คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ' มิ่ง : 01
กริ๊ง กริ๊งง
เสียงกระดิ่งใสแจ๋วดังแข่งกับเสียงล้อยางเกรอะโคลนที่คนขี่ปั่นสุดแรงเกิดจนมองไม่เห็นซี่เหล็กข้างในล้อ
"แบคฮยอน!" เด็กหนุ่มบนจักรยานสีแดงสดตะโกนลั่น ก่อนจะบีบเบรกมือที่แฮนด์บังคับ ด้วยกลัวไม่ทันใจจึงใช้สองเท้าไถพื้นช่วยชะลอความเร็วของรถด้วยอีกแรงหนึ่ง
พอจักรยานคันเก่งจอดสนิทลงที่หน้าบ้านไม้หลังเล็ก เขาก็รีบเหวี่ยงตัวลงมาแล้วป้องปากตะโกนเรียกเสียงดังอีกครั้ง
"แบคฮยอน!!”
ไม่ปล่อยให้ต้องรอนาน เจ้าของชื่อก็วิ่งหน้าตั้งลงเรือนมาด้วยความรวดเร็ว
"พี่ชานยอลอย่าทำเสียงดังซี่" แบคฮยอนยกนิ้วชี้ทาบปาก ทำเสียงจุ๊ๆ ...เวลาเสียงดังทีไรเป็นอันต้องโดนแม่ดุทุกที แล้วไม่ใช่พี่ชานยอลนะที่โดนดุ เป็นเขาคนเดียวตลอด
"โทษที ตื่นเต้นไปหน่อย" เด็กหนุ่มรูปร่างผอมแต่สูงชะรูดยิ้มเจื่อน ทว่าเจื่อนได้เพียงเดี๋ยวเดียวเขาก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบบางอย่างขึ้นมาโอ้อวด
"เมื่อเช้าลิลลี่มันออกดอก"
คราวนี้เป็นคนตัวเล็กเสียเองที่ตื่นเต้นดีใจ ริมฝีปากบางเผยยิ้มน่ารัก ก่อนมือเรียวจะฉวยเอาดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ที่เขาเป็นคนลงเมล็ดพันธุ์ก่อนมอบให้พี่ชายแสนดีเอาไปปลูกมาถือไว้เอง
"พี่ชานยอลเก่งจัง" กล่าวชมก่อนจะก้มลงไปสูดความหอมจางๆจากดอกไม้อันเป็นตัวแทนของความรักที่ จริงใจ อ่อนหวาน และเทิดทูน สูดกลิ่นเพียงหนึ่งครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของดอก ชานยอลจ้องเขม็งมาอย่างลึกซึ้งจนต้องหลบตาและแก้เขินด้วยการจุมพิตเจ้าลิลลี่สีขาวนวลเล่นๆ
"รู้ตัวมั้ย?"
แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย เมื่อจู่ๆชานยอลก็ถามเขาแบบนั้น
"รู้ตัวอะไรฮะ?"
"ก็รู้ตัวว่าเมื่อกี้จูบดอกไม้ทับรอยพี่"
"..."
"กลีบเดียวกับพี่ ที่เดียวกับพี่เลย"
ใช่ว่าคนพูดจะไม่เขิน พวงแก้มของชานยอลขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างที่ไม่ได้เป็นให้เห็นบ่อยๆ แบคฮยอนทำหูทวนลมด้วยเขินอายเกินกว่าจะตอบรับอะไร ซักพักพอตั้งสติได้ก็ส่งดอกไม้คืนเจ้าของ ชานยอลรับเอาไว้ก่อนจะก้มลงฝังรอยจูบลงบนกลีบขาวกลีบเดิมอีกครั้ง
เป็นจูบที่จงใจซ้ำซ้อนรอยเก่าจนแบคฮยอนใจเต้นระรัว...
