ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #6 : ' มิ่ง : 05

    • อัปเดตล่าสุด 18 พ.ย. 57






     

               

    วันนั้นเป็นวันที่ลมพัดหวีดหวิว

     

    ชานยอลจำรายละเอียดของสิ่งแวดล้อมรอบกายของเขาไม่ได้มากไปกว่านี้ บางทีแดดอาจแรงจัด หรืออาจจะไม่มีแดดเลยก็เป็นได้ เขาจำได้แค่ว่าลมเย็นชื่นใจ และมันพัดโกรกจนกระดาษรายงานของเขาปลิวว่อน

     

     

    ไม่ใช่ว่าจู่ๆเขาจะนึกหวนถึงวันธรรมดาอันแสนน่าเบื่อในมหาวิทยาลัยขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุหรอก เพียงแค่ว่า สิ่งที่เขาได้กระทำในวันนั้น มันบังเอิญสอดคล้องกับอะไรบางอย่างในวันนี้

     

     

    ความรัก นัยหนึ่ง เป็นนามธรรม

    ส่วนรูปธรรมของความรัก จะเกิดจากการแสดงออกถึงความรัก

    หากถามว่า สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน คงจะเกิดข้อถกเถียงไม่รู้จบสิ้น ตามแต่ทัศนคติและประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาของบุคคลอันหลากหลาย

    แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งมนุษย์ยอมรับกันโดยสากล คือ ผู้คนชอบให้บุคคลที่ตนรัก กระทำการใดก็ได้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าความสัมพันธ์ยังคงดำรงอยู่

     

     

    ชานยอลนึกถึงบทความที่เขาเคยเขียนส่งอาจารย์เมื่อตอนเรียนวิชาเสรีที่ลอนดอน ชิ้นส่วนของกระดาษโดนลมพัดจนปลิวไปไกลเมื่อเขียนจบ ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจตามไปเก็บมัน เพราะเขาจำสิ่งที่เขียนได้ทั้งหมดจากการคิดกลั่นกรองมาตลอดทั้งคืน

     

     

     

    ปัจจุบัน เขากำลังท่องบทความนั้นไปพร้อมๆกับทอดสายตามองขึ้นไปบนเวทีที่มีขนาดไล่เลี่ยกับสังเวียนมวย

     

     

    จางอี้ชิงกำลังแสดงออกถึงความรักที่มีต่อแบคฮยอนด้วยการกระทำ ทั้งจากสายตา คำพูด และการสัมผัส ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมากำลังดำเนินไปในงานวิวาห์ที่คล้ายว่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุดของคู่รักทั่วไป

     

     

    ส่วนเขา ด๊อกเตอร์ปาร์คที่เคยได้รับรางวัล บทความยอดเยี่ยมจากงานเขียนนั้น กำลังนั่งร่วมงานอยู่บนโต๊ะวีไอพีในฐานะแขกรับเชิญ

     

     

    ชานยอลกำลังเก็บชิ้นส่วนของนามธรรมที่เขามีต่อแบคฮยอนใส่ลงในกล่องใบหนึ่ง กล่องนี่อาจเรียกได้ว่ากล่องเก็บอารมณ์ ซึ่งเมื่อคนเราเติบโตขึ้น และได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาที่เรียกว่าการศึกษา ผ่านโลกกร้านๆที่เรียกว่าสังคมอันแท้จริง หรือผ่านช่วงชีวิตมาสักระยะหนึ่งแล้ว กล่องใบนี้ก็จะใหญ่จนสามารถบรรจุเสียงร้องไห้ที่ดังเทียบเท่ากับเสียงของการระเบิดเหมืองได้เลยทีเดียว

     

     

    ชานยอลกำลังร้องไห้ ความเจ็บร้าวสั่นสะเทือนอยู่ในอกแกร่ง

     

     

