเชิดหน้าถือดี ก้าวไปปีนฉึบฉับขึ้นบันได ไม้ไผ่นำไปก่อน ไม่ใส่ใจเสียงตะโกนไล่หลังเลยสักนิด
“เฮ้ย! เอาจริงเหรอ หึ ๆ ก็ได้... แล้วอย่าเปลี่ยนใจลงมากลางคันละกันค่ะอาจารย์เภตรา” น้ำเสียงเย้าแหย่ของทยาวีร์ในช่วงท้าย ยิ่งทำให้คนฟังเกิดอาการฮึดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จึงเร่งจังหวะฝีเท้าขึ้นไปอีก
ครั้น คนปากกล้าเห็นอาการรั้น ๆ ของเพื่อนสาว ทยาวีร์ก็ไม่รอช้า รีบจ้ำพรวด ๆ ปีนตามขึ้นไปติด ๆ ส่วนปากก็คอยกำกับวิธีการปีนบันไดไม้ไผ่กับคนอวดดีข้างหน้าไปด้วยอย่างยั่ว ๆ
“นี่คุณครูคะ เวลาปีนบันไดตาต้องจับอยู่ที่ราวบันไดสิ ไม่ใช่เอาตามาค้อนคว่ำคนที่อยู่ข้างหลัง อ่ะ ๆ ยังเหลือบ ๆ ดูอีกนะเนี่ย”
“ชิ! ไม่ต้องมายุ่ง ยังไงเภก็ปีนถึงสุดโน่นได้ละกัน”
น้ำ เสียงขุ่นมัวดังออกมาจากปากสาวเจ้าพยศเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้น เภตราก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตาปีนราวบันไดไม้ไผ่ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ จนกระทั่งปลายเท้าแตะพื้นถ้ำสีตาลเข้มได้สำเร็จ
ด้วยความลืมตัว หลังจากก้าวไปได้เพียง 2 – 3 ก้าว เธอก็หันกลับมาเร็ว ๆ หวัง จะเยาะเย้ยคนที่ปีนตามหลัง แต่กลายเป็นว่า ตัวเองได้ตกอยู่ในอ้อมกอดของทยาวีร์แทน นั่นเป็นเพราะเธอเกิดอาการล้มทั้งยืนกลางอากาศ เมื่อสายตาเผลอมองวิวด้านล่างซึ่งสูงลิบลิ่ว จึงเกิดอาการหวิว ๆ เข้าให้ และหัวใจยิ่งเต้นกระหน่ำโครมคราม เมื่อร่างกายแนบชิดกันจนแทบไม่เหลือช่องว่าง วงแขนของทยาวีร์ที่กอดกระชับก็ร้อนดังเตาผิง ซ้ำริมฝีปากสีแดงธรรมชาติของเขาที่เชิญชวนให้สัมผัสก็อยู่ใกล้เพียงฝ่ามือ กั้นเท่านั้น
“บอกแล้วไงว่า อย่ามองลงไปข้างล่าง เคยฟังกันบ้างมั้ยเนี่ยคุณครู”
น้ำ เสียงดุแกมห่วงใยในตอนท้ายของทยาวีร์ ทำให้เภตราเกิดความรัญจวนใจขึ้นมาดื้อ ๆ หญิงสาวจึงหลุบตาลงพลางปลดแขนแล้วเบี่ยงกายออก รีบหันหลังเดินเข้าไปในหลืบถ้ำแทน ยืนนิ่ง ๆ กอดอกเชิดหน้าเพื่อจะระงับอารมณ์พลุ่งพล่านให้กลับเป็นปรกติโดยเร็ว ไม่รู้เลยว่า กิริยาเช่นนี้ได้ทำให้คนมองเข้าใจผิดอย่างแรง
“รังเกียจเรานักหรือไง ถึงต้องทำท่าแบบนี้!”
ทยาวีร์พูดเสียงขุ่น หน้าตาเคร่งเครียด ไม่สงบนิ่งเหมือนดังเคย
“วีร์! ม...ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ คือ...เภ เภขอโทษ อย่าโกรธเภเลยนะ”
อาจารย์สาวรีบหันขวับพลางลดแขนลงข้างตัว พูดวิงวอนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ราวกับตัวเองทำความผิดใหญ่หลวงเสียอย่างนั้น
พอ เห็นเภตราทำท่า กล้า ๆ กลัว ๆ ทยาวีร์จึงเป็นฝ่ายผ่อนอารมณ์หงุดหงิดซะเอง ด้วยตัดสินใจแล้วว่า ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะพบกับผู้หญิงคนนี้ จึงอยากสร้างช่วงเวลาแห่งความประทับใจให้ได้มากที่สุด คนร่างโปร่งเลยถอนหายใจ เพื่อระบายความตึงเครียดออกไป ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคนี้เสียเอง
“โทษทีนะเภ...ที่วีร์หงุดหงิดใส่ เดี๋ยวเภนั่งพักตรงนี้ก่อนนะ วีร์จะเดินไปสำรวจด้านในหน่อย”
หลัง จากจัดแจงให้เภตรานั่งตรงก้อนหินใหญ่ ข้างกันนั้นยังมีซากโต๊ะไม้ เตี้ย ๆ ที่ทำขึ้นแบบลวก ๆ โดยข้างหน้ามีกระถางธูปที่ยังมีเศษธูปปักอยู่หลายกำตั้งอยู่เพื่อทำพิธีปู หยาเกาะ ซึ่งตรงนี้ ห่างจากบันไดไม้ไผ่เพียง 5 - 6 ก้าวย่างเท่านั้น
พอ ทยาวีร์วางกระเป๋าเป้สีเทาลงข้าง ๆ แล้ว นักสำรวจอย่างเขาก็หายลับไปทางซอกหลืบของตัวถ้ำ ปล่อยให้อาจารย์สาวได้มีเวลาสงบใจที่กำลังหวั่นไหวให้เป็นปรกติ เพียงไม่นาน หญิงห้าวผมซอยก็เดินออกจากซอกนั้น มานั่งข้างกัน
“เมื่อกี้พอเดินเข้าไปหน่อยนึง ทางมันก็ขาดกลายเป็นหน้าผา มองลงเห็นข้างล่างตัวถ้ำด้วยล่ะ”
“จริงเหรอ! เภไปดูได้มั้ยคะ?”