ความฝันอันหวานล้ำเมื่อครั้งยังเป็นเด็กไม่ได้มาเยี่ยมเยือนห้วงราตรีของแบคฮยอนมานานมากแล้ว
แต่เมื่อคืนเขาฝัน ...ฝันถึงพี่ชานยอลกับดอกไม้สีขาว
และหากนั่นเป็นฝันบอกเหตุหรือแจ้งนิมิตหมาย ก็นับว่าแบคฮยอนฝันแม่น
"พี่ชานยอลจะกลับมาแล้ว!! พี่แบค! พี่ชานยอลจะกลับมาแล้ว!!"
เสียงโวยวายที่คุ้นหูทำเอาแบคฮยอนสะดุ้งหลุดจากภวังค์ แต่ไม่ทันได้ประมวลผลหรือจับใจความอะไร เสียงเอี๊ยดอ๊าดจากการย่ำบันไดอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้นเขย่าขวัญเขาเสียก่อน
หันไปอีกที แม่น้องสาวตัวดีที่เมื่อครู่ยังตะโกนโหวกเหวกอยู่นอกบ้านก็มายืนหอบแฮ่กอยู่ข้างหลังเขาแล้ว
"พี่แบค แฮ่กๆ" ดันบีเรียกชื่อพี่ชายก่อนหยุดหอบหายใจอย่างน่าเวทนา เจ้าของชื่อถึงกับขมวดคิ้วมุ่น
"ทั้งวิ่งทั้งเสียงดัง เดี๋ยวแม่ก็ตื่นขึ้นมาตีจนได้"
"ไม่ตีหรอกพี่" พอหายเหนื่อยเข้าหน่อยเด็กสาวก็พูดปร๋ออีกครั้ง "พี่ชานยอลจะกลับมาแล้วนะ!"
คนพี่หรี่ตา สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่เชื่อคำพูดน้องสาว
"ฉันสาบานเลยนะพี่ โกหกขอให้ผีผักกาดมาหลอก เอาให้จับไข้ยิ่งกว่าดาราคนนั้นที่พี่เคยเล่าให้ฟังอีก"
"..."
"ฉันสาบานเลยก็ได้เอ้า พี่ชานยอลจะกลับมาแล้วจริงๆ!"
แบคฮยอนยกมือขึ้นทาบอก ราวกับมีพายุลูกใหญ่ม้วนเกลียวอยู่ในนั้น มันช่างชวนให้กวัดแกว่งและแปร่งปร่า ซึ่งอาการนี้ก็เริ่มเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่ดันบีวิ่งว่าแจ้งข่าวกึ่งร้ายกึ่งดีให้เขาทราบ
หากนิวตันยังไม่ค้นพบทฤษฎีแรงโน้มถ่วง ก็ไม่แน่ว่าแบคฮยอนอาจเป็นผู้ค้นพบก็เป็นได้
'โอ๊ย!' คน ตัวเล็กร้องสะดุ้งเมื่อผลไม้สีแดงสดตกลงกลางศีรษะ ความเจ็บแปลบนั้นราวกับจะย้ำพิสูจน์ว่าทุกคำพูดที่ได้ยินก่อนหน้าเป็นความจริงหาใช่ฝันกลางวันอย่างที่เขาพยายามเข้าใจไม่
'พี่ชานยอลกลับมาแล้ว กลับมาที่ไร่กังยู...' แบคฮยอนทวนน้ำคำกับตัวเองเสียงแผ่ว ยินดีหรือ? แน่นอนว่านั่นคือความรู้สึกแรกที่ปะทุขึ้นกลางใจ ทว่าลาวาต่อมาที่ไหลเชื่อมกลับเป็นความกังวลและขลาดเขลา แบคฮยอนได้แต่ถอนอากาศออกจากปอดหลายต่อหลายเฮือก พลางปลอบตัวเองว่าหากเขาคนนั้นจำตนไม่ได้ก็อย่าได้นึกน้อยใจเลยเพราะแค่กลับมาตามหน้าที่และสัญญาก็นับว่าน้ำใจน่านับถือ