    มันเหมือนว่ากล่องใบนี้ใหญ่มาก เขาพยายามยัดรอยยิ้มของแบคฮยอนลงไป ยัดความรัก ความห่วงหาอาทร ยัดความอ่อนโยนที่มาจากการสัมผัสที่บางครั้งก็หนักแน่นและบางครั้งก็เบาโหยง ยัดทุกอย่างที่คนตัวเล็กเคยได้ทำมาให้ลึกลงไปยังก้นกล่อง

     

     

    แต่แล้วเขาก็ค้นพบว่า ...แบคฮยอนกระเด้งออกจากกล่องมาอยู่ตรงหน้านี้เอง

     

     

    ความรักที่เป็นเพียงนามธรรม มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ยิ่งกว่าสายลม กำลังทำให้เขาเจ็บปวดจนเผลอจินตนาการถึงร่างของตัวเองที่นอนขดอยู่บนเตียงกว้าง ร้องไห้อย่างไม่นึกอายฟ้าอายดิน ตีอกชกตัวเอง ทึ้งเส้นผมอย่างคนหมดหนทางจะต่อสู้ ซักพักก็หอบหายใจด้วยอาการไฮเปอร์

     

     

    เขามองเห็นภาพนั้น ทั้งที่ความจริงแล้วเขาเพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆด้วยท่าทางนิ่งสงบ

     

     

    ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาของเขา ...ดีแล้ว ...การเก็บอารมณ์ต่อหน้าสาธารณะชนของเขายังคงดีเยี่ยม

     

     

    เขาเหม่อคิดถึงเรื่องเก่าในระหว่างที่คู่แต่งงานบนเวทีกำลังกล่าวคำขอบคุณโง่ๆที่ไม่มีอะไรต่างจากแบบแผนดั้งเดิมเสียเท่าไหร่

     

     

    เขายังจำได้กระทั่งวันแรกที่แบคฮยอนถือกำเนิดขึ้นในท้องของคนงานที่ชื่อซังมี

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    ภาพของเด็กชายตัวน้อยที่ใช้ไม้ค้ำเดินกะเผลกๆจากหัวไร่มายังท้ายไร่ เป็นที่ชินตาแก่คนงานและเจ้าของไร่มากว่าครึ่งปีแล้ว

     

     

    "ตื่นเต้นเหลือเกินนะพ่อคุณ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นคนท้องหรือยังไง" คนงานคนหนึ่งเอ่ยทักพ่อหนุ่มน้อยใส่ขาเหล็กในขณะที่เดินสวนกันตรงบันได คนที่ถูกกล่าวหาว่า 'ไม่เคยเห็นคนท้อง' ยิ้มแป้นจนปรากฏลักยิ้มบุ๋มที่แก้มขาว ศีรษะกลมส่ายวืดเป็นนัยว่าเขาไม่เคยเห็นคนท้องมาก่อนจริงๆ

     

     

    คนงานที่เอ่ยปากแซวช่วยอุ้มปาร์คชานยอลวัยห้าขวบขึ้นตัวเรือน เมื่อเห็นว่าการเดินของพ่อหนูนั้นแสนจะยากลำบาก

     

     

    "ขอบคุณครับ" มือป้อมตะเบ๊ะอย่างแข็งขันก่อนจะเดินเขยกต่อไปจนถึงห้องนอนของคนงาน ซึ่งขณะนั้นเป็นห้องรวม

     

     

    ภายในห้องมีหญิงสาวตั้งครรภ์กำลังนอนอ่านหนังสืออยู่คนหนึ่ง

     

     

    "อ้าวคุณชานยอลวันนี้มาแต่เช้าเชียว" หล่อนลดหนังสือลงเมื่อเด็กชายตัวเล็กเดินเข้ามาใกล้ สองสายตาของคนต่างวัยประสานกัน ชานยอลวางไม้ค้ำลงแล้วกระโดดขึ้นเตียง

     

     

    "น้าซังมีอ่านอะไรหรือ?" ตากลมจ้องหนังสือที่หน้าปกมีเด็กทารกเป็นนางแบบตาเป็นประกาย

     

     

    "คู่มือตั้งชื่อลูกค่ะ คุณชานยอลอยากช่วยน้าตั้งชื่อน้องไหม"