“อย่า เพิ่งเลยเภ ตอนนี้กลุ่มเมฆมันบังแสงอาทิตย์อยู่ แล้วข้างในถ้ำมันก็มืด ถ้าไม่ระวังดี ๆ เดี๋ยวจะพลัดตกลงไป...อันตราย รอให้แสงมากกว่านี้หน่อยแล้วกัน”
ทยาวีร์ผินหน้ามามองเล็กน้อย
“อื้ม...นั่นสิ แป๊บ ๆ กลุ่มเมฆมาจากไหนก็ไม่รู้ หนาเชียว ยังกะฝนจะตกแน่ะ” เภตราพูดอย่างกังวล ๆ
“กลางทะเลก็ยังงี้แหละ อากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แต่วีร์คิดว่า เดี๋ยวลมทะเลก็คงพัดเมฆฝนไปทางชายฝั่งมากกว่า”
พูดจบทยาวีร์ก็นิ่งคิด พลางทอดสายตามองไปข้างหน้ากลุ่มเมฆาสีเทาหม่น
ท่าเคร่งขรึมของสาวร่างสูงในตอนนี้ ทำให้เภตราหวนนึกถึงอดีตสมัย ม.ปลาย ตอนที่พักอยู่หอเดียวกัน แรก ๆ เธอก็เกร็ง ๆ เพราะเขาเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ดูจริงจังไปซะทุกเรื่อง หากพอสนิทกันมากขึ้น ถึงได้รู้ว่า เขาเป็นคนน่าคบทีเดียว ชั่วระยะเวลาไม่นาน เธอก็กลายเป็นเหมือนน้องคนเล็กที่ต้องมีพี่อย่างเขาดูแล กระนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้เอ่ยถึงเรื่องครอบครัวให้ฟังมากนัก รู้แต่ว่าเป็นครอบครัวข้าราชการระดับสูง จะเล่าให้ฟังมากหน่อยก็เพียงเรื่องของพี่ชายที่อายุห่างกันราว ๆ 4 - 5 ปี ซึ่งกำลังเรียนต่ออยู่ที่เมืองนอก
หลาย ปีต่อมาถึงได้รู้จากชิดจันทร์ว่า ตระกูลเขารับราชการมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว มีเรือกสวนไร่นาและที่ดินพอสมควร ทุกวันนี้แค่เก็บค่าเช่าในแต่ละเดือนก็เลยหลักล้าน แต่ด้วยความที่บิดาของทยาวีร์เป็นคนเถรตรง ซื่อสัตย์สุจริต จึงไปขัดผลประโยชน์กับผู้ทรงอำนาจบางคน เลยทำให้โดนตั้งข้อหาเรื่องทุจริต ซึ่งกว่ากระบวนการยุติธรรมจะพิสูจน์ได้ว่า บิดาเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็ต้องใช้เวลานาน
ช่วง เวลานี้เองที่ทยาวีร์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ร่าเริง เข้ากับคนได้ง่ายก็กลายเป็นเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจายิ้มหัวกับใคร ๆ
วีร์...ตอนนี้เธอกลับไปเป็นคนเก่าที่ฉันไม่รู้จักแล้วใช่มั้ย?
ขณะ ที่เภตรากำลังล่องลอยไปกับอดีตอันแสนหวานในวันวานที่ทั้งคู่ต่างปฏิบัติต่อ กันดังคนรู้ใจ...หากทว่ายังไม่ใช่คนรัก จู่ ๆ ทยาวีร์ก็หันมาจ้องตาตรง ๆ ด้วยนัยน์ตาวิบ ๆ วับ ๆ ซ้ำยกยิ้มยียวนตรงมุมปาก แล้วถามแบบกวน ๆ
“หึ ๆ จ้องอยู่ได้ วีร์เท่มากรึไง? หืม...”
“บ้า!”