คนตัวเล็กยังจำภาพพี่ชายแสนดีที่มอบลิลลี่ขาวให้เขาในวันนั้นได้ จำจูบเดียวกันบนดอกไม้ จำเรื่องราวร้อยพันหมื่นแสนตั้งแต่เล็กจนโตที่เคยเผชิญชะตากรรมร่วมกันมาราวกับว่าทุกเรื่องนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานสดๆร้อนๆ
ที่เขาประทับใจที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราวของ ‘ไฟไหม้ป่าเหนือ’ ในครั้งนั้น
“ข้ามรั้วไปไม่ได้นะ พ่อสั่งห้าม”
“พี่ชานยอลตัวโตซะป่าว ไม่ใจเลย”
แบคฮยอนในวัย 12 ปี สูงเลยบั้นเอวคนพี่วัย 17 ปีไปไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้เจ้าตัวกะเปี๊ยกที่ว่ากำลังยืนเท้าเอวแถมยังยักคิ้วจึกๆมองคนตัวสูงกว่าอย่างท้าทาย
“ไม่ใจอะไร ข้ามไปก็เจอแต่ป่า”
“นั่นแหละ เขาเรียกว่าไม่ใจ”
“ไม่ใจยังไง”
“ถ้าใจก็ต้องกล้าไปสำรวจกับแบคไง”
เหตุผลฟังไม่ขึ้น... ชานยอลคิดเช่นนั้น แต่ท่าทางเอาจริงเอาจังของคนหน้าตาจิ้มลิ้มก็ทำเอาเขาไม่อยากขัด ก็เขาว่ากันว่าอย่าปิดกั้นการเรียนรู้ของเด็ก
ด้วยเหตุผลนี้ ปาร์คชานยอลลูกชายเจ้าของอาณาจักรกังยูที่ครอบคลุมอุตสาหกรรมการเกษตรกินเนื้อที่กว่าหลายหุบเขา จึงยอมแหกกฏเหล็กกฏเดียวของพ่อที่ตั้งเอาไว้ นั่นคือ
ห้ามเข้าไปในป่าทิศเหนือของไร่ที่ล้อมรั้วไว้เด็ดขาด
“ต้องให้ได้อย่างนี้ซี่ พี่ชานยอลเก่งสุดยอด!” แบคฮยอนยกนิ้วโป้งชมตอนที่พี่ชายตัวสูงก้มตัวลงลอดรั้วไม้แล้วกวักมือเรียกให้ตามมา
หัวใจลิงโลดเล็กๆเมื่อได้ขบถต่อกรอบเดิม ชานยอลดึงมือของแบคฮยอนมากุมไว้แล้วออกวิ่งเข้าไปด้วยกันในป่าลึกที่ได้รับ การขนานนามว่าผีดุ สัตว์ป่าดุ และมี ‘อะไรๆ’ ที่ดุอย่างคาดไม่ถึง
“หยุดก่อน แฮ่กๆ แบคเหนื่อย” เจ้าตัวเล็กกระตุกมือใหญ่ชุ่มเหงื่อจากความเหนื่อยและตื่นเต้น ชานยอลหันมามองแล้วยักคิ้วให้
“แล้วตอนแรกล่ะร้องเข้ามา”
“ก็นึกว่ามันจะมีอะไรน่าตื่นเต้นนี่ ที่ไหนได้ไม่เห็นมีอะไรแปลกเลย”
ชานยอลปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ ซึ่งแบคฮยอนก็รีบนั่งลงใต้ต้นไม้แถวนั้นทันที
“แม่บอกว่าพี่ชานยอลจะไปเรียนต่อที่ประเทศนอก”
คนขายาวทำหน้าฉงนเมื่ออยู่ดีๆแบคฮยอนก็เกริ่นขึ้นมาเช่นนั้น เจ้าตัวเล็กพูดออกมาก่อนที่ก้นจะติดพื้นเสียอีก
“น้าซังมีบอกหรือ?”
