คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ' มิ่ง : 05
วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดหวีดหวิว
ชานยอลจำรายละเอียดของสิ่งแวดล้อมรอบกายของเขาไม่ได้มากไปกว่านี้ บางทีแดดอาจแรงจัด หรืออาจจะไม่มีแดดเลยก็เป็นได้ เขาจำได้แค่ว่าลมเย็นชื่นใจ และมันพัดโกรกจนกระดาษรายงานของเขาปลิวว่อน
ไม่ใช่ว่าจู่ๆเขาจะนึกหวนถึงวันธรรมดาอันแสนน่าเบื่อในมหาวิทยาลัยขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุหรอก เพียงแค่ว่า สิ่งที่เขาได้กระทำในวันนั้น มันบังเอิญสอดคล้องกับอะไรบางอย่างในวันนี้
‘ความรัก นัยหนึ่ง เป็นนามธรรม
ส่วนรูปธรรมของความรัก จะเกิดจากการแสดงออกถึงความรัก
หากถามว่า สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน คงจะเกิดข้อถกเถียงไม่รู้จบสิ้น ตามแต่ทัศนคติและประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาของบุคคลอันหลากหลาย
แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งมนุษย์ยอมรับกันโดยสากล คือ ผู้คนชอบให้บุคคลที่ตนรัก กระทำการใดก็ได้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าความสัมพันธ์ยังคงดำรงอยู่’
ชานยอลนึกถึงบทความที่เขาเคยเขียนส่งอาจารย์เมื่อตอนเรียนวิชาเสรีที่ลอนดอน ชิ้นส่วนของกระดาษโดนลมพัดจนปลิวไปไกลเมื่อเขียนจบ ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจตามไปเก็บมัน เพราะเขาจำสิ่งที่เขียนได้ทั้งหมดจากการคิดกลั่นกรองมาตลอดทั้งคืน
ปัจจุบัน เขากำลังท่องบทความนั้นไปพร้อมๆกับทอดสายตามองขึ้นไปบนเวทีที่มีขนาดไล่เลี่ยกับสังเวียนมวย
จางอี้ชิงกำลังแสดงออกถึงความรักที่มีต่อแบคฮยอนด้วยการกระทำ ทั้งจากสายตา คำพูด และการสัมผัส ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมากำลังดำเนินไปในงานวิวาห์ที่คล้ายว่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของคู่รักทั่วไป
ส่วนเขา ด๊อกเตอร์ปาร์คที่เคยได้รับรางวัล ‘บทความยอดเยี่ยม’ จากงานเขียนนั้น กำลังนั่งร่วมงานอยู่บนโต๊ะวีไอพีในฐานะแขกรับเชิญ
ชานยอลกำลังเก็บชิ้นส่วนของนามธรรมที่เขามีต่อแบคฮยอนใส่ลงในกล่องใบหนึ่ง กล่องนี่อาจเรียกได้ว่ากล่องเก็บอารมณ์ ซึ่งเมื่อคนเราเติบโตขึ้น และได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาที่เรียกว่าการศึกษา ผ่านโลกกร้านๆที่เรียกว่าสังคมอันแท้จริง หรือผ่านช่วงชีวิตมาสักระยะหนึ่งแล้ว กล่องใบนี้ก็จะใหญ่จนสามารถบรรจุเสียงร้องไห้ที่ดังเทียบเท่ากับเสียงของการระเบิดเหมืองได้เลยทีเดียว
ชานยอลกำลังร้องไห้ ความเจ็บร้าวสั่นสะเทือนอยู่ในอกแกร่ง
มันเหมือนว่ากล่องใบนี้ใหญ่มาก เขาพยายามยัดรอยยิ้มของแบคฮยอนลงไป ยัดความรัก ความห่วงหาอาทร ยัดความอ่อนโยนที่มาจากการสัมผัสที่บางครั้งก็หนักแน่นและบางครั้งก็เบาโหยง ยัดทุกอย่างที่คนตัวเล็กเคยได้ทำมาให้ลึกลงไปยังก้นกล่อง
แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า ...แบคฮยอนกระเด้งออกจากกล่องมาอยู่ตรงหน้านี้เอง
ความรักที่เป็นเพียงนามธรรม มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ยิ่งกว่าสายลม กำลังทำให้เขาเจ็บปวดจนเผลอจินตนาการถึงร่างของตัวเองที่นอนขดอยู่บนเตียงกว้าง ร้องไห้อย่างไม่นึกอายฟ้าอายดิน ตีอกชกตัวเอง ทึ้งเส้นผมอย่างคนหมดหนทางจะต่อสู้ ซักพักก็หอบหายใจด้วยอาการไฮเปอร์
