คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ' มิ่ง : 12
“แบคๆ มาคุยกับน้องให้หน่อย แม่คุยไม่รู้เรื่อง”
หญิงวัยกลางคนหันไปขอความช่วยเหลือพร้อมยื่นโทรศัพท์ตั้งโต๊ะให้ลูกชาย แบคฮยอนจ้องเครื่องมือสื่อสารสลับกับใบหน้าผู้เป็นแม่
“น้องหายโกรธแบคแล้วหรือ?”
“เหอะน่า ถ้าตอนจะขอเงินมันไม่โกรธใครหรอก”
แบคฮยอนพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนจะรับเอาโทรศัพท์มาถือไว้กับตัว สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่งก่อนยกขึ้นแนบหู
“นี่พี่นะ”
ปลายสายทำเสียงจิ๊จ๊ะทันทีที่รู้ว่าเป็นเขา แบคฮยอนใจฟ่อ ไม่ใช่ว่ากลัวน้อง แต่เพราะชีวิตนี้เขาไม่มีความหวังที่จะก้าวหน้าอะไรอีกแล้ว หน้าที่การงานหรือ ก็คงเป็นคนงานในไร่ไปจนตาย ดังนั้นความหวังทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่น้องสาว แบคฮยอนคิดว่าน้องต้องเรียนหนังสือให้เขากับแม่ก็คงเหนื่อยมากแล้ว ตามใจหน่อยจะเป็นไร ตามใจมาก รักมาก บางครั้งก็เกรงใจมาก
‘โอนเงินให้หน่อย ที่ให้มาใช้หมดแล้ว’
แบคฮยอนเลิกคิ้วแปลกใจ ปกติดันบีเป็นเด็กประหยัด อยากได้อะไรนานๆทีจึงจะขอ ส่วนใหญ่จะเก็บเงินซื้อเองเสียมากกว่า
“ทำไมหมดเร็ว ยังไม่เปิดเทอมเลยนะ”
‘ก็มันต้องใช้ซื้อเสื้อผ้านี่ ไหนจะค่าหนังสืออีก’
“ก็ที่พี่ให้ไปเรากับพี่ก็คำนวณกันแล้วนี่ว่าพอ ถ้าใช้ดีๆก็มีเหลือเก็บด้วย”
‘ก็ฉันเพิ่งรู้ว่าต้องเรียนกวดวิชานี่’
“ไม่เรียนไม่ได้หรือ”
‘ไม่เรียนก็ได้ ก็แค่ตามเขาไม่ทันเท่านั้นเอง’
เรียกได้ว่าโดนน้องสาวเล่นงานถูกจุด แบคฮยอนรีบกำโทรศัพท์แน่นด้วยสองมือ อังๆไว้เหมือนกลัวว่าแม่จะได้ยิน
แม่เขาไม่ชอบตามใจดันบี ผิดกับเขาที่ถ้าเป็นเรื่องเรียนก็ยอมหมดทุกอย่าง รู้ดีแล้วว่าการศึกษาสำคัญแค่ไหน เพราะช่วงชีวิตที่ผ่านมาเขาต้องเสียโอกาสและเสียใจไปตั้งมากเพราะความไม่รู้หนังสือ
“อือได้ แต่ต้องพรุ่งนี้นะ”
‘ก่อนแปดโมงได้มั้ย’
“ไม่ทันหรอก กว่าจะเข้าเมืองไปโอนก็เที่ยงแล้ว”
ฝ่ายน้องสาวฮึดฮัด ‘โอนผ่านโทรศัพท์มาก็จบเรื่อง จะเข้าเมืองทำไม’
“โอนยังไงหรือ?”