“อย่าโทษแม่เลย แบคแอบได้ยินเองแหละ”
เกิดความเงียบขึ้นมาหลังจากประโยคนั้นหลุดออกจากปากจิ้มลิ้ม แบคฮยอนเอนหลังพิงต้นไม้เปลือกสีเข้ม กิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปจนถึงชานยอลที่อยู่ห่างออกไปประมาณห้าฝีก้าว
วันนี้ร้อนกว่าทุกวัน แบคฮยอนสัมผัสได้ มันกรุ่นด้วยสรรสารบางอย่างที่แผดเผาผิวหนังจนสั่นสะท้านไปถึงหัวใจ ยิ่งเห็นดวงตาของพี่ชานยอลที่ไม่ปฏิเสธต่อคำถามนั้นเขาก็ยิ่งร้อนรุ่ม
ความเจ็บปวดอาจน้อยเกินไปที่จะอธิบายความรู้สึกในใจของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
ราวกับเสียงคำรามของความเจ็บร้าวนั้นส่งไปถึงชานยอล แต่นี่คือเส้นทางของเขา คือชีวิต คือโชคชะตา มันไม่ใช่กฏเกณฑ์เหมือนอย่างที่พ่อตั้งว่าห้ามเข้าป่า แต่มันคือสิ่งที่เขาเต็มใจเลือก
“พี่ชานยอลชอบเรียนหนังสือหรือ?” แบคฮยอนถามอีกครั้งแทรกความเงียบงัน คำถามนั้นแหวกอากาศส่งไปถึงชานยอลที่กำลังยืนนิ่ง
“ใครๆเขาก็ไม่ชอบกันทั้งนั้น แต่ก็ต้องเรียน”
“แล้วเรียนที่บ้านเราไม่ได้หรือ พี่อี้ชิงไม่เห็นต้องไปเลย” คนตัวเล็กกล่าวอ้างไปถึงลูกชายอีกคนของพ่อเลี้ยงปาร์ค ถึงอี้ชิงจะเป็นบุตรบุญธรรมแต่ก็มีความสำคัญต่อไร่ไม่ด้อยไปกว่าชานยอลที่ เป็นสายเลือดแท้ๆ
“พี่เสมออี้ชิงไปหมดไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มเอาเหตุผลเข้างัด แต่มันก็ยากเกินกว่าที่คนอ่อนวัยกว่าจะเข้าใจ
“แล้วแบคจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพี่ชานยอล ตอนเช้าจะให้ไปตกปลากับลุงลีหรอ แล้วตอนบ่ายก็ให้ไปเก็บแอปเปิ้ลกับแม่หรอ”
“...”
“แล้วถ้าปลาหมดสระ...แอปเปิ้ลหมดไร่ล่ะพี่ชานยอล” แค่จินตนาการถึงบึงกว้างที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต แอปเปิ้ลยืนต้นตายอย่างแห้งเหี่ยว เพียงเท่านั้นแบคฮยอนก็น้ำตารื้น
“ถึงตอนนั้นพี่ก็คงกลับมาแล้ว”
แบคฮยอนชันเข่าขึ้นมากอด เด็กแสบกระพริบตาถี่ ไม่ร้องไห้ให้เห็นง่ายๆ แต่เจ้าตัวก็รู้ดีว่าหยดน้ำตามันขังหน่วงอยู่ภายในใจ
เพราะตั้งแต่เกิดจนกระทั่งอายุเท่านี้ เขากับลูกชายเจ้าของไร่ผู้แสนใจดีก็ไม่เคยต้องแยกกันไปไหน
ราวกับมีคำสาปหรือไม่ก็เคยไปสาบานว่าจะอยู่คู่กันไปจนตายเมื่อชาติปางก่อน เมื่อใดที่อยู่ห่างกันนานๆ ไม่ใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ก็ทั้งสองคนจะต้องเจ็บป่วย มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ
ข้อสันนิษฐานนี้ได้รับการพิสูจน์มาตั้งแต่ตอนชานยอลยังอายุได้เพียง 6 ขวบ
