น้ำตาเดรัจฉาน - น้ำตาเดรัจฉาน นิยาย น้ำตาเดรัจฉาน : Dek-D.com - Writer

    น้ำตาเดรัจฉาน

    น้ำตาเดรัจฉาน

    ผู้เข้าชมรวม

    186

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    186

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  31 ธ.ค. 49 / 09:54 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทที่1.ผู้มาเยือน
      ..หิมะที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกตั้งแต่เมื่อคืนก่อน   ได้ปกคลุมหมู่บ้านบนดอยทุกหลังคาเรือน  ไม่มีสีเขียวของต้นไม้เหลือให้เห็น    พื้นดินที่เต็มไปด้วยเกร็ดน้ำแข็งนุ่มฟูปรากฎเป็นรอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่  ทิศตะวันออกและทิศเหนือเป็นป่ารกทึบ   แต่ทว่ารอยเท้าของสัตว์ขนาดใหญ่กลับมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก  ซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านหนานซ่ง
             เสียงหวีดร้องด้วยอาการหวาดผวา  ดังระงมไปทั่วหมู่บ้านบนดอย
      ไม่ไกลกันนั้นปรากฎร่างเสือโคร่งขนาดใหญ่  ขณะเยื้องย่างผ่านบ้านเรือน         เสียงของชายชรา  ดังแทรกเสียงกรีดร้องของหญิงสาว"รีบไปหลบในบ้านเร็ว"เสียงสั่นเกร็งตะโกนอยู่เป็นระยะ
             ในขณะที่ชาวบ้านวิ่งหนีอย่างแตกตื่น  ปิดประตูหน้าต่างลั่นกลอนทุกหลัง   เสือโคร่งกลับดูสุขุมเยือกเย็นผิดธรรมชาติ ราวกับว่าการเข่นฆ่าผู้คนไม่ใช่จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้   รอยเท้าขนาดใหญ่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด
      จุดหมายปลายทางของเสือโคร่งตัวนี้อยู่ที่ใดกัน
                      อาทิตย์ใกล้อำลาขอบฟ้าเต็มที  แสงอ่อนๆส่องประกายให้เห็นร่างของสัตว์เดรัจฉาน  เกิดเป็นเงาทอดยาวบนพรมหิมะ  หลังจากเสือโคร่งเดินทางจากป่าซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนมาเป็นระยะทางกว่ายี่สิบกิโล   ฝีเท้าอันอ่อนล้าก็หยุดลง
             เบื้องหน้าเป็นบ้านไม้หลังเก่าขาดการดูแล  ไม่ต่างจากบ้านร้างเท่าใดนัก
      กล้ามเนื้อที่หูทั้งสองข้างกระตุกเป็นระยะ  เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นร่ำไห้ของหญิงสาวแว่วมากระทบ   
              ประตูไม้ผุกร่อนเผยให้เห็นสภาพการเป็นอยู่ของผู้อาศัย   เสือโคร่ง
      สอดส่องสายตาภายในบ้าน  ผ่านช่องรอยแตกของประตูไม้  ปรากฎภาพหญิงสาวผมเพร่ารุงรัง  นั่งฟลุบหน้าร่ำไห้ราวจะขาดใจ  สองมือเกาะก่ายร่างของเด็กชาย  ซึ่งนอนแน่นิ่งบนเตียงไม้ไผ่อย่างไร้สติ
                                    บทที่2.เขตป่าตะวันออก
             ต้าไห่เด็กชายวัยสิบสามปี  เดินลากกิ่งไม้เป็นเส้นทางยาว  ในป่าฝั่งทิศตะวันออก   ซึ่งเป็นอาณาเขตต้องห้าม  ผู้ใหญ่ในหมู่บ้านเคยบอกกับต้าไห่ว่าผืนป่าไม่ใช่พื้นที่สำหรับเด็ก  เขาเข้าใจในกฎข้อนี้เป็นอย่างดี  
             การมาเยือนเขตป่าต้องห้ามครั้งนี้   มิใช่เพื่อความบังเทิงเริงรมณ์หรือความคึกคะนองแต่อย่างใด   หากแต่เป็นการยืนยัน  ความเป็นชายฉกรรจ์ในตัวของต้าไห่
             ท้องฟ้ายามเช้าแลดูหม่นหมองผิดปกติ  สายลมหนาวพัดผ่านใบหญ้ากระทบเรือนร่างอันบอบบางของเด็กชาย   ความเย็นเยือกแผ่กระจายไปทั่วร่าง  เขาตระหนักได้ทันทีโดยไม่ต้องสงสัย  พายุหิมะกำลังเคลื่อนตัวมาถึงหมู่บ้านของตนและเขตป่าต้องห้าม  เด็กชายเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น      