เขามองเห็นภาพนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆด้วยท่าทางนิ่งสงบ
ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาของเขา ...ดีแล้ว ...การเก็บอารมณ์ต่อหน้าสาธารณะชนของเขายังคงดีเยี่ยม
เขาเหม่อคิดถึงเรื่องเก่าในระหว่างที่คู่แต่งงานบนเวทีกำลังกล่าวคำขอบคุณโง่ๆที่ไม่มีอะไรต่างจากแบบแผนดั้งเดิมเสียเท่าไหร่
เขายังจำได้กระทั่งวันแรกที่แบคฮยอนถือกำเนิดขึ้นในท้องของคนงานที่ชื่อซังมี
. . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ใช้ไม้ค้ำเดินกะเผลกๆจากหัวไร่มายังท้ายไร่ เป็นที่ชินตาแก่คนงานและเจ้าของไร่มากว่าครึ่งปีแล้ว
"ตื่นเต้นเหลือเกินนะพ่อคุณ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นคนท้องหรือยังไง" คนงานคนหนึ่งเอ่ยทักพ่อหนุ่มน้อยใส่ขาเหล็กในขณะที่เดินสวนกันตรงบันได คนที่ถูกกล่าวหาว่า 'ไม่เคยเห็นคนท้อง' ยิ้มแป้นจนปรากฏลักยิ้มบุ๋มที่แก้มขาว ศีรษะกลมส่ายวืดเป็นนัยว่าเขาไม่เคยเห็นคนท้องมาก่อนจริงๆ
คนงานที่เอ่ยปากแซวช่วยอุ้มปาร์คชานยอลวัยห้าขวบขึ้นตัวเรือน เมื่อเห็นว่าการเดินของพ่อหนูนั้นแสนจะยากลำบาก
"ขอบคุณครับ" มือป้อมตะเบ๊ะอย่างแข็งขันก่อนจะเดินเขยกต่อไปจนถึงห้องนอนของคนงาน ซึ่งขณะนั้นเป็นห้องรวม
ภายในห้องมีหญิงสาวตั้งครรภ์กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่คนหนึ่ง
"อ้าวคุณชานยอลวันนี้มาแต่เช้าเชียว" หล่อนลดหนังสือลงเมื่อเด็กชายตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ สองสายตาของคนต่างวัยประสานกัน ชานยอลวางไม้ค้ำลงแล้วกระโดดขึ้นเตียง
"น้าซังมีอ่านอะไรหรือ?" ตากลมจ้องหนังสือที่หน้าปกมีเด็กทารกเป็นนางแบบตาเป็นประกาย
"คู่มือตั้งชื่อลูกค่ะ คุณชานยอลอยากช่วยน้าตั้งชื่อน้องไหม"
แน่นอนว่าพ่อหนูตาโตรีบพยักหน้าหงึกหงัก เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตในพุงของน้าซังมี เขาล้วนตื่นเต้นและอยากมีส่วนร่วมด้วยไปเสียอย่าง
มือป้อมเปิดหนังสือก่อนจะพลิกหน้ากระดาษอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง
"ให้น้องชื่อชานยอลได้มั้ยครับ" พออ่านไม่ได้มากๆเข้า พ่อหนูก็เงยหน้าขึ้นมาถามตาแป๋ว
"ถ้าชื่อนั้นก็ซ้ำกับคุณชานยอลสิคะ"
"ซ้ำไม่ได้หรอ"
"ไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณชานยอลโตขึ้นแล้วรับช่วงต่อจากพ่อเลี้ยง ชื่อมาซ้ำกับลูกคนงานคงตลกแย่"
“แต่คนเกาหลีชื่อซ้ำกันตั้งเยอะแยะ”
“ไม่ค่ะ ไร่เราไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้น”
ชานยอลยังอยู่ในวัยที่ตามคำพูดซับซ้อนไม่ทัน เด็กชายเลิกสนใจคนสูงวัยกว่าก่อนจะมองหาชื่อที่เขาพอจะอ่านออกอีกครั้ง
"แบคยุน ยอ ยอล~ ให้น้องชื่อแบคฮา ยอ ยอล"
คุณแม่ยังสาวอมยิ้มให้กับความพยายามออกเสียงของลูกชายเจ้านายวัยห้าขวบ "ไหนคะ ชื่อไหนเอ่ย"
แล้วนิ้วป้อมก็ชี้ไปที่ชื่อสุดท้ายบรรทัดล่างสุด
"แบคฮยอน? ...ก็ไม่เลวนะคะ แบคแปลว่าสีขาวบริสุทธิ์ ฮยอนแปลว่าคุณงามความดี ถ้าน้องชื่อว่าแบคฮยอนต้องโตมาเป็นเด็กดีแน่เลยๆ"
ชานยอลปรบมือพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก่อนนิ้วป้อมจะจิ้มไปที่ชื่อนั้นบนแผ่นกระดาษอีกครั้งพร้อมกับอ่านออกเสียง
"แบคฮายอน... แบคฮยอน"
. . . . . . . . . . . . . .