ตอนนั้นพ่อพาเขาเข้าเมืองไปรับคำปรึกษาอาการโปลิโอที่เป็นอยู่ หมอให้อยู่บำบัดที่โรงพยาบาลอย่างน้องก็หนึ่งเดือนเนื่องจากโอกาสหายมีหลายเปอร์เซ็นต์แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ชานยอลต้องห่างกับเด็กทารกตาแป๋วขวัญใจของเขา
“ไอ้เจ้าแบคมันหยุดหายใจ เกือบตายไปแล้ว” แม่เลี้ยงที่ติดตามมาเฝ้าเขาที่โรงพยาบาลแจ้งข่าวให้ได้ทราบเมื่อบ่ายวันหนึ่ง
นั่นล่ะ แบคฮยอนป่วยจนต้องนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลเดียวกับเขา กลายเป็นว่าต้องอยู่ตัวติดกันจนชานยอลถอดขาเหล็กได้ ซึ่งแบคฮยอนก็หายเป็นปลิดทิ้งพอดีอย่างน่าประหลาดใจ
กลับมายังปัจจุบัน แบคฮยอนซบหน้าลงกับเข่า
“ฟังกันหน่อย” ชานยอลเดินมานั่งใกล้กับเด็กน้อยที่ขี้แงขึ้นมาเสียอย่างนั้น ถึงจะไม่ปล่อยโฮออกมาแต่มองก็รู้ว่าอาการใกล้เคียง
“พี่ไปแค่ปีเดียว”
“เรียนหมาลัยไปปีเดียวได้ไง โม้”
“เขาเรียกมหาลัย” ชานยอลแก้ให้ แบคฮยอนเม้มริมฝีปากเก้อเขินที่พูดผิด
“นั่นแหละ แต่ปีเดียวพี่ชานยอลน่ะขี้โม้”
“พูดจริง” เขาย้ำ มือหนาลูบเส้นผมนิ่มลื่นของคนตัวเล็กเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวมีท่าทีอ่อนลงและพร้อมจะรับฟังมากยิ่งขึ้น
“ไม่ได้ไปเรียนปริญญา แค่ไปเข้าอบรบหลักสูตรการจัดการทรัพยากรกับเทคโนโลยีการเกษตร ไม่ถึงปีเลย แค่เกือบๆ จบหลักสูตรก็กลับมาเรียนที่นี่นั่นแหละ แล้วพี่ก็ไม่ได้จะไปปีนี้ด้วย ต้องรอเอกสารอีกหลายอย่าง”
“โกหกรึเปล่า”
“พูดจริง” ชานยอลพูดแบบเดิมอีกครั้ง ความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทุ้มต่ำกล่อมเกลาให้แบคฮยอนสงบนิ่งและเชื่อถือ
“แบคก็รู้”
คนตัวเล็กหันมาสบสายตา คราวแรกอยากถามว่าเขารู้อะไรหรือ? แต่คำถามใดๆก็ไร้ความจำเป็นเมื่อภาษากายของชานยอลพูดแทนให้หมดแล้ว
ริมฝีปากอิ่มเป่าลมเบาๆชิดขมับข้างซ้ายที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลธรรมชาติ เขาเกิดเพื่อเป็นของแบคฮยอน เหมือนที่แบคฮยอนเองก็เกิดมาเพื่อเป็นคนของเขา
เป็นดั่งมิ่งขวัญที่ยึดเหนี่ยวจิตวิญญาณทั้งสองดวงเอาไว้ให้เคียงคู่
“ว่าเราแยกกันไม่ได้”
แบคฮยอนพยักหน้า ถูกต้องตามที่ชานยอลว่า เพราะถ้าห่างกันนานๆเป็นอันต้องมีเรื่องวินาศสันตะโร
“พี่ชานยอล!” คนตัวเล็กร้องเรียกเสียงตระหนกแม้จะอยู่ใกล้กันเพียงครึ่งลมหายใจ
ตอนนั้นเองที่เด็กหนุ่มร่างสูงรู้ว่าคนอายุน้อยกว่าต้องการจะสื่ออะไร คลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นตลอดตั้งแต่ข้ามพ้นแนวรั้วมาหาใช่ผลพวงของแสงอาทิตย์ไม่
เสียงไม้ลั่นดังเปรี๊ยะแว่วมาจากที่ไกลๆ ตามมาด้วยแสงสีส้มอันเป็นประกายแห่งไฟเพลิงใหญ่ ชานยอลเบิกตากว้าง
ไฟป่าแน่แล้ว!!