‘โง่จริง ก็โอนเงินผ่านแอพฯไง’
“อือๆ เดี๋ยวลองดู แต่อย่าบอกแม่นะ”
‘รู้น่า’
ปลายทางตัดสายไปแค่นั้น... แบคฮยอนคิดถึงน้องสาว อยากกอด อยากพบหน้า อยากบอกให้ตั้งใจเรียน แต่ดูเหมือนว่าดันบีจะคิดตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง
“น้องมันว่าไง” แม่เอ่ยถามขณะกำลังซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดจากการถูกกิ่งไม้เกี่ยว มือหยาบกร้านตามวัยพยายามเสียบด้ายเข้าไปในรูเข็ม
แบคฮยอนวางมือจากโทรศัพท์บ้านก่อนจะเดินไปนั่งข้างแม่ ดึงเข็มกับด้ายมาร้อยด้วยตัวเอง
“ตาแม่ไม่ดี จะร้อยเข็มทีหลังบอกแบคนะ”
“เปลี่ยนเรื่องทำไม สรุปน้องมันโทรมาขอเงินใช่ไหม”
“เปล่า น้องมันคิดถึงบ้าน ฝากให้แบคบอกแม่ด้วยว่าคิดถึง”
ซังมีรู้ทันลูกชาย หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “หึ โทรมาขอตังค์ล่ะสิไม่ว่า ไม่ต้องไปโอนให้มันเลยนะ”
แบคฮยอนร้อยด้ายเสร็จก็ปักเข็มไว้กับหมอนทรงสี่เหลี่ยมใบเล็ก ก่อนจะหยิบเข็มเล่มใหม่มาสนเพิ่ม ไม่อยากพูดอะไรกับแม่ เพราะถ้าพูดอีกก็ต้องโกหกอีก ในใจนึกถึงเรื่องของน้อง ซักพักก็มีเรื่องที่ถูกบังคับให้ขอโทษเมื่อกลางวันแทรกเข้ามารบกวน
ความโกรธยังคงติดค้างอยู่ในความรู้สึก ทั้งโกรธทั้งน้อยใจ สุดท้ายแบคฮยอนก็เสียสมาธิ เข็มปักเข้าคามือจนได้เลือด
“ไปเลยไป ใจลอยนัก” ซังมีโบกมือไล่ รู้ดีว่าลูกชายเป็นคนที่ถ้าแสดงออกว่าห่วงใยแล้วขอให้เลิกทำ รายนั้นจะไม่ยอมทำตาม แต่ถ้าทำเป็นโกรธ ทำเป็นไล่ สุดท้ายแบคฮยอนก็จะหยุดทำเพราะกลัวงานคนอื่นจะเสีย
คนตัวเล็กหัวเราะแห้งๆให้กับความซุ่มซ่ามของตัวเอง ก่อนจะเช็ดนิ้วเปื้อนเลือดกับขากางเกงแล้วลุกเดินออกจากห้องนอนไป
โอนเงินผ่านโทรศัพท์... โอนเงินผ่านโทรศัพท์?
แบคฮยอนนึกถึงจื่อเทาเป็นตัวช่วยแรกสำหรับเรื่องราวที่เขาไม่ถนัดนัก ที่สำคัญ จื่อเทามีโทรศัพท์มือถือ แต่เขาไม่มี
“น้องนายบอกมายังงั้นหรอ?” เพื่อนตัวโตถามขณะมองโทรศัพท์ของตัวเองสลับกับเงินปึกหนึ่งที่แบคฮยอนส่งมาให้
“อือ ต้องค่อยๆหยอดไปทีละแบงค์หรือเปล่า เอาเข้าหมดพร้อมกันคงไม่ได้”
“เอาเงินใส่เข้าไปในมือถือฉันเนี่ยนะ!?” จื่อเทาย้อนถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ เขาเพิ่งรู้ว่ามนุษย์เราเอาเงินยัดโทรศัพท์ก็ได้ด้วย
“ก็ดันบีบอกมาแบบนี้นี่”
“อ่าฮะ แล้วถ้าใส่เงินเข้าไปเสร็จ จากนั้นทำไงต่อ”
แบคฮยอนหยุดคิด นิ้วเผลอยกขึ้นมาเกาแก้มอย่างงุนงง “คงต้องกดเลขบัญชีแล้วโทรออกมั้ง”
จื่อเทาพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกมือถือตนเองขึ้นมาสำรวจ “แล้วต้องเสียบเงินเข้าไปรูไหนเนี่ย”