             กิ่งไม้ในมือของเด็กชาย  ขูดขีดพื้นดินเป็นเส้นทางลากยาวสุดสายตา
      เหมือนประหนึ่งเป็นเครื่องหมายนำทาง  ให้รู้ตำแหน่งยังจุดเริ่มของที่มา
      เพื่อเป็นการประจักษ์แก่คนในหมู่บ้าน  ต้าไห่จำต้องเดินลึกเข้าไปในป่าทึบ  หวังจะได้ดอกไม้ป่าเป็นพยานในการมาเยือนครั้งนี้
            ต้นไม้ใหญ่เรียงรายเต็มพื้นที่   ลำต้นขนาดสามคนโอบล้อม  ยังไม่รอบ
      ครั้นจะมองไปยังปลายยอด  จำต้องเงยหน้าแหงนมอง  จนกระดูกต้นคอลั่นเสียงกุ๊บกั๊บ    เบื้องหน้าเป็นโขดหินขนาดใหญ่  พืชพรรณไม้เลื้อยปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ   ดอกไม้ป่าหลากสีสัน  เบ่งบานกลีบอ่อนพริ้วไหวเมื่อยาม
      ต้องลม 
            ดอกไม้ป่าสีโอรสที่ต้าไห่เหน็บไว้ตรงทัดหู  โบกสะบัดไปมาตามท่วงทำนองเริงร่าขณะย่ำเท้าสลับไปมาของเด็กชาย   แลดูคล้ายจังหวะเต้นรำในงานฉลองประจำปี
                                  บทที่3เป้าหมายที่เปลี่ยนแปลง 
           เท้าที่ย่ำไปมาบนพื้น  จนดินเกิดเป็นรอยบุ๋มต้องชะงักลง เมื่อเสียงครวญครางแห่งความเจ็บปวด  แววผ่านลมหนาวกระทบใบหูของเด็กชาย 
           จุดกำเนิดเสียงอันน่าหดหู่อยู่ที่ใดกัน  เด็กชายพลางคิดขณะที่สายตากำลังสาดส่องไปทั่วบริเวณ  เสียงอันน่าเวทนาดังมาเป็นระยะ  คล้ายจะบอกทิศทางให้เด็กชายได้รู้ตำแหน่ง 
            แสงแดดสาดส่องไออุ่นมายังเด็กชายจากเหนือศีรษะ  กว่าแปดชั่วโมงที่
      ต้าไห่เดินทางจากหมู่บ้านของตนมาถึงเขตป่าต้องห้ามทางทิศตะวันออก
            แม้เงายามเที่ยงวัน  จะอำพลางผู้หลบซ่อนภายใต้ร่มไม้ได้ดี  ก็ไม่อาจลอดพ่นสายตาของเด็กชาย  ที่กำลังมองหาแหล่งกำเนิดเสียงครวญครางนั้นได้ 
            เสียงหายใจเหนื่อยหอบดังมาจากพุ่มไม้ที่อยู่เบื้องหน้า  เท้าข้างหนึ่งเลยพ้นขอบเขตของร่มเงา  แลเห็นเป็นขนสีเหลืองทองสลับดำ  ลักษณะแบบนี้ไม่เป็นอื่นไปแน่ "เสือโคร่ง"เด็กชายกระซิบบอกตัวเอง   หลังจากยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ใหญ่   เสียงคร่ำครวญ ราวกับคนร่ำไห้ด้วยความทุกข์ทรมาน  ก็ดังมาอีกครั้ง  
            เด็กชายก้มหยิบก้อนดินที่แห้งแข็งกำไว้ในมือ   พร้อมขว้างใสร่างไร้เรี่ยวแรงของเสือโคร่ง  บัดนี้สิ่งมีชีวิตที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นจ้าวแห่งพงไพร
      มิอาจต่อกรจากการรุกล้ำของเด็กชายได้  ไม่เพียงแต่เด็กชาย แม้กระทั่งแมลงวันที่เกาะอยู่ปลายจมูกยังไม่อาจจะปัดป้องได้  
             ดอกไม้ป่าสีโอรสถูกทิ้งลงบนพื้นอย่างไร้ค่า  บัดนี้สิ่งที่มุ่งหวังของเด็กชายได้เปลี่ยนไปแล้ว  ดอกไม้ป่าอาจเป็นสัญลักษณ์ในการมาเยือนของเด็กชายได้   แต่หากเป็นสัตว์ดุร้ายอย่างเสือโคร่งแล้ว  ย่อมมีความหมายมาก กว่าการมาเยือน  หมายถึงความน่าเกรงขามของชายฉกรรจ์  ไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุสิบสามปีที่ใครๆมองเห็น
           แสงที่ส่องมาจากด้านบน ทำให้มิอาจแลเห็นใบหน้าของเด็กชายขณะกำลังก้มตัวอยู่เหนือร่างซูบผอมของเสือโคร่งได้  มือข้างหนึ่งของเด็กชายกำก้อนหินขนาดเท่าผลส้ม  กระแทกลงกลางกระโหลกศีรษะ  จนเกิดเป็นเสียงทึบหนักหน่วง  ปะปนกับเสียงครวญคราง ราวกับคนร่ำไห้ร้องขอชีวิต ช่างเป็นเสียงที่แสนจะหดหู่ใจยิ่งนัก   แต่มิอาจจะมีเสียงใดหยุดยั้งการกระทำของเด็กชายได้อีกต่อไปแล้ว