ร่างผอมสูงรีบลุกขึ้นก่อนจะฉุดให้คนตัวเล็กลุกขึ้นตามมา เขามองหาทิศทางการลุกลามของเปลวไฟก่อนจะเห็นเพลิงแดงส้มกำลังลามเลียต้นไม้มาจากทิศเหนือ
“วิ่งไปข้างหน้า! อย่าหันไปมองไฟนะแบค!”
ร่างสูงเหงื่อแตกพลั่กทั้งจากไอร้อนและความกังวล ตอนนี้เขาเหมือนคนตาบอด วิ่งสะเปะสะปะไปมั่วๆเพราะไม่ชินทางเอาเสียเลย จากที่ตอนแรกหนีไฟจากทิศเดียว เพลิงนั้นเริ่มใหญ่โตกระจายพื้นทีจนตีวงเข้ามาห้อมล้อมเรื่อยๆ
เสียงไฟปะทุเขย่าขวัญจนแข้งขาสั่นและวิ่งได้ช้าลง ความใกล้ชิดระหว่างคนกับไฟส่งผลให้ทั้งคู่เริ่มสำลักควัน ชานยอลล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนส่งให้คนตัวเล็กใช้อุดจมูกไว้
“พี่ชานยอลเอาไว้ใช้เองเถอะ” ส่งคืนให้แต่ก็ไอโขลกจนคนพี่ต้องหันไปส่งสายตาบังคับให้ทำตามคำสั่งที่นานๆครั้งจะมีผลบังคับใช้
ทั้งคู่วิ่งไปเรื่อยๆ แต่ก็ติดกับเจ้าแห่งไฟเข้าให้อย่างจัง หันไปทางไหนก็เจอแต่เพลิงสีส้มที่กระชั้นกายเข้ามาทุกขณะ
ชานยอลพยายามรวบรวมสติท่ามกลางอุณหภูมิร้อนระอุ ดวงตากลมโตเหลือบไปเห็นร่องธารที่แห้งขอดตามฤดูกาล มือใหญ่กระชับมือเล็กสั่นระริกให้แน่นกว่าเก่าก่อนจะพาวิ่งไปตามแนวร่องน้ำนั้น
“ถ้าตาย ชาติหน้าแบคขอเกิดมาเจอพี่ชานยอลอีกนะ” คนตัวเล็กอธิษฐานปากคอสั่นขณะที่เขาหย่อนเจ้าตัวลงไปในคูน้ำที่ลึกพอสมควร อย่างน้อยเขาก็ภาวนาว่ามันจะลึกพอให้ซ่อนกายได้จากไฟป่า
“อย่าพูดเป็นลาง” ชานยอลเอ็ดพลางดันแบคฮยอนเข้าลึกสุดคูและใช้ร่างของตนโถมทับร่างของอีกฝ่ายไว้เป็นที่กำบังอีกชั้นหนึ่ง
“ไม่เอาแบบนี้พี่ชานยอล” เจ้าตัวเล็กคล้ายว่าสะอื้น ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทั้งที่อยู่ในสถานการณ์น่าหวาดหวั่น แต่ชานยอลกลับนึกชอบใจที่ได้เห็นว่าแบคฮยอนเป็นห่วงเขา
“ลงมาอยู่ด้วยกัน...นะ”
“ชู่ว หลับตาลงซะเด็กดี เราจะไม่ตาย จะไม่มีใครตาย” เขาให้สัญญาอย่างนั้น ก่อนที่เปลวไฟมหึมาจะเดินทางมาถึงคูน้ำและเลียลามผ่านไป
แบคฮยอนหลับตาปี๋ ไอร้อนนาบเนื้อตัวเหมือนกำลังถูกย่างสดก็ไม่ปาน แต่คนที่หนักกว่าเห็นจะเป็นพี่ชายผู้แสนดีที่เอาตัวบังความร้อนไว้ให้เขา แบคฮยอนยกแขนขึ้นกอดลำตัวผอมๆของคนข้างบน เสื้อยืดของชานยอลขาดจากผลงานของเพลิงไฟ เพียงแค่แตะโดนเนื้อพองชานยอลก็ซู้ดปากร้องซี้ดซ้าด