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทายาทคนโตแห่งไร่กงยูเดินโขยกเขยกจากเรือนใหญ่ไปยังที่พักของคนงาน ทว่าคราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า ชานยอลยังพกเอากล่องเครื่องมือในการเย็บผ้าติดมือไปด้วย
"ชานยอลล! ขึ้นรถไปกับพ่อมั้ย" คุณปาร์คที่ขับรถกระบะผ่านมาพอดีลดกระจกลงมาถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่ชานยอลกลับหยุดเดินแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ
"ผมอยากเดินเองครับพ่อ" ให้เหตุผลเช่นนั้นก่อนมุ่งหน้าเดินต่อ คนเป็นพ่อจอดรถมองดูลาดเลาอยู่ซักพักก็ตัดสินใจขับรถออกไป ในใจของเขาครุ่นคิด...ให้เดินเอาเองก็ดีเหมือนกัน เพราะการเดินบ่อยๆก็มีส่วนช่วยให้อาการโปลิโอดีขึ้นได้
ชานยอลติดเชื้อโปลิโอตั้งแต่สี่ขวบ โชคดีที่เด็กคนนี้ได้นิสัยอยู่ไม่สุขจากแม่มาเยอะ ทำให้เขาหมดห่วงเรื่องลูกจะเป็นอัมพาต หลังๆมานี้ยิ่งหายห่วงเข้าไปใหญ่ เพราะชานยอลกระเตงร่างเดินไปท้ายไร่ได้แทบทุกวัน
ต้องขอบคุณบยอนซังมี คนงานไร่แอปเปิ้ลที่เผอิญตั้งท้องขึ้นมาถูกเวลา เจ้าลูกชายของเขาถึงได้เดินบ่อยและไกลได้ขนาดนี้
"คุณชานยอลเอาอุปกรณ์เย็บผ้ามาทำไมหรอคะ?"
"ผมจะเอาเข็มมาเจาะน้องครับ"
คำตอบนั้นทำเอาซังมีสะดุ้ง สองมือรีบกุมท้องไว้อย่างหวาดระแวง
"ท้องน้าไม่ใช่ลูกโป่งนะคะ ถึงจะเอาเข็มมาเจาะแล้วน้องจะเกิดออกมาได้
ได้ยินเช่นนั้นเด็กชายก็ตาละห้อย "อ้าว..."
"น้องจะคลอดออกมาก็ต่อเมื่อถึงกำหนดเท่านั้นค่ะ ต้องครบเก้าเดือนก่อน"
ชานยอลยกมือขึ้นมานับ "หนึ่ง สอง สาม...อีกสามเดือนหรอ"
"ใช่ค่ะ อีกสามเดือน" หล่อนพูดยิ้มๆ เพราะแค่จินตนาการไปถึงวันที่สิ้นสุดการรอคอยวันนั้น จิตใจก็อิ่มเอมเปรมไปด้วยความสุข
. . . . . . . . . . . . .