     

     

    แน่นอนว่าพ่อหนูตาโตรีบพยักหน้าหงึกหงัก เพราะอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตในพุงของน้าซังมี เขาล้วนตื่นเต้นและอยากมีส่วนร่วมด้วยไปเสียอย่าง

     

     

    มือป้อมเปิดหนังสือก่อนจะพลิกหน้ากระดาษอย่างกระตือรือร้น ทั้งที่อ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง

     

     

    "ให้น้องชื่อชานยอลได้มั้ยครับ" พออ่านไม่ได้มากๆเข้า พ่อหนูก็เงยหน้าขึ้นมาถามตาแป๋ว

     

    "ถ้าชื่อนั้นก็ซ้ำกับคุณชานยอลสิคะ"

     

    "ซ้ำไม่ได้หรอ"

     

    "ไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณชานยอลโตขึ้นแล้วรับช่วงต่อจากพ่อเลี้ยง ชื่อมาซ้ำกับลูกคนงานคงตลกแย่"

     

    “แต่คนเกาหลีชื่อซ้ำกันตั้งเยอะแยะ”

     

    ไม่ค่ะ ไร่เราไม่ได้มีคนเยอะขนาดนั้น”

     

    ชานยอลยังอยู่ในวัยที่ตามคำพูดซับซ้อนไม่ทัน เด็กชายเลิกสนใจคนสูงวัยกว่าก่อนจะมองหาชื่อที่เขาพอจะอ่านออกอีกครั้ง

     

    "แบคยุน ยอ ยอล~ ให้น้องชื่อแบคฮา ยอ ยอล"

     

    คุณแม่ยังสาวอมยิ้มให้กับความพยายามออกเสียงของลูกชายเจ้านายวัยห้าขวบ "ไหนคะ ชื่อไหนเอ่ย"
     

    แล้วนิ้วป้อมก็ชี้ไปที่ชื่อสุดท้ายบรรทัดล่างสุด

     

    "แบคฮยอน? ...ก็ไม่เลวนะคะ แบคแปลว่าสีขาวบริสุทธิ์ ฮยอนแปลว่าคุณงามความดี ถ้าน้องชื่อว่าแบคฮยอนต้องโตมาเป็นเด็กดีแน่เลยๆ"

     

    ชานยอลปรบมือพลางหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก่อนนิ้วป้อมจะจิ้มไปที่ชื่อนั้นบนแผ่นกระดาษอีกครั้งพร้อมกับอ่านออกเสียง

     

    "แบคฮายอน... แบคฮยอน"

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ทายาทคนโตแห่งไร่กงยูเดินโขยกเขยกจากเรือนใหญ่ไปยังที่พักของคนงาน ทว่าคราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า ชานยอลยังพกเอากล่องเครื่องมือในการเย็บผ้าติดมือไปด้วย

     

     

    "ชานยอลล! ขึ้นรถไปกับพ่อมั้ย" คุณปาร์คที่ขับรถกระบะผ่านมาพอดีลดกระจกลงมาถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่ชานยอลกลับหยุดเดินแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ

     

    "ผมอยากเดินเองครับพ่อ" ให้เหตุผลเช่นนั้นก่อนมุ่งหน้าเดินต่อ คนเป็นพ่อจอดรถมองดูลาดเลาอยู่ซักพักก็ตัดสินใจขับรถออกไป ในใจของเขาครุ่นคิด...ให้เดินเอาเองก็ดีเหมือนกัน เพราะการเดินบ่อยๆก็มีส่วนช่วยให้อาการโปลิโอดีขึ้นได้

     

     

    ชานยอลติดเชื้อโปลิโอตั้งแต่สี่ขวบ โชคดีที่เด็กคนนี้ได้นิสัยอยู่ไม่สุขจากแม่มาเยอะ ทำให้เขาหมดห่วงเรื่องลูกจะเป็นอัมพาต หลังๆมานี้ยิ่งหายห่วงเข้าไปใหญ่ เพราะชานยอลกระเตงร่างเดินไปท้ายไร่ได้แทบทุกวัน

     

     

    ต้องขอบคุณบยอนซังมี คนงานไร่แอปเปิ้ลที่เผอิญตั้งท้องขึ้นมาถูกเวลา เจ้าลูกชายของเขาถึงได้เดินบ่อยและไกลได้ขนาดนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    "คุณชานยอลเอาอุปกรณ์เย็บผ้ามาทำไมหรอคะ?"