ร่างสูงก้มตัวลงเบียดร่างข้างใต้ สีหน้าเจ็บปวดทรมานทำเอาคนมองน้ำตาซึม แบคฮยอนใช้มือบังหลังชานยอลไว้ แม้จะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแต่อย่างน้อยความรู้สึกที่ว่าเขาเอาเปรียบพี่ชานยอลก็เบาบางลงไป
แบคฮยอนขยับร่างเข้าเบียดซุก อกชนอก ใบหน้าเล็กซบอยู่กับแก้มของชานยอลที่ก้มต่ำลงมา
นานแสนนานที่คนทั้งคู่ตกนรกทั้งเป็นอยู่ในคูนั้น
ไฟป่ามอดลงทิ้งไว้เพียงเถ้าถ่านและควันโขมง ชานยอลทรุดฮวบลงไปทับเด็กหนุ่มใต้ร่างไว้ทั้งตัว แบคฮยอนกอดร่างสูงแน่น จูบปลายคางตรงหน้าเป็นรางวัลสำหรับความกล้าแกร่ง ก่อนที่ทั้งสองจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความยินดีที่รอดพ้นจากความตาย
หัวเราะไปหัวเราะมาก็เจือสะอื้นในที่สุด ความตกใจยังทิ้งตะกอนอยู่ในขวัญ
“กลับกันเถอะ” ชานยอลปาดน้ำตาให้แบคฮยอนที่ยังกลัวอยู่ ก่อนจะจับจูงมือเล็กไว้ในอุ้งมืออบอุ่น แล้วพาเดินกลับไร่กังยูไปด้วยกัน
แบคฮยอนก้มลงมองฝ่ามือตัวเอง แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ทุกภาพและเสียงยังคงชัดเจนดีในโสทประสาท รวมทั้งสัมผัสที่มือข้างขวาของเขาด้วย
“ไอ้เจ้าแบค! คุณเลย์เรียกไปพบ เขาบอกด่วนๆเลย!”
ไอ้เจ้าแบคที่ว่าสะดุ้งเฮือกหลุดจากภวังค์ หันไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างของลุงคนงานยืนหอบอยู่
“คุณเลย์เรียกฉันหรือ” ชี้นิ้วเข้าอกตัวเอง นึกแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยเรียกไปพบ
“ใช่ รีบไปเรือนใหญ่ด่วนเลย”
แม้จะยังมึนงงกับคำสั่งประหลาดๆ แต่คนงานชั้นล่างอย่างเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะขัดอะไรทายาทเบอร์หนึ่งของอาณาจักรกังยูอยู่แล้ว
คนตัวเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นชิน เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านไม้หลังงามของคนใหญ่คนโตที่นี่
เลย์หรือจางอี้ชิงดีดนิ้วส่งสัญญาณมาจากระเบียงชั้นสอง แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะถูกกวักมือเรียกให้ขึ้นไปพบ
คนตัวเล็กถอดรองเท้าแตะแล้วก้าวฉับขึ้นไปบนห้องทำงานของเจ้านายโดยไม่คิดขัดขืนคำสั่ง ถึงคุณเลย์ของคนงานจะเป็นที่โจษจันถึงความเงียบขรึมและเอาจริงเอาจัง แต่จริงๆแล้วพี่อี้ชิงที่แบคฮยอนเคยรู้จักมาตั้งแต่เด็กไม่ใช่คนร้ายกาจอะไรเลย หากไม่นับเรื่อง...