เภตราพูดได้คำเดียวก็ต้องรีบผินหน้าแดง ๆ ไปทางอื่นแทน เพราะสิ่งที่เขาพูด มันดันตรงกับความคิดของเธอน่ะสิ
ฉับพลัน!
“อ๊ายยย...”
เภตรา ตกใจกรีดร้องอย่างกับคนอกสั่นขวัญหาย หันขวับ กระโจนนั่งตัก ซุกหน้าสั่น ๆ ลงกอดคนข้าง ๆ ซะแนบแน่น จนแทบไม่เหลือระยะห่างให้ทยาวีร์ได้หายใจหายคอ แต่พอเขาเหลือบไปเห็นปลายหางส่วนท้ายสีน้ำตาลดำของงู ลำตัวยาวราว ๆ 2 เมตร มันกำลังเลื้อยซิกแซ็กเข้าไปในซอกหิน สาวห้าวก็เข้าใจในทันที จึงกระชับอ้อมกอด ลูบหลังปลอบขวัญเภตราอย่างอ่อนโยนเหมือนครั้งเก่า
“โอ๋ ๆ ไม่เป็นไรแล้วนะเภ งูกาบหมากดำมันไม่มีพิษมีภัยหรอก เราอาจจะมารบกวนการนอนของมัน มันก็แค่เลื้อยหนีเท่านั้นเอง โอ๋ ๆ นิ่งซะนะคนดี”
ทยา วีร์พูดปลอบประโลมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสาวในอ้อมกอดบรรเทาอาการสั่นกลัวลงและคลายวงแขนออก พร้อมเงยหน้าซีดสลับแดงขึ้นทั้งน้ำตาซึม ๆ ด้วยความขยาดกลัว แววตาสีน้ำตาลระริกที่จับจ้องมายังทยาวีร์ ช่างน่าสงสารระคนเอ็นดู หญิงห้าวจึงยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่ปริ่มออกมาเบา ๆ ทุกสัมผัสบนใบหน้าเต็มไปด้วยความทะนุถนอม สายตาทยาวีร์ไล่มองเรื่อยมาจนถึงปากอิ่มแดงของเภตราอย่างลุ่มหลง ภาพริมฝีปากสีแดงเรื่อที่กำลังเผยอขึ้นน้อย ๆ ดูยั่วยวนเซ็กซีอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเท่านี้หัวใจคนมองก็เพ้อคลั่งไปไกลสุดกู่
ใน ที่สุด อารมณ์ความรู้สึกที่เฝ้าเก็บงำมาโดยตลอด ได้ถูกทำลายลงด้วยอารมณ์พิศวาส และเธอก็เผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควรออกไปด้วยการยึดต้นแขนบอบบางของเภตราไว้ โน้มใบหน้าลงจูบแก้มชมพูใสระเรื่อเบา ๆ จากนั้นก็ระริมฝีปาก อุ่น ๆ เรื่อยมาตามแก้มนุ่ม จนแทบจะประชิดกับริมฝีปากอิ่มแดงที่ปรารถนา
แต่แล้ว!
“เห้ย! ใครที่อยู่ตรงนั้น มึงออกมาหากูเดี๋ยวนี้!”
เสียง โหดเหี้ยมดุดันอย่างคนใต้ที่ดังกึกก้องไปทั่วถ้ำรังนกขาว ก็กระชากสติของสองสาวที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ให้หลุดจากภวังค์ เบิกตาค้างอย่างตื่นตะลึง จนเภตราเกือบหลุดอุทานออกมาด้วยความลืมตัว ถ้าไม่ถูกปิดด้วยมือร้อน ๆ ของ ทยาวีร์เสียก่อน
“ชู่ว!”
ทยา วีร์ยอมปล่อยมือออก หลังจากเภตราผงกหัว หน้าตื่น เพราะหัวใจเธอกำลังระทึกอย่างหนักกับสถานการณ์ที่เผชิญ จากนั้นสาวร่างสูงก็ค่อยจูงมือเย็น ๆ ของเภตรา ย่องไปตามก้อนหินน้อยใหญ่อย่างระมัดระวังเข้ามาทางซอกถ้ำที่เพิ่งสำรวจ ทยาวีร์เป็นคนแรกที่ชะโงกลงดูถ้ำด้านล่าง
แต่สิ่งที่เห็นนั้น มันเกินกว่าที่พวกเธอจะคาดคิด!
..........................................................................................................................................................................................................
ไร เตอร์ขอกระซิบบอกสักนิดว่า ฉากใต้ทะเลอันดามันนั้น ใช้เวลาหาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ใต้น้ำอยู่ 2 วันเต็ม ๆ เพื่อความสมจริงมากที่สุดค่ะ แล้วก็ใช้เวลาอีกเป็นวันในการเรียงร้อยถ้อยคำเพื่อฉากนี้ฉากเดียว ถึงจะเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่าสุด ๆ
ขอให้ทุกคนที่เข้ามาอ่าน ได้รับความสุขกลับไปเยอะ ๆ ด้วยค่ะ
วีญ่า...
ความคิดเห็น