ดูเหมือนเจ้าหนูแบคฮยอนจะอยากออกมาลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด
ในบ่ายวันหนึ่ง กลางเดือนที่เจ็ด
"น้ำอะไรหรอครับน้าซังมี?"
"ไหนจ๊ะ น้ำที่ไหนเอ่ย"
"นี่ครับ น้ำไหลออกมาเต็มเลย"
คุณแม่ยังสาวมองตานิ้วชี้ของตาหนูชานยอล ก่อนจะต้องลืมตาโพลงอย่างตกใจ เมื่อน้ำเมือกใสปนโลหิตมันไหลมาจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่!!
ชานยอลรับหน้าที่แจ้งข่าวสารให้คนงานคนอื่นรู้ว่าน้าซังมีเจ็บท้อง ด้วยความตื่นเต้นและเร่งรีบเกินเหตุ หนุ่มน้อยจึงก้าวผิดจังหวะกลิ้งตกบันไดหลุนๆ ขาเทียมหลุดออกจากขาจริงที่ลีบเล็กจากการเป็นโปลิโอ กระนั้นก็ยังกัดฟันกระโดดขาเดียวเข้าไปในไร่แอปเปิ้ล
"น้าซังมีจะคลอดน้องครับ!! น้าซังมีจะคลอดน้อง!" ชานยอลป้องปากตะโกน ล้มลุกคุกคลานอยู่นานกว่าจะเจอคนงานในไร่
ซังมีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันท่วงที แต่เด็กที่คลอดก่อนกำหนดตัวเล็กจนทีมแพทย์มีมติให้เข้าตู้อบต่อจนกว่าจะเเข็งแรงกว่านี้
"เอาน้องเข้าไมโครเวฟตอนออกมาน้องจะสุกมั้ยครับพ่อ" ชานยอลถามคุณพ่อที่อาสาขับรถพาเยี่ยมน้าซังมีตามที่เขาร้องขอ
"ไม่ใช่ไมโครเวฟแบบนั้น มันเป็นตู้อบเด็กที่สร้างขึ้นจำลองสภาวะในท้องแม่ น้องจะได้เหมือนยังไม่คลอดไง"
แม้จะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่เด็กชายชานยอลก็ไม่ได้ถามต่อ เขาจดจ้องร่างเล็กจ้อยของทารกด้วยความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็เยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจ
มือทั้งสองข้างกุมกันระหว่างอก ดวงตากลมเป็นระกายปิดฉับลงด้วยเปลือกตา ...ชานยอลกำลังอธิษฐานถึงพระผู้เป็นเจ้า
"ขอให้น้องไม่เป็นโปลิโอเหมือนผม ขอให้น้องแข็งแรง ใครๆเห็นก็รักน้อง"
คุณปาร์คได้เห็นแง่มุมจิตใจดีของลูกชายก็นึกเอ็นดู มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มเบาๆแล้วปล่อยให้ลูกชายจมในภวังค์โดยไม่คิดทักท้วง
ชานยอลมองลึกเข้าไปในตู้อบเด็กแรกเกิด คล้ายกับว่ามีสายใยที่ผูกพันเขากับแบคฮยอนเอาไว้อย่างแน่นหนา
เป็นใยรักที่เปี่ยมด้วยเมตตาและการุณย์จนชานยอลคาดไม่ถึงว่ามันจะมีผลสืบไปจนกระทั่งเขาก้าวพ้นรอยต่อจากเด็กชายไปสู่พ่อเลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่แห่งไร่กงยู
หวานเอย ไม่มีหวานใดเทียบเท่าความรัก
เหมือนดั่งขม ที่ขมที่สุดเพราะรักอันไม่สมหวังเช่นกัน
ชานยอลยังจำได้ว่าเขาเคยรักแบคฮยอนแบบพี่น้องมากแค่ไหน จำได้ว่าฉันท์มิตรนั้นเขาก็รักแบคฮยอนมากที่สุด จนเลื่อนขั้นมารักอย่างคนรัก แบคฮยอนก็ยังเป็นหนึ่งเดียวในใจของเขามาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน
คนตัวเล็กยืนคู่กับอริของเขาบนเวทีเดียวกับที่ใช้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาไปเมื่อคืนก่อน เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็เป็นตัวเดิมกับที่พ่อของเขานั่งไปเมื่อวาน
ชานยอลเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนี้ เพราะมันเป็นตำแหน่งที่เห็นภาพบนเวทีได้อย่างชัดเจน เป็นมุมที่เหมาะจะใช้คำว่า ‘ที่นั่งวีไอพี’ อย่างแท้จริง