“นั่นน่ะสิ”
จากนั้นสองเพื่อนรักก็ลองผิดลองถูกกันอยู่พักใหญ่ เอาธนบัตรพับเป็นทบเล็กๆสอดตรงช่องแบตเตอร์รี่บ้าง เปลี่ยนไปใช้เหรียญบ้าง ทว่าสุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว
“ฉันว่าไปถามคนที่เขารู้เรื่องดีกว่าไหม ขืนมั่วอยู่อย่างนี้มือถือฉันจะพังเอา”
แบคฮยอนยิ้มแหย ก็จริงอย่างเทาว่า ถ้าแงะก้อนแบตเตอร์รี่ออกอีกครั้งเดียวเผลอๆมันคงช็อตเอาเพราะเก่าเหลือเกิน
“ลองเอาไปให้คนที่เรือนใหญ่ช่วยแล้วกัน” จื่อเทาเสนอก่อนพูดต่อเมื่อนึกขึ้นได้ “คุณเลย์ไง นี่ก็ดึกแล้วนายต้องกลับไปนอนที่นั่นไม่ใช่หรอ”
แบคฮยอนเบ้ปากพลางคิดหาวิธีที่จะไม่ต้องนอนร่วมห้องกับเลย์อีก จะขอนอนที่นี่ก็ไม่ได้เพราะกลัวแม่กับเพื่อนสงสัย
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะ ขอบใจมากที่ช่วย” คนตัวเล็กตบบ่าแกร่งหนึ่งทีก่อนจะเดินเซ็งลงจากเรือนคนงาน
นี่เขาต้องกลับไปยังนรกอีกแล้วหรือเนี่ย...
แบคฮยอนเดินถือเงินมาจนถึงเรือนใหญ่ คนที่นี่อยู่กันแบบตัวใครตัวมัน ฉะนั้นพอถึงช่วงหัวค่ำ ไฟส่วนกลางก็จะถูกปิดจนเกือบหมด เพราะแต่ละคนแยกย้ายกันเข้าห้องส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย
ทว่าวันนี้ไฟดวงใหญ่ในห้องนั่งเล่นยังคงเปิดอยู่ แบคฮยอนสะดุ้งเมื่อเห็นชานยอลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาสีแดงเลือดนก
ด้วยความคิดที่ว่าร่างสูงคงไม่เห็นเขา หรือถ้าเห็นก็คงไม่สนใจไยดี แบคฮยอนจึงเดินเบาฝีเท้าไปตามแนวขอบห้อง พยายามทำให้ตัวเองไร้ตัวตนที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ละก้าวเป็นไปอย่างหนืดหน่วง ...ชานยอลจะรู้ไหมว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ...แบคฮยอนยกให้เหตุการณ์นั้นร้ายแรงที่สุดเหนือทุกความเจ็บปวดที่ชานยอลเคยทำกับเขา จงใจยัดเยียดความผิดให้ต่อหน้าสาธารณะชน จงใจให้เขาแพ้เพื่อนของตัวเองที่เป็นฝ่ายใส่ความ
แบคฮยอนไม่ได้คิดว่ามันคือการแข่งขัน ...แต่การต้องมาแพ้และถูกทำโทษทั้งที่ไม่ได้แข่งกันนี่สิ มันน่าเจ็บใจยิ่งกว่า
“แบคฮยอน”
คนตัวเล็กสะดุ้งจนตัวโยน เหมือนเสียงนั้นผลักเขาให้กระเด็นออกจากภวังค์ความน้อยใจ
ไม่รู้ว่าเขาหูฝาดไปเองหรือเปล่าที่ได้ยินเสียงทุ้มแหบอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อ ...คงใช่ เพราะชานยอลยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเดิม ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรกับการมีอยู่ของตัวเขา
แบคฮยอนออกเดินต่อ คราวนี้เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง
“แบคฮยอน...”
ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้หูเพี้ยน... ร่างบางหยุดการเคลื่อนไหวโดยชะงักงันแต่ไม่ยอมหันไปทางคนพูด
ชานยอลพับหนังสือพิมพ์แล้ววางลงกับโต๊ะสี่เหลี่ยม ไม่ได้ลุกขึ้นมาหาคนตัวเล็ก แต่ใช่วิธีเรียกชื่อเป็นครั้งสุดท้าย
“แบคฮยอน”
“ครับ?” เจ้าของชื่อแปลกใจที่เสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ประชดประชันมากมายถึงขนาดนี้ นี่เขาไม่สามารถเก็บกลั้นความรู้สึกน้อยใจเอาไว้ได้เลยหรือ? จะต้องแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองมีอิทธิพลเหนือตัวเขาไปอีกนานเท่าไหร่?
“มานั่งนี่สิ” น้ำเสียงของชานยอลอ่อนลงกว่าการเรียกชื่อ พลอยให้แบคฮยอนใจอ่อนตามไปด้วย จากนั้นก็เหมือนร่างกายถูกควบคุมด้วยรีโมทอัตโนมัติ ขาเรียวเดินไปหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเล็กที่แยกออกมาสำหรับนั่งคนเดียว ในอกรู้สึกดีใจไปพร้อมๆกับเสียใจ ถ้าสมมติว่าชานยอลอยู่ไกลกว่านี้ อยู่ไกลกันคนละประเทศ คนละจังหวัด เขาคงไม่รู้สึกเสียดายเลยที่เราจะกอดกันหรือว่าบอกรักกันไม่ได้
แต่ว่านี่เราอยู่ใกล้กันแค่นี้เองนะ... ใกล้จนเหมือนกับว่าแค่เอื้อมมือออกไป ก็คงจะสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวกันได้โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น
ในใจแบคฮยอนคิดภาพตัวเองที่โผเข้าไปกอดชายหนุ่มและกระซิบคำว่ารักอยู่ข้างๆหู แต่ในความเป็นจริงเขาทำได้แค่นั่งกำธนบัตรในมืออยู่ที่เดิม มองเห็นภาพ สูดดมกลิ่นน้ำหอม รับรู้ถึงการมีอยู่ ...แต่นอกเหนือจากนั้นเขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับคนตรงหน้าได้อีก
“คุณชานยอลมีธุระจะรับใช้อะไรผมรึเปล่าครับ”
“...”
รับใช้หรือ? ชานยอลคิดไม่ออกว่าเขาจะหาเรื่องอะไรไปรับใช้คนตัวเล็ก เขาไม่มีความต้องการอื่นใดนอกจากนั่งมองแบคฮยอนอยู่เฉยๆ ให้ความอ่อนโยนที่พูดออกมาไม่ได้ ค่อยๆชะล้างความรู้สึกเจ็บปวดแทนคำขอโทษ
‘นั่งให้ฉันมองเฉยๆได้ไหม’
‘ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่นั่งอยู่ตรงนี้’
มีหลายประโยคที่ผุดขึ้นในใจ แต่สุดท้ายแล้วชานยอลก็เลือกที่จะเก็บมันไว้และไม่เอ่ยปาก
แบคฮยอนเป็นคนใบหน้าเล็กแต่เนื้อแก้มเยอะมาตั้งแต่เด็ก ชานยอลจำกระพุ้งแก้มๆกลมกับเนื้อสัมผัสนุ่มนิ่มได้ขึ้นใจแม้ว่าเขาจะเก็บมือเอาไว้ข้างกายไม่ได้ยกขึ้นไปแตะต้อง นอกจากแก้มแล้ว เขาก็ยังจำจมูกเรียวเล็กได้อีกด้วย มันเป็นเสมือนส่วนต้องห้ามส่วนหนึ่งที่เมื่อเมื่อไหร่ที่เขาแกล้งบีบ แบคฮยอนก็จะร้องโวยวายขึ้นมาว่า ‘จมูกแบคมันจะตาย! เดี๋ยวมือพี่ชานยอลก็เลอะหรอก!’
และยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างของแบคฮยอนที่ยังคงประทับอยู่ในอุ้งมือเขา ที่ปลายนิ้ว ที่จมูก ที่ริมฝีปากที่เคยใช้แนบกับริมฝีปาก...