                             บทที่4.การตัดสินใจที่ผิดพลาด
            ข้าจำเป็นต้องทำ  อย่าอาฆาตข้าเลยนะ  ถ้อยคำวิงวอนภายใต้จิตสำนึกของเด็กชายดังก้องกังวาลอยู่ในใจ   สอดคล้องกับเสียงโหยหวนยืดยาวของสัตว์ป่า   พละกำลังของเสือโคร่งที่ถูกบั่นทอนด้วยโรคร้าย  ทำให้มิอาจแม้แต่จะไสตัวแต่อย่างใด   ทำได้เพียงแค่กระตุกปลายนิ้วน้อยๆไปมา
             กล้ามเนื้อแขนเพียวบางของเด็กชายเริ่มอ่อนกำลังลง    แต่ทว่าการกระทำอันป่าเถื่อนกลับยิ่งดำเนินต่อไปมิสิ้นสุด   ศีรษะของเสือโคร่งที่ไม่กี่นาทีก่อน  ยังดูเข้ารูป   บัดนี้เกิดเป็นทรงบิดเบี้ยวไม่เหลือความงดงามให้ได้เห็น  
               ผิวหนังมีขนอยู่กึ่งกลางระหว่างก้อนหินกับกระโหลกศีรษะ  เกิดเป็นรอยแยกทิ้งช่วงห่าง   น้ำอุณภูมิอุ่นที่ท่วมท้นดวงตาเสือโคร่งมิใช่น้ำตาอันใสบริสุทธิ์แต่อย่างใด  หากแต่จะเป็นเลือดที่หลั่งรินมาอย่างไม่ขาดสาย    
              ต้าไห่ชูแขนทั้งสองข้าง  ประสานมือทั้งสองประคองก้อนหินอยู่เหนือศีรษะ  ลมหายใจสุดท้ายใกล้มาถึง  เสือโคร่งรับรู้ได้ถึงชะตากรรม
      ขณะที่ก้อนหินกำลังเคลื่อนตัวแหวกกระแสลมหนาว  มายังจุดกำเนิดของเสียงทึบนั้น  ทุกอย่างกลับดูเชื่องช้าคล้ายจะหยุดนิ่ง   ราวกับว่าเป็นการกระทำใต้น้ำลึก    ละอองเลือดค่อยๆแผ่วงกว้าง  ทะยานสู่เบื้องบนด้วยแรงกระแทก   เด็กชายกระพริบตาค้าง  ก่อนที่ใบหน้าอ่อนเยาว์จะแต่งแต้มไปด้วยสีเลือด  
             หลังจากที่เด็กชายใช้มือทั้งสอง  ปาดเช็ดรอยเลือดคั่งค้างบริเวณรอบดวงตา  ปรากฎภาพสะเทือนจิตใจอยู่เบื้องหน้า  แม้เด็กชายจะกระพริบตาสักกี่ครั้ง  ก็มิอาจจะเปลี่ยนแปลงภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าได้
            รอยยุบเหนือกระโหลกศีรษะที่แลดูคล้ายแอ่งน้ำ  และ  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือด    ยังคงเป็นเช่นเดิมมิเปลี่ยนแปลง   หากแต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงนั้น  กลับเป็นเรือนร่างที่มีลมหายใจรวยริน
         "ไม่ไม่..ไม่นะ..ไม่"เด็กชายพึมพำซ้ำถ้อยคำเดิมๆ  กระแสเลือดเหมือนจะหยุดสูบฉีดไปชั่วขณะ   เมื่อร่างที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า
      กลับเป็นร่างของตน  ในท่วงท่าขดตัว  ราวหอยทากไร้เปลือกหนาห่อหุ้ม
       "ไม่จริงใช่มั้ย"เสียงแผ่วเบาที่แว่วมาจากลมหายใจสะอื้นของเด็กชาย
      เหมือนประหนึ่งคำถามที่ไร้ผู้ตอบรับ 
                                  บทที่5.กระทบลมหนาว
                 ขณะที่เด็กชายกำลังยื่นมือ  เพื่อสัมผัสเนื้อกายเสมือนตนที่อยู่เบื้องหน้า   สิ่งที่สะเทือนใจยิ่งกว่ากลับปรากฎ   นิ้วที่เคยเรียวยาวเมื่อครู่
      บัดนี้เหลือขนาดไม่ได้ครึ่ง   เล็บหนาโค้งยาวรูปทรงคล้ายเคียวเกี่ยวข้าว
      เมื่อครั้นเด็กชายกวาดสายตาเป็นลำดับ  จากนิ้วสู่มือ  จากมือไล่ยาวไปถึงต้นแขน   มาถึงตอนนี้ดวงตากลมโตของเด็กชายต้องหยุดชะงัก   เปลือกตายกค้าง  ระบบทางเดินหายใจหยุดหมุนเวียนอยู่ชั่วขณะ
             บัดนี้ร่างกายของเด็กชายมิอาจทรงตัวในท่ายืนได้อีกต่อไป   น้ำตาของต้าไห่รินไหลผ่านเส้นขนสลับสี ลงสู่พื้นดิน..เหตุใดกัน  ใยร่างกายของเราถึงแปรเปลี่ยนสถาพเป็นเช่นนี้..เด็กชายครุ่นคิด