การแต่งงานไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แค่ทำตามพิธีกรรมที่มนุษย์เราประโลมว่าดีงามก็เท่านั้น แต่งงานเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เพื่อออกหน้าออกตา เพื่อประกาศให้สังคมรับรู้
ชานยอลมองออกว่าแบคฮยอนยังคงรักเขาอยู่ ซึ่งมันยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นหมอง
เขาจะไม่นึกสงสัยเลยว่าคนที่หมดรักกันไปแล้วจะมีคนอื่นเพื่ออะไร จะแต่งงานกับคนที่เจ้าตัวก็รู้ว่าเป็นศัตรูกับเขาด้วยเหตุผลประการไหน ถ้าแบคฮยอนไม่รักเขาแล้ว หรือโกรธที่เขาหายหัวไปเป็นสิบปี เขาอาจจะไม่นึกโกรธแค้น และคงจะค่อยๆเจ็บน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่คนรักกันต้องทรมานกันขนาดนี้ เงินหรือ? หรืออี้ชิงทำหน้าที่เติมเต็มความต้องการทางเพศของแบคฮยอนในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่?
มีหลายความคิดผุดขึ้นในหัวของเขา สุดท้าย ชานยอลก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากภาพของตัวเองภาพเดิม ที่นอนร้องไห้คล้ายจะขาดใจตายอยู่ในโลกจินตนาการ
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
แบคฮยอนชอบสีขาว แต่เลย์ยืนกรานให้เขาสวมสูทสีชมพูอ่อน
ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหนักหนาอะไร ไม่มีอะไรหนักเท่าการต้องยืนมองปาร์คชานยอลจากมุมนี้อีกแล้ว
ร่างสูงไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจกับการแต่งงานของเขา ชานยอลทำเหมือนกับว่ามันเป็นแค่เหตุการณ์ที่ฝูงมดอพยพรังขึ้นที่สูงเมื่อฝนตกพรำๆ
การเฉยชาคือการลงโทษที่โหดร้ายที่สุด โหดร้ายอย่างสาหัส ให้นึกถึงเด็กที่วาดภาพที่เขาคิดว่าสวยที่สุดออกมา แต่ไม่ได้รับคำชมใดๆ และนึกถึงผู้ทรงศีลที่เผลอฆ่าใครซักคน แต่ไม่มีใครตำหนิเขา
ความผิดที่ไม่ได้รับการชะล้างเป็นคราบตะกอนอยู่ในใจ แบคฮยอนแทบจะนึกภาพวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับชานยอลไม่ออก อาจจะเดินสวนกัน ทักทายกัน ทำงานร่วมกัน ...บางทีถ้ามีโอกาสได้คุยกัน เขาอาจจะบอกเหตุผลของการแต่งงาน อย่างน้อยก็เพื่อปลดแอกที่อยู่ในใจของเราสองคนออกไป
“ขอเชิญพ่อเลี้ยงกล่าวอะไรซักเล็กน้อยค่ะ”
แบคฮยอนเกร็งตัวเมื่อตอนที่คุณปาร์คเดินผ่าน ชายวัยกลางคนเดินขึ้นมาจับไมค์บนเวทีตามคำเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แบคฮยอนไม่ได้สนใจว่าพ่อเลี้ยงพูดอะไร เพราะคนที่ต้องขึ้นมาพูดลำดับต่อมาคือพี่ชานยอลที่เขาเทิดทูนและรักใคร่
ชายหนุ่มเดินอย่างสง่าผ่าเผย ริมฝีปากไม่ปรากฏรอยยิ้มหรือแม้กระทั่งหยักใดๆ ศีรษะตั้งตรง จะมีบ้างที่กล้ามเนื้อคอกระตุกจนเห็นเส้นเอ็นที่ยึดไปถึงช่วงไหปลาร้า เหมือนรูปปั้นนักรบ เหมือนอัศวิน เหมือนอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ชานยอลที่แบคฮยอนเคยรู้จัก
ร่างสูงไม่ได้จับไมโครโฟน เขาเพียงแค่โน้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อให้ส่วนสูงพอดีกับขาตั้งไมค์
“แล้วจะคิดถึง”
ชานยอลพูดเท่านี้ สั้นเกินกว่าที่ใครจะตีความได้ เขาลงเวทีไปท่ามกลางความงุนงงของคนงานทั้งกังยู
ไม่มีใครรู้นอกจากแบคฮยอน
‘แล้วจะคิดถึง’
นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับชานยอลก่อนที่เจ้าตัวจะไปเรียนต่อยังซีกโลกตรงข้าม
เขาเป็นคนพูดเอง เป็นคนสัญญาเอง
แล้วจะคิดถึง...