ดวงตาของแบคฮยอนเป็นสีน้ำตาล อ่อนเฉดกว่าสีผม มันค่อยๆแวววาวขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ถูกเขาจ้องมองอยู่อย่างเงียบเชียบ
คิดถึง... คิดถึงเหลือเกิน
แบคฮยอนจะรู้ไหมว่า ความจริงแล้วเขาคิดถึงเจ้าตัวมากกว่าจำนวนดอกแอปริคอตทั้งไร่เสียอีก
ม่านตาของแบคฮยอนยิ่งมองก็ยิ่งชุ่มฉ่ำ ไม่นานระลอกน้ำนั้นก็เอ่อขึ้นจนล้นขอบตา ซักพักก็ไหลลงอาบแก้ม
“ร้องไห้ทำไม” ชานยอลถามในสิ่งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ แบคฮยอนส่ายศีรษะ ...จะให้บอกว่าร้องไห้เพราะเสียดายในความสัมพันธ์อย่างนั้นหรือ ...มันสายเกินไปแล้ว และเขาคงดูหน้าด้านเหลือเกินที่ร้องจะเอาในสิ่งที่ตัวเองจงใจทำหลุดมือ
“นั่นเงินอะไร?” ร่างสูงลดสายตาไปที่ธนบัตรหลายใบที่ตอนนี้ถูกกำจนยับยู่ยี่
“อ๋อ...” แบคฮยอนตอบทั้งที่น้ำตายังไม่หยุดไหล “เงินที่ผมจะโอนให้น้องครับ”
“หรอ โอนอย่างไรละ”
แบคฮยอนร้องไห้หนักขึ้น น้ำเสียงนั้นที่คุ้นเคย ...พี่ชานยอลพูดจาต่อกันดีๆอย่างที่เคยหวัง เขายกมือขึ้นปิดเสียงสะอื้นที่ส่งให้ทั้งร่างกายหอบโยน ก่อนจะรีบเอาออกแล้วละล่ำละลักตอบอย่างรวดเร็ว
“ดันบีให้..ให้โอนผ่านโทรศัพท์ครับ”
ชานยอลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบสมาร์ทโฟนออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม “ธนาคารอะไร”
“KEBครับ”
“เลขบัญชี?”
แบคฮยอนบอกตัวเลขที่จดมาในฝ่ามือ ถึงมันจะชื้นเหงื่อจนทำให้ตัวอักษรละลายแต่ก็พออ่านได้ลางๆ ชานยอลใช้นิ้วลากสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ซักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและบอกว่าจัดการให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณคุณชานยอลมากนะครับที่เป็นธุระให้” เขายื่นปึกเงินด้วยมือที่สั่นจนน่าอายออกไปตรงหน้า ชานยอลปฏิเสธที่จะรับไว้ก่อนจะชวนคุยเพิ่มอีก
“ปกติต้องโอนบ่อยไหม”
แบคฮยอนส่ายหน้า น้ำตายังคงหยดไหลงลงเป็นทางจนดวงตาแดงก่ำ “ครั้งนี้ครั้งแรกครับ ปกติจะให้น้องก่อนเข้าเมือง แต่อาทิตย์นี้น้องไม่ยอมกลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ทำบัญชีของตัวเองด้วยล่ะ ฉุกเฉินอะไรจะได้โอนผ่านโทรศัพท์ได้”
“ครับ ถ้าเข้าเมืองอีกผมจะไปทำ” แบคฮยอนพยักหน้าเสริมคำพูดอีกหลายต่อหลายครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร คงดูลนลานและตลกในสายตาของอีกฝ่ายน่าดู แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย หัวใจมันเต้นแรง คิดถึง ยินดี รักใคร่ และอีกหลายอย่างที่โลดแล่นประหนึ่งว่าถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากกรงขังแห่งความอดทน เขื่อนทลายและน้ำตาก็ไหลลงมาอีก
ชานยอลมองคนตัวเล็กที่ร้องไห้เหมือนเด็กอย่างนึกสงสาร เขาที่ใจร้ายมาโดยตลอดทำให้แบคฮยอนดีใจได้มากมายขนาดนี้เลยเชียวหรือ กับอีแค่การพูดจาดีๆด้วยซักครั้ง
อยากจะดึงเด็กน้อยมากอดปลอบ แต่ด้วยหลายสิ่งในแง่ลบที่ก่อรวมกันเป็นกำแพงทิฐิ ชานยอลจึงทำได้แค่นั่งมองแบคฮยอนร้องไห้อยู่เฉยๆ ทว่าเสียงสะอื้นนั่นก็เรียกร้องให้เขาทำอะไรซักอย่างก่อนที่จะมีคนอื่นมาตัดหน้าทำหน้าที่นั้นแทนอีก
“แบคฮยอน”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงทุ้ม ชานยอลรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังคุยกับลูกหมาที่เพิ่งเอาหน้าลงไปจุ่มกะละมังใส่น้ำมายังไงยังงั้น
“พรุ่งนี้เช้าไปกับฉันไหม”
“...”