         ..ปฎิหาริย์หรืออย่างไร   หากเป็นปฎิหาริย์  แล้วเหตุใดใจเราถึงกลับระทมทุกข์..น้ำตาของเด็กชายที่ล่วงลงสู่พื้น  มิได้เกิดจากความสุขแต่อย่างใด   หากแต่จะเป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า  นี่หรือปฎิหาริย์
      ใยช่างโหดร้ายถึงเพียงนี้ 
                    เสื้อผ้าของต้าไห่ที่สวมใสอยู่เมื่อครู่  หล่นล่วงลงสู่พื้นดิน  ประหนึ่งร่างกายนั้นได้ลอกคราบมนุษย์  แปรเปลี่ยนสภาพงดงามให้กลับกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน  
                เกร็ดน้ำแข็งล่วงหล่นจากฟากฟ้า  ราวกับขนนกสีขาวล่องลอยตามกระแสลม   เด็กชายทอดสายตามองตามหิมะที่กำลังโปรยปรายจากเบื้องบนลงสู่พื้นเบื้องหน้า   เป็นภาพที่สะกิดใจยิ่งนัก
                ส่งผลให้จิตใต้สำนึกหวนรำลึก  ถึงอดีตเมื่อครั้งเรือนร่างยังเป็นมนุษย์
      ปรากฎเป็นภาพมารดากำลังวิ่งตรงมาทางนี้  ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก  ขณะที่ตนล้มลงกับพื้นเมื่อครั้งยังเยาว์วัย   ภาพเหตุการณ์ในจิตใจของเด็กชายมิได้เรียงร้อยเป็นลำดับ หากแต่เป็นภาพสลับตัดฉากกันไปมา  ราวกับว่ากำลังเปิดดูอัลบัมภาพของผู้ที่ล่วงลับ
                เมื่อครั้นเด็กชายหวนนึกถึง  ไออุ่นจากอ้อมอกของผู้เป็นแม่แล้ว
      กลับยิ่งทำให้รู้สึกหนาวสั่น จนลมหายใจสะดุด   คงเป็นเพราะความโดดเดี่ยวอ้างว้างไร้ผู้ที่ตนรักโอบกอดกระมัง  อากาศหนาวถึงเย็นเข้าถึงกระดูก
                น้ำตาที่หลั่งไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เด็กชายแหงนมองฟากฟ้าร่ำร้องเสียงสะอื้น  เกิดเป็นเสียงสัตว์ป่า***่ก้องร้องคำราม  ดังสนั่นทั่วทั้งบริเวณ
                              บทที่6.เบาะแสที่เลือนหาย
         "เฮ้...มาดูทางนี้หน่อย"เสียงสั่นเกร็งของชายสูงอายุ  ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านหนานซ่ง  ตะโกนเรียกนายพรานทั้งสอง            นายพรานคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคน  หนวดเครารุงรัง ร่างกายกำยำล่ำสัน  ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มวัยละอ่อน  รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม  
               นายพรานวัยกลางคนขมวดคิ้ว  ขณะนั้งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งเพ่งมองรอยขูดขีดบนพื้นดิน  ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม  ประกายดวงตาส่อแววครุ่นคิด
      "ไม่น่าจะเป็นร่องรอยของสัตว์"ชายวัยกลางคนพึมพำขณะหันหลังมองใบหน้าเ***่ยวย่นของชายชราที่ยืนอยู่เบื้องหลัง  ชายชราใช้มือข้างหนึ่ง  รูดขนสีขาว  จากปลายคาง  ลงมาจนถึงบริเวณท้องน้อย  พร้อมกับพูดถาม
      "ใช่ต้าไห่หรือเปล่า..ข้าหมายถึงคนที่ขีดเส้นพื้นเป็นทางยาว..เป็นฝีมือของต้าไห่หรือเปล่า"เมื่อสิ้นเสียงสั่นเกร็ง  ชายวัยกลางคนพยุงตัวขึ้นยืน  พร้อมกับตอบด้วยเสียงทุ้มน่าเกรงขาม"คาดว่าน่าจะใช่"ทั้งสามต่างสบตากันอยู่ไม่นาน ก่อนออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดหมาย โดยมีร่องรอยขูดขีดตามพื้นดิน เป็นเครื่องชี้ทาง  เหมือนประหนึ่งแผนที่บอกขุมทรัพย์
                  หิมะเริ่มทยอยร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน   เบาะแสสำคัญที่จะพาคนทั้งสาม