     

    "ผมจะเอาเข็มมาเจาะน้องครับ"

     

    คำตอบนั้นทำเอาซังมีสะดุ้ง สองมือรีบกุมท้องไว้อย่างหวาดระแวง

     

    "ท้องน้าไม่ใช่ลูกโป่งนะคะ ถึงจะเอาเข็มมาเจาะแล้วน้องจะเกิดออกมาได้

     

    ได้ยินเช่นนั้นเด็กชายก็ตาละห้อย "อ้าว..."

     

    "น้องจะคลอดออกมาก็ต่อเมื่อถึงกำหนดเท่านั้นค่ะ ต้องครบเก้าเดือนก่อน"

     

    ชานยอลยกมือขึ้นมานับ "หนึ่ง สอง สาม...อีกสามเดือนหรอ"

     

    "ใช่ค่ะ อีกสามเดือน" หล่อนพูดยิ้มๆ เพราะแค่จินตนาการไปถึงวันที่สิ้นสุดการรอคอยวันนั้น จิตใจก็อิ่มเอมเปรมไปด้วยความสุข
     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    ดูเหมือนเจ้าหนูแบคฮยอนจะอยากออกมาลืมตาดูโลกเร็วกว่ากำหนด

     

     

    ในบ่ายวันหนึ่ง กลางเดือนที่เจ็ด

     

    "น้ำอะไรหรอครับน้าซังมี?"

     

    "ไหนจ๊ะ น้ำที่ไหนเอ่ย"

     

    "นี่ครับ น้ำไหลออกมาเต็มเลย"

     

     

    คุณแม่ยังสาวมองตานิ้วชี้ของตาหนูชานยอล ก่อนจะต้องลืมตาโพลงอย่างตกใจ เมื่อน้ำเมือกใสปนโลหิตมันไหลมาจากบริเวณที่เธอนั่งอยู่!!

     

     

    ชานยอลรับหน้าที่แจ้งข่าวสารให้คนงานคนอื่นรู้ว่าน้าซังมีเจ็บท้อง ด้วยความตื่นเต้นและเร่งรีบเกินเหตุ หนุ่มน้อยจึงก้าวผิดจังหวะกลิ้งตกบันไดหลุนๆ ขาเทียมหลุดออกจากขาจริงที่ลีบเล็กจากการเป็นโปลิโอ กระนั้นก็ยังกัดฟันกระโดดขาเดียวเข้าไปในไร่แอปเปิ้ล

     

    "น้าซังมีจะคลอดน้องครับ!! น้าซังมีจะคลอดน้อง!" ชานยอลป้องปากตะโกน ล้มลุกคุกคลานอยู่นานกว่าจะเจอคนงานในไร่

     

     

    ซังมีถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันท่วงที แต่เด็กที่คลอดก่อนกำหนดตัวเล็กจนทีมแพทย์มีมติให้เข้าตู้อบต่อจนกว่าจะเเข็งแรงกว่านี้

     

     

    "เอาน้องเข้าไมโครเวฟตอนออกมาน้องจะสุกมั้ยครับพ่อ" ชานยอลถามคุณพ่อที่อาสาขับรถพาเยี่ยมน้าซังมีตามที่เขาร้องขอ

     

    "ไม่ใช่ไมโครเวฟแบบนั้น มันเป็นตู้อบเด็กที่สร้างขึ้นจำลองสภาวะในท้องแม่ น้องจะได้เหมือนยังไม่คลอดไง"

     