“ฉันจะเข้าไปทำธุระในเมืองพอดี”
. . . . . . . . . . .
เมื่อช่วงเวลาอันน่ายินดีหมดลง แบคฮยอนก็กลับมาเป็นทุกข์อีกรอบ
เท้าเรียวค่อยๆย่องเข้าไปในห้องนอน การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างแผ่วเบา จดจ่อกับสมาธิ ...ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม...
“โอ๊ะ!” คนตัวเล็กรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเมื่อหลุดอุทานตอนที่เลย์ละเมอพลิกตัวมาทางเขา ใจหายแวบ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมได้ทุกขณะ
แบคฮยอนยืนนิ่งเหมือนถูกสต๊าฟอยู่นานพอดู รอสังเกตการณ์จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าเลย์จะไม่ตื่นขึ้นมากลางครันเขาจึงเดินต่อ
ร่างบางตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบชุดที่จะสวมใส่ในวันพรุ่งนี้มาอุ้มไว้แนบอก จริงๆแล้วอยากจะเลือกให้นานกว่านี้หน่อยเพราะการเข้าเมืองไปกับชานยอลถือเป็นสิ่งพิเศษอันดับต้นๆในชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ แต่พอไตร่ตรองดูแล้วก็นึกขำ เสื้อผ้าทุกชุดของเขาอยู่ในระดับเดียวกันหมด ไม่มีตัวไหนดีไปกว่าตัวไหน ก็แค่เสื้อผ้าใส่ทำงานในไร่ ไม่เก่าก็ขาด ที่สำคัญเลอะยางไม้ทุกตัว
คิดในแง่บวกก็คือดีแล้วที่ไม่ต้องเสียเวลาเลือก แบคฮยอนเดินต่อไปที่เตียงกว้าง คราวนี้ทำใจอยู่นานกับการหยิบเครื่องนอนไปนอนที่โซฟาห้องรับแขก
‘เหวอๆๆๆ!’ แบคฮยอนร้องตะโกนในใจ แทบจะกระโดดเขย่งปลายเท้าเมื่อเลย์ละเมอวาดแขนขึ้นมาตะครุบผ้าห่มกับหมอนใบโตของเขาเอาไว้
‘จะทำยังไงดีๆ?...’ คนตัวเล็กปากคอสั่น สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยผ้าห่มกับหมอนไปด้วยความเสียดาย
สุดท้ายเขาก็ต้องนอนหนาวที่โซฟาในคืนนั้น ก่อนจะปลุกตัวเองตั้งแต่ตีสามเพื่อแอบเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำสำหรับแม่บ้าน
อาบน้ำเสร็จแบคฮยอนก็ตัดสินใจออกไปนอนต่อที่โรงจอดรถ ยิ่งใกล้เช้าเขายิ่งกลัวเลย์ตื่นขึ้นมาพบ รายนั้นตื่นเช้าอย่าบอกใคร
ร่างเล็กกระโดดขึ้นกระบะรถส่งของคันเก่า ก่อนจะดึงผ้าใบคลุมสินค้าขึ้นมาห่มตัวเองไว้
คิดดูแล้วก็น่าสมเพช ไม่รู้ว่าเขาจะหลบเลี่ยงเช่นนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ อย่างน้อยก็ไม่น่าเกินอาทิตย์ เลย์ต้องเริ่มไม่พอใจที่เขาไม่ไปนอนด้วย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น แบคฮยอนก็ไม่อยากจะคิดให้ขวัญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว
รุ่งเช้า แสงลอดรูขาดของผ้าใบเข้ามาแยงตา แบคฮยอนค่อยๆขยับตัวอย่างระแวดระวัง แต่แล้วผ้าทั้งผืนที่ห่มกายอยู่ก็ถูกกระชากออก
คนตัวเล็กหลับตาปี๋ด้วยความตกใจกลัว กระทั่งเสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้น
“ฉันเอง”
ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกนี้เช่นไร เหมือนคนจมน้ำที่ได้รับการช่วยเหลือและให้ที่พักพิง แม้ในชั่วระยะเวลาสั้นๆก็ช่างเปี่ยมด้วยบุญคุณและความหมาย แบคฮยอนยิ้มสุดริมฝีปากให้กับชานยอลที่ยืนกอดอกตีหน้ายักษ์อยู่ข้างรถกระบะ เขาอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสท่อนแขนแข็งแรง อย่างน้อยก็เพื่อหาไออุ่น แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็ชักมือกลับเมื่อรู้ว่าเขาไม่มีค่าพอจะแตะต้องตัวชานยอลได้อีกต่อไป
ร่างสูงมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ เป็นเหน็บหรือ? เขานึกสงสัยก่อนจะช้อนร่างเล็กด้วยสองมือให้พยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้ดีๆแล้วช่วยอุ้มช่วงเอวให้ลงมาจากรถ
“ขอบคุณครับ” แบคฮยอนแก้มแดงจัดโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ ชานยอลมองริ้วแดงบนพวงแก้มของคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มจางๆบนมุมปาก
“ทำไมมานอนตรงนี้”
แบคฮยอนตะลึงลานอยู่กับรอยยิ้มละมุนของชายหนุ่ม แต่ครู่เดียวมันก็กลับไปเป็นเส้นตรงเช่นเดิม จนคนตัวเล็กไม่แน่ใจว่าเขาตาฝาดไปเองหรือเปล่า
“ผมมารอน่ะครับ ไม่รู้ว่าเช้าของคุณชานยอลคือกี่โมง”
คิ้วเข้มขมวดมุ่น ...นี่แบคฮยอนกวนประสาทเขาหรือ?
“ม..ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ คือผมหมายความว่า...” จะตอบอย่างไรดีที่ไม่เผยไต๋ออกไปว่าเขาหนีเลย์ออกมานอนนอกบ้าน
“ช่างเถอะ ไปกันได้แล้ว” ชานยอลตัดบทให้อย่างนั้น มองคนตัวเล็กอึกๆอักๆเหมือนปลาจมน้ำแล้วอึดอัดแทน
แบคฮยอนยิ้มโชว์เขี้ยวซี่เล็กอีกครั้ง แม้จะเป็นยิ้มแหยๆจากการทำตัวไม่ถูก แต่ก็ทำให้เช้านี้ของชานยอลสว่างไสวกว่าทุกวัน ...ไม่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ...ชานยอลพยายามบ่ายเบี่ยง แต่เมื่อเขามองรอยยิ้มของแบคฮยอนอีกครั้ง สุดท้ายก็จำต้องยอมรับโดยดุษฎี
แบคฮยอนเป็นของเขา และรอยยิ้มนั้นก็กำเนิดมาเพื่อเขาด้วย
“ผมขอ..ไป...ไปล้างหน้าก่อนได้มั้ยครับ” คนตัวเล็กชี้ไม้ชี้มือที่พันกันยุ่งเหยิงไปที่ตัวบ้าน แก้มแดงจัด พูดจาผิดๆถูกๆ ...เหมือนหนุ่มสาวที่เพิ่งตกหลุมรักซึ่งกันและกันอีกครั้ง มีแต่ความขลาดเขิน ประหม่า ที่ชัดเจนที่สุดคือความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน
ชานยอลพยักหน้าอนุญาต ไม่ได้แสดงอาการมีความสุขจนล้นหลามออกมาให้เห็นเหมือนอีกฝ่าย แต่แบคฮยอนรู้แน่ ต้องรู้อยู่แล้วล่ะว่าเขาเองก็ใจตรงกัน ไม่เช่นนั้นไม่ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่มิดขนาดนี้หรอก
คนตัวเล็กเดินกัดริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มไปตลอดทาง สายตาของชานยอลจับจ้องอยู่ทุกขณะ ภาพด้านหลังของแบคฮยอนซ้อนทับกับภาพในวัยเด็กที่เจ้าตัวยังสูงน้อยกว่านี้ ผมยาวระต้นคอ ตามเนื้อตัวมีแต่บาดแผลเพราะชอบเล่นปีนต้นไม้
แบคฮยอนของเขา ...น้องแบคของเขา ...ทั้งสองวัยไปจนถึงตลอดกาล บยอนแบคฮยอนเป็นคนของเขา
“แบคฮยอน!”
เสียงเลย์ดังมาจากในบ้าน แบคฮยอนหยุดฝีเท้าโดยอัตโนมัติ ตาเรียวเบิกกว้าง
“แบคฮยอน!!” เลย์ตะโกนซ้ำมาอีกครั้ง เหมือนกำลังหงุดหงิดที่หาเขาไม่พบ แบคฮยอนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนหวาดกลัวอยู่ตรงนั้น ความทรงจำที่เลย์ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้รูดหนังกับเนื้อของเขาที่ติดอยู่กับแส้จนมันหยดกระเด็นลงบนพื้นปรากฏราวกับภาพฉายในจอโทรทัศน์
“แบคฮยอน!!”
เลย์เดินกระแทกเท้าออกมาจากบ้าน และหันมาเห็นเขาพอดี
จบแล้ว ชีวิตเขาคงจบลงตรงนี้
ทว่าตอนนั้นเองที่มือถูกฉุดไปกอบกุมไว้จากทางข้างหลัง แบคฮยอนหันไปมองก็เห็นชานยอลกุมมือเข้าไว้แล้วเริ่มออกแรงดึงให้เดินกลับไปทางเดิม แบคฮยอนหันไปมองเลย์อีกครั้ง รายนั้นจ้องเขาเขม็งอย่างดุดัน พร้อมวิ่งตรงมาหาอย่างรวดเร็ว
แบคฮยอนขาแข็ง กลัวขึ้นมาจับใจ แต่มือของชานยอลก็กระตุกอีกครั้ง ...อยู่ที่ว่าเขาจะกล้าพอหรือไม่
แบคฮยอนหลับตาลง เสียงเลย์คำรามเรียกดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกๆที สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้ร่างกายเป็นไปตามการชักนำของชานยอล ร่างสูงจับมือเขาไว้แล้วพาวิ่งไปจากตรงนี้ หลีกหนีไปจากความหวาดผวาและความเป็นจริง
ใช้เวลาซักพักกว่าเขาจะกล้าลืมตา สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือสองมือที่จับกันไว้อย่างแนบแน่น แบคฮยอนเห็นความรักและความหวังอันกล้าแกร่งจากมือที่ประสานกันเอาไว้
ความรักคือใจสองดวงที่ผูกพัน ปรารถนาต่อกันโดยไม่มีสิ้นสุด
ส่วนความหวังคือการเกลียดในปัจจุบัน กลัวในผลลัพธ์จากการกระทำ กระนั้นก็ยังคงคิดฝันว่าสักวันจะต้องดีกว่าที่เป็นอยู่
ชานยอลกำลังพาเขาหนีไปพร้อมความหวัง
แม้วันเดียว ก็มีค่าพอที่จะเสี่ยง
. . . . . . . . . . . . . . .
ความคิดเห็น