      ไปถึงที่หมาย   ก็สิ้นสุดลง  เมื่อเกร็ดน้ำแข็งเริ่มก่อตัวเป็นพื้นหิมะ  ราวกับถนนที่ถูกตัดขาดไร้เส้นทางเดิน   นายพรานหนุ่มพยายามคุ้ยเขี่ยเกร็ดหิมะเพื่อค้นหาร่องรอยขูดขีดโดยใช้ปลายคันศรเป็นเครื่องมือ  ทว่ากลับกลายเป็นเพิ่มเติมเส้นขีดมากมายบนพื้นดิน  จนยากต่อการค้นหา
                   เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง  ร่องรอยขูดขีดยังไม่ปรากฎให้เห็น  พื้นพรมหิมะเต็มไปด้วยรอยเท้าของคนทั้งสาม ระหว่างที่นายพรานวัยกลางคนกำลังสาดส่องสายตามองไปโดยรอบ   ปรากฎเป็นเสียงสัตว์ป่าร้องคำรามดังระงม  ฝูงนกพิราบบินเตลิดออกจากที่หลบภัย  ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเอ่ยคำถาม
      ว่าเสียงร้องเมื่อสักครู่เป็นสัตว์ชนิดใด  ชายวัยกลางคนก็พูดขึ้นว่า"เสือโคร่ง"พร้อมกับก้มหน้าแสดงท่าทางกังวล "ไม่น่าจะไกลจากตรงนี้"เขาพูดเสริม  ก่อนจะเดินมุ่งไปข้างหน้า  โดยมีชายหนุ่มเดินตามอยู่รั้งท้าย
                                      บทที่7.น้ำตาของต้าไห่
                    ขณะที่ต้าไห่ผู้แปรสภาพเป็นเสือ  กำลังโน้มศีรษะจรดปลายคางลงบนพื้นหิมะ  ขยักจมูกย่นส่งเสียง ฟืดฟาด ..กลิ่นนี้มัน..สันชาตญาณของกายเดรัจฉานรับรู้ได้ถึงสิ่งแปลกปลอม   เป็นกลิ่นของสิ่งมีชีวิตอันปราศจากกลิ่นสาปคาวปะปน..กลิ่นของมนุษย์..สันชาตญาณสัตว์ป่าที่กลืนกินเรือนร่างของเด็กชาย ได้บอกให้เขารู้ว่า  บริเวณไม่ไกลจากตรงนี้  มีคนจำนวนเกินกว่าหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามา
                    หมู่บ้านหนานซ่งคงจัดคน  เพื่อออกตามหาตนอยู่เป็นแน่   ภายในใจต้าไห่เฝ้าครุ่นคิด..อีกไม่นานก็จะได้พบหน้าแม่แล้ว..เด็กชายอดดีใจไม่ได้  เมื่อรู้ว่าความอบอุ่นใกล้จะมาเยือนอยู่ในไม่ช้า  จนลืมไปเสียสนิทว่า  ตนมิได้มีเรือนร่างเหมือนดั่งแต่ก่อนแล้ว
                       ใบหน้าของสัตว์ป่าแม้จะไม่แสดงสีหน้าหรืออาการใดๆ   แต่ทว่าภายในกลับเปี่ยมด้วยความหวัง   หากเรือนร่างของเด็กชายยังคงสภาพ   ดังเช่นเดิม   ใบหน้าขณะนี้คงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มฉีกกว้างอยู่เป็นแน่
                     ยังไม่ทันที่เท้าทั้งสี่ของเด็กชายจะเยื้องย่างอย่างเริงร่า  กลับมีเสียงประหลาดแว่วมากระทบหู  เสียงนั้นเหมือนดังมาจากวัตถุรูปร่างเพรียวยาว ขณะกำลังแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงก่อเกิดเป็นเสียงกระแสลมรุนแรง                ไม่จำเป็นต้องค้นหาว่าเสียงประหลาดนั้นเกิดจากที่ใด  คำตอบก็มาเยือนถึงที่  ปรากฎเป็นลูกธนูขณะกำลังพุ่งทะยานแหวกลมหนาวมายังร่างของเด็กชาย  กว่าที่เด็กชายจะรู้ตัว  อาวุธที่หมายจะปลิดชีวิตก็อยู่ในระยะเผาขนเสียแล้ว   
                      เหล็กทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม  ทะลุผ่านผิวหนังมายังกล้ามเนื้อบริเวณลำตัวของเด็กชาย  ไม้ปลายขนนกที่ปักคาโผล่พ้นผิวหนัง  ถูกชะโลมไปด้วยเลือดสีแดงสด 
                      ต้าไห่ร่ำร้องครวญครางก่อเกิดเสียงคำรามของสัตว์ป่า  ก่อนหันไปยังผู้หมายจะเอาชีวิตตน   ชายทั้งสามปรากฎกายอยู่ ณ เบื้องหน้า  โดยยืนเว้นระยะห่างอยู่ไม่ไกล    ถึงแม้ตะวันจะฉายแสงมายังด้านหลังของบุคคลทั้งสาม  แต่ต้าไห่ก็ยังจดจำใบหน้าที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดนั้นได้ดี   