    แม้จะเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง แต่เด็กชายชานยอลก็ไม่ได้ถามต่อ เขาจดจ้องร่างเล็กจ้อยของทารกด้วยความรู้สึกที่ตัวเขาเองก็เยาว์วัยเกินกว่าจะเข้าใจ

     

    มือทั้งสองข้างกุมกันระหว่างอก ดวงตากลมเป็นระกายปิดฉับลงด้วยเปลือกตา ...ชานยอลกำลังอธิษฐานถึงพระผู้เป็นเจ้า

     

    "ขอให้น้องไม่เป็นโปลิโอเหมือนผม ขอให้น้องแข็งแรง ใครๆเห็นก็รักน้อง"

     

    คุณปาร์คได้เห็นแง่มุมจิตใจดีของลูกชายก็นึกเอ็นดู มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มเบาๆแล้วปล่อยให้ลูกชายจมในภวังค์โดยไม่คิดทักท้วง

     

    ชานยอลมองลึกเข้าไปในตู้อบเด็กแรกเกิด คล้ายกับว่ามีสายใยที่ผูกพันเขากับแบคฮยอนเอาไว้อย่างแน่นหนา

     

    เป็นใยรักที่เปี่ยมด้วยเมตตาและการุณย์จนชานยอลคาดไม่ถึงว่ามันจะมีผลสืบไปจนกระทั่งเขาก้าวพ้นรอยต่อจากเด็กชายไปสู่พ่อเลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่แห่งไร่กงยู

     

     

     

     

     

     

     

    หวานเอย ไม่มีหวานใดเทียบเท่าความรัก

    เหมือนดั่งขม ที่ขมที่สุดเพราะรักอันไม่สมหวังเช่นกัน

     

     

     

     

     

     

    ชานยอลยังจำได้ว่าเขาเคยรักแบคฮยอนแบบพี่น้องมากแค่ไหน จำได้ว่าฉันท์มิตรนั้นเขาก็รักแบคฮยอนมากที่สุด จนเลื่อนขั้นมารักอย่างคนรัก แบคฮยอนก็ยังเป็นหนึ่งเดียวในใจของเขามาตลอดจนกระทั่งปัจจุบัน

     

     

    คนตัวเล็กยืนคู่กับอริของเขาบนเวทีเดียวกับที่ใช้จัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาไปเมื่อคืนก่อน เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ก็เป็นตัวเดิมกับที่พ่อของเขานั่งไปเมื่อวาน

     

     

    ชานยอลเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อถึงเลือกนั่งเก้าอี้ตัวนี้ เพราะมันเป็นตำแหน่งที่เห็นภาพบนเวทีได้อย่างชัดเจน เป็นมุมที่เหมาะจะใช้คำว่า ที่นั่งวีไอพีอย่างแท้จริง

     

     

    การแต่งงานไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แค่ทำตามพิธีกรรมที่มนุษย์เราประโลมว่าดีงามก็เท่านั้น แต่งงานเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เพื่อออกหน้าออกตา เพื่อประกาศให้สังคมรับรู้

     

     

    ชานยอลมองออกว่าแบคฮยอนยังคงรักเขาอยู่ ซึ่งมันยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นหมอง

     

     

    เขาจะไม่นึกสงสัยเลยว่าคนที่หมดรักกันไปแล้วจะมีคนอื่นเพื่ออะไร จะแต่งงานกับคนที่เจ้าตัวก็รู้ว่าเป็นศัตรูกับเขาด้วยเหตุผลประการไหน ถ้าแบคฮยอนไม่รักเขาแล้ว หรือโกรธที่เขาหายหัวไปเป็นสิบปี เขาอาจจะไม่นึกโกรธแค้น และคงจะค่อยๆเจ็บน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป

     

     

    แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่คนรักกันต้องทรมานกันขนาดนี้ เงินหรือ? หรืออี้ชิงทำหน้าที่เติมเต็มความต้องการทางเพศของแบคฮยอนในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่?