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ไอ้สัตว์เอ๊ย!! เดนนรกส่งมึงมาเกิดหรือยังไง!”
แบคฮยอนสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำนั้นหลุดออกจากปากของเจ้าบ่าวหมาดๆของตัวเอง เลย์พ่นมันออกมาทันทีหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้องหอซึ่งเป็นห้องนอนชั้นสองในเรือนใหญ่
คนตัวเล็กชะงักนิ่งอยู่อย่างนั้น บางอย่างผิดปกติจากที่เคยรับรู้มาทั้งหมด
เลย์ถอดสูทสีขาวออกแล้วเหวี่ยงไปไกลสุดมุมห้อง ปลดเนคไทลวกๆ ท่าทางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่างจากความสุภาพอ่อนโยนที่เคยเป็นก่อนหน้าลิบลับ
“คอยดูเถอะ กูจะฆ่ามึง!”
แบคฮยอนเผลออ้าปากค้าง ไม่...ไม่เลย นี่ไม่ใช่เลย์แน่ๆ เลย์ที่เขารู้สึกสุภาพแม้กระทั่งกับจงอินที่อายุน้อยกว่าเป็นทศวรรษ
ความแปลกใจและประหวั่นพรั่นพรึงทำให้แบคฮยอนถอยหลังไปอยู่ชิดมุมห้อง พยายามเก็บเสียงอุทาน ไม่อยากให้เลย์ที่กำลังน่ากลัวนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเข้าในห้องอยู่อีกคน
แต่เลย์ไม่ใช่คนขี้ลืมขนาดนั้น
“มึงมานี่เดี๋ยวนี้!!”
แบคฮยอนตกใจถึงขีดสุดเมื่อเลย์เดินหน้ายักษ์มาทางเขา ไม่ทันได้ตั้วตัวอะไร หมัดหนักก็ชกเข้าที่ท้องอย่างรุนแรง
ไม่ทิ้งจังหวะจะโคน มือขาวจิกที่เส้นผมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาแล้วชกลงไปที่อกแรงๆอีกหนึ่งครั้ง
แบคฮยอนหมดเสียงคร่ำครวญ เขาร่วงลงไปนอนที่พื้นทั้งที่ยังไม่รู้สาเหตุของการกระทำอันป่าเถื่อนแต่อย่างใด
เลย์เดินไปลากเก้าอี้มาตั้งกลางห้อง จิกหัวแบคฮยอนขึ้นมาและใช้เชือกเส้นหนารัดร่างเล็กไว้กับเก้าอี้ตัวนั้น
พฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงคุกคามเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้คิด คล้ายกับว่าเขาจะน็อคไปแล้วกับเพียงแค่สองหมัดหนักๆ
แบคฮยอน ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคนเลยต่างหาก ทุกคนในไร่ไม่มีใครรู้เลยว่าเลย์มีรสนิยมเช่นนี้ แบคฮยอนเคยคิดมาตลอดว่าคนที่ชอบทำร้ายร่างกายคู่นอนจะมีแต่ในละครเท่านั้น
ไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันมีจริงๆ ที่สำคัญ...เขาเป็นเหยื่อ
เลย์ยกยิ้มอย่างบิดเบี้ยวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ทุกอย่างชวนให้ขนลุก แบคฮยอนถูกจับใส่กุญแจมือ ปิดริมฝีปากด้วยเทปดำเส้นใหญ่
ความหวาดกลัวกัดกินจนกล้ามเนื้อกระตุกสั่น เขารู้สึกคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนออกมา เหมือนเห็นภาพเร็วๆของรถยนต์ที่วิ่งผ่านวิวทิวทัศน์ด้วยความเร็วสูงอยู่ตลอด