      เมื่อครั้นเด็กชายครุ่นคิดสงสัย..เหตุใดชายทั้งสามถึงคิดทำร้ายตน  ในเมื่อจุดประสงค์ของบุคคลทั้งสามคือการค้นหาเพื่อช่วยชีวิต..เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กชายจึงรู้ถึงเหตุผลในการกระทำ..เป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นไม่รู้ว่าตนคือต้าไห่เด็กชายที่พวกเค้ากำลังค้นหา.."ข้าเอง_ต้าไห่_เด็กคนที่พวกท่านกำลังตามหาอยู่ไง"ขณะที่เด็กชายกำลังบอกถึงตัวตนที่แท้จริงอยู่นั้นเอง   พรานหนุ่มก็ได้จัดเตรียมอาวุธสังหารเอาไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย   เหลือแค่รอคำสั่งจากชายทั้งสอง"เดี๋ยวก่อนสิ_ท่านกำลังเข้าใจผิดนะ_ข้านี่แหละต้าไห่_ร่างข้าถูกบางอย่างทำให้เปลี่ยนเป็นอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ_ท่านฆ่าข้าไม่ได้นะ"คำพูดของเด็กชายดูเหมือนจะเป็นถ้อยคำที่เปล่าประโยชน์   ต่อให้ตะโกนมากเท่าใด ก็ไม่มีแม้บางถ้อยคำที่ชายทั้งสามจะเข้าใจได้   มิใช่ว่าเสียงของเด็กชายจะแผ่วเบาแต่อย่างใด  ทว่าเสียงที่ดังระงมกลับเป็นเสียงร้องของสัตว์ป่าคำราม 
                       ต้าไห่แลเห็นชายวัยกลางคน  ผู้มีหนวดเคราดกดำ เหลียวหันไปสบตา กับชายหนุ่มที่กำลังยืนขนาบข้างพร้อมอาวุธในมือ  ชายวัยกลางคน
      พยักหน้าน้อยๆเหมือนเป็นสัญญาณ   ชายหนุ่มยกคันศรขึ้นตั้งฉาก   เชือกที่ขึงตึงถูกดึงจนสุดแขนเหยียด   หัวธนูโลหะจรดกึ่งกลางจุดโค้งงอของคันศร
                       มือข้างหนึ่งที่เคยยึดส่วนปลายท้ายของลูกธนู  ได้คายตัวออก  เสียงของลูกธนูที่กำลังแหวกอากาศ ดังมาพร้อมกับเสียงคืนตัวของเชือกที่ขึงระหว่างปลายคันศร  เกิดเป็นเสียงประหนึ่งซาตานโหยหวน หมายจะ       ฉุดกระชากวิญญาณตนไปยังขุมนรก  
                      ต้าไห่ไม่สามารถจะทนดูภาพเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายของชีวิตตนได้  จิตใจของเด็กชายยังไม่แกร่งพอที่ทำเช่นนั้น   เขาปรารถนาจะจมอยู่ในความมืด  ขณะหลับตารอคอยความตาย
                      เสียงของลูกธนูที่กำลังพุ่งแหวกอากาศหนาวเย็น  ดังมาข้างหู
      แต่เสียงนั้นกลับเลยพ้นศีรษะของตนไป..พลาดเป้าอย่างนั้นหรือ..ต้าไห่ถอนหายใจยืดยาว  ก่อนจะลืมตาเพื่อรับแสง  เหมือนประหนึ่งเปิดประตูจากห้องมืด  กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง
                      พรานทั้งสองมองหน้าชายชราด้วยความสงสัย"ท่านทั้งสองเห็นเขี้ยวอันแหลมคมของเสือโคร่งตัวนั้นแล้วหรือ_ปล่อยมันไปเถิด"หลังจากที่ชายชราพูดจบ  เด็กชายลำดับเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ดังนี้   ขณะที่ลูกธนูกำลังจะพุ่งทะยาน ด้วยแรงส่งของเชือกที่ดีดกลับคืนตัว   ชายชราคงใช้มือปัดคันศรเพื่อเปลี่ยนทิศทางอย่างเป็นแน่
                      ชายชราผู้มีพระคุณ  สะบัดมือไล่ต่าไห่ ให้ออกไปพ้นทาง
      เด็กชายร้องคำรามอยู่ในลำคอ  ก่อนจะหันหลังวิ่งทะยานไปในป่าลึก
      "ไม่_ไม่_ไม่_ไม่__ไม่"น้ำตาของสัตว์เดรัจฉาน  ไหลกระเซ็นเป็นละอองล่องลอยไปในอากาศ  ขณะกำลังวิ่งหนี โดยทิ้งชายทั้งสามไว้ที่เบื้องหลัง