     

     

    มีหลายความคิดผุดขึ้นในหัวของเขา สุดท้าย ชานยอลก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากภาพของตัวเองภาพเดิม ที่นอนร้องไห้คล้ายจะขาดใจตายอยู่ในโลกจินตนาการ

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    แบคฮยอนชอบสีขาว แต่เลย์ยืนกรานให้เขาสวมสูทสีชมพูอ่อน

     

    ทว่านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาหนักหนาอะไร ไม่มีอะไรหนักเท่าการต้องยืนมองปาร์คชานยอลจากมุมนี้อีกแล้ว

     

     

    ร่างสูงไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจกับการแต่งงานของเขา ชานยอลทำเหมือนกับว่ามันเป็นแค่เหตุการณ์ที่ฝูงมดอพยพรังขึ้นที่สูงเมื่อฝนตกพรำๆ

     

     

    การเฉยชาคือการลงโทษที่โหดร้ายที่สุด โหดร้ายอย่างสาหัส ให้นึกถึงเด็กที่วาดภาพที่เขาคิดว่าสวยที่สุดออกมา แต่ไม่ได้รับคำชมใดๆ และนึกถึงผู้ทรงศีลที่เผลอฆ่าใครซักคน แต่ไม่มีใครตำหนิเขา

     

     

    ความผิดที่ไม่ได้รับการชะล้างเป็นคราบตะกอนอยู่ในใจ แบคฮยอนแทบจะนึกภาพวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับชานยอลไม่ออก อาจจะเดินสวนกัน ทักทายกัน ทำงานร่วมกัน ...บางทีถ้ามีโอกาสได้คุยกัน เขาอาจจะบอกเหตุผลของการแต่งงาน อย่างน้อยก็เพื่อปลดแอกที่อยู่ในใจของเราสองคนออกไป

     

     

     

    “ขอเชิญพ่อเลี้ยงกล่าวอะไรซักเล็กน้อยค่ะ”

     

     

    แบคฮยอนเกร็งตัวเมื่อตอนที่คุณปาร์คเดินผ่าน ชายวัยกลางคนเดินขึ้นมาจับไมค์บนเวทีตามคำเชิญด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แบคฮยอนไม่ได้สนใจว่าพ่อเลี้ยงพูดอะไร เพราะคนที่ต้องขึ้นมาพูดลำดับต่อมาคือพี่ชานยอลที่เขาเทิดทูนและรักใคร่

     

     

    ชายหนุ่มเดินอย่างสง่าผ่าเผย ริมฝีปากไม่ปรากฏรอยยิ้มหรือแม้กระทั่งหยักใดๆ ศีรษะตั้งตรง จะมีบ้างที่กล้ามเนื้อคอกระตุกจนเห็นเส้นเอ็นที่ยึดไปถึงช่วงไหปลาร้า เหมือนรูปปั้นนักรบ เหมือนอัศวิน เหมือนอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่พี่ชานยอลที่แบคฮยอนเคยรู้จัก

     

     

    ร่างสูงไม่ได้จับไมโครโฟน เขาเพียงแค่โน้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อให้ส่วนสูงพอดีกับขาตั้งไมค์

     

     

    “แล้วจะคิดถึง”

     


     

    ชานยอลพูดเท่านี้ สั้นเกินกว่าที่ใครจะตีความได้ เขาลงเวทีไปท่ามกลางความงุนงงของคนงานทั้งกังยู

    ไม่มีใครรู้นอกจากแบคฮยอน

     

     

    แล้วจะคิดถึง

     

    นั่นคือประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับชานยอลก่อนที่เจ้าตัวจะไปเรียนต่อยังซีกโลกตรงข้าม

    เขาเป็นคนพูดเอง เป็นคนสัญญาเอง

     

    แล้วจะคิดถึง...

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    “ไอ้สัตว์เอ๊ย!! เดนนรกส่งมึงมาเกิดหรือยังไง!