“ลองชุดซะ ถ้าไม่พอดีฉันจะได้รีบสั่งแก้ก่อนจะถึงวันแต่งงาน”
...เรื่องการแต่งงาน
แบคฮยอนสะอึ้งอึกอยู่ที่ขอบประตู เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเคยถูกเลย์ทาบทามให้มาเป็นคู่ชีวิตเมื่อสามปีก่อน
เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไม หรืออย่างไร แต่ที่แน่ๆคือมันไม่เกี่ยวข้องกับความรัก เลย์ไม่เคยรักเขา ดวงตาคู่นั้นไร้แววพิศวาสชอบพอโดยสิ้นเชิง
“อย่าชักช้าเวลาของฉันมีไม่มาก เหมือนกับที่เวลาของพ่อนายก็มีมากแล้วเช่นกัน” เลย์ย้ำเตือนความจำถึงพันธะที่ทำให้แบคฮยอนต้องยอมแต่งงานกับเขาโดยปราศจากข้อโต้แย้ง พ่อของเขาพลัดตกลงมาจากต้นไม้สูง เป็นเจ้าชายนิทรา หมอให้เลือกระหว่างดูแลอย่างนี้ต่อไปหรือถอดสายออกซิเจน
แบคฮยอนยังตัดใจถอดสายไม่ได้ แต่ระหว่างรอปาฏิหาริย์ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายจิปาถะมากมาย ทั้งค่าหมอ ค่าพยาบาลดูแล ค่าห้อง ค่ายา และนั่นก็คือเครื่องมือที่เลย์ใช้ต่อรองกับครอบครัวของเขา
ไม่มีใครรังเกียจลูกชายคนโตของเจ้าของไร่อยู่แล้ว เขาทั้งสุภาพ ทำงานเก่ง ไม่เคยมีเรื่องผู้หญิงหรือเที่ยวเล่นเกเร มีเพียงแต่แบคฮยอนเท่านั้นที่รู้
บางทีถ้าแบคฮยอนไม่ได้หลงตัวเองจนเกินไป เขาคิดว่าเลย์กำลังใช้เขาทัดทานอำนาจกับทายาทอันดับสองที่กำลังจะกลับมาในไม่กี่วันนี้
“ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเราต้องแต่งงานกัน” คนตัวเล็กลดบรรยากาศตึงเครียดด้วยการพูดติดตลก แต่ก็แอบแฝงเจตนาบางอย่างไว้ เขาต้องการคำอธิบาย
เลย์ควรจะธิบายว่าทำไมไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยนับแต่วันที่ไปขอเขาจากแม่เมื่อหลายปีก่อน ไม่เคยมาหา ไม่เคยเรียกพบ ไม่เคยชายตามองตอนเดินสวนกันที่ไร่ด้วยซ้ำ
ทำไมทุกอย่างช่างกะทันหัน
“แต่ตอนนี้นายก็จำได้แล้วนี่ ว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน” เขาเน้นเสียงประโยคสุดท้าย มือไพล่หลังขณะมองตรงออกไปนอกระเบียงเหมือนอย่างตอนแรกที่เรียกแบคฮยอนขึ้น มา
“เมื่อไหร่...ครับ?” คนงานตัวเล็กร้องถาม แม้เขาจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องคู่ครอง แต่อย่างน้อยเขาก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ไม่ใช่หรือว่าเวลาของตนเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน
“ทันที”
“...”
“หลังจากที่งานเลี้ยงต้อนรับปาร์คชานยอลสิ้นสุดลง”
ความคิดเห็น