                     ร่างกายมนุษย์ที่วิญญาณเดรัจฉานสถิตย์อยู่ภายใน  ถูกประคองด้วยกล้ามเนื้อแขน ของชายวัยกลางคน"จากสภาพไม่น่าจะเป็นการทำร้ายของสัตว์ป่านะ"ชายชราพูดขณะเรือนร่างเปลือยเปล่าหลุดพ้นจากเงามืดของพุ่มไม้  "ดูที่หัวนี่สิ_เป็นรอยบุ๋มเหมือนโดนบางอย่างทุบตี"นายพรานหนุ่มพูดเสริม
                    ร่างกายมนุษย์ ไร้เรี่ยวแรงโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าร่างกายนั้นเป็นเพียงหุ่นกระบอกที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณสิงสถิตย์ 
                    ประสาทสัมผัสไม่รับรู้ต่อสิ่งใดที่แตะต้อง  หากแต่เหลือเพียงโสตประสาทที่รับรู้เสียงแผ่วเบาให้ได้ยิน "ตายหรือยังนะ"เสือโคร่งมิอาจจะแลเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงพูดนั้นได้   ภายในแววตามีแต่ความมืดมิดให้ได้เห็น  แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเบิกโพลงรับแสงตะวันทอประกาย
                                  บทที่8ความหวังที่รางเลือน
                      เพียงแค่ย่างก้าวผ่านหน้าประตูไม้ผุกร่อน   เสียงสะอื้นก็แว่วมาให้ได้ยิน   หลี่เทียนเม้ยผู้เป็นมารดาของเด็กชาย   นั่งคุดคู้อยู่ข้างเตียงไม้ไผ่  เฝ้ารอการกลับมาของลูกในใส้   ใบหน้าที่มีแต่ความหม่นหมองคละเคล้าไปด้วยน้ำตา   ผิดจากใบหน้าเดิมที่เคยงดงามสมดั่งที่ชาวบ้านกล่าวขานว่านางคือสาวงามประจำหมู่บ้านหนานซ่ง   บัดนี้ไม่เหลือร่องรอยความงามให้ได้เห็น ราวกับว่าใบหน้านั้นได้ถูกกระแสลมแห่งความโศกเศร้า  พัดพาความงดงามให้ปลิวหาย
                      เงาที่สั่นไหวจากแสงเทียนรำไร  ส่องเรือนร่างหลี่เทียนเม้ยให้เห็นเป็นรางๆ   ภายในบ้านไม้เสมือนเป็นที่กักเก็บความมืดไว้ภายใน
      หลี่เทียนเม้ยนั่งนิ่งเฉยราวกับตุ๊กตาไม้แกะสลัก  
                     เสียงประตูไม้แง้มออก  สายตาผู้เฝ้าคอยจับจ้อง  เงามืดถูกแทนที่
      ด้วยแสงรอดผ่านประตู  แลดูคล้ายกำแพงโปร่งใสส่องสว่าง 
                      ประตูไม้เปิดกว้างจนสุดผนังกำแพง  ศีรษะจากเรือนร่างของเด็กชาย  โผล่พ้นขอบกำแพงไม้  หญิงสาวผู้เป็นแม่ตาค้างจับจ้องภาพเบื้องหน้า  ขณะนายพรานวัยกลางคนกำลังโอบอุ้มร่างเด็กชาย ที่มีลมหายใจรวยรินของเสือโคร่งด้วยท่อนแขนทั้งสอง  
                      น้ำตาของผู้เป็นแม่หลั่งไหลผ่านโหนกแก้มจรดปลายคาง  ล่วงลงสู่พื้นเบื้องล่าง"โถ่_ลูกแม่"หลี่เทียนเม้ยลูบแก้มเด็กชายด้วยมือเรียวบางที่กำลังสั่นเทา  ขณะที่ร่างนั้นถูกวางลงบนเตียงไม้ไผ่อย่างทะนุถนอม
                      ร่างที่เปรียบเสมือนประหนึ่งดวงใจของผู้เป็นแม่นั้น  ผิดไปจากเดิมที่เคยเห็น   เนื้อหนังที่เคยอวบอิ่มราวกับว่าได้จมหายลงสู่เรือนร่างที่ซูบ
      ผอม เหลือไว้เพียงรอยปูดนูนของโครงกระดูก    ดวงตาทั้งสองเปิดกว้างคล้ายกำลังจับจ้องใบหน้าระทมทุกข์ของหลี่เทียนเม้ยอยู่เป็นนัยๆ
                      ขณะที่หลี่เทียนเม้ยกำลังใช้ผ้าชุบน้ำชำระล้างคราบเลือดอยู่นั้น
      เมื่อครั้นมาถึงยังบริเวณศีรษะ  เพียงแค่ปลายผ้าสัมผัส ร่างเปลือยเปล่าก็เกร็งกระตุก"ต้าไห่"หญิงสาวร้องตะโกนด้วยความตกใจ"เจ็บมั้ยลูก_"หลี่เทียนเม้ยปล่อยผ้าลงกับพื้น  สองมือประคองใบหน้าเด็กชาย  ก้มหน้าซุกลงที่อก
      ส่งเสียงร้องร่ำไห้"แม่ขอโทษ__แม่ขอโทษ_"
                                           บทที่9บทส่งท้าย
              แสงตะวันของยามเช้ากลับหมุนเวียนมาบรรจบยัง ณ.ตำแหน่งเดิม..