     

    แบคฮยอนสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำนั้นหลุดออกจากปากของเจ้าบ่าวหมาดๆของตัวเอง เลย์พ่นมันออกมาทันทีหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้องหอซึ่งเป็นห้องนอนชั้นสองในเรือนใหญ่

     

     

    คนตัวเล็กชะงักนิ่งอยู่อย่างนั้น บางอย่างผิดปกติจากที่เคยรับรู้มาทั้งหมด

     

     

    เลย์ถอดสูทสีขาวออกแล้วเหวี่ยงไปไกลสุดมุมห้อง ปลดเนคไทลวกๆ ท่าทางโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงต่างจากความสุภาพอ่อนโยนที่เคยเป็นก่อนหน้าลิบลับ

     

     

    “คอยดูเถอะ กูจะฆ่ามึง!

     

     

    แบคฮยอนเผลออ้าปากค้าง ไม่...ไม่เลย นี่ไม่ใช่เลย์แน่ๆ เลย์ที่เขารู้สึกสุภาพแม้กระทั่งกับจงอินที่อายุน้อยกว่าเป็นทศวรรษ

     

     

    ความแปลกใจและประหวั่นพรั่นพรึงทำให้แบคฮยอนถอยหลังไปอยู่ชิดมุมห้อง พยายามเก็บเสียงอุทาน ไม่อยากให้เลย์ที่กำลังน่ากลัวนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเข้าในห้องอยู่อีกคน

     

     

    แต่เลย์ไม่ใช่คนขี้ลืมขนาดนั้น

     

     

    “มึงมานี่เดี๋ยวนี้!!

     

     

    แบคฮยอนตกใจถึงขีดสุดเมื่อเลย์เดินหน้ายักษ์มาทางเขา ไม่ทันได้ตั้วตัวอะไร หมัดหนักก็ชกเข้าที่ท้องอย่างรุนแรง

     

     

    ไม่ทิ้งจังหวะจะโคน มือขาวจิกที่เส้นผมของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาแล้วชกลงไปที่อกแรงๆอีกหนึ่งครั้ง

     

     

    แบคฮยอนหมดเสียงคร่ำครวญ เขาร่วงลงไปนอนที่พื้นทั้งที่ยังไม่รู้สาเหตุของการกระทำอันป่าเถื่อนแต่อย่างใด

     

     

    เลย์เดินไปลากเก้าอี้มาตั้งกลางห้อง จิกหัวแบคฮยอนขึ้นมาและใช้เชือกเส้นหนารัดร่างเล็กไว้กับเก้าอี้ตัวนั้น

     

     

    พฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงคุกคามเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ไม่มีเวลาให้คิด คล้ายกับว่าเขาจะน็อคไปแล้วกับเพียงแค่สองหมัดหนักๆ

     

     

    แบคฮยอน ไม่สิ ต้องบอกว่าทุกคนเลยต่างหาก ทุกคนในไร่ไม่มีใครรู้เลยว่าเลย์มีรสนิยมเช่นนี้ แบคฮยอนเคยคิดมาตลอดว่าคนที่ชอบทำร้ายร่างกายคู่นอนจะมีแต่ในละครเท่านั้น

     

     

    ไม่คิดมาก่อนเลยว่ามันมีจริงๆ ที่สำคัญ...เขาเป็นเหยื่อ

     

     

     

    เลย์ยกยิ้มอย่างบิดเบี้ยวด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ทุกอย่างชวนให้ขนลุก แบคฮยอนถูกจับใส่กุญแจมือ ปิดริมฝีปากด้วยเทปดำเส้นใหญ่

     

     

    ความหวาดกลัวกัดกินจนกล้ามเนื้อกระตุกสั่น เขารู้สึกคลื่นเหียนจนอยากจะอาเจียนออกมา เหมือนเห็นภาพเร็วๆของรถยนต์ที่วิ่งผ่านวิวทิวทัศน์ด้วยความเร็วสูงอยู่ตลอด

     

     

    เลย์กำลังกระทำต่อเขาราวกับไม่ใช่คนโดยไม่ให้เหตุผลอะไรทั้งสิ้น โกรธแค้น? เป็นวิสัย เป็นรสนิยม ...แบคฮยอนคิดอะไรไม่ออก รู้ตัวอีกทีก็เห็นเลย์ยกแส้ขึ้นตวัดลงบนตัวเขา