เลย์กำลังกระทำต่อเขาราวกับไม่ใช่คนโดยไม่ให้เหตุผลอะไรทั้งสิ้น โกรธแค้น? เป็นวิสัย เป็นรสนิยม ...แบคฮยอนคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็เห็นเลย์ยกแส้ขึ้นตวัดลงบนตัวเขา
แบคฮยอนร้องไห้ให้กับความกลัว เมื่อคนเรากลัวถึงขีดสุด ความเจ็บปวดดูเหมือนจะสำคัญน้อยลงไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแส้ของเลย์ทำให้เขาเจ็บจนเหมือนชิ้นส่วนของร่างกายจะแยกขาดออกจากกัน
จากเจ็บก็กลายเป็นชาในท้ายที่สุด เลย์คงเหนื่อยจึงหยุดพัก แบคฮยอนเห็นเขายกนิ้วขึ้นรูดเศษเสื้อผ้ากับเศษหนังของเขาที่ติดอยู่กับแส้ออก เลือดหยดแหมะลงบนพื้น
คนตัวเล็กร้องไห้จนน้ำตาชุ่มเทปสีดำ ซึ่งทำให้มันเผยอออก แต่มาถึงตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงตะโกนขอความช่วยเหลือแล้ว มากสุดก็แค่โกยเอาอากาศเข้าปอด เนื่องจากจมูกทำหน้าที่นั้นไม่ทันสนองความต้องการของคนที่กลัวจนหายใจถี่เป็นเฮือกๆ
“ถ้ามึงบอกใคร... มึง ครอบครัวมึง ไอ้ชานยอล กูจะไม่เอาไว้”
“...”
“ห้ามมึงบอกมันทุกอย่าง มึงอย่าคิดว่ากูไม่กล้า”
เขาขู่เสียงเข้ม ก่อนทำท่าเหมือนจะปลดเข็มขัด แบคฮยอนไม่รู้ว่าเลย์ปรารถนาจะมีอะไรกับเขาหรือไม่ เขาเดาใจคนโรคจิตนี้ไม่ถูก แต่เลย์ดูจะหึกเหิม, มีอารมณ์เมื่อได้มองความเจ็บปวดทรมานของเขา
“กูจะทำให้พวกมึงเจ็บ อย่างที่กูเจ็บมาโดยตลอด!!”
แส้สุดท้ายฟาดมาอย่างแรงจนแบคฮยอนล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้ที่ผูกกับเขาไว้ด้วยเชือก ร่างเล็กได้ยินเสียง ‘ตึง!’ ตอนที่ไหล่ของเขาปะทะพื้นแข็ง มันดังคำรามอื้ออึงในหู จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงวิ้งๆ อันเป็นสัญญาณว่าร่างกายของเขาทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป
สติของเขาขาดตอนลง นึกอยากให้มีฮีโร่ซักคนเปิดประตูเข้ามาช่วย
แต่แล้วสุดท้ายแบคฮยอนก็ตระหนักได้ว่า วันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากเขาไม่ตกลงจะแต่งงานกับเลย์
เขาทำไม่ถูก...ก็ใช่... แต่ถ้าเป็นคุณ คุณผู้ตำหนิในการกระทำนี้
เป็นตัวคุณ คุณจะเลือกทางไหนหรือ
สิบปีมันไม่ทันแล้ว
แบคฮยอนพยายามยื้อเวลานาทีเอาไว้ จนกระทั่งสติหมดลง ทว่าประตูก็ยังไม่เปิดออก
. . . . . . . . . . . .
ก็จะมีอะไรไม่คาดฝันมากมายนะคะในฟิคเรื่องนี้
ตาย แบค แกตาย
จริงๆแล้วคนที่เป็นซาดิสม์ไม่ใช่เลย์นะคะ
อีคนแต่งเลย ทุกเรื่องเลยมึง ไอ้เลว ไอ้หน้าแมว
(โอเค ด่าคนแต่งให้แทนทุกคนให้แล้วนะ5555)
#พายุพี่ชาน
ความคิดเห็น