      เป็นเวลากว่าสองวันที่ต้าไห่เดินย่ำเท้าซ้ำรอยเดิม  ขณะหลงทางอยู่ในขอบเขตของป่าต้องห้าม    บัดนี้เท้าทั้งสี่ได้มาถึงยังหมู่บ้านหนานซ่งแล้ว
         ..อย่างน้อยก่อนจะถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต  ขอเพียงแค่ได้เห็นหน้าแม่อีกสักครั้ง..นี่คงเป็นความปรารถนาครั้งสุดท้ายของเด็กชายกระมัง  ถึงได้ทนทุกข์กับบาดแผลมาจวบจนบัดนี้  
               เสียงหวีดร้องดังระงมตลอดเส้นทางเดิน"รีบไปหลบในบ้านเร็ว"
      ชายชราผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  หรืออีกนัยหนึ่งคือผู้มีพระคุณของเด็กชาย
      ลั่นตะโกนท่ามกลางเสียงหวีดร้องของหญิงสาว
                 เมื่อครั้นต้าไห่เดินทางมาถึงยังหน้าประตูของบ้านตน  เสียงสะอื้นของผู้เป็นแม่ก็แว่วมาให้ได้ยิน  ปรากฎภาพใบหน้าหม่นหมองของผู้เป็นแม่ขณะที่เด็กชายสอดส่องสายตาผ่านช่องรอยแตกของไม้ที่บานประตู
                 เป็นเวลากว่าสองวันที่หลี่เทียนเม้ยพร่ำเพ้อแต่ถ้อยคำภาวนา"ฟื้นขึ้นมาสิลูก_ตื่นมาพูดคุยกับแม่เถิดหนา"หญิงสาวพูดขณะที่โน้มตัวโอบกอดเรือนร่างอันไร้สติ   ถึงตอนนี้ความทุกข์ได้โหมกระหน่ำมายังจิตใจของต้าไห่  จนลืมความเจ็บปวดในร่างกายไปชั่วขณะ"อย่าทิ้งแม่ไปอีกคนนะลูก"บิดาของต้าไห่ผู้จากไปด้วยโรคร้ายขณะเขายังแบเบาะ  หลี่เทียนเม้ย
      คงไม่เหลืออะไรอีกต่อไปแล้วหากปราศจากต้าไห่ผู้เป็นตัวแทนของบุคคลทั้งสอง   สองฟากจมูกเต็มไปด้วยคราบน้ำตาของสัตว์เดรัจฉาน  เท้าข้างหนึ่ง
      ขูดขีดประตูไม้หวังให้เกิดเสียงเป็นสัญญาณเรียกหา  แต่ผู้เป็นแม่กลับไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  เหมือนประหนึ่งใจดวงนั้นกำลังเฝ้ารอการกลับมาของลูกในใส้  จนไม่อาจจะสนใจสิ่งอื่นใดได้อีก
                 นายพรานหนุ่มเร่งฝีเท้ามายังบ้านของหลี่เทียนเม้ย  หลังจากที่ออกไปล่าสัตว์กลับมาจึงทราบข่าวว่าเสือโคร่งบุกมายังหมู่บ้านของตน  เมื่อได้รู้ว่า
      เสือโคร่งตัวนั้นได้มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของหลี่เทียนเม้ย ตนจึงรีบมาอย่างเร่งด่วน  
                  เสียงฝีเท้าของพรานหนุ่มส่งเสียงซวบซาบขณะย่ำลงบนพื้นหิมะ
      เมื่อครั้นมาถึงยังที่หมาย  เท้าคู่นั้นกลับต้องหยุดชะงัก  ปรากฎภาพเบื้องหน้าไม่คาดฝัน 
           "ท่านหลี่เทียนเม้ย__ท่านหลี่เทียนเม้ย"นายพรานหนุ่มตะโกนเรียกมารดาของต้าไห่"ท่านหลี่เทียนเม้ย"พรานหนุ่มเคาะประตูที่หน้าบ้าน
                   ใบหน้าหม่นหมองชำเลืองมองจากช่องประตูแง้ม"ใครกัน"ดวงตาที่จมอยู่ในความมืดไม่อาจจะปรับสภาพได้โดยเร็วขณะกระทบกับแสงรำไรจากภายนอก"ข้าเอง..เหยินฮุย"น้ำเสียงของพรานหนุ่มส่อแววตื่นกลัว"ข้าอยากให้ท่านออกมาดูทางนี้หน่อย"นายพรานหนุ่มพูดเสริมด้วยเสียงสั่นรัว
                 เบื้องหน้าของหลี่เทียนเม้ยปรากฎเป็นตัวหนังสือสีแดงขนาดใหญ่
      บนพื้นสีขาวของพรมหิมะ  หลี่เทียนเม้ยยืนนิ่งค้างตัวแข็ง  ปากที่สั่นระริกของหลี่เทียนเม้ย อ่านออกเสียงถ้อยคำที่อยู่เบื้องหน้า..แม่..
                 นายพรานหนุ่มเคลื่อนตัวไปยังร่างเสือโคร่งที่นอนอยู่ไม่ไกลจากตัวหนังสือที่ปรากฎ  สายตาของพรานหนุ่มสังเกตุเห็นบาดแผลถูกกัดบริเวณข้อมือของเสือโคร่ง..ไม่ใช่  มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงอย่างเป็นแน่..นายพรานหนุ่มไม่เชื่อในสิ่งที่ตนคิด..เป็นไปไม่ได้เสือโคร่งจะเขียนตัวหนังสือได้อย่างไร..ตัวหนังสือสีแดงที่มีขนาดใหญ่นั้นแท้จริงแล้วเป็นถ้อยคำสุดท้ายที่ต้าไห่บรรจงเขียนถึงหลี่เทียนเม้ยผู้เป็นมารดาโดยใช้มือแทนภู่กันและใช้เลือดต่างน้ำหมึก
                  สายตาที่เฝ้ามองบุคคลทั้งสองค่อยๆไกลห่างออกไป  สูงขึ้นไปยังเบื้องบน  ประหนึ่งดวงวิญญาณของต้าไห่ได้หลุดลอยจากร่างเดรัจฉานและได้อำลาจากผู้ที่ตนรักไปชั่วนิจนิรันดร์

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×