     

     

    แบคฮยอนร้องไห้ให้กับความกลัว เมื่อคนเรากลัวถึงขีดสุด ความเจ็บปวดดูเหมือนจะสำคัญน้อยลงไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแส้ของเลย์ทำให้เขาเจ็บจนเหมือนชิ้นส่วนของร่างกายจะแยกขาดออกจากกัน

     

     

    จากเจ็บก็กลายเป็นชาในท้ายที่สุด เลย์คงเหนื่อยจึงหยุดพัก แบคฮยอนเห็นเขายกนิ้วขึ้นรูดเศษเสื้อผ้ากับเศษหนังของเขาที่ติดอยู่กับแส้ออก เลือดหยดแหมะลงบนพื้น

     

     

    คนตัวเล็กร้องไห้จนน้ำตาชุ่มเทปสีดำ ซึ่งทำให้มันเผยอออก แต่มาถึงตอนนี้เขาก็ไม่มีแรงตะโกนขอความช่วยเหลือแล้ว มากสุดก็แค่โกยเอาอากาศเข้าปอด เนื่องจากจมูกทำหน้าที่นั้นไม่ทันสนองความต้องการของคนที่กลัวจนหายใจถี่เป็นเฮือกๆ

     

     

    “ถ้ามึงบอกใคร... มึง ครอบครัวมึง ไอ้ชานยอล กูจะไม่เอาไว้”

     

    “...”

     

    “ห้ามมึงบอกมันทุกอย่าง มึงอย่าคิดว่ากูไม่กล้า”

     

     

    เขาขู่เสียงเข้ม ก่อนทำท่าเหมือนจะปลดเข็มขัด แบคฮยอนไม่รู้ว่าเลย์ปรารถนาจะมีอะไรกับเขาหรือไม่ เขาเดาใจคนโรคจิตนี้ไม่ถูก แต่เลย์ดูจะหึกเหิม, มีอารมณ์เมื่อได้มองความเจ็บปวดทรมานของเขา

     

    “กูจะทำให้พวกมึงเจ็บ อย่างที่กูเจ็บมาโดยตลอด!!

     

     

    แส้สุดท้ายฟาดมาอย่างแรงจนแบคฮยอนล้มลงไปพร้อมกับเก้าอี้ที่ผูกกับเขาไว้ด้วยเชือก ร่างเล็กได้ยินเสียง ตึง!’ ตอนที่ไหล่ของเขาปะทะพื้นแข็ง มันดังคำรามอื้ออึงในหู จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงวิ้งๆ อันเป็นสัญญาณว่าร่างกายของเขาทนรับความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป

     

     

    สติของเขาขาดตอนลง นึกอยากให้มีฮีโร่ซักคนเปิดประตูเข้ามาช่วย

     

     

    แต่แล้วสุดท้ายแบคฮยอนก็ตระหนักได้ว่า วันนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากเขาไม่ตกลงจะแต่งงานกับเลย์

     

    เขาทำไม่ถูก...ก็ใช่... แต่ถ้าเป็นคุณ คุณผู้ตำหนิในการกระทำนี้

    เป็นตัวคุณ คุณจะเลือกทางไหนหรือ

    สิบปีมันไม่ทันแล้ว

     

     

    แบคฮยอนพยายามยื้อเวลานาทีเอาไว้ จนกระทั่งสติหมดลง ทว่าประตูก็ยังไม่เปิดออก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . .

     

     

    ก็จะมีอะไรไม่คาดฝันมากมายนะคะในฟิคเรื่องนี้

    ตาย แบค แกตาย

    จริงๆแล้วคนที่เป็นซาดิสม์ไม่ใช่เลย์นะคะ

    อีคนแต่งเลย ทุกเรื่องเลยมึง ไอ้เลว ไอ้หน้าแมว

    (โอเค ด่าคนแต่งให้แทนทุกคนให้แล้วนะ5555)

    #พายุพี่ชาน

     

     

     


     

     

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×